 |
ผ่ายุทธศาสตร์ไทย! รับมือทัพทุนจีน
อกสั่นขวัญแขวนและหวั่นวิตกกันไปต่าง ๆ นานา เมื่ออาซือหม่ากรุ๊ป หนึ่งในกลุ่มทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่ ประกาศจะลงทุนสร้างศูนย์ค้าส่งยักษ์ หรือที่เรียกกันติดปากในชื่อ "ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์" มูลค่าการลงทุนกว่า 45,000 ล้านบาท ริมถนนบางนา-ตราด กม.10 ซึ่งล่าสุดกลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ของไทย กำลังรวมพลหาแนวทางต้านสุดฤทธิ์ เพราะหวั่นเกรงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แกนนำแนวต้านครั้งนี้ระบุว่า ไชน่าซิตี้ ที่เข้ามาถือเป็นแค่หนังตัวอย่างการรุกเข้ามาของกลุ่มทุนจีน ในการบุกตลาดไทยและอาเซียน ที่จะรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจ หรือเออีซี ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 แต่หนังจริงในอนาคตอาจได้เห็นทุนขนาดใหญ่จากเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจว และมณฑลอื่น ๆ ของจีน หลั่งไหลกันเข้ามาลงทุนในไทย และอาจสร้างผลกระทบในระดับที่รุนแรงมากกว่า หากภาครัฐและเอกชนไทยยังไม่มียุทธศาสตร์การตั้งรับที่ดีพอ เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของจีน: ย้อนอดีตไปเมื่อปี 1979 หรือ พ.ศ. 2522 รัฐบาลจีน ภายใต้การนำของเติ้ง เสี่ยว ผิง ได้ประกาศเปิดประเทศจีนสู่โลกภายนอก และได้วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 (2524-2533) เป้าหมายเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนเป็น 2 เท่า และแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหาร และเครื่องนุ่งห่ม ระยะที่ 2 (2534-2542) เป้าหมายเพิ่มจีดีพีเป็นอีก 2 เท่า และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และระยะที่ 3 (2543-กลางศตวรรษที่ 21) เป้าหมายจีพีดีของจีนจะเติบโตทัดเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้ว และประชาชนมีฐานะร่ำรวยขึ้น จากแผนพัฒนาดังกล่าวที่รัฐบาลจีนต่างยุคสมัยได้สานต่ออย่างเป็นรูปธรรมแบบเอาจริงเอาจัง ถือว่าได้บรรลุตามเป้าหมายอย่างงดงาม โดยในปี 2553 ที่ผ่านมา ขนาดเศรษฐกิจของจีนได้แซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นเป็นอันดับ 2 ของโลก และในอนาคตก็มีโอกาสที่จะแซงหน้าสหรัฐอเมริกา ขึ้นแท่นเป็นอันดับ 1 ขณะที่ปัจจุบันจีนได้กลายเป็นเจ้าหนี้อันดับ 1 ของสหรัฐฯ แทนญี่ปุ่น รวมถึงจีนได้ครองความยิ่งใหญ่ของโลกในอีกหลายด้าน อาทิ เป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก และได้ดุลการค้าต่อเนื่องมากที่สุดในโลก มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมากที่สุดในโลก โดยในปี 2553 จีนมีทุนสำรองสูงถึง 2.84 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้านการลงทุน มีนักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในจีน(inward) และนักลงทุนจีนออกไปลงทุนต่างประเทศ(outward) เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก จีนมีประชากรมากที่สุดในโลก กว่า 1,300 ล้านคน มียอดขายรถยนต์เป็นอันดับ 1 ของโลก และจีดีพีจีนยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนขยายตัวสูงถึง 10.3% เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกฯลฯ ทุนจีนผงาดหนึ่งในจักรวาล: จากทุนสำรองของรัฐบาลจีนที่มีมหาศาล ในปี 2543 ทัพธุรกิจและวิสาหกิจของจีนโดยการหนุนหลังของรัฐบาล ได้เริ่มออกไปลงทุนในต่างประเทศ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 11 ของจีน(2549-2553)ที่เพิ่งจบลงไป รวมถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 12 ที่จะเริ่มต้นขึ้น รัฐบาลได้สนับสนุนให้ทุนจีนเดินออกไปลงทุน ขยายอาณาจักรทางธุรกิจทั่วโลก (Outward FDI) สรุปตัวเลขล่าสุดในปี 2553 มีรัฐวิสาหกิจและเอกชนจีน ออกไปลงทุนตั้งบริษัทในต่างประเทศ 3,125 แห่ง กระจายอยู่ใน 129 ประเทศ รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 59,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 1.7 ล้านล้านบาท (คำนวณที่ 30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ) และสรุปตัวเลขการลงทุนสะสมของจีนทั่วโลก จนถึงปี 2553 มีมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 258,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 4 เป้าหมายลงทุนนอก : ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุถึงเหตุผลที่จีนเดินออกไปลงทุนต่างประเทศ ว่า มี 4 ประการ 1. เพื่อแสวงหาความมั่นคงทางพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ 2.เพื่อขยายตลาดสินค้าและบริการของจีนสู่ตลาดต่างประเทศ เช่นการไปลงทุนในสหรัฐอเมริกา หรือยุโรป ก็เพื่อเข้าไปอยู่ใกล้แหล่งตลาดเหล่านั้นโดยตรง 3.เพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีและการบริหารงานที่มีมาตรฐานในระดับสากล เพื่อเรียนรู้ความทันสมัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมในด้านต่าง ๆ และเหตุผลที่4 เพื่อแก้ปัญหากระแสกดดันจากคู่ค้า ในการกีดกันสินค้าที่ผลิตในจีน ทั้งนี้ ในปี 2553 ล่าสุด ภูมิภาคที่จีนเข้าไปลงทุนที่มีมูลค่ามากที่สุด ได้แก่ เอเชีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา และยุโรป สัดส่วน 46.3, 38.9, 6.8 และ 5.4% ตามลำดับ โดยรูปแบบการลงทุนของจีนส่วนใหญ่นิยมออกไปซื้อกิจการในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกิจการเหมืองแร่ การแปรรูป การผลิต การแสวงหาแหล่งพลังงาน และการบริการก่อสร้าง สถิติจีนลงทุนไทยพุ่ง: สำหรับการลงทุนของจีนในไทย จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์จีนระบุ ในปี 2551 จีนลงทุนไทยมูลค่าทั้งสิ้น 4371.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นอันดับ 5 ของการลงทุนจีนในภูมิภาคอาเซียน รองจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และพม่า ขณะที่จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ระบุในปี 2553 มีโครงการลงทุนจากจีนได้รับการส่งเสริมจำนวน 28 โครงการ มูลค่าการลงทุน 17,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่มีโครงการจากจีนได้รับการส่งเสริมจำนวน 15 โครงการ มูลค่าการลงทุน 7,009 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ซึ่งในอนาคตการลงทุนของจีนในไทยจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้จาก แค่ช่วงต้นปีนี้มีคณะนักธุรกิจและวิสาหกิจของจีนจากหลายมณฑล เข้ามาศึกษาลู่ทางการลงทุนในไทยแล้วกว่า 7 คณะใหญ่ จีนมองไกลรุกอาเซียน: ดร.อักษรศรี ยังตั้งข้อสังเกตว่า ยุทธศาสตร์การค้า การลงทุนของจีนในไทยและอาเซียน ได้มองไกล มีการคิดล่วงหน้า และมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ เริ่มจากชักชวนอาเซียนทำเขตการค้าเสรี(เอฟทีเอ)กับจีนในปี 2543 เพื่อใช้ความตกลงเป็นใบเบิกทางในการเข้าสู่ตลาด และใช้การเข้ามาลงทุน เพื่อเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติของอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงาน และล่าสุดได้ชักชวนอาเซียนดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงจากจีนมายังอาเซียน ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2558 ซึ่งจะส่งผลให้จีนส่งสินค้าเข้ามาทำตลาดอาเซียน (600 ล้านคน) รวมทั้งส่งชาวจีนเข้ามาทำธุรกิจในอาเซียนได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ดังนั้นการทำธุรกิจกับจีนของนักธุรกิจไทย เพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด จะต้องรู้เขา รู้เรา รู้จริง และรู้ให้เท่าทันจีน ไม่ควรกีดกันทุนจีน : ขณะที่นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า ไทยไม่ควรกีดกันการลงทุนจากจีน หากมาถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย เช่นในกรณีโครงการไชน่าซิตี้ คอมเพล็กซ์ แต่หากสงสัยว่าเข้ามาไม่ถูกต้อง ก็ควรใช้กฎหมายในการตรวจสอบและป้องกัน เช่น ใช้กฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว กฎหมายการแข่งขันทางการค้า กฎหมายการตอบโต้และป้องกันการทุ่มตลาด เป็นต้น สำหรับแนวทางในการรับมือการลงทุนจากจีน เพื่อให้ไทยได้ประโยชน์สูงสุด บีโอไอ ควรปรับเปลี่ยนนโยบายส่งเสริมการลงทุน โดยนอกจากเน้นอุตสาหกรรมสะอาดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง และมีมูลค่าเพิ่มแล้ว แนวทางใหม่ควรเน้นให้การส่งเสริมอุตสาหกรรมที่รวมกลุ่มกันผลิตในลักษณะเป็นคลัสเตอร์ เพื่อช่วยลดต้นทุนในการแข่งขัน ระวังไทยเสียมากกว่าได้: ด้านดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่า ไทยควรต้อนรับการลงทุนจากจีน ไม่ควรไปกีดกัน เพราะจะเกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ ในกรณีโครงการที่มีปัญหา เช่น ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ ทั้งสองฝ่ายควรหาทางออกร่วมกัน และหันหน้าพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช้อารมณ์และความรู้สึกมาตัดสิน ส่วนโครงการลงทุนที่ไม่มีคุณภาพในลักษณะตีหัวเข้าบ้านจากจีนก็ควรหาทางลดทอนลง อย่างไรก็ดีโดยข้อเท็จจริงในเวลานี้จีนถือเป็นศูนย์กลางด้านห่วงโซ่อุปทาน หรือซัพพลายเชนด้านการผลิตสินค้าของเอเชีย ขณะที่ไทยถือเป็นศูนย์กลางซัพพลายเชนด้านการผลิตสินค้าของอาเซียน และยังต้องพึ่งพาวัตถุดิบระหว่างกัน ดังนั้น หากบรรยากาศการลงทุนในไทยไม่เอื้ออำนวย จะทำให้จีนไปลงทุนประเทศอาเซียนอื่น อาจทำให้ไทยสูญเสียความเป็นศูนย์กลางซัพพลายเชนของภูมิภาคได้ แนะต้องรุกกลับ: ขณะที่นายธนิต โสรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า ทางสภาอุตสาหกรรมฯ ซึ่งมี 39 กลุ่ม มอง จีนเป็นทั้งคู่แข่งและคู่ค้า ในเรื่องกระแสทุนจีนเป็นกระแสโลกคงต้านไม่ได้ แต่ไทยต้องมียุทธศาสตร์ในการตั้งรับให้ดี เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการของไทยได้รับผลกระทบในวงกว้าง ในทางกลับกันผู้ประกอบการของไทยไม่ควรตั้งรับอย่างเดียว แต่ควรรุกกลับจีนเช่นกัน เช่น การวางแผนออกไปลงทุนในจีน ในธุรกิจที่มีศักยภาพ เพราะในอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้า การทำธุรกิจโดยหวังแค่ตลาดในประเทศคงอยู่ยาก เพราะค่าแรงไทยเริ่มสูงขึ้นและอาจถูกปลาใหญ่กินปลาเล็ก สอดคล้องกับ ดร.สุทัศน์ เศรษฐ์บุญสร้าง ผู้แทนการค้าไทย (ทีทีอาร์)ที่ระบุว่า ไทยควรรุกตลาดจีนในกลุ่มสินค้าอาหาร และสุขภาพ เพราะไม่ว่าจีดีพีจีนจะโตกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ยังต้องบริโภคอาหาร ดังนั้น จึงขอแนะนำให้ผู้ประกอบการด้านอาหารของไทย ไปลงทุนในจีน รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ที่เห็นว่ามีอนาคต เพราะไม่เช่นนั้นแล้วจีนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นจอมเทกโอเวอร์ อาจจะเข้ามาซื้อกิจการของคนไทยมากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ผู้ประกอบการควรเร่งหาทางเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ กับนักธุรกิจรุ่นใหม่ของจีน ที่มีการบริหารจัดการธุรกิจที่เป็นระบบสมัยใหม่ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ในรุกตลาดอาเซียนและตลาดอื่น ๆ จากทรรศนะของกูรูจากภาคธุรกิจและภาควิชาการข้างต้น สรุปได้ว่า ไทยคงไม่สามารถต้านกระแสจีนภิวัตน์ ซึ่งเป็นกระแสของโลกได้ แต่จากนี้ไปคงถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จะต้องช่วยกันระดมความเห็น และวางยุทธศาสตร์ในการรับทุนจีน รวมถึงสินค้าจีนจะเข้ามาทำตลาดในไทยครั้งใหญ่อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ขณะที่ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจะต้องเร่งวางแผนป้องกัน เพื่อให้ธุรกิจของคนไทยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,622
จากคุณ |
:
Zhounat
|
เขียนเมื่อ |
:
1 เม.ย. 54 09:53:52
|
|
|
|
 |