ความคิดเห็นที่ 1 ชอบๆๆ  Vote ให้ครับ จากคุณ : teetyja เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 21:14:07

ความคิดเห็นที่ 2 ชอบๆๆ  Vote ให้ครับ จากคุณ : teetyja เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 21:14:22

ความคิดเห็นที่ 3 แล้วจะมีประโยชน์อะไร เลือกใครไปทำหน้าที่ ก็ไม่ได้แตกต่างกัน ในที่สุด เราเองต้องช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด หวังรอพึ่งคนอื่นคงไม่ได้หรอก คงต้องทำใจอย่างเดียวและสู้กับวิกฤติเศรษฐกิจที่ย่ำแย่กันต่อไป (อย่าให้รวยบ้างก็แล้วกัน) งึงึ จากคุณ : raymy เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 21:42:05

ความคิดเห็นที่ 5 สาวกุมภ์เห็นด้วยกับ จขกท. นะคะ ตั้งแต่ที่เห็นชูโรงเรื่องนี้ขึ้นมา  สาวกุมภ์ปวดตับ ม้าม จี้ ถึงสะดือเลยคะ ค่าแรงขึ้น  ผู้ประกอบธุรกิจก็ต้องขึ้นราคาสินค้า ก็ทำให้ข้าวของก็แพงขึ้นตามมา มีความสามารถแก้ปัญหาได้แบบนี้เองหรือ จากคุณ : สาวกุมภ์ เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 21:53:51

ความคิดเห็นที่ 6 เป็นการเพิ่มต้นทุนให้โรงงานจริงๆนั่นล่ะ โรงงานก็ต้องหาทางออกด้วยการลดคน หรือเพิ่มราคาสินค้า แล้วเราจะแก้ปัญหาอย่างไรดี นึกไม่ออก จากคุณ : hydrophobia เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 22:06:13

ความคิดเห็นที่ 7 ผมมองมุมต่าง ลองดูดัชนีผู้บริโภค (CPI) ที่เพิ่มขึ้นมาตลอด จะเห็นว่าภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้นมาพอสมควรแล้ว โดยไม่ได้มีปัจจัยหลักมาจากค่าแรงเลย แต่มีผลมาจากหลายปัจจัย เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่ม เพื่อช่วยพยุงภาวะเงินเฟ้อ แต่ต้นทุนทางการเงินสำหรับผู้ผลิตก็สูงตาม หรือภาวะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมาก โดยไม่ได้มีผลระยะสั้น แต่ต่อเนื่องยาวนาน จนมีผลต่อต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น แม้จะได้รับการชดเชยบางส่วนจากค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ผลกระทบไม่รุนแรง แต่การแข็งค่าของค่าเงิน ก็กดดันผู้ผลิตที่ส่งออกได้น้อยลง มีผลต่อกำไรของผู้ผลิต หรือต้นทุนสินค้าเพิ่ม เช่นปริมาณผลผลิตสินค้าทุน เช่นพืชผลเสียหายการเกิดวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติ จะเห็นได้ว่าล้วนสาเหตุที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทำให้ผู้ผลิตต้องปรับราคาสินค้าขึ้น สุดท้ายถ้าจะคงราคาเดิม ก็ต้องลดต้นทุน โดยอาจลดแรงงานลงด้วยซ้ำ ถ้าไม่คงราคา ปริมาณการขายก็จะต้องลดลง ทำให้กำไรลดลง ก็ต้องลดแรงงานลงเช่นกัน ที่สำคัญ กำลังการผลิตก็ไม่ได้ใช้เต็มปริมาณ ตอนนี้โดยเฉลี่ยแค่ประมาณ 60% ดังนั้นการเพิ่มค่าแรงซึ่งเป็นการเพิ่มอำนาจซื้อให้ผู้ซื้อเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น แม้การเพิ่มค่าแรงจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการกดดันต่อราคาสินค้าที่จะสูงขึ้น แต่เชื่อว่าจะชดเชยได้กับการใช้สอยที่ทำให้ปริมาณการขายยังอยู่ในระดับเดิม เพราะแรงงานยังสามารถบริโภคสินค้าได้ในปริมาณเดิมแม้ราคาจะเพิ่มขึ้น อีกทั้งถ้าผู้ผลิตยังสามารถผลิตให้มากขึ้นเพราะกำลังการผลิตยังเหลือ จะสามารถทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยยังคงเดิมหรือลดลง เมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่กำลังการผลิตไม่เพียงพอ ก็จะเกิดการลงทุนใหม่ ที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม ผมว่ารัฐบาลดำเนินการได้ถูกต้องแล้ว ถ้าไม่เกิดภาวะเงินเฟ้อแต่ไปปรับขึ้นค่าแรง อย่างนี้ก็คงไม่ถูก จากคุณ : Special Theory of Relativity เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 23:32:02

ความคิดเห็นที่ 8 ส่วนที่เราท่านเห็นว่าได้รับผลกระทบ ส่วนมากจะเป็นผู้ประกอบการที่เน้นเรื่องแรงงานเป็นหลัก อันนี้หมายถึงราคาน้ำมันสูงหรือต่ำ มีผลน้อยต่อรายได้ หรือไม่มีการส่งออก หลักๆ น่าจะเป็น SME แน่นอนย่อมได้รับผลกระทบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อมองภาพรวมทั้งระบบ ผมเชื่อว่าผลดีจะมีมากกว่าสำหรับคนส่วนมาก และผมเชื่อว่าจะได้รับผลกระทบระยะสั้น ที่แต่ละ SME ต้องปรับตัวให้รอด ยกเว้นสายป่านทางการเงินสั้นมากๆ เมื่อแรงงานมีรายได้พอเพียง และเงินเริ่มหมุน หรือการลงทุนใหม่ๆเริ่มเกิด กระแสเงินจะหมุนมาเกื้อหนุนให้ SME เหล่านี้ได้รับประโยชน์ไปด้วย จากคุณ : Special Theory of Relativity เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 54 23:38:53

ความคิดเห็นที่ 9 จขกท มั่ว มากกกกกกก แถบอยุธยา ปทุม นนทบุรี โรงงานส่วนใหญ่ เป็นโรงงานผลิตเพื่อการส่งออก อาจจะมีบ้าง ๆ ส่วนที่ผลิตเพื่อขายในประเทศ ฉะนั้น ผลกระทบ ของโรงงานเหล่านี้ เกิดจาก ต่างประเทศ เป็นหลัก ถ้าต่างประเทศ ไม่มีคำสั่ง ผลิต มายังโรงงานในไทย แล้ว โรงงานในไทย จะผลิต เพือส่งออกไปได้ยังไง   จากย่อหน้าแรก (ผมได้.........  ผลคือแย่กว่าเดิม) คุณเองเป็นเจ้าของ หอ แถวนี้ต้องเข้าใจนะครับว่า แรงงานบ้างส่วน ย้ายไปอยู่ นอก นวนคร กัน เพราะค่าครองชีพ นวนคร ค่อนข้างสูง ยกตัวอย่าง ค่าน้ำประปา ผมเองอาศัยในนวนคร แค่ค่าน้ำประปา ก็ปาเข้าไปเดือน เจ็ดถึงแปดร้อย บาทแล้วไม่ต้องพูดถึง เรื่องหอพักนะครับ เพราะคุณน่าจะเข้าใจ ส่วนเรื่องประเด็นของ มหาเศรษฐีที่คุณรู้จัก การขึ้นค่าแรง ให้กับ ชาวบ้าน ก็เท่ากับเป็นการ รีดเงิน ออกจากกระเป๋าพวกเขา ๆ ย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา ย่อหน้าต่อมา (อย่างอพาร์ตเม้นต์ผมคนลดลง .........  พวกแม่ค้าก็บ่นขายไม่ดี)  ก็อย่างที่บอกนั้นและ หอ ของคุณคนลดลง คุณรุ้รึเปล่าว่า หอ ในนวนคร หลายหอ เริ่มมีการ แข่งด้านราคากันแล้ว เช่นลดค่าเช่า ถ้าคุณไม่แข่งด้านนี้ คนในหอคุณก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ ประกอบกับ พนักงงาน โรงงาน เริ่มมีการ หาที่อยู่ใหม่ที่ไม่ใช้นวนคร เช่น การไปหาที่อยู่อาศัย ใกล้ๆ แหล่งทำงาน นวนคร จึงยิ่งทำให้ การค้าขาย ภายในวนคร ตกลงเรื่อยๆๆ ส่วนพวกแม่ค้า นี่ยิ่งน่าสงสาร ไหนจะเป็นเรื่อง ค่าเช่า ที่ๆ โคตรแพง คุณ รู้หรือไม่ว่า ค่าเช่าที่ขายของแค่ กว้างประมาณ 1.2 เมตร เจ้าของพื้นที่สามารถ เอามาแบ่งเช่าได้ สามช่วง เวลา คือ เช้า เที่ยง เย็น ค่าเช่าแต่ล่ะช่วง ก็แตกต่างกันไป ช่วงเช้ากับเย็น ค่าเช่า ก็อย่างนึง ช่วงเที่ยง ค่าเช่าก็อีกราคานึง พอค่าเช่าแพง แม่ค้า ก็ต้องขายแพง หรือไม่ก็ลดต้นทุนในด้านของ วัตถุดิบ ต่างๆๆ ลง ตอนแรกว่าจะพิมพ์เยอะกว่านี้ แต่ขี้เกียจและ แค่อยากจะบอกว่า จขกท ค่อนข้างมั่วข้อมูล มากๆๆๆ จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 00:31:13

ความคิดเห็นที่ 10 ตกลงสองสูง จริงๆหมายถึง  ความดันโลหิตสูง กับ โคเรสเตอรอลสูงใช่ไหมครับ จากคุณ : ป้อม (Bgate) เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 01:53:06

ความคิดเห็นที่ 11 ผมคิดคล้ายกับ Special Theory of Relativity  น่ะ แต่ผมก็เข้าใจ PTKNC (จขกท) ด้วยซึ่งก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน ผมเข้าใจในมุมรัฐบาล แนวคิดเดิมที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านธุรกิจนักลงทุน บริษัท ไม่มีประสิทธิภาพมากนักจากการแก้ปัญหาในวิกฤติที่ผ่านมา รัฐจึงหันมาขับเคลื่อนเฟืองตัวท้ายแทน เพราะเชื่อในแนวคิดว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้ดีกว่ารวดเร็วกว่า ส่วนตัวผม ผมมองว่าค่อนข้างเสี่ยงหากจะดำเนินตามรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นแบบเพิ่ม 25 % หรือ เพิ่มค่าแรงวันละ300 ถ้าโชคดีรัฐบาลบริหารมีประสิทธิภาพปัญหาตามที่คุณ PTKNC จะเกิดชั่วขณะหนึ่ง (แต่ผมไม่ได้คิดว่าเจ้าสัวจะได้ประโยชน์น่ะ สุดท้ายไม่มีใครได้) และทุกระดับจะปรับขึ้นโดยตั้งฐานสูงขึ้นใหม่ แต่หากไม่เป็นเช่นนี้แล้ววงจรการเติบโตจะย้อนกลับอันนี้แหละมันส์แน่ สุดท้ายไม่ว่าจะแนวคิดไหน ผมว่าสามารถทำได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับฝีมือ ความจริงใจของผู้บริหารประเทศมากกว่า ว่ามากน้อยแค่ไหน ปล.1.หากชอบอภิปรายกันเรื่องเหล่านี้ หากได้พูดคุยกันน่าจะสนุกและได้มุมมองใหม่ๆ เพราะบางทีขี้เกียจพิมพ์ เหอๆ ปล.2. ผมไม่ได้ออกตัวแทน คุณPTKNC น่ะ แต่ผมก็คิดว่าข้อมูลต่างๆไม่ได้มั่วขึ้นมาก เพราะผมก็ได้ยินมาในลักษณะคล้ายๆกัน แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 54 02:33:59 จากคุณ : eni2qy (eni2qy) เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 02:28:30

ความคิดเห็นที่ 12 แรงงานต้องมีทักษะและมีความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อลดต้นทุนของผู้ประกอบการลง ไม่ใช่ลดคุณภาพของสินค้าและบริการ ทฤษฎีนี้ถูกต้องแล้ว ดีกว่าการสร้างมูลค่าเพิ่มเฉพาะกลุ่มนายทุนแบบอดีต ที่ผ่านมา ส่วนเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภคต้องให้มีการแข่งขันกันอย่างสมบูรณ์ และลดต้นทุนโลจิสติกส์ลงจากค่าเฉลี่ย 14.5% ให้เหลือไม่เกิน 10%ของทั้งระบบ จากคุณ : หัวใจจากท้องทะเล เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 08:48:09

ความคิดเห็นที่ 13 ทฤษฏีของจีน  แปลก.....แต่ชาติแข็งแกร่ง ผมเคยนั่งมองประเทศจีนแล้วก็งง  ว่าสินค้าจีนทำไมถูก  ทุกอย่าง 20 เป็นสิ่งที่ยิ่งอยากมองว่าใครผลิต  กี่โรงงาน  ใครคิด  ใครหาต้นทุน  เพราะของบางอย่างมันน่าจะขายได้แพงกว่า 20   ด้วยความที่ประเทศจีนมีทรัพยากรมาก  ทั้งวัตถุดิบ  และแรงงาน  แต่ก่อนคนจีนมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวเดือนละ 4-5 พันบาท  รัฐบาลเพียงแต่ให้การสนับสนุนการจ้างงาน และการส่งออก โดยในเรื่องการส่งออกของจีนนั้นมาแบบกองทัพมด  รัฐบาลดูเรื่องค่าเงินของจีนให้เป็นไปในทางประโยชน์ของประเทศตัวเองสูงสุด  ก่อนหน้านี้จีนเคยดูแลค่าเงินตัวเองไม่ให้แข็งเกินไป  อียูก็ออกมากดดันไม่ให้รัฐบาลแทรกแทรงค่าเงินของตัวเอง   ต่อมาจีนยอมที่จะปล่อยลอยตัวค่าเงินสกุุลหยวน  คนจำนวนไม่น้อยคิดว่าเงินหยวนต้องแข็งค่าแน่ๆ เพราะเรื่องการได้ดุลการค้า  เงินไหลเข้าประเทศเป็นจำนวนมาก  แต่ผลที่ได้หาเป็นเช่นนั้นไม่ รัฐบาลกลับนำเงินที่ได้จากการค้ามาซื้อทองคำเข้าประเทศ  แทนที่ค่าเงินจะแข็ง  กลับอ่อนตัวไปอีก 20 กว่าเปอร์เซนต์  ส่งผลให้สินค้าประเทศจีนมีราคาถูกลงเมื่อส่งออกไปเพื่อนบ้าน  อเมริกาได้แต่มอง  แล้วพยายามอ่อนค่าตามด้วยการเก็บทองด้วยเช่นกัน  แต่ผลที่ได้ไม่เหมือนกัน  เนื่องจากประเทศจีนมีต้นทุนแรงงานต่ำ  วัตถุดิบราคาถูกในประเทศทำให้การส่งออกได้เปรียบกว่ามาก   คนในประเทศมีงานทำกันทั่วหน้า  รัฐบาลไม่เคยยุ่งกับค่าแรงขั้นต่ำ  ยิ่งต่ำยิ่งส่งออกได้มาก  เงินเข้าประเทศมาก  เก็บภาษีได้มาก  เมื่อเงินในคลังมาในรูปแบบสกุลดอลล่าร์ก็เอามาเปลี่ยนเป็นทอง  อเมริกาจึงคล้ายๆ กับอาเสี่ยขายของในห้าง  จ้างลูกน้องแพง  ตีเช็คเกินตัว  จีนกลับใช้นโยบายขายของแบบพ่อค้าสำเพ็ง  จ้างลูกน้องถูกกว่า  ได้เงินจากทุกๆ ด้าน สรุปว่าจีนเค้าไม่ต้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำใดๆ เลย   ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด   ยอมขายกำไรน้อยเพื่อให้เงินเข้าประเทศ  เงินเข้าประเทศก็มีความมั่นคงทางการเงิน  ทั้งภาษี  และตัวเลข GDP ก็จะสูงขึ้นด้วย   แต่ในมุมกลับกัน  การขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำจะทำให้ผู้ประกอบการปรับตัวอย่างมาก  นักลงทุนต่างชาติที่จะมาตั้งโรงงานย่อมมองประเด็นนี้เช่นกัน  ส่งผลให้ประเทศอย่างเวียดนาม และจีนน่าลงทุนกว่า   ถึงจะบอกว่าโรงงานส่วนใหญ่ผลิตให้ต่างประเทศเพื่อการส่งออก  แต่นั่นคือต้นทุนที่ต้องบวกเข้าไปกับสินค้า  ส่งผลต่อออเดอร์แน่ๆ ไม่มากก็น้อย จากคุณ : PTKNC เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 08:54:19

ความคิดเห็นที่ 14 ตอบ #13 นะครับ ไอ้เรื่องการดูแลค่าเงินนั่นก็ส่วนนึงที่ทำให้สินค้าจีนถูกกว่าชาติอื่นโดยเปรียบเทียบ แต่อีกส่วนที่สำคัญเหมือนกัน คือหลายๆโรงงานของจีน กดขี่แรงงานมาก ความเหลื่อมล้ำในจีน อาจยิ่งกว่าในไทยด้วยมั้ง คนที่เป็นชนชั้นแรงงาน ไม่มีสิทธิต่อรองมาก ผมไม่รู้ว่าซัพพลายของแรงงานในจีนเยอะหรือเปล่า แต่เดาเอาเองว่าน่าจะเยอะ น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ค่าแรงเขาถูก ผมว่าเศรษฐกิจจีนต่อไปน่ากลัว รัฐบาลแทรกแซงมากมายเหลือเกิน กลัวจะเกิดเหตุการณ์อะไรซักอย่างที่ทำให้จีนสะดุด ถ้าจีนสะดุดนี่ผมว่า หนักกว่าอเมริกาล้มอีกนะ   ด้วยความที่จีนทุนหนา เลยทำให้คิดว่ามั่นคง ความเป็นไปได้ที่จะล้มน้อยมาก ความคิดแบบนี้แหล่ะ น่ากลัว.... จากคุณ : King Bamboo เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 10:23:20

