ความคิดเห็นที่ 1 แนะนำให้น้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ ตอนนี้เดือน พ.ค. หนีตอนนี้ยังทัน ปลายเดือน ธ.ค. ค่อยกลับมา น้องก็จะอยู่เมืองไทยไม่เกิน 180 วันในปี 2554 นี้ ก็เข้าเงื่อนไขที่ไม่ต้องเสียภาษี ถ้าสรรพากรมารีดภาษีก็บอกไปว่าอยู่เมืองไทยไม่เกิน 180 วัน ไม่ต้องเสียภาษี แถมเงิน 500,000 ที่หักไปขอคืนได้ด้วย เงิน 10 ล้าน น่าจะเสียภาษีประมาณ 3 ล้าน ยอมดรอปเรียนไปปีหนึ่งเพื่อเงิน 3 ล้าน ยังไงก็คุ้ม จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 11:17:07

ความคิดเห็นที่ 2 เจอหัก ณ ที่จ่ายก็มากกว่าเงินเดือนผมทั้งปีแล้วอะ แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 54 11:29:34 จากคุณ : toiletme เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 11:28:00

ความคิดเห็นที่ 3 เงิน 10 ล้าน เป็นเงินสดจริงๆ ประมาณ 5 ล้านบาทครับ นอกนั้นเป็นพวกคอนโด รถยนต์ อย่างหลังต้องเสีย Rate 3% เหมือนกันไหมครับ ถ้าเสียจริง จากเงินสดๆ 5 ล้านบาท หัก ณ ที่จ่ายก็เหลือแค่ 2 ล้านบาทเท่านั้นหล่ะ จากคุณ : Urban_Park เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 13:20:02

ความคิดเห็นที่ 4 หัก ณ.ที่จ่าย 5% คิดหมด และเวลาคำนวณภาษีปลายปีต้องจ่ายเพิ่มอีกด้วย รวมแล้วประมาณ 3 ล้าน ทั้งเงินสด บ้าน รถยนต์ ฯลฯ คิดหมด ดังนั้นจะให้ปลอดภัยต้องหนีไปต่างประเทศ เพื่อให้ตัวเองเข้าข่ายยกเว้นภาษี คืออยู่ประเทศไทยไม่เกิน 180 วัน จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 15:34:35

ความคิดเห็นที่ 5 #1 ไอเดียเจ๋งมากๆ จากคุณ : Dragon_L เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 15:39:25

ความคิดเห็นที่ 7 เอา คชจ. การโหวตมาลบ  น่าจะเบาขึ้น  555 จากคุณ : runmanu เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 17:04:00

