ความคิดเห็นที่ 1 ส่วนใหญ่ธุรกิจ ไม่ได้กำไรน้อยขนาดนั้นหรอก แต่ที่เย้วๆ กันนี่กลัวเสียผลประโยชน์กันมากกว่า เราเคยทำงานโรงงานตอนปิดเทอม ขอบอกว่าเหนื่อย เมื่อยมาก ให้เค้าไปเถอะ อย่าหวงผลกำไรเลย SME เล็กๆ มีคนงานกี่คนหรอ ที่ว่าจะเจ้งน่ะ ไหนจะนโยบายลดภาษี ไหนจะค่าเงินแข็ง ต้นทุนวัตถุดิบ ก็จะมีราคาลดลง นโยบายมีความซับซ้อนอยู่ ไม่ใช่มองแค่เพิ่มเงินค่าจ้าง หรือชั้นฉลาด แกโง่ เพราะที่เคยเจอ คนฉลาดเค้าจะถ่อมตน จากคุณ : คุณหญิงภูธร เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 07:41:16

ความคิดเห็นที่ 2 พูดง่ายนะครับ ให้เค้าไปเถอะ ลองมาลองเป็นเจ้าของกิจการดูบ้างว่ามันกระทบอะไรตามมาอีกมากมาย คิดง่ายๆแบบนี้เป็นลูกน้องดีแล้วล่ะ จากคุณ : siwawong เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 08:28:24 A:125.25.33.88 X: TicketID:288854

ความคิดเห็นที่ 3 พูดง่ายจริงๆ ให้เค้าไปเถอะ ผมเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชนเหมือนกัน แตระดับสูงกว่าพนักงานขึ้นมาหน่อย ผลกระทบที่คนเค้ากลัวๆกัน มันไม่ใช่แค่จากเงินเดือน/ค่าแรงที่เพิ่มขึ้น มันกระทบเป็นลูกโซ่ไปหมด ไหนจะ คนกินเงินเดือนที่ไม่ได้จบปริญญาตรี ที่เงินเดือนเท่าเดิม, คนที่ทำงานมาแล้วสองสามปี ที่ฐานเงินเดือนต่ำกว่า 15,000 บาท จะทำยังไง, ต้องปรับฐานเงินเดือนทั้งบริษัทหรือไม่, ของแพง-เงินเฟ้อ, คนตกงานเพิ่ม, แรงงานต่างชาติเข้ามาเพิ่ม ฯลฯ แล้วที่บอกค่าแรงขึ้นไม่กระทบ SME อะไรมากมาย ของไม่แพงขึ้น สมมติร้านก๋วยเตี๋ยว, ร้านค้าเล็กๆ, รวมทั้งคนทำงานบ้าน ซึ่งจ้างแรงงานไทยหรือต่างชาติอยู่ ถ้าค่าแรงขึ้นเป็น 300 บาทต่อวัน คิดหรือว่าค่าแรงที่ต้องจ่าย(แม้จะเป็นแรงงานต่างชาติ)จะไม่เพิ่มขึ้น ถึงแม้จะบอกว่าบางร้านจ่าย 300 บาทอยู่แล้วตอนนี้ คิดหรือว่าคนงานจะไม่เรียกค่าแรงเพิ่มขึ้น แล้วไอ้นโยบายที่ความคิดเห็นที่ 1 บอกว่ามีแต่ผลดี เช่น ลดภาษี เิงินบาทแข็ง ม้ันไม่ได้ช่วยทั้งหมดนะครับ   - ลดภาษีมันมีผลดีกับบริษัทที่ การเพิ่มของเงินเดือนค่าแรง น้อยกว่าภาษีที่ประหยัดได้   - ถ้าบริษัทที่กำไรน้อยๆ หรือขาดทุน มาตรการลดภาษีมันมีผลน้อยมาก แต่ค่าแรงเพิ่มจะยิ่งกำไรน้อย หรือขาดทุนมากขึ้นไปอีก ในที่สุดอาจจะต้องปิดกิจการ   - บาทแข็ง ผู้นำเข้าได้ แต่ว่ามองในมุมผู้ส่งออกหรือเปล่า? มองอะไรมันต้องรอบด้าน และมองในภาพรวมครับ ไม่ใช่แค่บอกว่า"ให้เค้าไปเถอะ" ปล. ขอโทษคุณเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ ที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ให้ออกความคิดเห็น เพราะว่าผมก็คิดไม่ออกเหมือนกัน แต่ตอนนี้คิดได้แต่ว่าน่าจะเ่ีริ่มซื้อทองเก็บไว้ จากคุณ : 2AM เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 09:22:55

ความคิดเห็นที่ 4 สมมุติ ค่าแรงขึ้นเป็น 300 แล้วได้ส่วนลดภาษีใภาษ​ีหลังจ่าย เหลือ 22 % โรงงาน 1 มีคนงาน 20 คน ได้ค่าจ้างอยู่ 240 บาท เดือนนึงก็ 240*20*30 = 144,000 บาท สมมุติว่าได้กำไรหักต้นทุนค่าวัตถุดิบได้มา 200,000 ได้เงินมาแสนนึง 200,000- 144,000 เหลือกำไร 56000 - 30% เหลือ 39,200 บาท หลังประกาศนโยบายโรงงานเดิมขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาท เดือนนึงก็ 300*20*30 = 180,000 บาท สมมุติหากำไรได้เท่าเดิม 200,000- 180,000 เหลือกำไร 20000 - 22% เหลือ 15,600 บาท จะเห็นว่ากำไรหลังหักภาษีหายไปเกินครึ่ง จะได้เห็นกันว่า SME จะตายรึเปล่า แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 54 09:42:42 จากคุณ : เดือนนี้ไม่มีวันหยุด เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 09:36:36

