Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
วันฟ้าหม่น ติดต่อทีมงาน

เพื่อนๆหลายๆคนคงเคยพบหรืออาจจะกำลังประสบกับเหตุการณ์ที่ผมขอเรียกว่า 

"วันฟ้าหม่น"

วันฟ้าหม่นเป็นวันที่เรามองไปทางใหนก็รู้สึกเศร้าหมอง ท้องฟ้ามันอึมครึม ไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น
คนเราส่วนใหญ่ชอบวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส มันทำให้เรารู้สึกดี สดชื่นและมีพลัง

เหตุการณ์ต่างๆในชีวิตของเรา ย่อมมีทั้งวันที่สดใสและวันที่หม่นหมอง
โดยเฉพาะสำหรับเราๆวัยทำงาน เหตุการณ์หลายๆอย่าง สามารถเป็นวันฟ้าหม่นของเราได้เสมอ

"เมื่อไรฉันจะเรียนจบซักที นี่ก็ปีที่ 5 แล้วนะ"
"เมื่อไรฉันจะได้งานซักที เตะฝุ่นมานานจนเงินจะหมดแล้วนะ"
"เบื่อเจ้านายจัง สั่งงานอยู่ได้ ทำไมเพื่อนฉันนั่งเล่นเฟสบุ๊คทั้งวันไม่เห็นจะโดนสั่งเลย"
"อิจฉาเพื่อนจัง เงินเดือนเยอะกว่าเราตั้งเยอะ ทำไมเราได้แค่นี้เอง งานก็หนักกว่า"
"ทำไมฉันไม่ได้เลื่อนตำแหน่งซักที"
"ทำไมฉันไม่มีบ้าน มีรถ มีคอนโดหรูๆ อย่างใครๆเขาบ้าง"

ผมเองก็เช่นกัน เคยมีช่วงหนึ่งของชีวิตที่เรียกได้ว่า "วันฟ้าหม่น"
มองอะไรไปก็รู้สึกแย่ไปหมด อึมครึม ไม่สดใส ไม่อยากทำอะไร ท้อแท้มาก
โดยช่วงชีวิตตอนนั้นของผม ผมได้เคยเล่าไปบ้างแล้วในกระทู้ก่อนหน้านี้เมื่อสองสามเดือนก่อน

เพื่อนๆส่วนใหญ่ๆของผม เป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างดี บางคนมีรถราคาแพงกว่าบ้านผมเสียอีก
บางคนสามารถใช้จ่ายเงินที่ผมสามารถใช้ได้เป็นเดือนๆภายในหนึ่งวัน
บางคนมีครอบครัวที่อบอุ่นอย่างที่ผมเคยฝันหามาตลอดทั้งชีวิต

ผมเคยคิดถึงเรื่องเหล่านั้นเสียจนเป็นโรคที่หมอเขียนในใบตรวจว่า
"Anxiety of Depress" หรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า "โรคซึมเศร้า"
ผมใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาแบบนั้นนานหลายปี ก่อนจะพบว่าผมเองนี่แหละที่ทำให้ตัวเองต้องอยู่ใน "วันฟ้าหม่น"

คำถามที่สำคัญของเรื่องที่เล่ามาคือ 
"ผมทำตัวเองได้อย่างไร" และ "ผมหลุดพ้นมาได้อย่างไร"
นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะมาเล่าให้เพื่อนๆฟัง

ผมทำตัวเองได้อย่างไร

ในช่วงชีวิตวัยเด็กของผม เป็นช่วงชีวิตที่สุขสบายเป็นอย่างมาก

ผมเคยไปสิงค์โปร์กับคุณแม่ และกลับมาพร้อมกับของเล่นมูลค่าเก้าหมื่นกว่าบาท
ผมเคยเดินทางต่างประเทศจนพาสปอร์ตเล่มแรกในชีวิต เต็มภายในสิบเอ็ดเดือน
ผมมีโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องแรกตั้งแต่อายุเพียงสิบสองปี ด้วยราคาสูงถึงห้าหมื่นบาท
ผมอยากได้อะไร ก็มักจะได้เสมอ ไม่ว่ามันจะแพงหรือหายากเพียงใด

สิ่งต่างๆเหล่านั้นในวัยเด็ก ได้กัดกินจิตใจอันอ่อนแอในวัยเยาว์ของผมลงไปทีละน้อย
จนทำให้ผมกลายเป็นคนที่มีความเข้มแข็งทางจิตใจต่ำเป็นอย่างมาก