ความคิดเห็นที่ 15 ความจริงก็ไม่ได้เกลียดรัฐบาลชุดนี้หรอกนะเพราะหลายๆเรื่องเค้าก็พยายามทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่เรื่องของพี่ธนินที่พูดเรื่องสองสูงน่ะมันรับไม่ได้จริงๆ เหมือนสักแต่พูดผมฟังแล้วก็หงุดหงิดเหมือนกัน เพราะทำแบบนั้นสิ่งที่จะได้ก็คือเงินเฟ้อก็เท่านั้น ผมก็ไม่รู้ว่าพี่ธนินไปเอาโมเดลนั้นมาจากไหน สงสัยไปยืมพม่ามาตอนที่เค้าย้ายเมืองหลวงไปเนปิดอร์ ขึ้นเงินเดือนให้ราชการทีสองสามเท่า จากคุณ : ธุลีดาว เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 11:43:29

ความคิดเห็นที่ 16 ตอบ #13 นะครับ ทุกประเทศมีการจัดการค่าเงินและแรงงานทั้งนั้นครับ ประเทศจีนแรงงานถูกจริงครับ เพราะงานดีๆมีน้อย แต่แรงงานมีเยอะ แต่จีนก็มีการปรับค่าแรงอยู่ตลอดเวลานะครับ ตลาดแรงงานจีน มีทั้งแบบแรงงานทักษะต่ำและทักษะสูง การกดขี่แรงงานมักจะมีที่แรงงานทักษะต่ำ เพื่อคงสินค้าในราคาต่ำ เน้นกำไรจากส่วนต่าง ในขณะที่แรงงานทักษะสูง ค่าแรงแพงมากครับ แต่ต่างประเทศที่มาลงทุนก็ยอมจ่าย แถมแรงงานบางอย่างยังส่งออกอีก เช่นแรงงาน IT เป็นต้น ค่าแรงนี่แพงกว่าคนไทยมากนะครับ ไม่ถูก แต่กลุ่มนี้เป็นกลุ่มน้อยเมื่อเทียบตลาดแรงงานทั้งหมดของจีน และที่สำคัญสินค้ากลุ่มนี้ ไม่ถูกนะครับ แพงกว่าของไทยอีก สรุปว่าที่คุณบอก "จีนเค้าไม่ต้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำใดๆ เลย   ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด   ยอมขายกำไรน้อยเพื่อให้เงินเข้าประเทศ  เงินเข้าประเทศก็มีความมั่นคงทางการเงิน  ทั้งภาษี  และตัวเลข GDP ก็จะสูงขึ้นด้วย" เป็นข้อสรุปที่ผิดมากครับ ผมอยากให้มองญึ่ปุ่น เกาหลี ครับ จะเห็นว่าการกดขี่ค่าแรงไม่มีครับ สิ่งที่เห็นคือแรงงานได้รับเงินตามความเหมาะสม มีเงินเพียงพอทั้งประทังชีวิต และสามารถนำไปพัฒนาตนเองได้ เพื่อเป็นแรงงานขั้นสูงได้ และสามารถพัฒนาสินค้าตนเองเป็นสินค้าที่แข็งขันได้ด้วย Innovative หรือสามารถเพิ่มผลผลิตในต้นทุนที่ต่ำลง เพื่อทุนสินค้าต่อหน่วยต่ำลง มากกว่ากินส่วนต่างค่าแรง เลิกคิดแบบทำนาบนหลังคนเถอะ เงินเดือนให้เหมาะกับความเป็นจริงความมีคุณค่าแบบมนุษย์ ให้เขามีกิน มีเก็บ มีพัฒนาได้ แล้วจะมีการพัฒนาทั้งคนและสินค้า จากคุณ : Special Theory of Relativity เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 12:02:12

ความคิดเห็นที่ 17 #16 คือถ้าจะทำแบบญี่ปุ่น เกาหลี ได้ ต้องยกระดับแรงงานมีฝีมือให้สูงขึ้น แต่ที่เห็นๆ กันอยู่ทุกวันนี้ แรงงานที่มีฝืมือจริงๆ ในไทย (อย่างแรงงาน IT) มันลดน้อยลงน่ะสิคะ หมายถึงที่มีฝีมือจริงๆ นะ นอกนั้นคือมีแต่ปริมาณ ไม่มีคุณภาพ แต่จะบังคับให้เพิ่มค่าแรง อีกหน่อยผู้ประกอบการก็คงหันไปจ้างแรงงานต่างชาติกันหมด เพราะมีฝีมือสมกับค่าจ้างมากกว่า สุดท้ายก็ไม่พันกลไกตลาดอยู่ดี จากคุณ : สาวน้อยร้อยแปด เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 12:45:12

ความคิดเห็นที่ 18 มีแต่พวก นักการเมือง และ พวก ทุนนิยม จัดๆๆ เท่านั้นและที่ไม่ชอบ แนวคิดสองสูง แบบนี้ ลองคิดดูว่า ถ้าประเทศไทย กลับหัวให้ ชาวนา ชาวไร่ อยู่บนสุดของ ห่วงโซ่อาหาร อะไรจะเกิดขึ้น นักการเมือง สส ทั้งหลายจะกลับตาลปัตร ลงไปอยู่ล่างสุด ของ ประเทศยังไง จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 14:08:13

ความคิดเห็นที่ 19 อีกอย่างรัฐบาลจีนพยายามควบคุมราคาสินค้าอุปโภคพื้นฐานภายในประเทศ ไม่ให้มีราคาสูงเกินไป เพื่อให้คนที่มีค่าแรงน้อยอยู่ได้โดยไม่ลำบากจนเกินไป (หลายอย่างรัฐบาลผลิตเอง แบบขาดทุนด้วยซ้ำ) อย่างมีร้านข้าวแกงชามละ 20 บาท แต่เติมข้าวไม่อั้น "ถ้าท้องอิ่ม ประชาชนจะไม่กบฎ" จากคุณ : praphrut608 เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 14:32:12

ความคิดเห็นที่ 20 ประเด็นที่ของแพงขึ้นมากกว่ารายได้ที่เพิ่ม ต้องดูในกรอบของ "สาเหตุของเงินเฟ้อ" ครับ ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก Cost push ไม่ใช่ Demand Pull ก็ในเมื่อ มันเกิดจากต้นทุน แต่ไปเพิ่มกำลังทรัพย์หรือ Demand มันก็ยังคงมีปัญหาอยู่ จากคุณ : เพลิงน้ำค้าง (Dianix) เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 15:02:13

ความคิดเห็นที่ 21 แต่ก่อน ผมนับถือเจ้าสัวท่านนี้มาก เพราะท่านเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ น่าเอาเป็นแบบอย่าง แต่เมื่อได้มาฟังทฤษฎีสองสูงแล้ว ความคิดผมเปลี่ยนไปทันที ทฤษฎีนี้ คนที่ได้ประโยชน์ที่สุดคือ ท่านนั้นแหละครับ เพราะท่านคุมหมด ทั้งวัตถุดิบ การผลิต กระบวนการต่างๆ แม้กระทั่งเข้าไปถึง end user และที่สำคัญ ท่านกุม "สื่อ" ไว้ในมืออีกด้วย ที่ผมมองไว้ คนที่จะ "ตาย" จากทฤษฎีสองสูงของท่านก็คือ "พ่อค้าระดับกลาง" ที่วันๆยอดขายตกจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำไม่พอ ยังจะต้องเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ มิหนำซ้ำ ยังต้องจ่ายค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่วนการเพิ่มค่าแรงกี่ % ที่ท่านนายกฯทำนั้น มันก็แค่เป็นการซื้อเสียงโดยถูกกฎหมายเท่านั้น ท่านเจ้าสัวครับ ผมเลิกนับถือท่านไปแล้ว หลังจากที่ท่านแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา จากคุณ : LAPD21 เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 15:35:58

ความคิดเห็นที่ 22 ^ ^ ตามนั้นครับ  เค้าวางแผนแบบนั้น จากคุณ : foduck เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 15:54:31

ความคิดเห็นที่ 23 16 อยากจะบอกว่าความสามารถของแรงงานมันก็ต่างกันอยู่นะ คนรู้จักเคยทำโรงงานเสื่อพลาสติก ไปซื้อเครื่องจักรและโนว์ฮาวจากไต้หวัน แรงงานที่โน่นหนึ่งคนคุมเครื่องจักรได้สามถึงสี่เครื่อง(ไม่มีลูกมือ) แต่พอเอามาทำในไทยให้แรงงานไทยทำ ทั้งๆที่เค้าก็มาสอนแล้วนะ สุดท้ายเครื่องจักรหนึงเครื่องใช้คนงานสองคน ดังนั้นนี่เค้าถึงเรียกว่าแรงงานฝีมือกับแรงงานทั่วไปไงล่ะ จากคุณ : ธุลีดาว เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 16:59:02

ความคิดเห็นที่ 24 เห็นด้วยกับ คห.21 มากที่สุด เรานั่งฟังตอนที่เจ้าสัวธนินทร์ มาบรรยายว่าควรจะเพิ่มค่าแรง ให้กับแรงงาน เพิ่มเงินเดือนให้กับข้าราชการ.. พิธีกรถามว่า ถ้าจะเพิ่มแบบนั้น จะเอาเงินมาจากไหนล่ะครับ ?? เจ้าสัวตอบสั้นๆง่ายๆว่า ..ก็ไปกู้เค้ามาสิ !! เพิ่มเงินเดือนให้ข้าราชการ เค้าจะได้มีเงินมาจับจ่ายใช้สอย ประเทศตายค่ะ  แต่เจ้าสัวรวยอยู่คนเดียว !! ตั้งแต่วันนั้น เราเองก็เลิกฟังแนวคิดคนคนนี้ไปเลย จากคุณ : ทะเลสีฟ้าจัง เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 16:59:52

ความคิดเห็นที่ 25 ตอบ #17 นะครับ ที่บอกว่าแรงงานที่มีฝืมือจริงๆ ในไทย (อย่างแรงงาน IT) มันลดน้อยลง (หมายถึงที่มีฝีมือจริงๆ) นอกนั้นคือมีแต่ปริมาณ ไม่มีคุณภาพ จริงบางส่วน และไม่จริงบางส่วน ผมทำงานด้าน IT เห็นแรงงานต่างชาติ ทั้งจีน ฝรั่ง อินเดีย การทำงาน แนวคิด วิธีการ ไม่ต่างกันเลย คนไทย ออกแนวพลิกแพลงได้ดีกว่าด้วยซ้ำ สิ่งที่ต่างกันคือ ภาษา และความรู้ลึกในส่วนเทคโนโลยีบางส่วนที่คนไทยไม่เคยได้รับการเทรน จีน ฝรั่ง อินเดีย บางทีทำไม่ได้ แต่อ่าน help อ่านคู่มือที่เป็นภาษา เลยทำได้เร็วกว่า อีกอย่างคนไทยด้วยกันเอง เวลาส่งงาน เกรงใจ จีน ฝรั่ง อินเดีย เขาส่งงานมาก็รับได้ แต่งานคนไทยด้วยกันเอง ไม่เกรงใจ ติ โวยวาย ขอเพิ่ม ไม่จบสิ้น ตัวอย่างง่ายๆที่ผมเจอ ทีมงานจีน ฝรั่ง อินเดีย มาติดตั้งงาน ไม่สามารถแก้ปัญหาการ Configuration Network ได้ตามเนื้องาน งมกันอยู่เป็นอาทิตย์ นัดประชุมแล้วประชุมอีก บอกแบบนี้ทำไม่ได้ ลูกค้าต้องแก้ฝั่ง Network ของเขา ลูกค้าก็เหมือนจะยอมให้หาทางแก้แบบชั่วคราว สุดท้ายส่ง network engineer คนไทยไปคุยกับลูกค้าหาทางแก้แบบชั่วคราว เชื่อหรือไม่ คุยกันไม่เกินสามชั่วโมง สามารถแก้ปัญหาได้ตรงตามที่ลูกค้าต้องการ โดยการใช้ Feature ของอุปกรณ์นั้น ผสมอุปกรณ์นี้ setup configuration นั่นนิดนี่หน่อยก็จบโดยสมบูรณ์ พอลูกค้ารู้ว่าทำได้ คราวนี้ก็ขอเพิ่มขึ้นมาก็ติดต่อน้อง network engineer คนไทย ขู่แกมบังคับว่าต้องทำให้ได้ ไม่ได้ไม่ยอม หรืออีกเรื่องทำ Software Customization ทีมงานจีน ฝรั่ง อินเดีย ทำ software module มาผิดพลาดบางส่วน แต่ไม่อยากแก้ เพราะคิดว่ารื้อใหญ่ ผลกระทบเยอะ มาแนวเดิม พยายามบังคับให้ลูกค้าปรับวิธีการดำเนินการบางอย่างเพื่อจะได้ไม่ต้องแก้ โวยวายจะเป็นจะตาย สุดท้ายให้น้อง programmer ไปดู source code กับแนวคิด back-end calculate engine สรุป เขียนสคริปเพิ่มนิดหน่อย แก้ code นิดเดียว จบ จากประสบการณ์ผม สรุปได้บางส่วนว่า แรงงานคนไทยมีคุณภาพพร้อมก้าวเป็นแรงงานทักษะสูง แต่คุณๆนายจ้าง ก็ต้องพร้อมสนับสนุนเขา เทรนเขา จูงใจเขา ไม่ใช่เอาเปรียบเขา เงินก็จ่ายน้อย เทรนนิ่งก็ไม่มี หวังว่าจ่ายเงินเดือนแล้วต้องไปหาความรู้เพิ่มเองมาทำงานให้บริษัท ทำงานเก่ง ภาษาไม่ดี ก็ไม่สนับสนุนส่งเสริมปรับปรุงแรงงานให้เก่งภาษา เงินเดือนที่จ่ายมันบวกค่าเทรนนิ่งไปในตัว บวกค่าเรียนภาษาไปในตัว อย่างนี้ก็อย่าบอกเลยว่าแรงงานไม่มีคุณภาพ ผมว่าเจ้าของกิจการหรือบริษัทไม่มีคุณภาพมากกว่า ชอบทำนาบนหลังคน จากคุณ : Special Theory of Relativity เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 17:36:25

ความคิดเห็นที่ 26 ตอบ #23 นะครับ ดังนั้นบริษัทก็ต้องหาแรงงานที่หนึ่งคนคุมเครื่องจักรได้สามถึงสี่เครื่อง(ไม่มีลูกมือ) และคุณก็ต้องพร้อมจ่ายครับ ของดี ถูก ไม่มีครับ อยากได้ต้องจ่าย ไม่ใช่เอาใครที่ไหนไม่รู้ มีฝีมือหรือไม่ ไม่รู้ แต่ฉันจะจ่ายเท่านี้ และคาดว่าเขาทำได้ โดยหวังแค่สอนแล้วจะได้เหมือนกัน เพราะมีคนทำได้ อย่างนี้ไม่แฟร์ครับ เพราะแรงงาน มีทั้งแบบมีฝีมือกับแรงงานทั่วไปไงล่ะ ถ้าคุณสัมภาษณ์เขาแล้ว บอกงานเขาแล้ว ทำไม่ได้ ก็ให้ออก ไม่ผ่านโปร ผมว่าแฟร์ครับ จากคุณ : Special Theory of Relativity เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 17:44:18

ความคิดเห็นที่ 27 ตามเศรษฐกิจของพ่อค้าชนชั้นกลาง  ช่วงนี้แรงงานหายากมากคับ ขึ้นค่าแรงเพื่อให้กลุ่มพวกนี้ไปหาวิธีเพิ่มรายได้จากทุกทาง ถ้าหัวคิดไม่ก้าวหน้า พลิกแพลงไม่ได้ ก็ได้กำไรเล็กน้อยจากค้าขาย ความกดดันของเจ้าสัว ต้องการให้พ่อค้าชั้นกลาง ปรับเปลี่ยนวิธี โดยที่กลุ่มทุนใหญ่ๆหันมากินตลาดล่างซะเอง บีบให้พ่อค้าชั้นกลางค่อยๆตายไปทีละน้อย คุณบีบชนชั้นล่างไม่ได้ เพราะจะดูเหมือนจะทำลายภาพพจน์ บีบทุนมากก็จะทำลายพวกพ้อง ระวังนะครับ ว่าการบีบของกลุ่มทุนใหญ่จะเป็นการทำลาย หม้อข้าวหม้อแกงของคุณสักวัน   แต่ขอบคุณนะที่บีบ ทำให้พ่อค้าชนชั้นกลางได้พิสูจน์ตัวเองเรื่อยๆ จากคุณ : kamenriderkiva เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 19:13:06

ความคิดเห็นที่ 28 #25 คุณคงไม่เคยเจอจริงๆ ถึงได้พูดอย่างนั้น ที่จริงไม่ได้อยากมาเถียงด้วยนะ อยากมาแชร์ แต่คุณแชร์กลับมาแบบรุนแรงจัง แรงงานมีฝีมือที่มีฝีมือจริงๆ น่ะมี แต่มันน้อยไง พวกที่สามารถเรียนรู้ได้เพราะ "มีพื้นฐานมากพอที่จะเรียนรู้ต่อได้" เราไม่ได้เป็นห่วงคนกลุ่มนี้หรอก คนกลุ่มนี้เขามีทางไป ยังไงเขาก็เอาตัวรอดได้ เอาตัวรอดแบบที่ไม่ต้องพี่งพากฎเกณฑ์อะไรเกี่ยวกับค่าแรงขั้นต่ำเลยด้วยซ้ำ คนอีกกลุ่มต่างหากที่จะไม่รอด ฝากอ่านที่นี่ด้วย http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10401230/K10401230.html แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 54 20:03:13 จากคุณ : สาวน้อยร้อยแปด เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 20:00:33

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องทฤษฎีนี้ดีนัก  แต่ก็คิดว่าวิธีการกดค่าแรง คนทำงานไม่น่าจะเป็นวิธีที่จะสร้างแรงจูงใจในการทำงานได้  ผมว่าถ้าท้องอิ่ม ก็จะมีความใส่ใจการพัฒนาด้านอื่นได้ แล้วกดค่าแรงกันไปเรื่อยๆ ดีกับใครล่ะครับ จากคุณ : Ter @ AFC เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 20:57:47

