ความคิดเห็นที่ 1 เราทำธุรกิจเล็กๆ ลงทุนครั้งแรกก็หลักแสน เงินลงทุนต่อวันหลักหมื่นขึ้น รายได้ต่อเดือนก็หกหลัก คุณทำธุรกิจมานานหรือยัง การทำธุรกิจแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน ใช้เงินลงทุนไม่เท่ากัน ผลกำไรแต่ละธุรกิจก็ไม่เท่ากันด้วย คุณจะดูที่การลงทุนอย่างเดียวไม่ได้ การทำธุรกิจเพื่อต้องการได้ผลกำไรมาก ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง จากคุณ : + (เสาร์สีแสด) เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 54 23:34:59

ความคิดเห็นที่ 2 เราลงทุนครั้งแรก 3 ล้าน ทำโรงงานเล็กๆ 4ปีใช้พี่ชายหมดกำไร 2ล้านให้แม่ ปัจจุบันไม่มีเงินod แต่มีโรงงาน+ สินทรัพย์ ใช้เงินหมุนเวียนจากรายได้ ข้อเสียคือ statement ไม่สวยถ้าใช้เงินทีมีอยู่ไปซื้อวัตถุดิบหมด มันดึตรงคุมค่าใช้จ่ายได้ ต้องมีรายได้ที่มีกำไรพอจ่ายค่าใช้จ่ายหมุนเวียนและคงที่ มีเงินกินขนม ไปเที่ยว ซื้อรถ ไปสปา ซื้อบ้าน จากคุณ : aaa เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 54 23:45:45 A:110.49.249.58 X: TicketID:318204

ความคิดเห็นที่ 3 คำถามครอบจักรวาล ต้องการคำตอบแบบเจาะลึก.... ตอบยากจังเลยค่ะ.... จากคุณ : 234 เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 00:02:05 A:182.53.42.65 X: TicketID:288777

ความคิดเห็นที่ 4 ธุรกิจแต่ละอย่าง มีกำไรต่อยอดขาย หรือที่เขาเรียก profit margin ไม่เท่ากันครับ ผู้รู้บอกว่า  มันขึ้นกับแรง 5 แรง หรือ 5 force คือ 1. ความรุนแรงของการแข่งขันในธุรกิจนั้น  แข่งขันรุนแรง ก็ตัดราคากันมาก 2. อำนาจต่อรองลูกค้า  ถ้าลูกค้ามีทางเลือกมาก คุณตั้งราคาสูงๆไม่ได้ ก็กำไรน้อย 3. อำนาจต่อรอง supplier ของคุณ  ถ้าคุณสั่งของจากเขาได้คนเดียว ไม่มีทางเลือกอื่น เขาก็ขายได้แพงๆ 4. สินค้าทดแทน  ถ้าลูกค้าใช้อย่างอื่นแทนสินค้าคุณได้ กำไรก็ลดลง 5. กำแพงกั้นผู้มาใหม่  ถ้าธุรกิจคุณต้องใช้เงินมากลงทุน หรือไม่ก็ต้องใช้ know how ต้องใช้เทคโนโลยี่ ต้องมีใบอนุญาต  คนใหม่ๆก็เข้ามายาก  คนเก่าๆก็สามารถมีกำไรมากๆได้ พวกนี้แหละครับ  คุณลองพิจารณาดู คุณจะเห็นภาพของธุรกิจคุณชัดเจนขึ้น ว่าคุณกำลังอยู่ในธุรกิจที่ การแข่งขันสูง ทำให้กำไรน้อยหรือเปล่าครับ จากคุณ : ป้อม (Bgate) เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 03:17:22

ความคิดเห็นที่ 5 จากการตั้งคำถาม จขกท.คงยังไม่ได้ทำธุรกิจ เพราะนักธุรกิจจะรู้ว่า ต้องให้ข้อมูลที่สำคัญตรงใหนบ้าง เพื่อที่จะได้คำตอบที่ตัวเองต้องการ แต่ถ้าลงมือทำแล้ว ก็น่าเป็นห่วงในขีดความสามารถที่จะรักษาธุรกิจไว้ได้ ผลกำไรของกิจการอยู่ที่ส่วนต่างของต้นทุน กับราคาขาย ต้นทุนนั้น มีทั้งต้นทุนคงที่กับต้นทุนผันแปร ต้องวิเคราะห์กิจการให้ได้ว่า เป็นสัดส่วนเท่าไร ยิ่งต้นทุนคงที่มากเท่าไร ความเสี่ยงของกิจการยิ่งมากเท่านั้น จำนวนเงินลงทุน กับผลกำไร ขึ้นอยู่กับวงรอบการไหลเวียน ยิ่งหมุนเร็วเท่าไร ยิ่งกำไรมากขึ้นเท่านั้น เมื่อไม่มีข้อมูลอะไรให้เลย จึงตอบได้เฉพาะหลักการเท่านั้น จากคุณ : พี (peh_chai) เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 06:57:17

ความคิดเห็นที่ 6 15 ล้านครับ จากคุณ : นักการตลก สีหวาน (Dr. Will) เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 07:09:06