ความคิดเห็นที่ 5 ผมได้อ่าน กระทู้ก่อนหน้า ลด ภาษีอาจใช่ แต่ประกันสังคมต้องจ่ายเพิ่มด้วย จากคุณ : joe_pim เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 09:52:34

ความคิดเห็นที่ 6 ค่าแรงขึ้นก็ดีครับคนทำงานจะได้มีกำลังซื้อมากขึ้น เงินสะพัดมากขึ้น พ่อค้าชอบครับ แต่ค่าครองชีพก็สูงขึ้นตามไปด้วย เช่นค่าข้าว แม่ค้าขายข้าวก้อขายได้แพงขึ้น(ทุนก็สูง) แต่ลองสมมุติภาพว่าถ้าโรงงานปิดไปมากๆย้ายไปเวียดนาม หรือเขมร ที่ค่าแรงถูกกว่า ถึงวันนั้นคนไม่มีงานทำ แต่ค่าครองชีพสูง คนงานจะทำยังไง งานไม่มีแต่ยังต้องกินทุก วัน แม่ค้าข้าวจะทำยังไง ขายแพงแต่ไม่มีคนซื้อ เพราะคนไม่มีงานทำ ตอนนี้พ่อค้าบ่น ผมไม่ค้านเรื่องขึ้นค่าแรงนะครับ แค่อยากทราบแนวทางแก้ปัญหาในอนาคตแค่นั้น ส่วนตัวผมเองในมุมมองผู้ประกอบการคิดว่า ถ้าค่าใช้เพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง ที่พออยู่ได้ ก็ยังคงทำกันต่อไป แต่ถ้ารายได้ผมต้องลดลง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ผมเองก็คงจะ ปิดตัวเองตามโรงงานเหมือนกัน ผลที่ตามมาก็คือ คนตกงานเพิ่มขึ้นอีก ภาวะเงินฝืด ตามมาแน่นอนครับ  สังคมต้องอยู่กันแบบน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า หาจุดที่เหมาะสมดีกว่า ครับ  สังคมจะได้อยู่กันได้ อะไรที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป น่าจะส่งผลที่ไม่ดีกับส่วน รวม มากกว่าผลดีครับ จากคุณ : พี่ชาลี เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 09:56:22

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าขึ้นเงิน แล้วของแพงขึ้น อย่าขึ้นดีกว่า เพราะถ้าคนที่ไม่มีงานทำ ตายอย่างเขียดเลยนะ นโยบายนี้ ต้องมี*หมายเหตุว่า เมื่อผ่านการพัฒนาฝีมือแรงงานแล้วเท่านั้น จึงจะได้300 บาท/วัน จากคุณ : bbb เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 10:09:05 A:125.24.159.28 X: TicketID:227295

ความคิดเห็นที่ 8 การขึ้นเงินเดือนเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้วแต่รัฐบาลต้องคิดเรื่องลดต้นทุนการครองชีพพื้นฐานด้วยโดยเฉพาะค่าของกินของใช้ทุกวัน ค่าเดินทาง ค่าที่พักด้วย เงินเดือน 1 หมื่นใช้ 7พัน เหลือเก็บ 3 พันกับ เงินเดือน 1หมื่น 5พัน ใช้ 1หมื่น3พัน เหลือเก็บ 2 พันเอาแบบไหนล่ะ จากคุณ : mrsorn เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 10:09:44

ความคิดเห็นที่ 9 การทำงานของ รัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้น จะมาดูแค่ นโยบายนี้ ตัวเดียวแล้วมาวิจารณ์คงจะไม่ได้ เพราะ นโยบาย "มันสอดรับ" กันทุกๆนโยบาย ต้องวิจารณ์ภาพรวมก่อน แล้วค่อยลงมาวิจารณ์แต่ละนโยบาย จากคุณ : ปีศาจตาเดียว เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 10:12:54

ความคิดเห็นที่ 10 สภาพแวดล้อมภายนอกกำลังเปลี่ยนซึ่งแรงกว่า นโยบายค่าจ้างของเพื่อไทย เช่น เขตการค้าอาเซี่ยน ต่อไปก็+3 และก็+3 คู่แข่งก็จะถาโถมเข้ามา ในขณะที่ตลาดก็เปิดออกไป กิจการที่ไม่สามารถปรับตัวได้ แม้เพียงแต่ค่าจ้างเพิ่มขึ้น(กิจการของผมเพิ่มขึ้น6%ของต้นทุนรวม) ก็รอวันเจ๊งอยู่แล้วครับ กำไรสุทธิของกิจการผม ปีที่แล้ว 22% นั่นหมายความว่า ถ้าไม่ทำอะไรเลย กำไรจะลดลงไป 6% ซึ่งก็ยังอยู่ได้ แต่เป็นไปไม่ได้ ที่ผมจะอยู่กับที่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้น แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 54 12:25:51 จากคุณ : พี (peh_chai) เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 10:29:00

ความคิดเห็นที่ 11 อยากกระทืบไลค์แรงๆให้ คห2 คห1 คุณไม่ได้เป็น เข้าของกิจการ คุณไม่รู้หรอก เจ้าของธุรกิจมีหลายแบบ หลายระดับ คิดแต่แค่นี้ผมว่าไม่แปลกที่...อ่ะนะ ตามคห2 จากคุณ : red-racket เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 10:39:49