ความคิดเห็นที่ 30 ตอบ #25 นะครับ ที่จริงผมก็ไม่ได้มาเถียง แต่มาแชร์จากความรู้และประสบการณ์ที่มี ส่วนที่คุณมองว่าผมแชร์กลับมาแบบรุนแรง คงไม่ใช่ เพราะข้อเขียนผมออกแนวตรงไปตรงมา ตรงประเด็นเข้าประเด็นมากกว่า อาจจะเป็นเพราะผมทำงานในองค์กรที่ต้องตอบทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา เอาเหตุผลมางัดกัน เอาข้อมูลมาแชร์กัน เพื่อนำไปสู่ทางที่แก้ปัญหา มากกว่าแชร์ข้อมูลที่บิดเบือน เล่นการเมือง พรีเซนต์งานแบบขนติดปาก ส่วนที่คุณบอกว่าคงไม่เคยเจอจริงๆ ถึงได้แสดงความเห็นอย่างนี้ ผมว่าคุณอย่าประเมิณจากความรู้สึก ผมประสบการณ์ทำงานมากว่า 18 ปี เติบโตจากชนชั้นรากหญ้า พ่อเป็นกรรมกร แม่เป็นแม่บ้าน ทั้งคู่มีความรู้ไม่สูง ทำงานพิเศษตั้งแต่เด็ก แต่พ่อและแม่ผมรู้ว่าความรู้นี่แหละจะสร้างตัวเองได้ ผมจึงโชคดีที่ได้รับ "โอกาส" และถูกปลูกฝัง "ทัศนคติ" ที่ทำให้ผมมีวันนี้ คลุกคลีตั้งแต่กุลีแบกข้าว สาวโรงงาน ยันผู้บริหารระดับสูงสุด ผมจึงกล้านำเสนอแนวคิดจากประสบการณ์ เพราะอยากจะแชร์ประสบการณ์ อยากจะให้คนที่มีโอกาสอ่านรู้ว่า มันมีทาง มีวิธี มีจริง แต่คุณต้องทำ ต้องสร้างเอง ตัวอย่างที่ผมเสนอก็จากประสบการณ์จริง ในวงการ IT ส่วนวงการอื่นผมไม่ได้เสนอ ทั้งที่เห็นอยู่ทุกวัน ข้างบ้านบ้าง ลูกค้าบ้าง ผมบอกเลยว่าทุกวงการเหมือนกันแหละ เพราะทุกวงการถูกขับดันด้วย "มนุษย์" ผมว่าเราอย่าตีค่าความเป็นมนุษย์ต่ำไป เพราะมนุษย์แทบทุกคนมักจะเรียนรู้เพื่อเอาตัวรอดเสมอ การเอาตัวรอดอาจหมายรวมไปถึงการถีบตัวเองเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พวกที่สามารถเรียนรู้ได้เพราะ "มีพื้นฐานมากพอที่จะเรียนรู้ต่อได้" คำถามคือ อะไรคือพื้นฐานที่คุณเอามาวัด ทุกคนไม่เหมือนกันครับ คุณจะเอาคนจบ ป.4 มาเขียนโปรแกรมสร้าง Web คงไม่ได้แน่ๆ แต่ถ้าคนจบ ป.4 รักการเขียนเวป และได้เรียนรู้วิธีการ ใส่ใจ เอาใจใส่ เขาก็ทำได้ ไม่ต้องจบมหาลัยหรอก เพราะฉนั้น ถ้าเขาไม่ได้มีปัญหาทางสมอง ครบ 32 ประการ ผมว่าจะสร้างพื้นฐานให้เท่ากัน มันไม่ยากหรอก สิ่งที่ยากคือ "ทรรศนะคติ" ของคนๆนั้น และ "โอกาส" ที่เราจะให้เขามากกว่า บางคนมารู้ตัวเองเมื่อสายเกินไป ทั้งๆที่มีโอกาสได้เรียนรู้ อาจจะถึงระดับมหาลัย แต่เลือกผิด ติดผิด ต้องทนอยู่ไปวันๆเหรอ บางคนมีโอกาส หัวดี แต่ "ทรรศนะคติ" ไม่ได้ ก็ไปถึงจุดสูงสุดไม่ได้ จึงไม่แปลกใจที่คนไทยอ่านหนังสือน้อยแค่สามบรรทัด วิเคราะห์กันน้อย และมักเลือกเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากฟัง และบางคนก็ไม่มีโอกาส แต่ต้องสร้างเอาเอง อย่างที่บอกกระทู้นี้ ประเด็นผมคือเรื่องการปรับค่าจ้างแรงงาน แรงงานคนไทยมีคุณภาพพร้อมก้าวเป็นแรงงานทักษะสูง แต่คุณๆนายจ้าง ก็ต้องพร้อมสนับสนุนเขา จ่ายเงินเดือนต้องเหมาะสม พอใช้ เหลือเก็บ และพอที่จะใช้หาความรู้บ้าง คือประเด็นที่ผมอยากให้ทุกคนได้มีโอกาสบ้าง โอกาสที่จะมีเงินเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี โอกาสที่จะมีเงินเพื่อพัฒนาตนไปในทางที่ตนเองชอบ สามารถก้าวหน้าได้ ขอละเรื่องทัศนะคติไว้ไม่กล่าวถึง จากคุณ : Special Theory of Relativity เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 22:30:35

ความคิดเห็นที่ 31 คือ เพิ่มค่าแรงงานหรือเงินเดือน มันก็ดี แต่ควรจะไปแก้ที่ปลายเหตุด้วย คือต้นทุนของสินค้า ควรจะวางแผนและพยากรณ์ไว้ก่อนแล้วไม่ให้ สินค้าต่างๆตลอดวัตถุดิบขาดตลาดครับ ไม่ใช่พอของราคาขึ้นก็บอกว่า เกิดจากฤดูกาล เกิดจากภัยธรรมชาติ แล้วแบบนั้นเราจะมีนักวิเคราะห์โครง การไว้ทำอะไร อย่างน้อยต้องคำนวณล่วงหน้าซัก20-50% ครับ จากคุณ : kmitl_Pu เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 22:41:16

ความคิดเห็นที่ 32 เอามาฝากเพิ่ม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ แจง ดัชนีหมวดอาหาร-เครื่องดื่ม ดันเงินเฟ้อพุ่ง 3.14 % นายยรรยง พวงราช   ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) เดือนมี.ค. 54 เท่ากับ  110.49  เพิ่มขึ้น 3.14  % เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่หากเทียบกับเดือนก.พ.ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 0.49 %และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค.)เพิ่มขึ้น 3.01 %เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ ไม่รวมหมวดอาหารและพลังงานเดือนมี.ค.54 อยู่ที่ 104.83 เพิ่มขึ้น 1.62% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่หากเทียบกับเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 0.28% ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานไตรมาสแรกม.ค.-มี.ค.เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนเพิ่มขึ้น1.46% ทั้งนี้ปัจจัยที่ผลักดันให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นมาจาก ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ในเดือน มี.ค. เทียบกับเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 0.76% โดยสินค้าที่มีราคาสูงขึ้นได้แก่ ผักสด สูงขึ้น 8.46% ไข่และผลิตภัณฑ์นม สูงขึ้น 1.64% เพราะมีโรคระบาด เนื้อสุกรสูงขึ้น 2.44% เครื่องประกอบอาหาร 1.64% ขณะที่ดัชนีหมวดอื่นๆ ที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่ม  เทียบกับเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 0.33%  จากราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น 2.69% วัสดุก่อสร้าง 0.23% ของใช้ส่วนบุคคลและสิ่งที่เกี่ยวกับเครื่องทำความสะอาด เช่น สบู่ แปรงสีฟัน ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว กระดาษชำระ น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาล้างจานและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น เป็นต้น ส่วนสาเหตุที่ทำให้ดัชนีไตรมาส 1/54 เพิ่มขึ้น 3.01% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากดัชนีหมวดอาหาร และเครื่องดื่มสูงขึ้น 5.65% ดัชนีหมวดอื่นๆที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 1.47% เช่น หมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง 5.27% เนื้อสัตว์เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ 4.15% ไข่และผลิตภัณฑ์นม 3.30% ผักและผลไม้ 18.52% เครื่องประกอบอาหาร 8.77% เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ 0.91% อาหารสำเร็จรูป 2.85% ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 8.08% ค่าน้ำปะปา 17.93% และค่าเช่าบ้าน 0.58% นายยรรยง กล่าวว่า แนวโน้มเงินเฟ้อในไตรมาส 2/54 จะอยู่ที่ระดับ 3.45% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2554 ที่ขยายตัว 3.01% โดยมีปัจจัยที่มีผลต่อเงินเฟ้อ 4 ปัจจัย อาทิ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในลิเบีย และประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งจะมีผลต่อค่าขนส่ง และราคาสินค้ากลุ่มปุ๋ย  ปัจจัยเสี่ยงจากภัยธรรมชาติซึ่งอาจจะทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตร และราคาสินค้าหมวดวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น ปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบในตลาดโลก อาทิ ถั่วเหลือง เหล็ก นม ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น และปัจจัยจากการปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการ 5% ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อราว 0.06% ส่วนการปรับขึ้นเงินเดือนพนักงานรัฐวิสาหกิจ น่าจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อในอัตราส่วนที่น้อยกว่าเพียง 0.003% เพราะเป็นการปรับขึ้นเงินเดือนของพนักงานกลุ่มที่มีอัตราเงินเดือนไม่เกิน 50,000 บาทเท่านั้น ข่าวจากมติชน จากคุณ : Special Theory of Relativity เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 22:49:39

ความคิดเห็นที่ 33 สิ่งหนึ่งที่เราสงสัยมานานแล้วนะว่า ทำไมราคาของสำเร็จรูปมันถึงเท่ากันทั่วประเทศ ตั้งแต่ในเมืองยันพื้นที่ไกลปืนเที่ยง... ขณะที่สินค้าการเกษตรก็ปรับเปลี่ยนไปตามพื้นที่ นี่ก็เป็นอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ยังไงนายทุนก็กินเต็มอยู่วันยังค่ำ แต่ก็อย่างว่าหล่ะนะ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ต่อให้ตื่นขึ้นมากินทองคำบริสุทธิ์ 99.99% ทุกวัน เวลาบนโลกนี้ของคนแต่ละคนก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ ... ต่อให้อยู่ค้ำฟ้านานกว่าคนอื่นหน่อย สภาพสังขารก็งกๆเงิ่นๆ จะมาวี๊ดว๊ายแรงเยอะเหมือนแรกรุ่นก็ไม่ใช่... จากคุณ : แฮม (noopin) เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 54 23:51:47

ความคิดเห็นที่ 34 เห็นด้วยกับ จขกท. ครับ จากคุณ : purekung99 เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 00:05:31

ความคิดเห็นที่ 35 แหมคุณ Special Theory of Relativity  ก็พูดเกินไป ใครจะไปเอาคนจบป.4 มาเขียนโปรแกรมทำเว็บล่ะ ก็เด็กจบ ป.ตรี วิทย์คอม หรือคอมธุรกิจนี่แหละ พวกที่จบมาแบบ copy & paste หรือจ้างทำโปรเจ็กต์นะ กลาดเกลื่อน พูดไปเหมือนนินทาเด็ก แต่คุณคงไม่เคยเจอจริงๆ แบบที่ว่าเราสอนไปแล้ว น้องนั่งเคาะๆ โปรแกรม เคาะเว้นบรรทัด เลื่อนเมาส์ขึ้นๆ ลงๆ แล้วลบบรรทัดที่เคาะกลับไปที่เดิม แล้วรีเฟรชเรียกดูผลการแก้ไข มันจะไปมีอะไรแก้ล่ะ -_-" เปลี่ยนคนสอนไปหลายคน ทุกคนส่ายหัวว่าเด็กมันเข็นไม่ขึ้นจริงๆ ไม่รู้มหาวิทยาลัยปล่อยจบมาได้ยังไง ออกนอกเรื่องป่าวเนี่ย ... แต่พวกที่เก่งจริงก็มีนะ มีคนนึงจบ รม.บพิตรภิมุข พอดีเค้าเก่งจริงขอชมมหาวิทยาลัยหน่อย (แต่อาจจะเก่งเอง มหา'ลัยไม่เกี่ยว หรือเปล่า -_-") พูดกันไม่กี่คำเค้าเข้าใจ ไปเร็วปรู๊ดปร๊าด คนแบบนี้องค์กรไหนมั่งไม่อยากได้ มีแต่จะทุ่มเงินเดือนสวัสดิการเพื่อดึงเอาไว้ เราไม่ได้ประเมินจากความรู้สึก ก็ทำงานมา 18 ปีเหมือนกัน คุมงานก่อสร้างมาก็เยอะ เจอมาเยอะแยะ จบ ปวส. หรือ ป.ตรีสายต่อเนื่อง คิดเลขบวกลบคูณหารที่เกินกว่าการทอนตังค์ไม่ได้ (ไม่รู้ว่า ลบคูณลบ จะทำยังไง) คำนวณพื้นที่โดยใช้หลักเรขาคณิต ม.ต้น ไม่เป็น เจอสี่เหลี่ยมคางหมูหน่อยไปไม่เป็นเลย แบบนี้ไม่เรียกพื้นฐานแล้วจะเรียกอะไร แล้วต้องสอนมั้ย ก็ต้องสอน บุพเพนำพามาเป็นพี่เป็นน้องกัน ก็สอนกันไป แต่สอนกันบ่อยๆ มันเหนื่อยนะ โรงเรียนกับวิทยาลัยน่ะทำอะไรกันมั่ง กลุ่มนี้อ่ะเราไม่เรียกว่า "แรงงานคนไทยมีคุณภาพพร้อมก้าวเป็นแรงงานทักษะสูง" นะ เราว่าเค้าไม่พร้อมเลย ไม่พร้อมเลย แล้วยิ่งมาเจอนโยบายแจกเงินแจกทอง ประกันนู่นประกันนี่ ไม่ยอมให้กลไกตลาดทำงาน การพัฒนาจะเกิดได้ยังไง ก็เอาแต่รออย่างเดียว รัฐบาลต้องไม่ทิ้งชั้น รัฐบาลต้องจัดการให้ชั้น ฯลฯ เราถึงบอกว่าคนเก่งจริงอ่ะ เค้าไม่ต้องแคร์อะไรกับค่าแรงขั้นต่ำเลย ค่าแรงขั้นต่ำมีเพื่อประกันความอยู่รอดของแรงงาน "ไร้ฝีมือ" ซึ่งรัฐบาลจู่ๆ จะทำอะไรเนี่ย นึกถึงความสามารถในการแข่งขันของทั้งองค์กรและตัวแรงงานเองด้วย แรงงานต่างชาติอ่ะ มาแน่ๆ นะ เดี๋ยวไม่กี่ปีก็เปิดเสรีแล้ว ไม่ต้องอื่นไกล ทุกวันนี้แม่บ้านเรายังจ้างแรงงานพม่าเลย ถูกกฎหมายนะ แพงด้วย ไม่ใช่ถูกนะเดือนละเป็นหมื่น แต่เค้าทำงานดี เนี้ยบ ไม่งอแง ไม่งี่เง่า แรงงานไทยที่ทำงานดีๆ เหมือนเค้ามีมั้ย มี แต่มันหายาก เหมือนโปรแกรมเมอร์นั่นแหละ ดีๆ มีมั้ย มี แต่มันหายาก และพวกที่มีน่ะ ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าตอบแทนเลย ทำดีซะอย่างใครก็จ้าง สุดท้ายก็ไปจบที่กลไกตลาดอยู่ดี ถ้าแรงงานไทย (ที่ไร้ฝีมือ) มัวแต่รอค่าแรงขั้นต่ำ บริษัทต้องจ่ายชั้นเท่านั้นเท่านี้ ประเดี๋ยวก็เสร็จแรงงานต่างชาติหมด จากคุณ : สาวน้อยร้อยแปด เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 01:50:28

ความคิดเห็นที่ 36 #29 แต่ก็คิดว่าวิธีการกดค่าแรง คนทำงานไม่น่าจะเป็นวิธีที่จะสร้างแรงจูงใจในการทำงานได้  ผมว่าถ้าท้องอิ่ม ก็จะมีความใส่ใจการพัฒนาด้านอื่นได้ จริงค่ะ แต่การสร้างแรงจูงใจและการพัฒนานั้นใช้กับแรงงานมีฝีมือ ไม่ใช่แรงงานไร้ฝีมือ แยกกันตรงนี้ก่อน สำหรับแรงงานไร้ฝีมือ ถึงให้เงินเดือนมาก สวัสดิการดี ก็ใช่ว่าจะทำกันนะ โรงงานทั้งของที่บ้านและของเพื่อนๆ คนงานขาดตลอดทั้งปี บริษัทเพื่อน-คนรู้จัก ทำพวกงานช่าง แม่บ้าน รปภ. คนขาดตลอดทั้งปีเหมือนกัน ไม่มีคนทำงานค่ะ! แทบจะต้องขอร้องให้มาทำงานกันเลยทีเดียว ค่าแรงคนกลุ่มนี้สูงขึ้นโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องรอค่าแรงขั้นต่ำ เพราะแย่งคนกัน เข้าบริษัทนั้นออกบริษัทนี้ เงินสะพัดมาก เพราะคนมีน้อยกว่างาน นี่คือกลไกตลาดใช่หรือเปล่า ทุกวันนี้ค่าจ้างในสาขาที่ขาดแคลน มันวิ่งขึ้นไปของมันเองอยู่แล้ว การประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล จึงไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย นอกจากของจะแพงขึ้น แล้วปัญหาอื่นๆ ก็จะตามมาอีก จากคุณ : สาวน้อยร้อยแปด เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 02:07:40

ความคิดเห็นที่ 37 ผมเห็นค่อนข้างเห็นด้วยกับ คห 21 เรื่องทฤษฎีสองสูงของเจ้าสัวที่ให้ขึ้นค่าแรง เงินเดือน เพื่อที่คนจะได้มีกำลังซื้อนั้น คนที่ได้ประโยชน์จริง คือ เจ้าสัว ที่อ้างว่า ขึ้นค่าแรง เงินเดือน เพื่อที่คนจะได้มีกำลังซื้อนั้น ถูกต้อง และสิ่งที่ต้องซื้อของคน คือ อาหาร ของกิน สังเกตไม๊ว่าเดือนๆ หนึ่งเราหมดไปกับอาหารการกินไปเท่าไหร่ในเดือนๆ นึง มากกว่าทุกอย่างและเป็นทุกระดับ ทุกกลุ่มในสังคมด้วย เจ้าสัวเห็นแก่ตัว เพราะรายได้หลักของเจ้าสัวมาจากธุรกิจอาหาร แต่ที่ตาย คือพวกอุตสาหกรรมอื่นๆ และพวกรายย่อยอื่นๆ อาหารคุณต้องกินทุกวัน แต่เครื่องใช้คุณไม่ต้องซื้อทุกวันและเลือกที่จะประหยัดได้ พวกอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น สิ่งทอ พลาสติก การแปรรูป ไม้ โลหะ เครื่องใช้ ของอุปโภค และพวกรายย่อยอื่นๆ พอค่าแรง เงินเดือนพนักงานขึ้น ต้นทุนก็ขึ้น ไม่สามารถขายได้ในราคาเดิม ต้องขายในราคาที่สูงขึ้น ประจวบเหมาะกับสินค้าจีนที่กำลังตีตลาดโลก คุณภาพเท่ากันแต่ราคาถูกกว่า เข้ามาตี พวกธุรกิจที่ไม่ใช้อาหารตายเรียบ อุตสาหกรรมอื่นๆ กับพวกรายย่อย ตายเรียบ คนตกงาน อัตราการว่างงานสูง แล้วอย่ามองว่าธุรกิจอาหารรอด อุตสหากรรมการเกษตรรอด เมืองไทยจะรอดเพราะเมืองไทยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ปรากฎว่าเครื่องเจ้าสัว CP รอดอย่างเดียว เกษตรกรเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ก็ตาย ได้แค่เป็นแค่ลูกจ้างปลูกผักเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ให้ CP เท่านั้นแหละ ลองถามคนที่ทำโครงการจ้างเลี้ยง โครงการประกันราคากับ CP สิ หมดตัว ฆ่าตัวตายไปกี่คนแล้ว จากคุณ : รังสิตแมน (รังสิตแมน) เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 02:11:50

ความคิดเห็นที่ 38 อยากให้ไปดูสหภาพการรถไฟ  จะรู้เลยว่าแรงงานไม่มีประสิทธิภาพแต่ต้องการทำงานสบายเป็นยังไง มองมุมผู้ประกอบการอีกมุมนะครับ จากคุณ : หนุ่มน้อย ณ บาบิโลน เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 07:01:24

ความคิดเห็นที่ 39 คุณสาวน้อยร้อยแปด ปัญหาเรื่องขาดแคลน คนทำงานใช้แรงงาน  แม่บ้าน  คนงานเรือประมง    คนงานในไร่อ้อย  มันเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างนี่ครับ  ทั้งค่าแรงที่ต่ำ และคนไทยเลือกงานมากขึ้น  เลยทำให้ต้องใช้แรงงานจากพม่าทั้งที่ประเทศไทยยังไม่ใช่ประเทศทีพัฒนาแล้ว ฟังจากเสียงคนงาน  ค่าแรงขั้นต่ำสำหรับครอบครัวพ่อ แม่หนึ่ง ลูกสอง มันแทบไม่พอใช้ คุณกำลังจะบอกว่า กดค่าขั้นต่ำให้ถูกๆไว้ ดีกว่า อย่างนั้นหรือครับ   ผมว่าคนที่ได้ประโยชน์จากค่าแรงถูกๆ ก็คนไทยที่เป็นผู้ประกอบการ SME นี่ล่ะ  ซึ่งหลายๆเจ้าทุกวันนี้ก็มีพฤติกรรมเอาเปรียบลูกจ้างกันอยู่แล้ว ค่าแรงขั้นต่ำนั้นถูกกำหนดขึ้นเพื่อเป็นหลักประกัน  ไม่ให้เกิดการเอาเปรียบด้วยกลไกการตลาด   เพราะไม่มีนายจ้างที่อยากจ่ายแพงๆ  มันมีนัยด้านมุษยธรรมด้วยนะครับ แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 54 09:00:50 จากคุณ : Ter @ AFC เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 08:57:58

ความคิดเห็นที่ 40 ผมสงสัยมานานแล้ว ค่าแรงขั้นต่ำนี่เค้ากำหนดกันทำไมเหรอครับ? กลไกตลาดก็มีกันอยู่แล้ว ปล่อยให้มันทำงานดีไม๊ พอกำหนดค่าแรงขั้นต่ำให้แรงงานที่ไม่มีฝีมือเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้แล้วไงครับ? ท้องอิ่ม งานสบาย ทำไปวันๆได้ ก็ไม่ยอมพัฒนาฝีมือ คิดแต่ว่าวันนี้มีกินพอกิน ถ้าออกจากที่นี่ก็มีที่อื่นที่ให้เงินเท่านี้อยู่ จะกลัวทำไม ความคิดแบบนี้สิครับที่น่ากลัว คิดแบบนี้กันเยอะด้วยนะครับ ทำเป็นเล่นไป การที่ท้องหิว ทำให้คนเราพัฒนาไปครับ คนเรา ถ้าเลือกได้ ก็ไม่มีใครอยากลำบากหรอก นอนสบายๆ ทำงานไปวันๆ มีกินมีใช้ พอใจแล้ว จากคุณ : basicball เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 10:05:22

ความคิดเห็นที่ 41 เน้น ย้ำอีกครั้งนะครับว่า ช่วยๆๆ กันกด VOTE ก็ดีนะครับ เพี่อที่ กระทู้จะได้อยู่ได้นานๆ นะครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 10:33:44

ความคิดเห็นที่ 42 คุณ : basicball การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นการป้องกันนายจ้างเอาเปรียบ ครับ การที่แรงงานจะพัฒนาฝืมือ หรือไม่ เป็นเรื่องของตัวเขาเองครับ ถ้าเขาทำงานแล้วทำไปวันๆๆ อย่างแรกที่เขาจะโดน คือ การไม่ได้เลื่อน ขั้น ต่อมาคือเรื่องของเงินเดือน การโดนดูถูกจากเพื่อน ร่วมงาน แค่นี้ ก็ทำให้เขาต้องดิ้นรน ตัวเองแล้วครับ จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 11:56:40

ความคิดเห็นที่ 43 กดเงินเฟ้อ ทำยาก แต่ก็ต้องทำให้ได้ จากคุณ : เจ้าชายไม่วิเศษ เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 12:07:18

ความคิดเห็นที่ 44 ถึงไม่มีการปรับค่าแรง เงินก็เฟ้ออยู่ดี เพราะภาวะเงินเฟื้อในเวลานี้เป็นกันทั่วโลก จากภาวะสงคราม และภัยพิบัติธรรมชาติ น้ำมันแพงสินค้าต่างๆ ก็แพงขึ้น และ วัตถุดิบที่นำเข้าแพงขึ้น เหล่า่นี้ เป็นเรื่องนอกเหนือการควบคุมของรัฐ และประเทศไทยไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโลก จากคุณ : ... (ToBeNumberOne) เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 14:22:57

ความคิดเห็นที่ 45 คิดเหมือนหลายคนในทู้นี้เกี่ยวกับเจ้าสัว จากคุณ : V_Accy เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 14:42:18

ความคิดเห็นที่ 46 คือไม่รู้นะ แต่ถ้าไม่เพิ่มค่าแรง นอกจาก คนจะยิ่งจนแล้ว ยังไม่มีกำลังใจจะทำงานด้วยซ้ำ คนทำงานรายวัน บางงาน ผมว่า งานมันโคตรหนักเลยนะ   ถึงตอนนี้ ค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มขึ้น แรงงานก็ยังขาดอยู่ดี แต่เห็นด้วย กับการ เพิ่ม skill ของตัวพนักงาน อันนี้ น่าจะเป็นนโยบายตั้งแต่ ทักษิณ แล้วแหล่ะ คือ งานใช้แรงงานจริงๆ ก็ต่างชาติ หรือคนไทยที่เรียนน้อย หรือไม่คิดจะพัฒนาตัวเอง บางคนน่าสงสารหน่อยก็ ไม่มีโอกาส ส่วนงานใช้ skill ก็คนไทย ที่หัวก้าวหน้า หรือ มีโอกาส Life is unfair, never was, never will be krub จากคุณ : NO one see ME เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 15:06:54

ความคิดเห็นที่ 47 คนไทยด้วยกัน อย่าทำนาบนหลังคนเลย แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 54 17:17:11 จากคุณ : ลิงคุง (ลิงคุง) เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 16:51:07

ความคิดเห็นที่ 48 ทุกวันนี้นายทุนก็รวยสบายอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นรถป้ายแดงคงไม่เกลื่อนท้องถนน บ้านพวกลัดดาวัลคงขายไม่ได้ คงไม่เพิ่มโครงการ บ้าน granada ราคาเริ่มต้น 55-120 ล้านก็ยังขายได้นี่ ธุรกิจอสัมหาริมทรัพย์กำลังเติบโต แต่ถ้าทำพวกห้องเช่าแรงงานต้องทำใจ คู่แข่งเยอะ มองไปทางไหนมีแต่ห้องเช่า จากคุณ : ลิงคุง (ลิงคุง) เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 17:05:48

ความคิดเห็นที่ 49 คุณ Ter ขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะถ้าเขียนไปแล้วทำให้เข้าใจผิด เราไม่ได้เห็นว่าควรกดค่าแรงต่ำๆ หรอกค่ะ เพียงแต่เห็นว่า การตั้งค่าแรงขั้นต่ำให้มันสูงๆ เข้าไว้ ไม่ใช่การแก้ปัญหาค่ะ มันเป็นแค่ลมปากหาเสียง สร้างประโยชน์เฉพาะหน้า ที่เหลือเป็นไงไม่รู้ ไปตายเอาดาบหน้า เราอยากเป็นอย่างเกาหลี ญี่ปุ่น อยากให้แรงงานมีค่าแรงสูงๆ แต่เราลืมคิดไปหรือเปล่าว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้น พื้นฐานการศึกษา วินัย ความรับผิดชอบ ความสามารถในการแข่งขัน ความสำเร็จไม่มีทางลัด ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ บริษัทจะยินดีจ้างแรงงานค่าแรงสูงแน่นอน ถ้ามีความสามารถในการแข่งขันได้ บริษัทไม่ใช่มูลนิธิ จ่ายค่าแรงสูงแต่สร้างผลงานไม่ได้ บริษัทก็ตาย ถ้าบริษัทกดค่าแรงจริงๆ คนก็จะหนีไปหมด บริษัทก็ตายเหมือนกัน สุดท้ายต่างฝ่ายต่างก็ดิ้นรนกันไปจนกว่าจะเข้าสู่จุดสมดุล การประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจึงไม่ควรจะทำไปโดยลำพัง ตอนนี้เห็นแต่เรื่องการขึ้นค่าแรง ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ผลสะท้อนต่อไปคืออัตราเงินเดือน start up ทั้งตลาดต้องขยับตาม ผู้ประกอบการย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องขึ้นค่าสินค้า ค่าบริการไปด้วย แล้วคุณภาพของสินค้า/บริการ ขยับขึ้นตามด้วยหรือเปล่า หรือว่ายัง freeze อยู่ที่เดิม อย่าลืมว่าเราต้องไม่ไป cover เรื่องของสินค้า/บริการแบบ premium ซึ่งเราย้ำไปหลายครั้งว่าไอ้พวกนั้นมันอยู่เหนือขอบเขตของค่าแรงขั้นต่ำ ของดีหรูหราราคาแพง คนเต็มใจจ่าย พวกนั้นไม่กระเทือนอะไรกับค่าแรงขั้นต่ำหรอก เราต้องดูที่ของพื้นฐานทั่วๆ ไปในตลาดนี่แหละ ของเหล่านี้ยังคงแข่งขันได้ไหม CCC กำลังจะมาแล้ว FTA กำลังจะมาแล้ว ถ้าเราขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไปแล้ว เราจะทำอะไรกันต่อ รัฐบาลจะทำอะไรต่อ เพื่อให้เราสามารถแข่งขันได้ เราจึงตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่า การประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ รัฐทำไปเพื่ออะไร แค่หาเสียงเฉพาะหน้าใช่ไหม มีมาตรการระยะยาวรองรับแล้วหรือยัง ส่วนเรื่องนัยทางมนุษยธรรม ลองดูที่เจ้าสัวคนเสนอทฤษฎีนี้เองดีกว่า บริษัทไอทีในเครือของเจ้าสัวคนนี้ ก็ขึ้นชื่อลือชาเรื่องกดค่าแรงโปรแกรมเมอร์ เห็นคุยกันในห้องสีลมนี้เองก็หลายกระทู้ เชื่อกันจริงๆ อ่ะเหรอว่าเค้าเสนอทฤษฎีนี้มาเพื่อช่วยชนชั้นรากหญ้าจริงๆ จากคุณ : สาวน้อยร้อยแปด เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 17:54:26

ความคิดเห็นที่ 50 ความสำเร็จไม่มีทางลัด ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ และที่สำคัญ ไม่ได้มาฟรีๆ ครับ และถ้าเรายังมองคนแบบเผินๆ และค่าความเป็นมนุษย์ต่ำไป ก็คงจะกดขี่ทำนาบนหลังคนกันไปเรื่อยๆ แหละ ไม่ปรับตัว แต่หาเงินบนส่วนต่างไปเรื่อยๆ ผมพยายามย้ำว่าพื้นฐานคนเรานะ เหมือนๆกัน ถ้าเขาไม่ได้มีปัญหาทางสมอง ครบ 32 ประการ ผมว่าจะสร้างพื้นฐานให้เท่ากัน มันไม่ยากหรอก สิ่งที่ยากคือ "ทัศนคติ" ของคนๆนั้น และ "โอกาส" ที่เราจะให้เขามากกว่า ญี่ปุ่นเมื่อก่อนคนของเขามีพื้นฐานการศึกษาสูงหรือเปล่า คำตอบคือไม่ทั้งหมด แต่สิ่งที่เขามีคือ "ทัศนคติ" ในการสร้างชาติจากซากปรักหักพัง เขาจึงมีวินัย ความรับผิดชอบ และขวนขวายหาความรู้ สร้างองค์ความรู้ จนสามารถถีบตัวเองเป็นชาติที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง และคนในชาติเขาก็ช่วยกัน สนับสนุนกัน ให้โอกาสซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างชาติไปด้วยกัน คนไทยเก่งครับ แต่ถูกปลูกฝังกันมาผิดๆ ก็ต้องแก้ไขกันไป อีกเรื่องผมว่าการจัดการธุรกิจของเราไม่ดีพอ เช่นที่คุณยกตัวอย่างเรื่อง โปรแกรมเมอร์เด็กๆ จริงครับผมคงไม่เคยเจอจริงๆ เพราะงานแต่ละชิ้นผมจะดูแล้วว่าเราทำได้ไหม สามารถแข่งขันได้หรือไม่ ได้กำไรหรือไม่ ถ้าไม่ ผมก็ไม่ทำ ดังนั้นเมื่อได้งานมา ผมก็เลือกคนที่เหมาะสมมาทำงาน สัมภาษณ์ดูให้ถี่ถ้วน ประเภทสั่งงานไปแล้วทำไม่ได้เรื่อง เปลี่ยนตัวครับ เสียเวลาธุรกิจ ผมไม่หวังหรอกว่ามหาลัยเขาสอนอะไรมา เพราะผมจะเคลียร์สโคปงานให้ชัด แต่เมื่อผมบอกสโคปงานไป ถ้าเด็กมันทำได้มั่นใจ ผมให้ทำ ไม่ได้ก็ไป ไม่ใช่ดู CV ว่าจบอะไรมา ทำอะไรมา แล้วคาดว่าเขาจะทำได้ เด็กคนไหนดี หัวไว ผมก็ส่งไปเทรนเพิ่มเติม เพื่อยกระดับเขา คนไหนหัวไม่ไว ทำงานดี ละเอียด ก็ประกบกับคนมีฝีมือมีประสบการณ์ เพื่อที่เขาจะได้เป็นตัวตายตัวแทน โปรแกรมเมอร์มีหลายระดับ หลายประสบการณ์ ครับ ต้อง Put right man to the right job ครับ อย่าเอางานวิศวกรไปให้ช่างเทคนิค หรือเอางานช่างเทคนิคไปให้วิศวกร ถ้ามองกลไกตลาด คนเก่งบริษัทพร้อมจ่าย พร้อมลงทุน เพื่อให้บริษัทเขาได้ประโยชน์จากการแข่งขัน มีความสามารถในการแข่งขันที่สูง หรือมีนวัตกรรมใหม่ๆ คนที่อยู่ล่างๆ ก็จะขวนขวายสร้างตัวเองไปอยู่จุดนั้นบ้าง แต่กลไกตลาดบ้านเรามันเพี้ยนครับ คนเก่งบริษัทไม่พร้อมจ่าย ไม่พร้อมลงทุนเพิ่ม กดขี่ เพื่อให้ตัวเองได้กำไรสูงสุด โดยไม่ปรับปรุงตัวเอง หานวัตกรรมใหม่ๆ ที่ลดต้นทุน เพิ่มผลการผลิต เอาแต่ลดค่าแรง เพราะมองค่าแรงเป็นทุนสูงสุด ซึ่งไม่จริงเสมอไป จากคุณ : Special Theory of Relativity เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 19:25:15