จนวันหนึ่งในช่วงปี 2540 ที่หลายๆคนรู้กันดีกว่าเป็นปีแห่ง "วิกฤติต้มยำกุ้ง"
สภาพครอบครัวของผมเปลี่ยนไปในเพียงเวลาหนึ่งสัปดาห์
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยทำได้และได้ทำ ไม่สามารถทำได้และได้ทำอีกต่อไป
แต่ผมไม่สามารถรับสภาพกับสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้ จิตใจของผมอ่อนแอ
ผมเองไม่สามารถที่จะโทษสภาพแวดล้อมหรือบุคคลอื่นได้ นอกเสียจากตัวเองเท่านั้น

ช่วงชีวิตหลังจากนั้นของผม ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพยายามทำให้ตัวเองมีชีวิตแบบเติม
ชีิวิตแบบนั้นเป็นชีวิตที่เกินพอดีสำหรับผมในขณะนั้น จนมันทำให้ผมเกิดความอิจฉาหลายๆอย่าง
ความอิจฉาได้นำมาซึ่งความน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตของตนเอง
จนสุดท้ายผมได้กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย และทุกๆวันของผมก็กลายเป็น "วันฟ้าหม่น"

ผมหลุดพ้นมาได้อย่างไร

วันหนึ่งที่ผมหลุดพ้นมา เพราะผมได้พบบุคคลหนึ่งที่เป็นครูแห่งชีวิต
ผมได้พบกับท่านเพราะผมติด F วิชาของอาจารย์เขา 
อาจารย์เสนอให้ผมเป็น TA ในเทอมถัดไป เพื่อแลกกับโอกาสการแก้ตัวสำหรับ F ดังกล่าว
ตลอดเวลา 4 เดือนในเทอมสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัยของผม ผมได้เรียนรู้อะไรจากท่านเยอะมาก

อาจารย์ท่านนี้บวชเรียนเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ 8 ขวบ
ท่านลาสิกขาจากการครองเพศบรรพชิตเมื่ออายุได้ 27 ปี
หลังจากนั้นท่านได้ใช้เวลาต่อจากนั้นในการเป็นอาจารย์
ท่านสอนผมและลูกศิษย์ทุกคนทั้งวิชาชีวิตและวิชาชีพ
ท่านใช้ชีวิตทั้ง 7 วันในแต่ละสัปดาห์ในการสอนหนังสือ
ท่านไม่แต่งงานโดยให้เหตุผลว่าท่านมีลูกศิษย์เยอะขนาดนี้ก็ปวดหัวแล้ว
และต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาจากอาจารย์ท่านนี้

ความพอดี

วันหนึ่งก่อนที่ผมจะจบการศึกษา ผมเซ็นสัญญาทำงานกับบริษัทแห่งหนึ่ง
โดยได้รับเงินเดือนสูงมากกว่าที่ผมหวังไว้เป็นจำนวนถึง 25000 บาท
วันจันทร์ถัดไปผมกลับไปช่วยงานอาจารย์พร้อมกับแจ้งข่าวดีนี้ให้กับท่าน
ท่านบอกกับผมว่าท่านทำงานมา 15 ปี ได้เงินเดือนอยู่ที่ 19750 บาท 
พร้อมกับบอกผมว่าให้ใช้เงินอย่างประหยัด

นั่นคือครั้งแรกที่ผมแปลกใจมากเพราะผมคิดว่าท่านจะได้รับเงินเดือนมากกว่านั้น
เพราะในทุกๆวันที่ผมช่วยงานอาจารย์ ท่านจะเลี้ยงข้าวกลางวันและเย็นผม
เพราะท่านรู้ว่าสถานะทางการเงินของครอบครัวผมในตอนนั้นไม่ดีเอามากๆ
นอกจากผมแล้ว นิสิตคนอื่นที่ช่วยงานท่าน ท่านก็ยังเลี้ยงข้าวและขนมเป็นประจำ
หนำซ้ำท่านยังมีคอนโดใกล้ๆมหาวิทยาลัยอีกสองแห่งที่ปล่อยให้นิสิตเช่าในราคาถูก
และท่านยังมีเงินเหลือเก็บในทุกๆเดือน
ถึงแม้ผมจะรู้ว่าอาจารย์มหาวิทยาลัย มีรายได้ทางอื่นเช่นค่าออกข้อสอบ การตีพิมพ์งานวิจัย ฯลฯ
แต่ผมก็คิดว่าท่านมีเงินเดือนมากกว่านี้