ความคิดเห็นที่ 8 1) เหตุใดจึงถือเป็นเงินได้พึงประเมินทั้งจำนวน 10 ล้านบาท .....? เงินได้พึงประเมิน ตามกฎหมาย เงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เรียกว่า "เงินได้พึงประเมิน" หมายถึงเงินได้ของบุคคลใดๆ หรือหน่วยภาษีใดข้างต้นที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม ของปีใดๆ หรือเงินได้ ที่เกิดขึ้นในปีภาษี ได้แก่ 1.เงิน (ที่ได้รับจริง-เกณฑ์เงินสด) 2.ทรัพย์สินซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงินที่ได้รับจริง (ที่ได้รับจริง-เกณฑ์เงินสด) 3.ประโยชน์ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน (ที่ได้รับจริง-เกณฑ์เงินสด) 4.เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้ 5.เครดิตภาษีตามที่กฎหมายกำหนด ฉะนั้น key สำคัญ คือ 1) เงินสด (ชัดเจนในตัวมันเอง) ที่ดิน รถยนต์ (ถือเป็นทรัพย์ซึ่งตีราคาเป็นมูลค่าได้) 2) การจ่ายเงินรางวัล ในรอบบัญชีไหน ก็ต้องถือว่ารอบบัญชีนั้นมี เงินได้พึงประเมิน 3) และหากให้ผู้อื่นรับรางวัลแทน ก็อาจถือได้ว่า ผิดเจตนาการมอบรางวัล และอาจเจอคดีหลีกเลี่ยงภาษีอีก 4) ถ้าผลจากการประกวดทำให้ได้มาซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้น ในปี 2554 (และสามารถตีมูลค่าได้) สรรพากรย่อมมีอำนาจในการสืบค้นต่อในประเด็นนี้อีก อาทิเช่น .... การร้องเพลง การโชว์ตัว การออกรายงานสัมภาษณ์ เล่นละคร ฯลฯ ******* ****** ****** ***** 2) เหตุใด จึงต้องถือเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อคำนวณภาษี.... การพิจารณาว่าต้องจ่ายภาษีหรือไม่ พิจารณาหลักเกณฑ์ 2 ข้อ คือ แหล่งที่มาของเงินได้ กับแหล่งถิ่นที่อยู่ (ม.41 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฏากร) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นภาษีที่จัดเก็บตามหลักแหล่งที่มาของเงินได้ (Source Rule) กล่าวคือ ให้พิจารณาที่มาของเงินได้ว่าเป็นเงินได้ที่เกิดจากแหล่งในประเทศไทย หรือเกิดจากแหล่งนอกประเทศไทย 1) บุคคลผู้ใดก็ตามไม่จำกัดเชื้อชาติ หรือสัญชาติใด หากมีเงินได้ที่ต้องเสียภาษีอันเกิดจากแหล่งในประเทศแล้ว ต้องมีหน้าที่เสียภาษีในประเทศทั้งสิ้น ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม 2) หากผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยถึง 180 วัน ในปีภาษีใด (ปีประดิทิน) กฎหมายถือว่าเป็น ผู้อยู่ในประเทศไทยในปีภาษีนั้น ซึ่งนอกจากมีหน้าที่จะต้องเสียภาษีเงินได้จากแหล่งเงินได้ที่เกิดในประเทศไทยแล้ว หากมีเงินได้เกิดจากแหล่งนอกประเทศไทยแล้วนำเงินได้นั้นเข้ามาในประเทศไทย ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยสำหรับเงินได้ที่นำเข้ามาในปีภาษีที่อยู่ในประเทศไทยด้วย กรณีนี้ เข้าเงื่อนไข คือ 1) มีเงินได้จากในประเทศไทย 2) ผู้จ่ายเงินได้ มีสถานประกอบกิจการในไทย จึงทำให้ต้องถือเงินได้มาเพื่อคำนวณภาษีเท่านั้น หากผู้มีเงินได้ อยู่ในไทย ไม่เกิน 180 วัน ก็ย่อมไม่มีผลแห่งความรับผิดในการเสียภาษี น่ากลัวเนอะ.....เรื่องวุ่นๆ ของคำว่า "ภาษี" จากคุณ : 234 เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 17:53:14 A:180.180.121.24 X: TicketID:288777