ความคิดเห็นที่ 51 ถ้าตอบ ตามหัวข้อเจ้าของกระทู้ แบบไม่ออกทะเล เจ้าสัวสามารถริเริ่มช่วยเหลือสังคมได้ โดยเริ่มจากบริษัทตัวเอง ขึ้นค่าแรงลูกจ้าง ลดราคาขายสินค้าให้ประชาชนทั่วไป สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย หรือ sme ในรูปแบบเป็นเชท์ฟเฉพาะกลุ่มสินค้าีี่ผู้ประกอบการรายย่อยและ sme ช่วยเหลืิอเกษตรกรโดยลดค่าเมล็ดพันธุ์ และปุ๋ย ลดต้นทุนค่าพันธุ์สัตว์และอาหารเลี้ยงในโครงการ และยังมีอีกหลายอย่างที่สร้างสรรค์ครับ (แต่ผมยังคิดไม่ออก) ส่วนทฤษฎี 2 สูงจากที่ผมเคยฟังสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ และอ่านข้อมูลในอินเตอร์เน็ตนั้น มันเป็นการเพิ่มแบบยกฐานให้สูง โดยไม่ค่อยสมเหตุสมผลครับ ถึงแม้ว่าการทำแบบนี้จะเห็นผลได้ทันใจ แต่สุดท้ายผลกระทบก็จะกระทบไปแบบโนมิโน่ ซึ่งก็จะวนกลับมาเพิ่มค่า่ครองชีำำพต่างๆอยู่ดีครับ แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 54 19:38:03 จากคุณ : ClasS_X เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 19:37:35

ความคิดเห็นที่ 52 จากที่อ่านท่านอื่นๆ แสดงความคิดเห็น  มีหลายประเด็นเพิ่มขึ้นมาครับ  คือเรื่องเศรษฐกิจ  แรงงาน และเรื่องเจ้าสัว สำหรับเรื่องเศรษฐกิจนั้นผมเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไร  แต่ขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจในตระกูลผม  และคนที่รู้จักแล้วกันนะครับ เศรษฐกิจตอนนี้แย่.....  มันแย่มาจากของแพง  เงินเฟ้อ  เงินฝืด  ขนาดสภาพคล่อง  ภัยพิบัติ  ปัญหาการเมือง  แม่ค้าแถวบ้านบ่นกันเป็นเสียงเดียวว่าขายไม่ดีเลย  บางคนมาขายบ้างไม่ขายบ้างเพราะมาขายก็ขายไม่ดี  ร้านค้าในถนนบางสายติดป้ายให้เช่า  ทั้งๆที่แต่ก่อนเป็นถนนที่ขายดีมากๆ  ธุรกิจในตระกูลผม  อพาร์ตเม้นต์ พอไปได้ครับ  คู่แข่งเยอะ  ค่าซ่อมบำรุงแพงมากเนื่องจากค่าแรงช่างเพิ่ม  ลูกค้ามีตัวเลือกเยอะขึ้น  ภาษีแพง โดยเฉพาะภาษีโรงเรือน  ถ้ากู้เค้ามาทำก็ปวดหัวเหมือนกัน   เกรสเฮ้าส์ ปลายปีที่แล้วถือว่าดีมาก  แต่ช่วงมีปัญหาการเมืองเงียบสนิท  เฉลีี่ยทั้งปีแค่พอไปได้  ธุรกิจของผมเอง  ร้านอัดรูป  อันนี้แย่ถึงแย่หนัก  เพราะขาดทุนจากการตัดราคากัน  แถวบางแคอัดรูปจัมโบ้ 1.3 บาท  แพ้เพราะสู้เจ้าใหญ่ไม่ได้ ส่วนเพื่อนที่ขายส่งอยู่สำเพ็ง  ตอนนี้สินค้าตัวถูกจะขายดี  ตัวแพงขายไม่ออก  ยอดตกไปบ้าง  แต่โดยรวมยังดี   เพื่อนแม่ขายวัสดุก่อสร้าง  ยอดตก  ลูกค้าตีเช็คยาวออกไป  ต้องวิ่งแลกเช็ค   และเพือนอีกคนเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทคอนซูมเมอร์  บอกว่ายอดตกบ้างแค่ 3-5 เปอร์เซนต์  แต่ผลกำไรลดลงเยอะ  เพราะต้องทำโปรโมชั่นมากกว่าปีก่อน  เดือนๆ นึงยอดหายไปหลายสิบล้าน สรุปโดยรวมคนรอบข้างผมบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดีเลย จากคุณ : PTKNC เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 21:20:49

ความคิดเห็นที่ 53 ถ้าทุกอย่างขึ้นหมด ในอัตราที่เท่ากัน ก็ไม่มีใครได้เสีย แต่ความเป็นจริงคนที่ได้เปรียบ จะขึ้นราคาของตัวเองได้มากกว่า เป็นเรื่องปกติของเงินเฟ้อ ไม่น่าเชื่อไอ้มาร์คไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ จบโทเศรฐศาสตร์ใช่มั้ย งานนี้เจ้าสัวได้เต็ม ๆ ถ้าทำได้จริง กำหนดให้ค่าแรงแพง ๆ ไปเลย กล้าทำมั้ยล่ะ มันทำจริงไม่ได้หรอก จะเพิ่มราคาของตัวเองต้องมีจุดขาย ที่ทำให้ชาวบ้านต้องซื้อของเรา มันผิดหลักการทางเศรฐศาสตร์หลายอยางเลย จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 21:27:27

ความคิดเห็นที่ 54 เรื่องแรงงาน  อันนี้ผมมองแรงงานทั่วไปนะครับว่าประเทศเรายังขาดแรงงานคุณภาพ  การจ้างแพงขึ้นไม่ได้หมายความว่าคนจะทำงานได้ดีขึ้น  บริษัทผมเองจ่ายค่าแรงสูงกว่าแรงงานขั้นต่ำอยู่แล้ว  ดังนั้นการปรับค่าแรงขั้นต่ำจึงไม่ได้มีผลต่อบริษัทผมแต่อย่างใด  และปีนี้ก็เพิ่มเงินเดือนให้พนักงานเพราะเห็นใจเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น   แต่พนักงานผมปีนี้ลาออกไปหลายคนเลยครับ  เหตุผลหลักเกิดจากตัวเค้าเองทั้งนั้น  มาสายปล่อยเอย  พูดจาไม่เหมาะสมกับลูกค้าจนลูกค้ามาฟ้องเอย  เถียงหัวหน้าเอย  ไม่ยอมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ  จับย้ายงานก็ยังทำไม่ได้  สิ่งเหล่านี้ทำให้เจ้านายอย่างผมเบื่อหน่ายต่อลูกน้องเป็นอย่างมาก  ใจจริงไม่อยากไล่ออกเลย  เห็นใจครับ บริษัทผมมีแม่บ้านเงินเดือน 6500-10000 บ.  ทำไมถึงต่างกันเยอะ  เพราะทำงานคุณภาพไม่เท่ากัน   ที่สำคัญไม่ใช่รายรับเพียงอย่างเดียว  รายจ่ายก็สำคัญ  บางคนเงินเดือนออกก็ไปกินเหล้า  บางคนชอบแทงหวย  บางคนใช้เงินเกินตัว สรุป  แรงงานที่ดีจะไม่เป็นแรงงานขั้นต่ำแน่นอน จากคุณ : PTKNC เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 21:29:48

ความคิดเห็นที่ 55 เรื่องเจ้าสัว    ผมไม่ได้อ่านประวัติแกซักเท่าไหร่   แต่ได้สัมผัสธุรกิจเค้าพอสมควร  สังเกตุอยู่อย่างครับ  ธุรกิจแกส่วนใหญ่จะกึ่งผูกขาด  ทั้งอาหาร  ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร  โทรคมนาคม  ร้านสะดวกซื้อ   เริ่มจากธุรกิจอาหาร  ต้องซื้อลูกไก่เค้ามาเลี้ยง  อาหารเค้ามาเลี้ยง  และจะได้การประกันราคาซื้อคืน  เหมือนรับจ้างเลี้ยงสัตว์ให้เค้า  เพื่อความมั่นคงในการขายคืน ธุรกิจโทรคมนาคมของแกก็เคยดึงเอาต่างชาติมาทำ  แล้วก็ทำบริษัทให้ขาดทุนต่อเนื่อง 5 ปี จนฝรั่งยอมแพ้หนีกลับประเทศด้วยอาการบอบช้ำ  แล้วก็เริ่มรวมเอาความได้เปรียบในการทำธุรกิจแบบครบวงจร  ทั้งอินเตอร์เน็ต  เคเบิลทีวี  โทรศัพท์พื้นฐาน  ทำให้มีโปรโมชั่นเด็ดๆ ที่คู่แข่งทำตามได้ยาก  และด้วยความหลากหลายจึงดูเหมือนผูกขาด  ยิ่ง 3G ด้วย  ก็ไม่รู้ว่าคู่แข่งจะใช้วิชาอะไรมาสู้   ถึงแม้มือถือค่ายเค้าจะเป็นอันดับสาม  แต่เป็นอันดับสามที่ตามหลังอยู่ไม่มาก  แต่ธุรกิจโดยรวมถือว่าได้เปรียบกว่า  ใครเคยเล่นหุ้นของเค้าจะรู้ความเขี้ยว  ไม่เคยดีเงินปันผล  หุ้นน่าจะขึ้น แกทุบลง  ใครคัทลอส  แกเก็บของ  เก็บของยังไมไ่ด้  ทุบหุ้นลงอีก  น่ากลัวมาก ร้านสะดวกซื้อ   ถ้าใครได้ข้องเกี่ยวจะรู้ดี   เงื่อนไขการวางขายสินค้า  การจ้างพนักงาน  ยืนตลอด 6 ชั่วโมง ได้เงินประมาณสองร้อย  แต่ใครๆ ก็อยากจะทำ  ใครๆ ก็อยากจะวางสินค้ากับเค้า   เพราะถ้าได้วางสินค้าในร้านเค้าเมื่อไหร่โอกาสที่ยอดขายจะก้าวกระโดดก็มีมาก    ย่านไหนขายดีก็จะไปเปิด  โชว์ห่วยตายหมด  บางที่มีติดๆ กันสามร้านเลย  บ้างก็เจ้าของที่ทำเอง  บ้างก็ปล่อยให้เช่า  บางคนซื้อแฟนไชส์มา 3 ล้าน  อีก 6 เดือน มีสาขามาเปิดใกล้ๆ  พูดไม่ออก  ต้องทนทำไป ไม่ขอสรุปอะไรนะครับ  ถือว่าเจ้าสัวเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต จากคุณ : PTKNC เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 21:44:44

ความคิดเห็นที่ 56 เป็นมือที่มองไม่เห็นอีกราย ที่ยอมโผ่ จากคุณ : Boay เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 22:28:45

ความคิดเห็นที่ 57 =_="  ไอ้การไปขัดหลักการตลาดโดยธรรมชาติก็คือแทรกแซงดีๆ แล้วแทรกแซงแบบนี้สุดท้ายคนที่เป็น monopoly แบบ cp  ได้เปรีบเห็นๆ เพราะเค้ากำหนดราคาสินค้าเองได้คนเดียว   ใครที่เชื่อทฤษฎีพี่แกไปหาหนังสือ future of money มาอ่านนะคับ  แกกำลังสร้าง "เงิน" ทีี่แกกำหนดได้คนเดียวอยู่ซึ่งเงินนี้ กฎหมายยังไม่ได้ควบคุมครับ และจะทำให้การดำเนินชีวิตชาวบ้านเปลี่ยนไป..............................ตามที่แกต้องการ จากคุณ : mrpoporo เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 54 23:22:19

ความคิดเห็นที่ 58 ผมเห็นด้วยนะครับ ที่ให้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และ เงินเดือนข้าราชการ แต่ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด และไม่ได้เห็นด้วยเพราะเจ้าสัวด้วย เพราะ แนวคิดเจ้าสัวนั้นฟังแว้บแรกก็รู้แล้วว่าเฮียแกพูดเพราะตัวเองล้วนๆ เงินเดือนข้าราชการควรปรับขึ้น และค่อยเป็นค่อยไปนั้นถูกแล้ว แต่ที่ไม่ถูกก็คือ รัฐควรจะปฏิรูประบบภาษีอย่างจริงๆจังๆด้วย ไม่ใช่ ปรับขึ้นทั้งเงินเดือนข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ แต่ยังเก็บภาษีได้เท่าเดิม ถ้าแบบนี้อนาคตแย่แน่ ประเทศไทยทุกวันนี้เก็บภาษีได้น้อยกว่า รายจ่ายที่เพิ่มขึ้น มากๆ (และยิ่งในอนาคตนโยบายประชานิยม + สวัสดิการที่แต่ละรัฐบาลเริ่มมาแล้ว จะสร้างภาระให้แก่งบประมาณอย่างมาก และพวกนโยบายพวกนี้ ยกเลิกไม่ได้หรอก ใครจะไปยอม) ส่วนค่าแรงขั้นต่ำ ควรจะปรับขึ้นทุกปีสม่ำเสมอ และพอเหมาะ ส่วนจำนวนที่พอเหมาะและเหมาะสมมันคือเท่าไหร่ อันนี้ผมก็ไม่รู้ แต่ถ้าย้อนดูการเพิ่มของเงินเฟ้อ เทียบกับ การเพิ่มของค่าแรงขั้นต่ำ จะเห็นว่า เงินเฟ้อ มันเพิ่มมากกว่า ค่าแรง โดยหลักการแล้วแปลว่า ถ้าปัจจุบันราคาข้าวของ ถูกกว่า ราคาของเมื่อห้าทีที่แล้ว อยู่ 5% แต่ค่าแรงขั้นต่ำกลับเพิ่มขึ้นมา 3% อันนี้แปลว่า รายได้ที่เพิ่มขึ้น มันไม่พอที่จะมาชดเชยของที่แพงขึ้นมากกว่า ทำให้อำนาจการซื้อของชาวบ้านลดลง ส่วนการขึ้นค่าแรงให้ได้ 300 บาทในเร็วๆนี้ ผมเห็นด้วยว่า นโยบายนี้มีไว้เพื่อหาเสียงชัดๆ และเอาจริงๆรัฐบาลทำไม่ได้หรอก ขึ้นทีฮวบฮาบขนาดนั้น ตายกันหมดสิครับ และถ้าอยากขึ้นค่าแรง แรงๆขนาดนั้น รัฐก็ควรจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศให้มันดี เพื่อรองรับอุตสาหกรรมที่มันมีมูลค่าสูง (และจ่ายค่าแรงสูงๆได้) เช่น การศึกษาของแรงงาน ถนน ระบบรางรถไฟ ระบบไฟฟ้า เป็นต้น ตารางข้างล่าง ผมลองเอาข้อมูลจากเว็บธนาคารแห่งประเทศไทยมาเปรียบเทียบดู ระหว่างเงินเฟ้อและค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี ซึ่งตัวเลขอาจจะคลาดเคลื่อน เพราะผมหาข้อมูลแต่ละปี แล้วเอามาคำนวณเอาเองง่ายๆ - -'' ค่าแรงขั้นต่ำที่ใช้ เป็นของ จ.กรุงเทพ นะครับ เพราะว่าค่าแรงไม่เท่ากันแต่ละจังหวัด ผมไม่รู้จะใช้จังหวัดไหนดี ก็เลยกรุงเทพละกัน แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 00:10:07 จากคุณ : ปูเทียมไก่ชุบ เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 00:06:34

ความคิดเห็นที่ 59 ลืมรูป !! ปล.ย้อนหลังไปแค่ปี 47 เพราะหาข้อมูลจากเว็บแบ๊งชาติได้แค่นั้น -_-" จากคุณ : ปูเทียมไก่ชุบ เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 00:08:09

ความคิดเห็นที่ 60 เป็นความคิดที่เปล่าประโยชน์ อยู่ดีๆ ขยับเส้น demand-supply โดย การสร้างค่า offset ขึ้นมาในระบบ ซึ่งค่า offset นี้จะแปรค่าเป็น inflation แทน เมื่อเราไม่ได้พูดว่า performanc is revenue เหมือน ระบบราชการ ที่เราเห็นการ คอรับชั่น เป็นปกติ เพราะเขาอยู่ในระบบ ที่เป็น regular body คือไม่ผิดระเบียบเป็นใช้ได้ แต่ชีวิตประจำวัน ต้องอาศัยรวมกับ พวก เอกขนหรือพวกที่วัดผลตอบแทนตามความ สามารถ ผลที่ตาม คือ การคอรับชั่น เพราะไม่ว่าหน้าใหน ก็อยาก อยู่อย่างดีมีศักดิ์ศรีทั้งนั้น  ความคิด สองสูง เป็นความคิดที่ไม่ยึด โยงอะไรเลย ในที่สุด ก็จะมีตัวกลางผู้ที่รับผลประโยชน์ ในการแปร ค่า offset นี้เป็น inflation rate แต่ตัวเงิน อาจสร้างตัวเลขกำไรให้ กลับ บางบริษัท ที่ทำกิจการตั้งแต่ต้นน้ำ ยันปลายน้ำได้ในระยะเวลา หนึ่ง ของการแปรค่า offset นั้นๆ จากคุณ : pk_ray เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 08:02:10

ความคิดเห็นที่ 61 ทำให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามกลไกที่แท้จริงของมัน ทั้งค่าตอบแทนแรงงาน ราคาสินค้า และป้องกันไม่ให้เกิดการผูกขาดทางการค้า ก็น่าจะเพียงพอ สื่อสารกันให้ชัดเจนด้วยข้อมูลจริง ไม่บิดเบือน ไม่เล่าเรื่องด้านเดียว พูดจาภาษาที่เข้าใจได้ง่ายก็น่าจะช่วยได้เยอะแล้ว จากคุณ : หมูทะเล (หมูทะเล) เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 09:36:32

ความคิดเห็นที่ 62 อีกอย่างนะ ลดช่องว่าง สร้างโอกาสทางสังคม ธุรกิจขนาดเล็ก - กลางน่ะหาทางส่งเสริมเป็นรูปธรรมต่อเนื่องมากกว่าที่เป็นอยู่ ถ้าทำได้ยังสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกด้วย ทั้งเรื่องของคุณภาพแรงงานและภาษี จากคุณ : หมูทะเล (หมูทะเล) เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 09:41:07

ความคิดเห็นที่ 63 เน้น ย้ำอีกครั้งนะครับว่า ช่วยๆๆ กันกด VOTE ก็ดีนะครับ เพี่อที่ กระทู้จะได้อยู่ได้นานๆ นะครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 09:50:21