ผมจึงถามอาจารย์ไปว่าแล้วอาจารย์ใช้เงินพอได้อย่างไร
"ชีวิตคนเรามีความพอดีที่ไม่เหมือนกัน คนที่ไม่พอดีให้มีงานการใหญ่โต เงินทองมั่งคั่ง ก็จะไม่รู้สึกมีความสุข แต่คนที่พอดี แม้จะมีน้อยเพียงใด ก็สุขได้เสมอ"

สิ่งนี้เป็นปัจจัยแรกที่ทำให้ผมหลุดพ้นมาจาก "วันฟ้าหม่น" ได้
ผมใช้เวลาอยู่ซักพักจนหาความพอดีของตัวเองให้เจอ แล้วใช้ชีวิตในแบบนั้น

ทุกวันนี้ผมมีรายรับอยู่เดือนนึงมากกว่าสี่หมื่นบาท
แต่ความพอดีของผมอยู่ที่แปดพันบาท ผมพอดีที่เท่านี้จริงๆ 
เงินที่เหลือผมไม่ได้ทำอะไรกับมัน นอกจากเอาให้คุณพ่อคุณแม่ไปใช้ และเก็บออมไว้

ปัจจุบันผมทำงาน 3 อย่างพร้อมๆกัน ใช้เวลาไปกับการทำงานวันละ 10-12 ชั่วโมง
ผมมีความพอดีกับงาน ผมทำงานไม่มากเกินกว่าที่ตัวเองต้องการ และไม่น้อยจนรู้สึกว่าง
ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันไปกับการทำงาน แต่ก็ไม่ลืมที่จะพักผ่อนให้เพียงพอ
สิ่งต่างๆเหล่านั้นคือความพอดีของผม 

แล้วคุณล่ะครับ เจอความพอดีของคุณหรือยัง

ทัศนคติ

การได้ใช้เวลาอยู่ช่วยงานอาจารย์ท่านนี้ ได้ทำให้ทัศนคติของผมเปลี่ยนไปมาก
ก่อนหน้าที่ผมจะได้เจออาจารย์ ผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายมากๆ
ผมอยากได้สิ่งที่คนอื่นมี อยากเป็นอย่างที่คนอื่นเป็น อยากทำในสิ่งที่คนอื่นทำ

แต่เหมือนอาจารย์ท่านจะมองออก ท่านพยายามสอนผมอยู่ตลอดเวลา
อาจจะเป็นเพราะท่านเคยบวชเรียนมานาน คำสอนของท่านมักจะสอดแทรกธรรมะเสมอ
ท่านได้เปลี่ยนทัศนคติของผมในการมองสิ่งต่างๆไปอย่างสิ้นเชิง
จนทำให้ผมกลายเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่ก็ไม่ลืมที่จะรอบคอบ

ผมเองเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเป็นพ๊อกเก็ตบุ๊คเชิงปรัชญาของนักเขียนชาวญี่ปุ่น
บทหนึ่งที่น่าสนใจมาก โดยผู้เขียนกล่าวถึงทัศนคติในรูปแบบของสมการเชิงเส้น

"Y = AX + C"

ผมเองก็จำเนื้อหาของบทนั้นได้ไม่ละเอียดนัก แต่เนื้อหาคร่าวๆคือว่าทัศนคติเปรียบเหมือน A
ถ้าหากมันติดลบ มันจะทำให้ค่าของสมการนี้ออกมาต่ำหรือเป็นลบ
แต่ถ้าหากมันเป็นบวก มันจะทำให้ค่าของสมการนี้ออกมาสูงหรือเป็นบวก
ผมชอบวิธีการเปรียบเทียบของผู้เขียนท่านนี้มาก แม้มันอาจจะเข้าใจยากสำหรับผู้อ่านบางท่าน
แต่มันสื่อความหมายได้ชัดเจนมาก

แฟนผมชอบปรึกษาผมอยู่บ่อยๆว่า เขาได้งานเยอะกว่าเพื่อนข้างๆ
เจ้านายของเธอชอบเอางานมาฝากให้เธอช่วยทำให้เป็นประจำ
เค้าเองรู้สึกอึดอัดและรู้สึกถูกเอาเปรียบ ทั้งๆที่ตำแหน่งเดียวกัน แต่งานเยอะกว่าคนอื่น