ความคิดเห็นที่ 12 เอ่อ ถ้าเรียกตัวเองว่านักธุรกิจ ผู้บริหารแต่ได้กำไร/เดือน ไม่ถึงแสน เรียกตัวเองว่าพ่อค้าดีกว่านะ พ่อค้า แม่ค้าเขียงหมู ยังมีกำไรมากกว่าคุณอีก เราเป็นลูกจ้างพนักงานได้เงิน 19,000 ทำส่วนตัวได้ 50,000/เดือน แบบนี้เราก็เป็นนักธุรกิจนี่หว่า555 แล้วอีกอย่าง ขนาดรัฐบาลที่แล้วไม่ขึ้นค่าแรง แต่ไหงของยังขึ้นเลย ....................... จากคุณ : คุณหญิงภูธร เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 11:16:22

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ ขึ้นเงินเดือนข้าราชการไงครับ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไงครับ เพิ่งขึ้นเมื่อประมาณ 1 มกราคม 2554 http://www.oknation.net/blog/Smartlearning/2010/12/09/entry-1 ปรับขึ้น 8-17 บาท/วัน ข้าวของยังแพงขึ้น 10-15% แต่เจอนโยบายนี้ ปรับขึ้น 85 บาท คำนวณเอาเองละกัน แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 54 11:33:05 จากคุณ : หมอก้อนหิน เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 11:32:04

ความคิดเห็นที่ 14 ^ หลายท่านรายได้สูงอยู่แล้ว อาจไม่ค่อยเข้าใจ จริงๆครับ  คนที่กำไรไม่ถึงแสนมีเยอะ  คนที่เป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ ลูกจ้าง 2-3 คน ก็เป็นสมาชิกเราในห้องนี้อยู่เหมือนกัน มาโพสต์ถามคหบ่อยๆ ส่วนตัวแล้วเห็นใจครับ ผมเคยทำที่ทำงานเก่า เงินเดือน 14000 จ่ายเงินให้ลูกน้อบ รายวัน แต่ละคนก้ไม่ถึง 300 เหมือนกัน  ผู้บริหารก็ราวๆ 60000 บาท  ถ้าต้องปรับทั้งระบบ  ยังไงก็กระทบแน่ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะตรึงพนักงานรายวันเก่า 300 พนักงานเงินเดือนเก่า 15000 จากคุณ : Ter @ AFC เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 11:59:24

ความคิดเห็นที่ 15 ณ เวลานี้ เห็นใจคนตกงานที่สุดค่ะ จะอยู่ยังไงล่ะนี่ไม่อยากจะคิด จากคุณ : นกปิ๊ดตาลิวเบิร์ด เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 12:19:00

ความคิดเห็นที่ 16 คห 1 อย่าโชว์โง่คับ จากคุณ : คนที่ยุนอาหลงรัก เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 12:24:21

ความคิดเห็นที่ 17 เปิดกระทู้แบบนี้ระวังโดนอุ้มนะครับ คลังเผยถ้าปรับค่าจ้าง250บาท ฉุด GDP 0.58% แน่ !! ผลศึกษาการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ชี้หากปรับขึ้น 250บาททุกพื้นที่ กระทบต้นทุนภาคอุตสาหกรรม กดดันจีดีพี 0.58% เงินเฟ้อพุ่งอีก 3.75% สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ศึกษาถึงผลกระทบของการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำต่อเศรษฐกิจไทยหลังจากที่รมว.คลังได้สั่งการให้ศึกษาถึงความเหมาะของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสม และรัฐบาลต้องการให้ปรับแบบก้าวกระโดดมาอยู่ที่วันละ 250 บาททั่วประเทศ เนื่องจากเห็นว่าแม้เศรษฐกิจไทยจะมีการขยายตัวในระดับสูง แต่ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างและการกระจายรายได้ของประชาชน ทั้งนี้ ในผลการศึกษาได้ประเมินผลกระทบของการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำในหลายกรณี จากปัจจุบันค่าจ้างขั้นต่ำใน กทม. อยู่ที่ 206 บาทต่อวัน และเฉลี่ยของทั้งประเทศอยู่ที่ 165.3 บาทต่อวัน ซึ่งหากมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่ม 44 บาท มาอยู่ที่ 250 บาทต่อวันตามข้อเสนอของรัฐบาล จะทำให้กระทบต่อจีดีพี 0.58% และอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นจากกรณีฐานอีก 3.75% ต่อปี นอกจากนี้ ผลการศึกษายังระบุว่าการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ จะมีผลต่อเศรษฐกิจในระดับมหภาคและต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการแข่งขันของไทย แต่ภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของการใช้แรงงาน โดยอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับผลกระทบมาก คือ อุตสาหกรรมบริการ ค้าปลีกและค้าส่ง เนื่องจากมีสัดส่วนของการใช้แรงงานสูง แหล่งข่าวจาก สศค.ระบุว่า การศึกษาผลกระทบการปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้ เป็นเพียงผลการวิเคราะห์เท่านั้นได้ระบุถึงอัตราค่าจ้างที่เหมาะสม เพราะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้างเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสม แต่อาจจะนำไปเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้ โดยสศค.เห็นว่าควรมีการปรับค่าจ้างที่สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และเพื่อเป็นการลดช่องว่างของรายได้ในตลาดแรงงาน ซึ่งนอกจากรัฐบาลจะดูแลแรงงานในระบบกว่า 2 ล้านคนแล้ว ควรจะให้ความสำคัญกับแรงงานนอกระบบที่มีจำนวนมากถึง 24 ล้านคนด้วย โดยเน้นให้การช่วยเหลือในด้านสวัสดิการและให้หลักประกันรายได้ http://archive.voicetv.co.th/content/25209 จากคุณ : jomjonbupa เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 12:39:51