ความคิดเห็นที่ 64 ขอต่ออีกหน่อย ไม่แน่ใจว่าแรงงานที่หมายความถึงผู้ใช้แรงงานรับค่าจ้างรายวันคิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของประชากรในภาคการผลิตรวมของประเทศ เช่น มนุษย์เงินเดือน ที่อยู่ในระบบภาษีแบบถูกต้องไม่มีทางเลือกหรือเลี่ยง ไม่แน่ใจว่าแรงงานที่รับค่าจ้างรายวันเนี่ยะอยู่ในระบบภาษีถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ อย่างไร ไม่ทราบว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำส่งผลกระทบในทางบวกกับพวกมนุษย์เงินเดือนเหล่านี้หรือไม่ (คือได้ขึ้นในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันหรือไม่) แล้วกำลังซื้อภายในประเทศเนี่ยะมันก็ไม่ได้เป็นตัวแปรทางเศรษฐกิจตัวแปรเดียวไม่ใช่หรือ โอย เรื่องนี้คุยกันยาวววว เพราะมันพันกันไปหมด ประเทศไม่ได้มีแต่ราก ต้นกับใบก็มี เยอะไม่แพ้กันหรอก แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 09:57:09 จากคุณ : หมูทะเล (หมูทะเล) เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 09:56:10

ความคิดเห็นที่ 67 ชอบ ความคิดเห็นที่ 55 มากๆๆ ครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 10:44:59

ความคิดเห็นที่ 68 ผมว่าสองสูงจะประสบความสำเร็จมันต้องเริ่มจากพวกเจ้าของกิจการ การจะเพิ่มค่าแรงให้สูงขึ้นโดยที่ไม่ต้องไปขึ้นราคาสินค้าให้สูงตามที่ชอบอ้างทำไมจะทำไม่ได้ครับ เพราะการขึ้นเงินเดือนพนักงานในปัจจุบันมันต่ำกว่าความเป็นจริง และความสามารถที่จะจ่ายได้ของเจ้าของกิจการเยอะ แต่เค้าเหล่านี้กั๊กไว้เยอะพอควร กำไรโรงงานปีนึงตั้งเท่าไหร่ เจ้าของออกรถป้ายแดงปีตั้งกี่คัน บริษัทจ้างคุณ 10,000 ทั้งที่มีกำลังจ่ายได้ถึง 15,000 ด้วยซ้ำ แต่ก็ชอบมาขอขึ้นราคาโดยอ้างค่าแรงที่ปรับขึ้น เพราะพวกนี้จะเอาท่าเดียว จากคุณ : konglha7 เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 10:45:36

ความคิดเห็นที่ 69 ทุกท่าน ลืมคนรายได้น้อย  แม่บ้าน คนชรา และือื่นๆไปหรือเปล่าครับ กับทฤษฎีนี้   ของแพง โดยเฉพาะอาหาร แพง เจ้าสัว เขาคุมตั้งแต่ต้นน้ำการผลิตไปยัน การจัดจำหน่าย คุมได้หมด ถ้าสูง เรื่องอาหาร ขึ้น ยังไงก็ได้แน่ๆ ครับ  เมล็ดพันธ์ปุ๋ย อาหารสัตว์  ฯลฯ แล้วคนไม่มีรายได้ เช่น แม่บ้าน และคนที่มีภาระ หาเงินคนเดียวแต่เลี้ยง ทั้งครอบครัว อย่างนี้  อยู่อย่างไร  อาชญากรรมเพิ่มขึ้นหรือไม่   เมืองเกษตรแบบไทย แต่อาหาร แพงขึ้นๆ ๆๆๆๆๆ   จะเอาให้เท่าสิงคโปร์ หรือ?   เจ้าสัว เขาไม่ได้คิดถึงประชาชน ทั่วไป ข้างต้นที่ผมบอกไป เลยแม้แต่นิดเดียว คิดถึงตัวเอง บริษัทตัวเอง  ความรวยของตัวเอง  ทั้งที่ ไม่นานเท่าไหร่ก็ตายเหมือนกัน แต่นโยบาย ที่แกคิดและดำเนินไป มันเป็นภาระและทำร้ายคนยากคนจนทั้งประเทศ  แกอิ่มปลิ้นคนเีดียวแต่คนยากคนจนในสังคม อดอยาก จ่ายไม่ไหวกับของแพง ๆๆๆๆๆทั้งหลายเพียงเพื่อสนองความร่ำรวย ของคนกลุ่มเดียว จำได้หรือไม่ครับ ไม่กี่ปีก่อน แกยังไม่ได้รับจัดอันดับเป็นอันดับหนึ่งเมืองไทย  แต่พอมา 2-3 ปีนี้แกขึ้นที่ 1 เลย ตามราคาอาหารที่แพงขึ้น ไก่ ขึ้น ไข่ ขึ้น หมูขึ้น บลา....... หลายคนๆอาจบอกว่า ต้องทำอย่างนู้นอย่างนี้ ตามที่ท่านชี้แจงมา    แต่ที่ไม่มีรายได้หล่ะครับ ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ที่ต้องเลี้ยงดู (ผลักดัน สูง โดยเฉพาะอาหาร แพงขึ้นเร็วมากเกินธรรมชาติ เพิ่มเติม เรื่องไข่ไก่จำได้หรือไม่ ที่ตอนแรกมีโควต้านำเข้าแม่พันธ์ จึงมีการผูกขาด ซื้อแม่พันธ์บวกอาหารเลี้ยงจากรายใหญ่) เขาอยู่อย่างไรต่อไป   เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า  อย่าไปเป็นไปตามการผูกขาดของเจ้าของทฤษฎีเลยครับ ปล.เพิ่มเติม อีกหน่อย  ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เขาใช้น้ำมันถูก ประเทศผลิตอาหารอย่างเรา จะให้อาหารแพงเพื่อ?  ที่ว่าถูกมิใช่ไปกดขี่คนปลูก  แต่คุมเรื่องพ่อค้า ให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ลดการโกง ในการประมูลข้าวรัฐ  เรื่องการจัดการพืชผล ถ้าได้คนไม่คดโกง และกล้าทำกล้าหักพวกโกงทั้งหลาย ผมว่าเกษตรกรไทยลืมตาอ้าปากได้ครับ     โดยเฉพาะการลดต้นทุนการเกษตร ทั้งหลาย  ลดพวกเคมี ใช้ชีวภาพเอา แมลงที่เป็น ตัวกำจัดกันเอง  ใช้ปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยคอกปุ๋ยพืชสด  จริงๆแล้ว ใช้แรกๆอาจผลผลิตลด แต่ต้นทุน ก็ลดตาม ได้อยู่ครับ ดินไม่เสีย   แต่ภาครัฐ  ไปสอนกันจริงๆ จังๆ หรือเปล่า หรือเงินพวกปุ๋ยพวกเคมี มันอุดกันอยู่   พวกเขารู้กันน้อยมากครับ  ทั้งที่ก็มีอยู่ในหลักสูตรการเรียน แต่ไม่มีคน สอนคนทำอย่างจริงจังในเรือง ชีวภาพ    ต้นทุนการผลิต ลดได้เกินครึ่งแน่ครับ ปล.แก้คำผิดและใส่ แทรกท้่ายครับ แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 21:13:34 แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 54 12:47:54 จากคุณ : Zhounat เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 11:19:58

ความคิดเห็นที่ 70 2 สุง 1. มาแผนสูง เจ้าเล่ห์ตลอด 2.หัวสูง ไม่เคยเห็นหวัคนรากหญ้าเลย จากคุณ : mrpoporo เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 11:30:10

ความคิดเห็นที่ 71 มอง Cp ง่ายๆ ก็ มอง True สิ นั้นแระชีวิตคอนเวอรเจน ยกนิ้วให้เลย . . . . . นิ้วกลางไง จากคุณ : แก้วคุง เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 16:23:58

ความคิดเห็นที่ 72 อ่านกระทู้นี้ทำให้ผมรู้จักมนุษย์มากขึ้นอีกเรื่องครับ นั่นคือ "ความเห็นแก่ตัว" สัตว์โลกที่ชื่อมนุษย์นี่มันน่ากลัวจริงๆ จากคุณ : คิ มิ โด ริ เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 16:49:02

ความคิดเห็นที่ 73 เห็นด้วยกับ แนวคิดการเพิ่มรายได้ให้ภาคเกษตรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ  และกลุ่มคนเมืองที่มีรายได้ต่ำ รวมทั้งข้าราชการชั้นผู้น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะสินค้าราคาแพง  และเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการดูแลจากภาครัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาปรับเพิ่มรายได้ให้สูงขึ้นตามไปด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นในปัจจุบัน  และในขณะเดียวกันก็ต้องพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการทำงานให้สูงขึ้นด้วย   ส่วนประเด็นที่เป็นห่วงว่า หากปล่อยให้ราคาสินค้าขึ้นไปตามภาวะที่แท้จริง  จะแพงเกินไปนั้น ในความเป็นจริงแล้วเราทุกคนจะมีความพินิจพิเคราะห์กันมากขึ้นเอง ว่าสิ่งที่จะซื้อนั้นมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด และจะทำให้เกิดการประหยัดเองโดยปริยาย ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องแรงงานไทย มาถึงวันนี้ คงต้องยอมรับแล้วว่าหมดยุคของการใช้แรงงานถูกๆแล้ว   เพราะต้องยอมรับก่อนว่าค่าแรงของแรงงานไทยเราไม่สามารถสู้ประเทศที่มีค่าแรงต่ำ อย่างจีน อินเดีย  หรือบังกลาเทศได้   นั่นหมายความว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมาแข่งขันกันด้วยแรงงานที่มีคุณภาพ  และมีศักยภาพ เนื่องจากว่า กลุ่มผู้มีรายได้น้อยไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือชนบท ล้วนแต่เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจในประเทศสูง  การเพิ่มค่าแรงจะทำให้แรงงานมีรายได้สูงขึ้น มีมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น จากคุณ : ต้นข้าวบาร์เล่ย์ เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 17:26:01

ความคิดเห็นที่ 74 เห็นด้วยกับการเพิ่มรายได้ให้ภาคเกษตรและกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำ แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการเพิ่ม แบบว่า "เอ้า เอาเงินไป" โดยไม่ดูเหนือดูใต้ อยากได้ค่าแรงสูงๆ แบบญี่ปุ่น ทำได้อย่างเค้ามั้ย http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2009/12/B8677734/B8677734.html อ่านช่วงที่ไปดูงาน ตั้งแต่ คห.44 เป็นต้นไป เขาใช้ช่างเทคนิคหยิบมือเดียว ดูแลปริมาณงานมหาศาลได้ ใช้ระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วย เพราะค่าแรงแพงมาก ของเราขืนเอาระบบอะไรเข้ามาทำงานแทนคน ก็ตกงานกัน ประท้วงกันวุ่นวายอีกล่ะ อีกข้อ เห็นด้วยกับคุณ คห. 69 สำหรับคนไม่มีรายได้ รัฐสวัสดิการเราห่วยมาก พูดไปพูดมามันพันกันไปหมดนิ แยกจากกันยากจัง จากคุณ : สาวน้อยร้อยแปด เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 18:13:39

ความคิดเห็นที่ 75 แนวความคิดนี้ดูจะส่งผลดีต่อเกษตรกรโดยรวม เพราะหากรัฐฯยังใช้วิธีตรึงราคาสินค้าแก้ปัญหาอยู่ นั้น เท่ากับเป็นการไปกดทับรายได้ของเกษตรกรที่ควรจะได้รับ ไม่เพียงทำให้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้ว   กลุ่มผู้คนที่ไม่ได้รับความเดือดร้อน ยังจะมาเบียดบังเอาผลประโยชน์จากการที่รัฐไปอุดหนุนราคา โดยปกติแล้ว การเพิ่มรายได้ให้สูงขึ้น ทำได้ยากกว่าการกดรายจ่าย สูตรสำเร็จที่มักพบเห็นภาครัฐนำมาใช้จนดูเป็นเรื่องปกติ   จึงออกมาในรูปของการแทรกแซงราคาสินค้า  ซึ่งในแง่เศรษฐศาสตร์แล้วทำได้เพียงชั่วคราว   ดังนั้นการให้ราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด รวมทั้งการที่เกษตรกรมีโอกาสที่จะขายสินค้าได้ในราคาที่สูงขึ้น จะเป็นเสมือนการสร้างแรงจูงใจให้กับชาวนาชาวไร่ได้ทุ่มเททำนา ดูแลพื้นที่เกษตรมากขึ้น  เพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่ที่สูงขึ้น จากคุณ : กิ่งท้อ...บนยอดหญ้า เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 18:40:35

ความคิดเห็นที่ 76 เกษตรกรรับเคราะห์วันยังค่ำนั่นแหละ ผมก็ลูกเกษตรกรแต่ชาตินี้สาบานไว้แล้วมันจะเป็นงานสุดท้ายที่ผมทำ ใครจะว่าผมลืมกำพืดก็ช่างหัวมันปะไร ดูง่ายๆๆแต่เรื่องน้ำมันปาล์มสิ ของขาดตลาดแถมราคายังแพงขึ้น แต่คุณไปดูราคาปาล์มดิบทั้งตอนนี้และตอนที่ขาดตลาดสิว่ามันเป้นไปในทิศทางเดียวกันกับราคาน้ำมันปาล์มไหม ส่วนเรื่องเพิ่มค่าแรงเพิ่มเงินเดือนจะเป็นการเพิ่มเงินในกระเป๋า ผมว่าปัญญาอ่อนมาก ค่าแรงเพิ่มเมื่อไรของขึ้นเมื่อนั้น อย่างตอนนี้ร้านอาหารตามสั่งแถวบ้านประกาศขึ้นราคา5บาททุกเมนู ถ้ากินทั้ง3มื้อเลย เท่ากับเสียเงินเพิ่มวันละ15บาท  ไหนจะของอย่างอื่นที่แพงขึ้นมา ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ช่วยให้มีเงินเพิ่มขึ้นเลย จากคุณ : zolito22 เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 19:31:55

ความคิดเห็นที่ 77 รัฐบาลไม่มีฝีมือ ต้องยอมเชื่อนายทุน แล้วจะไปเหลืออะไร โจรบอกให้เก็บของมีค่าเอาไว้ที่บ้านเยอะๆนะ เดี๋ยวจะมาขน เชื่อเข้าไปก็หมดบ้านพอดี นอกจากนี้ สิ่งที่น่ากลัวของรัฐบาลที่ไม่มีสมอง คือปล่อยให้พวกต่างด้าวต่างๆ ไม่ว่า พม่า จีน ลาว เข้ามาทำงานโดยถูกกฏหมาย คนพวกนี้ ไม่ได้ส่งออกเฉพาะแรงงาน แต่กำลังทำลายรากฐานทางสังคมครอบครัวของคนไทยด้วย ยกตัวอย่าง คนฮ่องกง ที่ไปลงทุนที่จีน ปัจจุบัน ร้อยละแปดสิบ มีเมียน้อยกันทุกคน ผู้หญิงจีนน่ากลัวมากๆ คุณเธอยอมทำทุกอย่าง ขอให้ได้เป็นคุณนาย เฉพาะคนที่รู้จัก สองครอบครัวที่เคยมีครอบครัวที่อบอุ่นรักใคร่กันดี ปัจจุบันต้องเลิกกัน ลูกบ้านแตกสาแหรกขาด เพราะชายไทยที่แพ้ความขาวความเนียนของสาวพม่า เห็นแล้วอนาถใจจริงๆ จากคุณ : pureblood (Pureblood) เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 20:43:33

ความคิดเห็นที่ 78 ทำให้เงินบาทแข็ง ๆ ซี สองสูงแน่ ๆ (ไม่ใช่แค่สอง) แล้วเป็นไง กล้ามั้ย จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 21:32:00

ความคิดเห็นที่ 79 ความคิดเห็นที่ 68 แล้วไม่ลองไปเป็นเจ้าของกิจการดูล่ะครับ เผื่อเพื่อนร่วมชาติหลายๆคนจะได้ผลพลอยได้จากจิตใจที่ดีงามของคุณ จากคุณ : ธุลีดาว เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 54 23:22:40

ความคิดเห็นที่ 80 ขอมองอีกมุมนะคะ ในส่วนของเจ้าสัว ส่วนตัวคิดว่าคนคนนี้เป็นคนเก่ง ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลมากๆ ไม่งั้นคงไม่สามารถนำพาอาณาจักร CP ให้เป็นบริษัทแถวหน้าของโลก เป็นหน้าเป็นตาประเทศไทย และสร้างรายได้มหาศาลเข้าประเทศ การที่ประเทศไทยมีคนเก่งขนาดนี้อยู่ และจะนำแนวคิดและวิสัยทัศน์ของเขามาปรับใช้เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งบ้างก็คงไม่แปลกอะไร ในส่วนของรัฐบาล ที่บอกว่าเอาทฤษฎีของเขามาใช้น่ะ เอามาถูกกรรมถูกวาระหรือปล่าว เอามาอย่างครบถ้วนกระบวนความหรือไม่ หรือเลือกเฉพาะไอ้ข้อที่ก่อให้เกิดประชานิยม ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดในทฤษฎี เข้าใจต้นตอของทฤษฎีคลาดเคลื่อน และไม่แฟร์กับเจ้าของความคิด ที่อุตสาห์เปลืองตัวออกมาเสนอไอเดียเพื่อให้เศรษฐกิจชาติแข็งแรง ทั้งๆที่ เขาอยู่เฉยๆ ไม่แสดงความเห็น ก็อยู่ได้อย่างชิลๆ ไม่ต้องเจอขี้ปากชาวบ้านให้ปวดขมอง ส่วนเรื่องของแพง อันนี้เห็นด้วย เพราะทุกวันนี้จ่ายค่าน้ำมันแพงมาก ราคาน้ำมันแพงเพราะอะไร อาหารแพงขึ้นทั่วโลกเพราะอะไร ภัยธรรมชาติต่างๆมีผลต่อระดับราคาของหรือไม่ หลายทั่นในนี้คงตอบได้ และคงรู้อยู่แก่ใจว่าปัจจัยที่ทำให้ของแพงมีมากมาย ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยระดับโลกแทบทั้งสื้น... อย่าลืมว่า ประเทศไทยไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก ที่จะหลุดพ้นวังวนของเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ หรือปัญหาระดับชาติที่หลายประเทศต่างต้องเผชิญ ซึ่งคิดว่า ตัวแปรสำคัญที่สุด น่าจะเป็น ฝีมือหรือความสามารถของรัฐบาลมากกว่านะคะ จากคุณ : PenPhat (PenPhat) เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 00:02:57