ผมจึงบอกกับแฟนให้ลองคิดว่า
"เราได้งานเยอะกว่า นั่นคือเราได้ฝึกฝนมากกว่าเขา ในอนาคตเราจะชำนาญมากกว่าเขา และที่สำคัญที่สุด เธอก็เข้างานพร้อมๆเขาและเลิกงานพร้อมๆเขา และได้เงินเดือนเท่าๆกัน เธอไม่ได้โดนเอาเปรียบหรอก ถ้าเธอได้งานแล้วต้องเลิก 5 ทุ่ม ทำวันเสาร์ แถมเงินเดือนน้อยกว่า นั่นแหละเธอถึงจะโดนเอาเปรียบ"
เธอเก็บความคิดนั้นไปลองดูอยู่อาทิตย์นึง แล้วก็มาบอกผมว่าดีเหมือนกันที่คิดแบบนั้น
เพราะมันช่วยให้เธอสบายใจมากขึ้น

แม้ในความเป็นจริงแล้ว เธอยังต้องทำงานมากกว่าเพื่อนหรือไม่ ใช่ เธอยังต้องทำงานมากกว่า
แต่มันจะสำคัญหรือ ถ้าหากทัศนคติช่วยให้เราทำงานอย่างมีความสุขได้

แล้วคุณล่ะครับ ทัศนคติของคุณเป็นอย่างไร

-- ความสุขที่แท้จริง --

ตอนที่ผมเรียนกับอาจารย์ ท่านเคยถามผมว่าคนที่มีไอโฟน มีความสุขหรือไม่
ผมตอบว่าก็น่าจะมีนะครับ ได้มีโทรศัพท์ดีๆใช้ คนรอบกายมองว่ามีฐานะ
แต่อาจารย์ผมตอบว่าผิดถนัด เขาเข้าใจว่าเขามีความสุข แต่เขาไม่มีความสุขหรอก
อาจารย์อธิบายให้ผมฟังโดยยกตัวอย่างชาดกเรื่องหนึ่ง

มีชาวนาคนหนึ่งมีชีวิตธรรมดาๆ หาเลี้ยงตัวเองไปวันๆ แต่มีความสุขกับชีวิต
วันหนึ่งมีเศรษฐีเดินทางผ่านมาพบก็เกิดความรู้สึกสงสาร จึงได้ให้เงินทองกับชาวนา
ชาวนารับเงินทองไว้และนำไปเก็บไว้ในบ้าน จนเกิดความทุกข์
เพราะชาวนาหวาดระแวงว่าเพื่อนบ้านจะอิจฉาริษยาและนินทา
ชาวนายังหวาดกลัวโจรที่อาจจะมาปล้นเงินทองดังกล่าและทำร้ายเขาจนบาดเจ็บ
ด้วยความรู้สึกที่เป็นทุกข์เหล่านั้น ชาวนาจึงนำเงินทองไปคืนเศรษฐีในที่สุด

เช่นเดียวกัน เมื่อเราซื้อหาวัตถุราคาแพงมาใช้และครอบครอง
บางครั้งเราก็เกิดความรู้สึกหวาดระแวงว่าจะทำหายหรือไม่ 
จะบุบสลายหรือไม่ จะถูกโจรปล้นชิงไปหรือไม่ จะมีใครอิจฉานำไปนินทาหรือไม่
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ควรจะมอบความสุขให้กับเรา กลับนำมาซึ่งความทุกข์ที่เราไม่ต้องการ

ดังเรื่องราวที่กล่าวไปตอนแรก เมื่อก่อนผมเองจะมีความสุขกับวัตถุเสียเป็นส่วนใหญ่
แต่หลังจากการใช้เวลาอยู่กับอาจารย์ผมจึงได้รู้ว่าจริงๆแล้วความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร

ทุกวันนี้ผมมีความสุขได้เสมอในแต่ละวัน (ด้วยความช่วยเหลือของทัศนคติเช่นกัน)
ผมมีความสุขเมื่อได้เดินทางกลับบ้านด้วย BRT ที่มีอากาศเย็นสบาย และมีความสุขมากขึ้นเมื่อได้ที่นั่ง
ผมมีความสุขเมื่อเจอกับเพื่อนและทานอาหารร่วมกัน สอบถามทุกข์สุขกันและกัน
ผมมีความสุขเมื่อได้ทำงานที่ผมรักและมีความถนัด
ผมมีความสุขเมื่อลุกให้ผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุนั่งบนรถเมล์