ความคิดเห็นที่ 18 บอกไว้ว่า 15000 ไม่มีเงื่อนไข ถ้าลูกจ้างราชการไม่ได้ อย่าหวังว่าจะอยู่ได้เลยถ้าทำได้จริงอย่างที่พูดก็ขอสนับสนุนต่อไป ขึ้นเงินเดือนไพร่มันจะไปยากอะไรใช่ไหมครับ จากคุณ : andicole เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 12:40:12

ความคิดเห็นที่ 19 แค่ 300  ทำเป็นตาลีตาเหลือก  พวกกระต่ายตื่นตูมทั้งหลาย   เขานะอยากได้กัน  421  โน่น ใครมีปัญญาอยู่ได้ก็อยู  อยู่ไม่ได้ก็ปิดกิจการไปเลยไป๊แค่นี้ไม่มีปัญญา เอ...ถ้าไอผู้ประกอบการมันถอดใจกันเป็นแถว  แล้วใครจะมาจ้างล่ะฟระ  บ๊ระเจ้า แรงงานย้ำค่าจ้างขั้นต่ำ421บาท/วัน เครือข่ายแรงงาน  เตรียมเดินสายยื่นข้อเสนอต่อทุกพรรคการเมือง ยันค่าจ้างขั้นต่ำต้อง 421 บาท/วัน  พร้อมชงโครงสร้างค่าจ้างขั้นต่ำ รุกปรับค่าจ้างทุกปี พร้อมเสนอยุบอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัด      ขณะที่ฝ่ายนายจ้างติงแก้ปลายเหตุ  ส่งผลค่าครองชีพขยับตัวสูงขึ้น   ด้านเอกชนระนอง หนุนปรับค่าจ้างขั้นต่ำทั้งระบบ จากการประกาศนโยบายปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เป็นวันละ 250 บาท/วัน ภายในเวลา 2 ปี ของพรรคประชาธิปัตย์   โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้หารือกับกระทรวงแรงงาน   เพื่อให้คณะอนุกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำ ไปสำรวจอัตราค่าจ้างที่เหมาะสม  แล้วนำเสนอต่อคณะกรรมการค่าจ้างหรือไตรภาคี  เพื่อพิจารณาความเหมาะสมต่อไปนั้น               นายปัณณพงศ์  อิทธิ์อรรถนนท์   เลขาธิการสภาองค์การนายจ้าง ผู้ประกอบการค้าไทย ในฐานะบอร์ดค่าจ้าง  เปิดเผยว่า  คณะกรรมการค่าจ้าง จะประชุมในวันที่ 28 เมษายน นี้   เพื่อติดตามผลสำรวจอัตราจ้างขั้นต่ำในแต่ละจังหวัด     อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนายจ้างยังยืนยันในหลักการเดิมคือ ยิ่งโหมกระแสปรับค่าแรง ค่าครองชีพยิ่งสูงขึ้น  จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ด้านนายกฤษณะ   เอี่ยมวงศ์นที   ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดระนอง เปิดเผยว่า จากการที่กระทรวงแรงงานให้คณะอนุกรรมการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำเร่งสำรวจข้อมูลในพื้นที่ เพื่อนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลในการพิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำรอบใหม่ของรัฐบาล ให้สอดรับกับสภาวะเศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นในส่วนของภาคเอกชนจังหวัดระนองมีความเห็นสนับสนุนแนวความคิดดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ประกาศใช้อยู่ในอัตราที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง ส่งผลให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากแรงงานได้มีการเคลื่อนย้ายไปยังจังหวัดชั้นในที่มีอัตราค่าจ้างสูงกว่า ซึ่งทำให้ขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดระนองประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานเป็นอย่างมาก  "ในส่วนของแรงงานต่างด้าวชาวพม่าที่ทำงานอยู่ในพื้นที่จังหวัดระนองกว่า 50,000 คนตามสถานประกอบการต่างๆ มีการเรียกร้องผ่านนายจ้าง และหัวหน้าคนงานในสถานประกอบการเพื่อขอปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเช่นกัน ซึ่งผู้ประกอบการในเขตพื้นที่ จ.ระนองมีการปรับมาแล้วครั้งหนึ่งช่วงต้นปีที่ผ่านมาในอัตรา 20 บาทต่อวัน จากเดิม 150 บาท เพิ่มเป็น  170 บาท เพื่อแก้ปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานสู่สถานประกอบการอื่น"  ขณะที่ นายวิชัย คำมุลตรี  ผู้ช่วยแรงงานจังหวัดอุบลราชธานี  เปิดเผยว่า    อนุกรรมการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดอุบลฯได้ออกรับฟังความเห็นของผู้ใช้แรงงาน และผู้ประกอบการ ตลอดจนนักวิชาการเป็นประจำทุกปี ก่อนเสนอไปยังส่วนกลางอยู่แล้ว  ซึ่งการเสนอปรับค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อ 1 มกราคม ที่ผ่านมาอนุกรรมการจังหวัดเสนอปรับขึ้นไป 6 บาท/วัน  แต่ส่วนกลางปรับให้ 11 บาท/วัน   ทำให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมองว่า ปรับขึ้นมากเกินไป   ด้านความเคลื่อนไหวของฝ่ายแรงงาน  นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย  กล่าวถึงกรณีที่พรรคการเมืองใหญ่นำเรื่องของการปรับอัตราค่าจ้างเป็นนโยบายพรรค  ชิงเสียงจากกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่มีมากกว่า 8-9 ล้านเสียง ว่า   ในจำนวนผู้ใช้แรงงาน  8-9 ล้านเสียงนี้  ต้องยอมรับว่า ไม่ได้เป็นเอกภาพ เพราะว่าวันนี้ยังมีเรื่องของการแตกแยกกันอยู่ ทั้งยังมองว่า การลงคะแนนเสียงเหล่านี้ควบคุมไม่ได้ เพราะผู้ใช้แรงงานต้องเดินทางกลับไปเลือกตั้งในต่างจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะกลับไปเลือกตามคำแนะนำของพ่อแม่ หรือเลือกคนที่ได้รับเงินเขามา เบื้องต้นที่ประชุมคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยมีข้อเสนอในการกำหนดนโยบายค่าจ้างที่เป็นธรรม  ดังนี้  1. ให้เปลี่ยนนิยามของคำว่า "ค่าจ้าง" ให้หมายถึง การทำงานเพื่อเลี้ยงชีพครอบครัว 3 คน ( พ่อ แม่ และลูก )จากเดิมนิยามว่า ค่าจ้าง หมายถึง การทำงานเพื่อเลี้ยงชีพคนเดียว คือ ผู้ใช้แรงงาน 2.ให้มีการปรับค่าจ้างแรงงานทุกปี 3.คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ไม่ยอมรับอนุสัญญา 131 4.ให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด 5.ให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 87 และมาตรา 56(1) "ที่เสนอให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด เนื่องจากเห็นว่า มีประโยชน์น้อย ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะยกเลิกไป และให้ออกมาจากส่วนกลางเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม" 6.ค่าจ้างขั้นต่ำให้มีการปรับเท่ากันทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเห็นว่า ค่าจ้างที่เป็นธรรมในวันนี้ควรอยู่ที่ 421 บาทต่อวันและ7.ในส่วนของการกำหนดค่าจ้างมาตรฐานฝีมือแรงงาน เห็นว่า ควรให้คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย เข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดเรื่องนี้ด้วย ขณะที่ในส่วนของยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนข้อเสนอแนะดังกล่าวข้างต้นให้เกิดเป็นรูปธรรมนั้น คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย จะเน้นสร้างแนวร่วม โดยจะลงพื้นที่นำข้อมูลที่ได้จากการระดมสมองครั้งนี้ ไปนำเสนอให้กับเครือข่ายต่างๆในแต่ละพื้นที่ อย่างไรก็ตาม จะนำข้อเสนอแนะจากเวทีต่างๆมาตกผลึกให้ได้ข้อสรุป นำมาปรับปรุงเป็นยุทธศาสตร์อีกครั้ง นอกจากนี้ ยังจะมีการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลของผู้ใช้แรงงานในด้านต่างๆ อาทิ ปัญหาและอุปสรรคของผู้ใช้แรงงาน รวมถึงจะเร่งสร้างแนวร่วม องค์กร และเครือข่ายต่างๆ เพื่อให้ทำข้อเสนอที่สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยได้ตั้งคณะทำงานเพื่อเร่งรัด และหาข้อสรุปโดยเร็ว รวมถึงการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ โดยคาดว่า ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2554 นี้ จะมีการหารือ เพื่อหาข้อสรุปได้ ทั้งนี้ ตั้งเป้าจะแล้วเสร็จก่อนที่จะมีการยุบสภา จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,629  24-27 เมษายน พ.ศ. 2554 http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=64695:421&catid=85:2009-02-08-11-22-45&Itemid=417 จากคุณ : jomjonbupa เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 12:58:27