ความคิดเห็นที่ 9 มาคิดอีกที จริงๆแล้วแบบ คห1 ไม่น่าทำได้นะครับ เพราะแหล่งเงินได้(บรรดาเงินรางวัลทั้งหลาย)ถือเป็นเงินได้ที่เกิดขึ้นจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในไทย จาก "แหล่งเงินได้ตามมาตรา 41 แห่งประมวลรัษฎากร มีประเด็นสำคัญ คือ ใครบ้างมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในประเทศไทย มาตรา 41 ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่งาน หรือกิจการที่ทำในประเทศไทย หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย ต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ" ส่วนกรณีที่ คห1 วางแผนมา จะทำได้สำหรับการที่น้องเขาไปประกวดรายการในต่างประเทศได้รางวัลมา แล้วหาทางไม่อยู่ในไทยรวมแล้ว180วันในปีภาษี ก็จะไม่ต้องเอารายได้ที่เกิดในปีนั้นมารวมคำนวณเป็นเงินได้ครับ "ผู้อยู่ในประเทศไทยมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ต้องเสียภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใด ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย" ผมลองอ่านเพิ่มมาจากเวบนี้ครับ http://tax.bugnoms.com/tax/source-of-income/ การตีความ: มาตรา 41 วรรค 1 ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว (1) เนื่องจากหน้าที่งาน หรือ (2) กิจการที่ทำในประเทศไทย หรือ (3) เนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย ต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ สรุปหลักสำคัญ: ต้องพิจารณาว่าแหล่งเงินได้ที่มานั้นเกิดที่ไหน ในประเทศหรือต่างประเทศ 1. ถ้าเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทย ถือว่า แหล่งเงินได้ เกิดขึ้นในประเทศไทย) 2. ดูหน้าที่การงาน ทรัพย์สินในประเทศไทย หรือกิจการของนายจ้างในประเทศไทย ถือว่า เป็นแหล่งเงินได้ในประเทศไทย เช่นกัน ถ้าเข้าองค์ประกอบข้อใดข้อหนึ่งใน 2 ข้อ ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าเป็นใคร และ ไม่สนใจว่าจ่ายที่ไหน ตัวอย่าง เช่น เลดี้ กรากรา เดินทางเข้ามาทำงานเป็นงานพิเศษและอยู่เมืองไทยไม่ถึง 180 วัน แล้วบินออกไป และโอนเงินกลับไปที่อังกฤษ เลดี้ กรากรา ต้องเสียภาษีหรือไม่ ตอบ เข้าวรรคแรก คือ ขอให้มีเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทยก็พอ (สแกนที่มาของเงิน อย่าดูตัวคน หรือการจ่ายเงิน ถือเป็นตัวรอง) เพราะฉะนั้นมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในประเทศไทย มาตรา 41 วรรค 2 ผู้ที่อยู่ในประเทศไทย มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว (1) เนื่องจากหน้าที่งาน หรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือ (2) เนื่องจากจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ต้องเสียภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนี้เข้ามาในประเทศไทย ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่ง หรือหลายระยะ รวมเวลาทั้งหมดถึง 180 วันในปีภาษีใดให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้ที่อยู่ในประเทศไทย โดยระยะเวลา 180 วันนับจากวันที่ใน พาสปอร์ตที่เข้ามาในประเทศไทย สรุปหลักสำคัญ: ดูว่าเงินได้เกิดที่ไหน (ที่มาของเงิน: แหล่งเงินได้นอกประเทศ) + นำเงินได้พึงประเมินนี้เข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกัน* จึงค่อยนำมาพิจารณาว่าอยู่ในประเทศไทยเกินกว่า 180 วันหรือไม่ ปีภาษีเดียวกัน หมายถึง ถ้านำเงินได้เข้ามาเหลื่อมปี จะไม่เสียภาษี เป็นมติของคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายและอุทธรณ์หรือคำร้องกรมสรรพากร (ก.พ.อ) ครั้งที่ 2 ลงวันที่ 21 ก.พ. 2528 ซึ่งระบุว่าผู้มีเงินได้ต้องนำเงินได้เข้ามาในปีภาษีเดียวกับที่ได้รับเงินได้เท่านั้น จึงจะต้องเสียภาษี ตัวอย่าง พะราดอนแท็ก เป็นนักเทนนิสชื่อดังไปตีเทนนิสในต่างประเทศ และมีเงินได้เกิดขึ้นในต่างประเทศ ให้ดูที่มาของเงิน เงินเกิดนอกประเทศไทย ภ.จะเสียภาษีเมื่อ 1. ดูว่าปีนั้น พะราดอนแท็ก อยู่ในประเทศไทยถึง 180 วันหรือไม่ 2. พะราดอนแท็ก จะต้องนำเงินได้นั้นเข้ามาในปีภาษีเดียวกันกับที่มีเงินได้ แต่ถ้าดึงเงินไว้ รอให้เกินปี แล้วค่อยนำเงินได้เข้ามาในไทยก็จะไม่เสียภาษี จากคุณ : EncodeO เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 19:04:35

ความคิดเห็นที่ 10 เรื่องวุ่นๆ ของภาษี ไม่แม่นจริง อย่าคิดหาแท๊กติก เฮียสรรพแกเขึ้ยวลากดินเรื่องนี้ เก็บทุกเม็ด น้องไมร่า ถ้าไม่อยากเสียภาษี เงินก้อนนี้ มีอย่างเดียว หอบเงินกลับอเมริกาไปอยู่กับพ่อ เรียนจบป.ตรี เค้ากลับมาเิยี่ยมบ้านแม่ อาจหมดอายุความในการเรียก กฎดึงเงินข้ามปี แท็กติกนี้ ใช้กันเยอะสำหรับคนมีเงินได้จากเมืองนอก แต่มุกนี้ เฮียสรรพรู้ เห็นบอกจะหาทางแก้ แต่บอกมาหลายปี ยังหาทาแก้มุกนี้ไม่ได้ 555 จากคุณ : jojoja เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 21:02:34