สำหรับผมแล้วความสุขที่แท้จริงอยู่ข้างในจิตใจ
มันมาพร้อมกับความรู้สึกดี ที่ไม่มีความทุกข์ตามมาในภายหลัง

แล้วคุณละครับ มีความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร

บทสรุป

ทุกวันนี้ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าผมมีความสุขกับชีวิตเป็นส่วนใหญ่ 
และมีจิตใจที่เข้มแข็ง อดทนต่อปัญหาที่ผ่านพบในชีวิตได้
โดยอาศัยความพอดีของตนเอง การมีทัศนคติที่ดี และการรู้จักความสุขที่แท้จริง

ผมเชื่อว่าหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเรา สามารถใช้สิ่งเหล่านี้นำทางผ่านไปได้
ชีวิตของเราทุกๆคนมีดีกว่าที่เราคิดเยอะ จนหลายๆคนอาจจะลืมไปแล้ว
มีคนอีกหลายๆคนที่ลำบากกว่าเรามาก และก็มีคนอีกหลายๆคนที่สบายกว่าเรา
แต่สุดท้ายแล้วคนเหล่านั้นก็มีชีวิตของเรา เราเองต่างหากที่มีชีวิตนี้เป็นของเรา
ถ้าหากเราไม่มีความพอดี เราจะไม่มีวันพอ แม้เราจะมีเงินทองทรัพย์สินมากเท่าไร มันก็จะไม่พอ

และเราต้องมีความทัศนคติที่ดีในการมองปัญหาและเหตุการณ์ต่างๆ 
เมื่อเรามีทัศนคติที่ดีแล้ว หนทางแก้ไขมันย่อมปรากฎขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็น
เพราะทัศนคติที่ดีช่วยให้เรารู้สึกสบายใจมากขึ้น 
ความสบายใจจะทำให้เรามองปัญหาได้ดีขึ้น
อันนำมาซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องเหมาะสม
ผมอยากให้เพื่อนๆไม่ท้อแท้ อดทน และมีกำลังใจในการก้าวผ่านปัญหาของแต่ละคนไป

นอกจากความพอดีและทัศนคติแล้ว เราเองก็ต้องรู้จักความสุขที่แท้จริง
ความสุขที่แท้จริงเป็นเหมือนการมองสิ่งต่างๆให้ละเอียดลึกลงไปมากกว่าเพียงเปลือก
ดังเช่นทุเรียนที่มีหนามแหลมและมีผลไม่สวยงามน่าดู กลับมีรสชาติหวานมันถูกใจใครหลายๆคน
ถ้าหากเราตัดสินเพียงเปลือกว่ามันน่าจะเป็นความทุกข์ เราคงไม่รู้ถึงความสุขที่อยู่ข้างใน
บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าเราทำงานเหนื่อยมาก
แต่อย่างน้อยเราก็ยังสามารถรู้สึกมีความสุขได้ เพราะเรามีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งในสังคม
เราไม่ได้เป็นใครที่ไม่ได้เป็นที่ต้องการ มีคนที่หวังพึ่งเราและเราหวังพึ่งเขา
นั่นคือเรามีคุณค่าในตนเอง ถ้าเรามีคุณค่าในตนเอง ทำไมเราจะไม่มีความสุขล่ะครับ
(แต่ผมเกลียดทุเรียนนะ ฮาาาา)

สุดท้ายนี้ ผมหวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์เป็นกำลังใจให้เพื่อนๆได้บ้าง
ให้เพื่อนๆได้ก้าวข้ามผ่าน "วันฟ้าหม่น" ของแต่ละคนไปได้ ด้วยจิตใจที่มั่นคงเข้มแข็ง
และพร้อมที่จะเผชิญปัญหาใหม่ๆได้อยู่ตลอดเวลา

สวัสดีครับ

"Without bitter, sweet ain't as sweet"
ถ้าหากไม่มีความขม เราคงไม่รู้ถึงคุณค่าของความหวาน

จากคุณ : Zieg-Hart
เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 54 02:19:01




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com