ความคิดเห็นที่ 20 ต้องทำตาม นโยบายกันตอนหาเสียง นะครับ เอาใจช่วย จากคุณ : aksorn_ji เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 13:20:15

ความคิดเห็นที่ 21 น้องคห1อาจจะยังไม่เคยทำงานรึป่าว การที่บอกว่าให้ๆไปเหอะเนี่ยคิดง่ายเกินไป บริษัทเค้าลงทุนไปเนี่ย  หักลงกลบหนี้ อย่างเช่นผลิตงานแล้วงานเสียเยอะงี้ งานไม่ได้ตามกำหนดงี้โดนปรับเงินจากลูกค้าอีก  กำไรมันเป็นเงินถุงเงินถังแบบนั้น พนักงานที่ต้องให้เงินเดือนก้มีเยอะเฉลี่ยแล้วเงินมันจะเหลือเท่าไรกัน น้องทำงานโรงงานมาตอนปิดเทอมก้แสดงงานต่ำแหน่งที่น้องทำอาจจะไม่ได้รับรู้แผนการบริหารบริทอย่างละเอียด การบริษัทคนบริหารงานมันไม่ได้ง่ายอย่างที่อยากให้ขึ้นเงินก็ขึ้นได้เลย ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามที่หลายคห.บอกมีความเป้นไปได้สูงถ้าขึ้นเงินเดือน300บาทจริง จากคุณ : Cholesterol เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 13:43:24

ความคิดเห็นที่ 22 ถ้าขึ้นจริงก็มีสองแบบครับ.. 1.จ้างแรงงานต่างด้าวที่ถูกกว่า 2.ย้ายโรงงานไปยังประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่า จริงๆ เป็นเรื่องดีนะครับ แต่มันถึงเวลาแล้วหรือยังครับ? SME บ้านเรายังไม่แข็งแรงขนาดที่ต้องมารับภาระแบบนี้ รบ.ต้องหาทางสนับสนุนมากกว่านี้ เพราะ SME เล็กๆ ก็แทบจะไม่มีเงินมาเสียภาษีอยู่แล้ว ลดภาษีไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก.. ผมเชื่อว่า รบ.ชุดนี้น่าจะหาทางแก้ไขเอาไว้แล้วนะ.. อาจจัดเงินกู้ให้ SME ดอกเบี้ยต่ำๆ เพื่อลดภาระ หรืออาจช่วยส่งเสริมการขายให้ แบบนี้น่าจะเป็นไปได้มากกว่าครับ.. ถ้าพูดแล้วทำไม่ได้ อย่าพูดจะดีกว่าครับ.. มันเสียความรู้สึก.. ... จากคุณ : ตี๋2555 เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 13:54:30