ความคิดเห็นที่ 81 จริงๆไอ้ทฤษฎีสองสูงนี่มันใช้ได้ผลนะโดยเฉพาะกับประเทศที่พัฒนาแล้วยิ่ง เป็นระบบที่จำเป็นอย่างมาก   แต่กับประเทศไทยผมว่ายังไม่ใช่  อย่างที่เจ้า สัวแกแนะนำมาแกอาจจะหวังดีก็ได้(อ๊ะ..หรือว่าหวังดีแต่ประสงค์...)ก็อย่าง ว่าบริษัทของแกส่วนมากมันเป็นธุรกิจประเภทการบริการซะเป็นส่วนใหญ่ดัง นั้นทฤษฎีที่แก่ว่ามาก็ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ   แต่ลองไปถามคนที่ทำธุรกิจ ประเภทผลิตเพื่อส่งออกหรือมาตั้งโรงงานเพราะค่าแรงถูกๆดูซิว่าเค้าจะเห็น ด้วยไหม จากคุณ : ไหปลาร้า เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 01:23:33

ความคิดเห็นที่ 82 หลายปีที่ผ่านมา การขึ้นเงินเดือน นั้นน้อยกว่าราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น แต่ด้วยอุตสาหกรรมทำให้ราคาสินค้าลดลง ทำให้เงินเดือนที่เพิ่มขึ้น พอใช้ แต่รวมๆ แล้ว ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอย่างเรา เพิ่มเงินเดือน และเพิ่มราคาสินค้า มันมีข้อเสียตรงที่ ราคาสินค้าสูงขึ้น ต่างประเทศจะไม่ซื้อสินค้าเราสิครับ เราไม่ใช่ประเทศที่มีสินค้าทันสมัย innovation ขาย หรือสินค้าประเภทบริการแบบสิงคโปร์ แต่เป็นประเทศที่ผลิต และส่งขายต่างประเทศ ผมไม่ทราบว่านโยบายนี้ ได้มีคนพิสูจน์หรือยัง คงต้องถามนักเศรษฐศาสตร์ นโยบายนี้คนที่ได้ประโยชน์ที่สุด ก็คือคนเสนอนั่นแหละครับ ชาวบ้านเป็นอย่างไร เขาคงไม่สนใจที่จะรับรู้หรอก จากคุณ : Axl เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 07:15:34 A:223.204.159.221 X: TicketID:140031

ความคิดเห็นที่ 83 คิดเหมือนกันค่ะ เพราะเราเองทำงานในภาคอุตสาหกรรมเหมือนกัน ค่าแรงขึ้น ค่าสินค้าขึ้น แล้วเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยอะไรได้??? เห้อ!!! เราว่ามันควรจะปรับที่ฐานเศรษฐกิจโดยรวม มากกว่าที่จะมาแก้ปัญหาด้วยการอัดฉีดเงินลงไปแบบนี้ มันมีเม็ดเงินหมุนเวียนมากขึ้นก็จริง แต่ภาระหนี้ต่อหัวมากขึ้นกว่าเดิม เพื่ออะไร??? จากคุณ : หน่อยอ่ะนะ เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 08:24:36

ความคิดเห็นที่ 84 แนวความคิดนี้ดูจะส่งผลดีต่อเกษตรกรโดยรวม เพราะหากรัฐฯยังใช้วิธีตรึงราคาสินค้าแก้ปัญหาอยู่ นั้น เท่ากับเป็นการไปกดทับรายได้ของเกษตรกรที่ควรจะได้รับ ไม่เพียงทำให้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้ว   กลุ่มผู้คนที่ไม่ได้รับความเดือดร้อน ยังจะมาเบียดบังเอาผลประโยชน์จากการที่รัฐไปอุดหนุนราคา โดยปกติแล้ว การเพิ่มรายได้ให้สูงขึ้น ทำได้ยากกว่าการกดรายจ่าย สูตรสำเร็จที่มักพบเห็นภาครัฐนำมาใช้จนดูเป็นเรื่องปกติ   จึงออกมาในรูปของการแทรกแซงราคาสินค้า  ซึ่งในแง่เศรษฐศาสตร์แล้วทำได้เพียงชั่วคราว   ดังนั้นการให้ราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด รวมทั้งการที่เกษตรกรมีโอกาสที่จะขายสินค้าได้ในราคาที่สูงขึ้น จะเป็นเสมือนการสร้างแรงจูงใจให้กับชาวนาชาวไร่ได้ทุ่มเททำนา ดูแลพื้นที่เกษตรมากขึ้น  เพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่ที่สูงขึ้น จากคุณ : กิ่งท้อ...บนยอดหญ้า เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 09:22:20

ความคิดเห็นที่ 85 โอ้แม่เจ้า  คุณ ความคิดเห็นที่ 70  สุดยอดมากๆๆ ครับ มองได้ แตกฉานมากๆๆ ครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 10:19:15

ความคิดเห็นที่ 86 หลายๆท่าน ตอนนี้  จะบ่นไหมครับ  ถ้าปีหน้านายจ้างจะไม่ปรับเงินเดือนให้ แล้วที่บ่นกันในห้องนี้  นายจ้างเอาเปรียบ  เงินเดือนให้น้อย  รายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง   คนเหล่านี้คือใครครับ จากคุณ : Ter @ AFC เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 11:57:06

ความคิดเห็นที่ 87 ..ตอนเห็นโฆษณาของรัดบาน เราคิดแบบชาวบ้านๆว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เหมาะที่จะใช้แก้ปัญหา ค่าแรงไม่เหมาะสม แต่การที่ของแพงแล้วขึ้นค่าแรง เราว่าผู้ผลิต (ที่จำยอมต้องขานรับไปก่อน) ก็ต้องขึ้นราคาสินค้าภายหลังอยู่ดี ค่าจ้างแรงงานก็เป็น ต้นทุน อย่างหนึ่ง รัดบานเหมือนคนที่กำลังพยายามจะตะครุบตั๊กแตน แต่ดันไปฟาดลงข้างๆตัวมัน ทำให้มันกลับกระโดดไปไกลกว่าเดิม เรียกว่า แก้ปัญหาไม่ตรงจุดน่ะสินะคะ.. จากคุณ : ใช่เลยค่ะ เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 13:57:15 A:58.8.107.121 X: TicketID:215804

ความคิดเห็นที่ 88 ประเทศไทยต้องใช้ทฤษฎี 2 ต่ำครับ 1.คอร์รัปชั่นต่ำ 2.คอมมิสชั่นต่ำ ต้องทำอย่างเร่งด่วนเลย จากคุณ : mrsorn เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 16:31:29

ความคิดเห็นที่ 89 เห็นเคยมีกระทู้เก่าๆ คุยกันถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อปี 51 ... ลองเอามาดูกันอีกสักทีครับ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I6979849/I6979849.html จากคุณ : หัวใจข้างซ้าย พวงมาลัยข้างขวา เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 16:44:25

ความคิดเห็นที่ 90 เรื่องจริง แต่คนเลือกที่จะไม่ฟัง เพราะเจ้าสัวพูดอะไรก็ถูกไปหมด จากคุณ : waimaitree เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 21:08:01

ความคิดเห็นที่ 91 ขอมองต่างมุมนะครับ ถ้าต้องขึ้นค่าแรงเพราะต้นทุนสินค้าแพงขึ้น ทำไมไม่ทำให้ต้นทุนสินค้าถูกลงแทนละครับ การทำให้วัตถุดิบในการผลิตมีราคาที่ถูกลง สินค้าก็ไม่แพง ค่าแรงก็ไม่ต้องขึ้น เพราะว่าขึ้นค่าแรงยังไงก็ต้องขึ้นราคาสินค้าแล้วมันก็จะเป็นอย่างนี้ วัฎจักรไม่หยุดไม่สิ้น ต้องดูที่ต้นน้ำ ว่าต้นทุนวัตถุดิบนั้นทำให้มันราคาถูกได้ไหม แต่ผมไม่รุ้ว่าราคาวัตถุดิบนั้น มีใครคุมอยู่รึป่าว ผมงงตั้งแต่รัฐบาลขึ้นค่าแรงแล้ว ทำไมไม่ลดต้นทุนสินค้าแทน จากคุณ : idolking (idolking) เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 54 23:37:06

ความคิดเห็นที่ 92 VOTE!!!!! เข้ามาเห็นด้วยกับทุกความเห็น จากคุณ : ถูกทุกข้อ (A~F~I) เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 01:22:01

ความคิดเห็นที่ 93 ชอบ ความคิดเห็นที่ 88 มากๆๆ ครับ ถูกต้องเลยครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 11:27:12

ความคิดเห็นที่ 94 แรงงานไทย ส่วนมากเป็นแรงงานชั้นต่ำ ยกสุงไม่ได้ มันกระทบไปเยอะมากก จากคุณ : ไม้กล้า เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 22:15:47

ความคิดเห็นที่ 95 ตอนนี้เราเน้นเก็บเงินอย่างเดียวอะค่ะ เพราะคาดว่า คงเงิน ฝืด ในไม่ช้า- - จากคุณ : aislinn เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 22:34:51

ความคิดเห็นที่ 96 เราอายแทน คห. 94 จริงๆ -___-'' คุณรู้ได้ยังไงเมืองไทยแรงงานชั้นต่ำ ถ้าเมืองไทยแรงงานชั้นต่ำคนฮ่องกงคง ไม่มาเปิดโรงงานผลิตเสื้อผ้าตัวละราคาหลักหมื่นที่ไทยหรอก ก็เห็นๆอยู่หลายประเทศตั้งรากฐานผลิตเมืองไทย -_-''   คุณคงจะแยกไม่ออกสินะ ว่า made in thailand ต่างกับ made in china ยังไง จากคุณ : ลิงคุง (ลิงคุง) เขียนเมื่อ : วันจักรี 54 23:45:19

ความคิดเห็นที่ 97 อือ เหมือนผมจะเคยอ่านจากในห้องไหนหว่าเรื่องทฤษฏีหมากล้อม 7-11 หนะ ที่ว่าคนอย่างเราๆลงก่อน พอขายดี เขาก็จะส่งของตัวเองมาลงแข่งดึงลูกค้า ไม่หวังให้เรารวยอยู่คนเดียว อยากบอกว่าแนวคิดอำมหิตมาก ไม่ผิดในทางธุรกิจ แต่โคตรผิดในทางจรรยาบรรณ ตัวผมเองทำร้านข้าวเล็กๆกว่าจะเปิดดูแล้วดูอีกว่าในซอย หมู่บ้านมีใครทำมาก่อนหรือเปล่า เกรงใจเขา แต่คนระดับนั้นเขาคงไม่คิดอะไรมากหรอกฮะ ไอ้รวยยยยยยย!!!!!!!! จากคุณ : zong12 เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 01:24:54

ความคิดเห็นที่ 98 วิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนะครับ - แก้เรื่องต้นทุนสินค้าทั้งระบบ  ดูตั้งแต่เมล็ดพืช  อย่าให้มีราคาสูงเกินไป  ปุ๋ย  ถ้ามีราคาสูงแล้วไม่สามารถคุมราคาได้  ให้เปิดนำเข้าเพื่อแก้ไขการผูกขาดนายทุน  แล้วราคาที่ผ่านพ่อค้าคนกลาง  จนถึงมือผู้ซื้อ  ถ้าพ่อค้าคนกลางกำไรมากเกินไป  ให้เปิดตลาดเกษตรประจำจังหวัด  ให้เกษตรกรมาลงสินค้าแล้วกำหนดราคากลางได้    ส่วนผลิตภัณฑ์อื่นที่ไม่ใช่พืชผลทางการเกษตรก็ทำแบบเดียวกัน  แต่เปิดเป็น warehouse เพื่อลดค่าครองชีพ - พัฒนาฝีมือแรงงาน   ถ้าแรงงานสามารถพัฒนาได้  ก็ได้ค่าจ้่างเพิ่มขึ้นเอง  ไม่ต้องร้องขอ  สมมุติว่าคนงานไปเรียนล้างแอร์มา  กลับมาล้างแอร์ให้โรงงานได้  แรงงานคนนั้นจะมีมูลค่าในตัวเอง   อย่างงานช่างไม้ (บิวอิน)  เป็นงานที่ขาดแรงงานฝีมือเป็นอย่างมาก   ส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากสอน  เพราะกลัวทำเป็นแล้วไปเปิดร้านเอง   ความรู้เหล่านี้รัฐต้องช่วยรากหญ้า  ช่วยฝึกงาน และช่วยหางาน  ตอนนี้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานทำจริง  แต่ไม่ค่อยทำเชิงรุก  ถ้าผมเป็นอธิบดี  ผมจะส่งจดหมายไปตามบ้านแรงงานเหล่านี้เลย  ว่ากรมมีโครงการอะไร  ใครสามารถเข้าร่วมได้บ้าง  ที่อยู่แรงงานก็ดูจากประกันสังคมก็ได้ สอนอะไรแรงงานดี    ผมว่างานพวกนี้มีงานตลอด ล้างแอร์   อาหาร   ช่างปูน  ช่างไฟ  ช่างไม้   ซ่อมมือถือ จากคุณ : PTKNC เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 11:13:47

ความคิดเห็นที่ 99 ^ ^ ช่างปูน อย่านึกว่าเป็นแรงงานขั้นต่ำนะครับ  ช่างปูนนี้ส่วนใหญ่จะทำงานซ่อมอะไรในบ้านได้  ทุบ  ก่อ  ฉาบ  ปูกระเบื้อง  ส่วนใหญ่จะรวมอยู่ในคนเดียว  ค่าแรงแบบเป็นลูกจ้างรายวัน  วันละ 300 ขึ้น  ถ้ารับงานเอง  ค่าแรงวันละ 500 ขึ้น  ถ้ารับเหมา (มีรถกระบะ) งานนึงกำไรหลายพัน จากคุณ : PTKNC เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 11:22:06

ความคิดเห็นที่ 100 ถ้าสูงมาก ๆ อีกหน่อย 1 บาทคงเท่ากับ 1 ดอง ละครับ จากคุณ : ton_21 เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 13:28:01

ความคิดเห็นที่ 101 อ้าปากก็เห็นถึงลำไส้ใหญ่ พวกนี้ คิดว่าเราโง่รึไง เอางี้ เริ่มจากบริษัทฯ ตัวเองก็เหอะ จากคุณ : RaTTeW เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 16:00:56

ความคิดเห็นที่ 102 ทำการค้า เสรีได้แล้ว ตอนนี้ การตั้งกำแพงภาษี สร้างเงินกับคนไม่กี่กลุ่ม จากคุณ : ก้นกบ เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 16:39:25

ความคิดเห็นที่ 103 คห69 "จำได้หรือไม่ครับ ไม่กี่ปีก่อน แกยังไม่ได้รับจัดอันดับเป็นอันดับหนึ่งเมืองไทย  แต่พอมา 2-3 ปีนี้แกขึ้นที่ 1 เลย ตามราคาอาหารที่แพงขึ้น ไก่ ขึ้น ไข่ ขึ้น หมูขึ้น บลา......." หุ้นของบริษัทแกขึ้นเยอะมากเลยคับ แกเลยมาเป็นที่ หนี่งงงงงง จากคุณ : ลุยดะ เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 54 22:54:42

ความคิดเห็นที่ 104 เน้น ย้ำอีกครั้งนะครับว่า ช่วยๆๆ กันกด VOTE ก็ดีนะครับ เพี่อที่ กระทู้จะได้อยู่ได้นานๆ นะครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 20:05:16

ความคิดเห็นที่ 105 ผมว่า สุดท้ายที่ได้คือ  "เงินเฟ้อ" แล้วในอนาคต ลูกหลาน จะซื้อ ข้าวจานละ300 ลูกอมถุงละ90 ไปจ่ายตลาดทีก็พกเงินไปเป็นแสน ไม่ต่างอะไรกับเงิน ดอง,กีบ,เยน ฯลฯ จากคุณ : aumpaump12 เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 54 22:46:57

ความคิดเห็นที่ 106 ผมว่ามันลึกซึ้งกว่าที่ทุกๆคนคิดนะ เห็นด้วยกับเจ้าสัว สินค้าเกษตรแพงแรงงานในเมืองก็จะกลับทำเกษตร ไม่ต้องห่วงส่วนนี้เพราะสินค้าเกษตรนับวันแพงขึ้นๆ ถ้าไม่รัฐไม่กักไว้ป่านนี้อาหารส่งออกหมดประเทศแล้ว ทั้งข้าวมันน้ำตาล ใครบอกว่าเกษตรกรไม่ได้ผมเถียงเลย มันสำปะหลังเมื่อก่อนเจ็ดสิบตัง ตอนนี้สามสี่บาทเห็นจะๆ อ้อยเมื่อก่อนตันละห้าหกร้อยตอนนี้พันกว่า อย่างข้าวถ้าทำแนวทางเจ้าสัวเอามาทำอาหารสัตว์ซะ ราคาเฉลี่ยเกินหมื่นต่อตันแน่ ยอมรับเจ้าสัวรับเต็มๆ แต่เกษตรลูกข่ายแกรับเต็มๆเช่นกันนะ ดูกันดีๆ ราคาทะยานเพราะพื้นที่เกษตรทั่วโลกเริ่มขาดแคลน "ตำแหน่งแรงงานในเมืองเยอะขึ้นแน่นอน ขอย้ำ" ตำแหน่งงานที่ต้องลดก็พวกที่นั่งพิมพ์ๆกันนี่แหละ (ได้เห็นแน่สาวออฟฟิตเป็นสาวโรงงาน หนุ่มออฟฟิตไปโบกปูน) ถามว่าใครเดือดร้อน คำตอบคือพนักงานกับคนในเมือง ค่าครองชีพสูงแน่ๆ แต่ต้องรับความจริงเพราะพวกนี้กินอาหารใช้ของในประเทศถูกกว่าความเป็นจริงมานานแล้ว "ของกินของใช้พลังงานไม่ใช่ของถูกครับ" ทางแก้ของคนในเมืองคือประหยัด ของฟุ่มเฟือยงด ใช้รถประจำทาง มีลูกเรียนโรงเรียนวัด และจริงๆไม่ยากนะ งดชาเขียว งดกาแฟสด งดบีบี งดกระเป๋ารองเท้าแพงๆ เอามากินข้าวขาวโลละห้าสิบ ข้างหอมมะลิโลละร้อย ทำไมจะทำไม่ได้!!! ตอนนี้เห็นเค้าลางแล้วครับเทรนนี้มาแน่..... ชาวนาชาวไร่ ขอไปนอนปราณบุรี ซื้อของพารากอน ออกรถซีวิค กินบุฟเฟ่ตามโรงแรม เที่ยวเกาหลี ทำแบบนี้บ้างเป็นไรล่ะครับ จากคุณ : ชาวไร่อ้อย เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 09:46:38 A:125.26.62.105 X: TicketID:312866