ความคิดเห็นที่ 7 ตอนเริ่มต้นไม่มีเงินลงทุน มีแต่ตลาดที่มีศักยภาพมีกำลังซื้อสูง เช่น ซี.พี.,เบทาโกร, ซันแวลเล่ย์,ไบเออร์ไทย ฯลฯ ลูกค้ามีความสามารถในการชำระเงินดี และซัพพลายเออร์รายใหญ่สนับสนุนให้เครดิตทางการค้า 90 วัน นำมาหมุนเวียนในธุรกิจได้โดยไม่ต้องกู้เงินจากธนาคาร กำไรเบื้องต้นประมาณ 10 % ใช้หลักการบริหารจัดการให้มี net profit 10% และมี %สูญเสีย 0% โดยมีหลักการง่ายๆดังนี้ -ขายให้ได้ก่อนซื้อหรือผลิตสินค้า -รับเงินมัดจำบางส่วนหรือทั้งหมดก่อนผลิตสินค้าหรือบริการ -แปลงโสหุ้ยให้เป็นต้นทุนขาย -รักษาส่วนต่างให้ห่างมากที่สุด -บริการลูกค้าจัดลำดับความสำคัญ ทำมาประมาณ 16-17 ปีแล้ว นำกำไรสะสมมาสร้างโรงงานและโกดัง ให้ลูกค้าเช่า เพื่อเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง และเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันให้สูงขึ้น ปัจจุบันสามารถทำ net profit ได้มากขึ้น กว่า 20% ในกลุ่มลูกค้าหน่วยงานราชการและอุตสาหกรรมทั่วไป จากคุณ : pc เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 08:08:17 A:101.108.29.22 X: TicketID:315677

ความคิดเห็นที่ 8 พิมพ์มายาวเฟื้อย หายไปหมดเลย จากคุณ : =Le 29 juin= เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 09:43:47

ความคิดเห็นที่ 9 มันอยู่ที่ธุรกิจด้วยครับ ธุรกิจเช่น commodity trading ที่มีการแข่งขันสูง บางทียอดขายปี ๆ หนึ่งหลายพันล้าน แต่กำไรต่อปีแค่ 1-2 ร้อยล้านเท่านั้น คิดเป็น gross margin ก็อาจซัก 10-15% .... และ net profit margin 1-5% ถ้าเป็นแบบนี้ คุณก็ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนที่มาก ๆ หรือมีการเจรจากับ supplier ให้ได้เครดิตยาวกว่าเครดิตลูกหนี้ แต่ถ้าธุรกิจของคุณเป็นแบบ niche หรือ speicalty ยอดขายคุณอาจจะแค่ 200-300 ล้าน แต่ gross profit อาจจะ 50% และ net profit อาจจะ 20-30% เช่นขายเพชรพลอย เครื่องประดับ หรืองานฝีมือ สิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น อันนี้ก็คือข้อแตกต่าง มีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ประสิทธิภาพการบริหารงาน ที่จะเป็นตัวกำหนดเงินทุนหมุนเวียนเหมือนกัน ถ้าธุรกิจคุณไม่รู้จักการต่อรองเครดิตกับ supplier และใจอ่อนให้เครดิตลูกค้ายาว ๆ เงินคุณก็จมเป็นเดือน ๆ ไปตามยอดขายนั่นแหละ ถ้าเป็นทุนส่วนตัวก็น่าเสียดายค่าเสียโอกาส แต่ถ้าเป็นเงินกู้ระยะสั้นก็ต้องระวังต้นทุนในส่วนของดอกเบี้ยและค่าปรับด้วย จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 12:56:17

ความคิดเห็นที่ 10 #4 ไม่บอกให้หมดว่า ลอกความคิดมาจาก Michael E.porter เรื่อง 5 Force ในหัวข้อ International business จากคุณ : พด เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 19:17:54 A:124.122.213.40 X: TicketID:314898

ความคิดเห็นที่ 11 5 force model มันก้อธรรมดานิค่ะ คนเรียนบริหารก้อรู้ทุกคน ยกเป็นตัวอย่างได้ จากคุณ : aaa เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 20:18:27 A:110.49.235.220 X: TicketID:318204

ความคิดเห็นที่ 12 ผมลงทุน 7m ได้เดือนละ 210k จากคุณ : idolking เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 22:41:22

ความคิดเห็นที่ 13 กว้างอ่ะครับ คำถามคุณ แต่เอาธุรกิจครอบครัวผมละกัน เอาทั้งหมดราวๆน่าจะเกือบ 10ล้านมั้ง (ปล่อยไฟแนน) เพราะทำมาหลายปีไหนจะรวมปล่อยดอกที่อื่นอีก รายได้สุทธิจริงๆราวๆ 2-3แสนกว่าๆครับ   เหมือนจะลงทุนเยอะแต่ได้กำไรน้อยจริงครับ แต่งานสบายมาก  พ่อแม่ผมแทบไม่ต้องทำไรเลย มีผมทำช่วยก็ไม่มาก ผมก็กินเป็น%  จากทางร้านเหมือนกัน  สรุปงานสบาย งานสบาย เงินหมุนถ้าเทียบกับรายได้สุทธิ ผมว่าก็พอดีนะ จากคุณ : red-racket เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 54 14:49:44

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณทุกท่านนะครับ จากที่ดูๆลงทุนประมาณ10-15ล้าน กำไร 2 แสนกว่า  แสดงว่าของผมก็โอเคแล้วละครับ พอๆกันครับ จากคุณ : CivicFD เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 54 23:57:45