ความคิดเห็นที่ 23 ต้องรอเจ้าสัว2สูงมาตอบแล้วล่ะ จากคุณ : Final~Lab เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 14:19:59

ความคิดเห็นที่ 24 ต้องดูรายละเอียดนโยบายและเงื่อนไขครับ โยบายพรรคการเมืองก็เหมือนข้อความ โฒษณาของสินค้านั่นแหล่ะ แต่มันไม่ยอมเขียน * บอก ถ้าถามผมขึ้น 300 เศรษฐกิจพังไหม ไม่พังหรอกถ้าเป็น 300 ใน กทม หรือ จังหวัดเศรษฐกิจ แต่ถ้า 300 ทั่วประเทศ ชิ...หายแน่ๆ มองในมุมลูกจ้างอาจจะดี มีเงินมาใช้จ่ายมากขึ้น หวังว่าจะได้ภาษีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น แต่มันเป็นงูกินหางนะ ธุรกิจอื่นๆอาจจะกระทบแต่คงไม่มาก แค่ธุรกิจที่เป็น Labor intensive อย่างพวก textile ต่างชาติคงย้ายไปลงทุนที่อื่นหมด สุดท้ายวนกลับมาตายที่ลูกจ้าง แต่เพื่อนผมพูดให้ฟังน่าคิดเหมือนกัน เพื่อนผมนี่เกลียดทักษิณเข้าเส้นนะ เมื่อก่อนสอนนักศึกษานี่ ด่าทักษิณทุกคาบ เขาบอกไว้ว่านี่เป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะได้ปรับฐานเศรษฐกิจใหม่ มีโอกาสที่จะหลุดจาก middle income trap ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ ดูแล้วไม่มีหนทาง เขาบอกว่าปล่อยมันไปบ้างก็ได้ไอ้พวกอุตสหกรรมโลวเทคโนโลยี ถือโอกาสนี้ค่อยๆปรับประเทศให้เป็นครีเอทีฟอีโคโนมีจริงๆจังๆ พัฒนาแรงงานให้เป็น Skilled labor พัฒนาอุตสาหกรรมให้เป้นGreen industry อะไรทำนองนี้ จากคุณ : King Bamboo เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 14:30:46

ความคิดเห็นที่ 25 ^ ^ เอาเป็นว่า ถ้าหากจะเอาแนวทางนั้นจริง แรงงานต้องพัฒนาความคิดและฝีมือ.. ถ้ายังอยู่เฉย.. ก็ต้องตกงานไป ตามหลัก Natural Selection ใครแข็งแกร่งกว่า ใครฉลาดกว่า ใครฝีมือกว่า ก็ย่อมที่จะอยู่รอด ส่วนคนที่อ่อนแอกว่า ก็รอสังคมสงเคราะห์ก็แล้วกัน.. ส่วนการจะคัดเลือกคนเ้ข้าทำงาน ก็คงต้องกรองให้ละเอียดกว่าเดิม..  ป.ตรี 15000 บาท  อาจจะต้องมี skill ด้านภาษาด้วย.. ทำนองนี้ครับ .. แต่พูดง่ายๆ คนตกงานเยอะแน่... เมื่อวานดูข่าว กัมพูชาอนุมัติแรงงานเขมรให้เข้ามาทำงานในประเทศไทยได้ (อันนี้ฟังแล้วแปลกๆ ไม่ใช่เราต้องอนุมัติให้เค้าเข้ามาเหรอ)  เพื่อที่จะได้รับอานิสงค์ค่าแรง 300 บาท/วันเหมือนกัน.. แรงงานเขมรที่เข้ามา 8000 คน ครับ (เอามาจากข่าว) แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 54 15:55:29 แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 54 15:10:43 แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 54 15:08:46 จากคุณ : หมอก้อนหิน เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 15:06:34

ความคิดเห็นที่ 26 หัดคิดหลายมิติดูมั้ง เพิ่มค่าแรง เงินเดือน คนก็มีกำลังซื้อมากขึ้น เมื่อคนใช้จ่ายเยอะ ก็กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้ดีขึ้น เกิดการจ้างงานมากขึ้น ลองคิดบวกดูมั้ง ชาติจะได้พัฒนา จากคุณ : กงส เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 15:16:06 A:49.48.52.245 X: TicketID:323598

ความคิดเห็นที่ 27 เฮ่อ  อ่านไหม๊บ้างนะ  ข้างบนก็ลงให้ดูแล้ว  สมัยไอมาร์กจะขึ้นค่าแรง  มีทั้งเงินเฟ้อ แถม GDP หด มาหลับหูหลับตาด่าว่าเขาคิดลบอีก  วิจัยเก่าๆก็มีแล้วนะครับ ไม่ใช่ไหว้หมูห้าขา หมาสองหัวแล้วได้เลขเด็ดมานะครับ จากคุณ : jomjonbupa เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 15:20:17

ความคิดเห็นที่ 28 เห็นด้วยที่ว่า บริษัทไหนทำตามนโยบายรัฐก็ได้ลดภาษี ส่วนที่ไหนยืนกรานไม่ทำก็ไม่ต้องลด fairดี จากคุณ : pret เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 15:42:46 A:49.48.52.245 X: TicketID:323598