ความคิดเห็นที่ 107 พอเถอะ ไอพวกที่ชอบ กดหัว ชาวไร่ชาวนา ถ้าอยากกินข้าวถูกๆ นักก็ไปปลูกเองเถอะไป จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 17:16:48

ความคิดเห็นที่ 108 ในความเห็นของผม อยากให้ข้อสังเกตดังนี้ รัฐบาลขึ้นค่าแรง เป็นนโยบายเชิงประชานิยม และนายทุนนิยม ถ้าหากรัฐขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ รัฐควรมีความสามารถที่จะควบคุมกลไกการขึ้นราคาสินค้าได้ด้วย แต่รัฐไม่สามารถที่ควบคุมกลไกดังกล่าวได้ ยกตัวอย่างราคาน้ำดื่ม ผมก็ำ่ไม่เข้าใจว่าทำไมราคาน้ำดื่มถึงได้แพงขนาดนั้น ทั้งที่ต้นทุนการผลิตเราเองก็รู้กันดีอยู่ว่าเท่าไหร่ แต่เพิ่งจะมีการกวดขันเรื่องราคาตอนที่มีการร้องเรียนกันเข้ามามากๆ แสดงว่าการพิจารณาอนุมัติการตั้งราคาสินค้าไม่ได้มีความเข้มงวดกันตั้งแต่เริ่มต้น และไม่มีการตรวจสอบกันอย่างจริงจัง การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอ้างการขึ้นราคาได้อย่างง่าย ๆ ไม่มีกระบวนการขั้นตอนขอปรับขึ้นราคาใดๆ ที่จะเป็นการยับยั้งหรือ ถ่วงดุลไม่ให้ขึ้นราคาได้มากเกินไป องค์ประกอบที่ทำให้ไม่ชอบนโยบายของรัฐ หลาย ๆ อย่างเพราะ รัฐทำได้เพียงแค่เอาเงินภาษีประชาชน มาสร้างนโยบายแบบประชานิยม ซึ่งได้เพียงแค่ความชื่นชอบของใครบางคน แต่ยังไม่เคยเห็นนโยบายของรัฐที่เอามันสมอง และความสามารถ ลงไปแก้ไขปัญหา แบบยั่งยืน ที่แม้รัฐบาลไม่อยู่แต่โครงการยังสามารถทำให้ประเทศเจริญต่อไปได้ยาวๆ ยกตัวอย่างเช่น นโยบาลการแก้ปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ ภาคอีสาน แบบระยะยาว การแก้ปัญหาภัยแล้งระยะยาว การแก้ปัญหาผลผลิตเกษตรกรราคาตกต่ำ โครงการสนับสนุนSMEพัฒนาศักยภาพ และตลาดให้เติบโตทั้งในและต่างประเทศที่ชัดเจนและเห็นผลจับต้องได้ก็ไม่มี มีแต่ปล่อยเงินกู้ ปล่อยเงินกู้ คิดได้เท่านี้ แผนงานพัฒนาด้านการศึกษาสำหรับเยาวชนที่ชัดเจนก็ไม่มี มีแต่ให้เรียนฟรี แจกโน่นแจกนี่ เหล่านี้คือองค์ประกอบชี้วัด ว่ารัฐจะทำอะไรก็ทำได้แต่เพียงฉาบ ๆ ไม่มีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ไม่ชัดเจน สร้างภาพได้สวยงาม แต่ไม่เคยมีพูดถึงผลการประเมินด้านความสำเร็จ การทำโครงการแบบนี้ถ้ามันไม่มีความสอดประสานสอดคล้องไปด้วยกัน มันก็ทำให้มองไม่เห็นประโยชน์มีแต่จะสร้างปัญหา ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ ถ้าหากรัฐมีการเตรียมการที่ดีเช่น มีการผลักดันให้ SME เติบโต ขยายตัวได้อย่างดี มีการสนับสนุนให้SME ทำตลาดได้ง่ายขึ้น มากขึ้น ผลักดันอุตสาหกรรมในประเทศให้เติบโต มันจะรู้สึกดีได้แม้ว่าจะขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ แต่รัฐไม่ได้เตรียมรากฐานอะไรไว้เลย เสียเวลาไปเปล่า กับการออกนโยบายง่าย ๆ ปล่อยกู้ เรียนฟรี ขึ้นค่าแรง อบรมต้นกล้าอะไรเนี่ย นับได้แค่เนี้ย กับเวลาที่สูญเสียไป ไม่ได้เอาไปพัฒนาอะไรให้ได้มากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นเลย จะว่าใช้เวลานั่งคิดนโยบายเอาใจประชาชนเสียมากกว่าก็ว่าได้ สรุปการขึ้นค่าแรงถ้าไปพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดี มันก็ไม่มีปัญหา ปัญหาคือ ไม่เห็นว่าเศรษฐกิจจะไปถึงไหนของก็แพงเอา แพงเอา อย่างนี้ขึ้นค่าแรงไปก็ไม่มีประโยชน์ เผลอๆ จะเสียคะแนนนะจะบอกให้ จากคุณ : ขอออกความเห็ฯ เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 20:04:57 A:124.120.130.57 X: TicketID:312922

ความคิดเห็นที่ 109 เรื่องสองสูง สองสูงคือเงินเดือนข้าราชการ กับสินค้าเกษตร ซึงมันต่ำผิดปกติ สองสูงมองอีกมุมคือการกระจายเงินให้ทั่ว การพัฒนาบนพื้นฐานความเป็นจริง แล้วทำได้ นับดูดีๆภาษีย้อนกลับเข้าระบบมันดีกว่ากระจุกอยู่ที่กรุงเทพ จริงๆ เห็นหลายๆคนด่าเจ้าสัวว่าเห็นแก่ได้ก็ไม่ถูก ถามจริงอย่าง 7-11 จ้างงานเท่าไร ของแพงกว่าปกติไม๊เทียบกับร้านอาแป๊ะปากซอย ของห่วยกว่าไม๊ บริการแย่กว่าไม๊ ถ้าแกไม่ทำขึ้นมา คุณภาพสังคมแถวนั้นมันดีเหรอ ถามใจตัวเองกันก่อน ก่อนด่าเจ้าสัว จากคุณ : ชาวไร่อ้อย เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 54 20:29:38 A:125.26.18.85 X: TicketID:312866

ความคิดเห็นที่ 110 เกษตรกรน้ำตาตก พาณิชย์ ไฟเขียว ปุ๋ยขึ้นราคา 14-35% มีผล 8 เม.ย.นี้ นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาปุ๋ยเคมี เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติให้ปรับขึ้นราคาขาย ณ โรงงาน และราคาขายปลีกปุ๋ยเคมีที่มียูเรีย เฉลี่ย14-35% ตามสูตร โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย. เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุดิบยูเรียนำเข้าที่ได้ปรับสูงขึ้นเฉลี่ยราว 106 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือ 3,200 บาท จากเดิมราคาซี.ไอ.เอฟ. เมื่อเดือนก.ย. 53 ตันละ 313 เหรียญสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มเป็น ตันละ 419 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน จึงได้อนุมัติให้ปรับขึ้นราคาในสัดส่วนเท่ากับต้นทุนที่ปรับขึ้น “สาเหตุที่ต้นทุนปรับขึ้นจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกขยับสูง ทำให้ราคายูเรียซึ่งเป็นสินค้าเกี่ยวข้องปรับขึ้นตาม ประกอบกับหลายประเทศเพิ่มการปลูกพืชพลังงานทดแทน และมีการขยายพื้นที่ปลูกสินค้าเกษตรมากขึ้น และประเทศจีนซึ่งเป็นแหล่งส่งออก ก็ได้ปรับเพิ่มภาษีส่งออก จาก 7 เป็น 110% เพื่อลดปริมาณการส่งออก จึงกระทบต่อต้นทุนการผลิต เพราะเราต้องนำเข้าวัตถุดิบเป็นหลัก” นางวัชรีกล่าว สำหรับหลักเกณฑ์ในการปรับขึ้นราคาครั้งนี้ ได้พิจารณาให้ปรับขึ้นในสัดส่วนเดียวกับต้นทุนนำเข้า โดยกำหนดเป็นราคาขายส่ง หน้าโรงงาน และราคาขายปลีกของแต่ละสูตร ดังนี้ 1) ปุ๋ยยูเรียสูตร 46-0-0 ราคานำเข้าเพิ่มขึ้นจาก 9,703 บาทต่อตัน เป็น 12,113-12,913 บาทต่อตัน จึงปรับขึ้นราคาขาย ณ โรงงานจากเดิม 11,000 บาทต่อตัน เป็น 13,410-14,210 บาทต่อตัน หรือ จากเดิม 550 บาทต่อถุง เป็น 671-711 บาทต่อถุง ส่วนราคาขายปลีก กมท. เพิ่มจาก 584 บาทต่อถุง เป็น 725-765 บาทต่อถุง โดยราคาขายปลีกภาคเหนือ 762-866 บาทต่อถุง ภาคอีสาน 786-821 บาทต่อถุง และภาคใต้ 807-864 บาทต่อถุง สูตร 15-15-15  ราคานำเข้าเพิ่มขึ้นจาก 11,935 บาทต่อตัน เป็น 13,606-14,247 บาทต่อตัน จึงได้ปรับขึ้นราคาขาย ณ โรงงานจากเดิม 14,000 บาทต่อตัน เป็น 15,671-16,342 บาทต่อตัน หรือ จากเดิม 700 บาทต่อถุง เป็น  784-816 บาทต่อถุง ส่วนราคาขายปลีก กมท. เพิ่มจาก 734 บาทต่อถุง เป็น 838-870 บาทต่อถุง สูตร 16-20-0 ราคานำเข้าปรับขึ้นจาก 10,385 บาทต่อตัน 11,230-12,721 บาทต่อตัน จึงได้ปรับขึ้นราคาขาย ณ โรงงานจากเดิม 11,500 บาทต่อตัน เป็น 12,345-13,836 บาทต่อตัน หรือจาก 575 บาทต่อถุง เป็น 618-692 บาทต่อถุง และราคาขายปลีก กทม. จาก 609 บาทต่อถุง เป็น 672-746 บาทต่อถุง และปุ๋ยยูเรีย 21-0-0 ราคานำเข้าปรับขึ้นจาก 4,495 บาทต่อตัน เป็น 5,634-6,495 บาทต่อตัน จึงได้ปรับราคาขาย ณ โรงงาน จาก 6,000 บาทต่อตัน เป็น 7,139-8,000 บาทต่อตัน หรือจาก 300 บาทต่อถุง เป็น 357-400 บาทต่อถุง และปรับราคาขายปลีก กทม. จาก 334 บาทต่อถุง เป็น 411-454 บาทต่อถุง อย่างไรก็ตาม กรมการค้าภายในจะสั่งติตตามสถานการณ์ต้นทุนปุ๋ยอย่างต่อเนื่อง เพื่อจัดประชุมประเมินสถานการ์ทุกเดือนและอาจจะมีการปรับราคาขึ้นลงหลังจากนี้ โดยหากสถานการณ์ราคาวัตถุดิบปรับราคาลดลงทางกรมฯ ก็จะพิจารณาปรับราคาลง เช่นเดียวกับปี 2551 และปี 2553 ซึ่งได้มีการปรับราคาปุ๋ยยูเรียลดลง 8-24% อีกทั้งจะศึกษาความในไปได้ในการจัดทำปุ๋ยธงฟ้า เพื่อลดภาระให้กับเกษตรกรต่อไป ด้านนายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวว่า การปรับขึ้นราคาปุ๋ยส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของชาวนาแน่นอน โดยเฉพาะการปรับขึ้นราคาปุ๋ยสูตร 46-0-0 และปุ๋ยสูตร 16-20-0  ซึ่งจะเริ่มซื้อเพื่อเตรียมการปลูกฤดูใหม่ในช่วงหลังจากเดือนพ.ค. เป็นต้นไป ด้านนายเปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช นายกสมาคมการค้าปุ๋ย และธุรกิจเกษตรไทย กล่าวว่า แนวโน้มความต้องการใช้ปุ๋ยของไทยในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 4.7 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อน 5.14 ล้านตัน โดยปริมาณความต้องการใช้สุงสุดคือปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 ราว 2 ล้านต้น สำหรับปริมาณสต็อกปุ๋ยนับตั้งแต่ม.ค. 2554 มี 1 ล้านตัน ใช้ไปแล้ว 6 แสนตัน จนถึงขณะนี้เหลือปุ๋ยในสต็อกราว 4 แสนตัน ซึ่งหลังจากปรับขึ้นราคา  ผู้ประกอบการจะเพิ่มปริมาณการผลิต และนำเข้าแม่ปุ๋ยมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ ที่มา https://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1302165718&grpid=03&catid=05 Oppppsss ค่าแรงคนขึ้นเยอะ ค่าปุ๋ยเลยต้องขึ้นตาม เดี๋ยวค่าข้าว ค่าอาหาร แพงตาม เราต้องกดเงินเดือนคน ลดเงินเฟ้อกันต่อไป เดี๋ยวน้ำมัน เดี๋ยวข้าว เดี๋ยวอาหาร มันลดลงเอง เพราะคนไม่มีเงินซื้อกิน รัฐบาลไม่แทรกแซง ไม่กดราคาสินค้า คนจนซื้อกินไม่ได้ มีรัฐบาลทำอะไรฟะ เอาใจพ่อค้านี่หว่า รัฐบาลไม่มีหัวคิด รัฐบาลแทรกแซง กดราคา ไม่เป็นไปตามกลไกตลาด หาเสียงประชานิยมกับคนจน จะเลือกตั้งแล้วนี่ รัฐบาลไม่กดราคาน้ำมัน ไม่ลดภาษีสรรพสามิตร ขึ้นราคาดีเซล ขึ้นราคาก๊าซ ขึ้นราคาเบนซิน ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด แทนที่จะลดภาษีช่วยคนในชาติ ทำให้ประเทศชาติแข่งขันได้ ไม่ทำ มีรัฐบาลโง่ๆ รัฐบาลกดราคาน้ำมัน ลดภาษีสรรพสามิตร ไม่ขึ้นดีเซล ไม่ขึ้นราคาก๊าซ แต่ขึ้นราคาเบนซิน เอามาชดเชย ไม่เป็นไปตามกลไกตลาด หาเสียงประชานิยมกับคนจน จะเลือกตั้งแล้วนี่ จากคุณ : Special Theory of Relativity เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 01:12:45

ความคิดเห็นที่ 111 ถึงเวลาน่าจะยอมรับกันได้แล้ว ข้อมูลก็มีหาอ่านได้ในเน็ต สาเหตุที่ราคาสินค้าต่างๆขยับสูงขึ้นในปัจจุบัน เป็นเพราะราคาต้นทุนทั่วโลกสูงขึ้น ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้ และเป็นทั่วโลก ไม่ได้เฉพาะในไทย จะขึ้นค่าแรง ไม่ขึ้นค่าแรง เงินก็เฟ้อมาก โดยเฉพาะปัจจัยจากน้ำมัน ไม่เกี่ยวกับสองสูง สองต่ำ คอยดูอาชญากรรมจะพุ่ง เพราะเป็นทางหาเงินง่าย จากคุณ : Special Theory of Relativity เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 01:18:07

ความคิดเห็นที่ 112 และต่อไปเสถียรภาพเงินบาทจะตามมา บาทแข็ง จากคุณ : Special Theory of Relativity เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 01:26:42

ความคิดเห็นที่ 113 คนที่คิดทฤษฏีนี้ก็ต้องการให้เอื้อประโยชน์กับธุรกิจของเขาเท่านั้นเอง ลองดูซิว่ามีใครทำกิจการประเภทต่อไปนี้กับเจ้าสัวแล้วรวยได้จริง เลี้ยงไก่  7-11  เลี้ยงปลา จากคุณ : Lumpu เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 15:35:06

ความคิดเห็นที่ 114 ความคิดเห็นที่ 113 การลงทุนมีหลายประเภท อย่าบ้องตื้อครับ cpf cpall มีครับ ซื้อเลย มันแพงไปมากตอนนี้จริงอยู่ แต่เฉลี่ยๆซื้อมันทุกๆเดือนพอได้อยู่ เก็บยาวๆเลย รวยกันมาเยอะแล้วครับ พวกกองทุน กบข กองทุนประกันสังคม ถือ cpall เยอะนะครับ ยังพวกกองทุนย่อยๆใหญ่ๆอีกเพียบ จะว่าอะไรใครต้องดูความจริง อย่าอคติครับไม่ดี จากคุณ : ชาวไร่อ้อย เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 15:51:35 A:180.180.111.145 X: TicketID:312866

ความคิดเห็นที่ 115 เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา 7-11 คนที่เค้าทำได้เงินเค้าเงียบครับ มีเยอะมากๆด้วย จากคุณ : ชาวไร่อ้อย เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 54 15:57:11 A:180.180.111.145 X: TicketID:312866