ความคิดเห็นที่ 29 เป็นแม่ค้าขายข้าวแกงอยู่ค่ะ ถ้าหากว่าต้องขึ้นค่าแรงวันละ 300 ทุกคน..ร้านดิฉันคงต้องปิด..หรือไม่ก็เลิกจ้างพนักงานค่ะ..ทำเองขายเองดีกว่า เหนื่อยหน่อยแต่ก็ไม่ต้องทนแบกรับกับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นแต่รายได้ลดลงค่ะ จากคุณ : AppEal เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 15:52:39

ความคิดเห็นที่ 30 คห.26 จะเป็นเช่นนั้น ก็ต่อเมื่อ ราคาข้าวของ ราคาค่าครองชีพมันเท่าเดิมครับ.. แต่ถ้ามันขยับไปด้วย (ซึ่งส่วนใหญ่จะขยับขึ้นมากกว่าอัตราการขั้นค่าแรงเสียอีก) การบริโภคก็เท่าเดิม หรืออาจจะน้อยลงด้วยซ้ำ... จากคุณ : หมอก้อนหิน เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 15:58:31

ความคิดเห็นที่ 31 แต่รัฐบาลก็มีนโยบายลดค่าครองชีพหลายอย่างนะ ลองไปดูซิ จากคุณ : pret เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 16:02:43 A:49.48.52.245 X: TicketID:323598

ความคิดเห็นที่ 32 เฮ้ย... แม่ค้าข้าวแกง จะปิดทำไม เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับ ทุกวันนี้กฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดคุณเท่าไร แล้วคุณจ้างลูกน้องเท่าไร คุณเปิดร้านข้าวแกงคุณจะบ้าจี้ไปเพิ่มตามเขาหรือไงครับ ไม่ต้องกลัวทฤษฎีการเคลื่อนย้าย แรงงานขนาดนั้นครับ ฮ่าๆ ถึงเข้ามีกฎหมายค่าแรงขั้นต่ำ 450 ในจังหวัดผม ผมก็ไม่บ้าจี้จ้างขนาดนั้นหรอกครับ บริหารงานอยู่บนสติครับ อย่าอยู่บนกระแส จากคุณ : King Bamboo เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 16:40:55

ความคิดเห็นที่ 33 #26 ในทางเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ เขาบอกว่ามันจะปรับตัวมาอยู่ที่เดิมครับ และจะมาพร้อมกับเงินเฟ้อ อย่างที่หมอก้อนหินบอก ผมเองเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จ๋า สักเท่าไร แต่เมื่อคุณคิดมุมนั้น ทำไมไม่คิดมุมนี้บ้างล่ะครับ ค่าแรงเพิ่มขึ้น  อุปสงค์สำหรับแรงงานลดลง การจ้างงานก็เลยลดลง แหะๆ เหมือนกับที่พรรค ปชป เชื่อมั่นในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ (หรือหาเสียง) อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ เพื่อกระตุ้นการบริโภค ให้เศรษฐกิจขยายตัว โดยการแจกเงิน 2000บาท หวังจะให้มีการบริโภค มากขึ้น หรือแม้กระทั่งการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน Government Spending ทั้งหลายแหล่ สุดท้ายผลเป็นยังไง... จากคุณ : King Bamboo เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 16:50:02

ความคิดเห็นที่ 34 เน้นๆๆ แรงงานต่างด้าวที่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูก กฤหมาย จะได้รับสิทธิ์ ทุกอย่างเหมือนแรงงานไทย ครับ ตามกฏอะไรสักอย่าง ของสหประชาชาติ นี่และ ฉะนั้น แรงงาน เขมร เข้ามาทำงานบ้านเราอย่างถูกต้องก็จะได้รับ ค่าแรง 300 เช่นเดียวกัน คุณ : jomjonbupa ผมว่าน่าจะลองมองกลับกันบ้างนะครับ รัฐบาลมาร์คเข้ามาเจอสารพัด ปัญหารอบด้าน ที่ดูแล้ว หนักสุดดๆๆ ก็ช่วงเมษา ปี 52 53 ศึกนอกศึกในเต็มไปทั่ว ไม่ทำให้เศรษฐกิจพังพินาศ ผมก็เก่งแล้วนะ จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 17:02:58

ความคิดเห็นที่ 35 ก็รัฐบาลจะลดภาษีไง จริงๆ แล้วที่ไหนไม่ทำตามก็ไม่ควรได้ลดภาษีเน๊อะ จากคุณ : pret เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 17:12:43 A:223.204.2.162 X: TicketID:323598

ความคิดเห็นที่ 36 เอ่อ เป็นอย่างที่กลัวจริงๆ คือการวิเคราะห์ผลกระทบจากนโยบายนี้มีหลายกระทู้แล้ว กระทู้นี้ผมอยากให้เป็นในแนวทางที่ว่า เราไม่พูดถึงว่าทำแล้วดีหรือไม่ดียังไง แต่อยากให้มาแลกเปลี่ยนความคิดว่า ถ้ายังไงก็ต้องทำตามนโยบายนี้ จะทำอย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด (หรือเกิดผลร้ายน้อยที่สุด) นะครับ จากคุณ : Roby เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 17:23:42

ความคิดเห็นที่ 37 เรื่องนี้ต้องลอง สมมุติ  ว่าเราเป็น เจ้าของโรงงานครับ (มุมมองผู้เสียประโยชน์) เค้าลงทุนก็มุ่งหวัง กำไรสูงสุด  ถ้าค่าแรงขั้นต่ำสูงแบบนั้น (300-421 บาท/วัน) ผมมองว่าชาวต่างชาติเดิม คงย้ายไปลงทุนประเทศอื่น  นักลงทุนใหม่ก็ไม่เข้ามาลงทุน ส่วนคนที่ยังทำธุรกิจต่อ  น่าจะปรับลดคนลงอีกมาก  เปลี่ยนเป็นใช้เครื่องจักรแทน คนทำงานก็ตกงาน  คนเรียนจบใหม่ก็หางานทำไม่ได้เช่นกัน จากคุณ : พี่ชาลี เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 17:34:10

ความคิดเห็นที่ 38 ฝ่ายการเมืองพยายามอธิบายว่า การขึ้นค่าแรงเป็น 300 หรือ ป.ตรี 15000/เดือน นั้น รัฐจะช่วยเหลือผู้ประกอบการในการลดภาษีให้ ซึ่งสามารถนำเงินส่วนนั้นมาใช้จ่ายค่าแรง / เงินเดือนในอัตราใหม่ได้ http://www.ftawatch.org/all/news/24456 ผมว่ามันเป็นการพูดกันคนละัเรื่องก็เพราะ .. การเพิ่มขึ้นของค่าแรง / เิงินเดือน ฝ่าย "การเมือง" เขากำลังพูดถึงเรื่อง "ต้นทุน" ที่ต้องเพิ่มขึ้น "ทันที" ที่นโยบายออกบังคับใช้ แต่ การลดอัตราภาษี นำเงินภาษีที่ประหยัดได้จากรัฐมาจ่ายให้ลูกจ้างนั้น การที่บริษัทจะสามารถประหยัดภาษีได้ มันจะเกิดขึ้น "หลัง" จากที่บริษัทฯ มีกำไร"แล้วเท่านั้นนะครับ เพราะ บางบริษัทอาจขาดทุน / ต้องปิดตัวลง ก่อนที่บริษัทฯ จะได้ทันใช้ผลประโยชน์ทางภาษีในอัตราใหม่ก็ได้ เพราะ การเพิ่มต้นทุนสูง --------> ราคาสินค้าก็ต้องสูง -------> สินค้าขายยากขึ้น ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ -------> สินค้าขายไม่ออก เมื่อสินค้าขายไม่ออก -----------> ขาดทุน (ไม่มีกำไร) ดังนั้นนโยบาย "ลดภาษีของรัฐ" จึงไม่ได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการเลย เพราะไม่มีกำลังในการจ่ายภาษีอยู่แล้ว หรือ ต่อให้สินค้าขายออก แต่ในเมื่อกิจการมีต้นทุนที่สูงขึ้น กำไรย่อมลดลง ต่อให้สามารถประหยัดภาษีได้บ้าง แต่ .. ภาษีที่สามารถประหยัดได้นั้น ก็อาจจะไม่คุ้ม ต่อต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้นก็ได้ ดังนั้นการช่วย เหลือผู้ประกอบการจาก "ฝ่ายการเมือง" โดยการลดภาษีมันจึงเป็นการพูดที่ดูเหมือนจะดูดี จากฝ่าย "การเมือง" เท่านั้นเองครับ . . ฝ่าย "การเมือง" ที่ .. สามารถ "รวยเป็น 100 ล้าน 1000 ล้านได้เพียงแค่ในเวลาไม่กี่ปี" จากเงินเดือน เพียง 100,000 กว่าบาท (อาชีพที่ amazing ที่สุดในประเทศจริงๆ) . . สุด ท้าย .. ก็เป็นคนชั้นกลางที่ต้อง "แบกรับภาระจากนโยบายขายฝันจากฝ่ายการเมือง" อยู่ร่ำไป เพราะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายทุกเดือนเป็น "รายได้ที่แน่นอนของรัฐ" เพื่อที่ "รัฐบาล" จะได้สามารถนำไปแจกจ่ายให้กับ "คนจน" ในประเทศตามนโยบาย " (ให้)ประชานิยม (พรรคการเมืองเรา)" ได้ต่อไป (สำหรับคนรวยมีความสามารถในการเสียภาษีก็จริง แต่พวกเค้าก็ มีความสามารถในการ "หลบเลี่ยง" ภาษีเก่งเช่นเดียวกัน) ป้าย หาเสียงทุกพรรค ผมจำได้เพียงป้ายพลังชลพรรคเดียวเท่านั้นเองที่มีนโยบายในการ "เพิ่มรายได้ให้รัฐ - จากการท่องเที่ยว" นอกนั้นมีแต่แจกกันถ้วนหน้าอย่างเดียว! จากคุณ : Top27 เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 17:43:46

ความคิดเห็นที่ 39 ถ้าผมเป็นเจ้าของกิจการและ "ต้อง" ทำตามนโยบาย "พรรคการเมืองเร่ขายฝัน" แบบนี้ ต่อไปนี้ สำหรับตำแหน่งที่ไม่ต้องใช้ความรู้ความสามารถมานักผมจะประกาศรับสมัครงาน รับพนักงาน วุฒิ "ต่ำกว่าปริญญาตรี" เท่านั้น ส่วนตำแหน่งที่ต้องใช้ความรู้ (ที่ปัจจุบันผมจ่าย > 15,000/เดือนอยู่แล้ว ผมก็ไม่กระทบจากนโยบายนี้จะจ้างต่อไปเหมือนเดิม) จากคุณ : Top27 เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 17:49:11

ความคิดเห็นที่ 40 ผู้ประกอบการสมัยนี้ก็เห็นแต่รวยๆ ขับรถแพงๆ ใช้ของหรูๆ ไปเที่ยวเมืองนอกบ่อย อยู่แล้ว เห็นใจลูกน้องที่เค้าทำงานให้คุณรวยบ้างสิ จากคุณ : pretty เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 18:19:03 A:223.204.2.162 X: TicketID:323598

ความคิดเห็นที่ 41 ความเห็นประเภท ความคิดเห็นที่ 40 มาอีกแล้ว ผมว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่ได้ "มีแต่รวยๆ ขับรถแพงๆ ใช้ของหรูๆ ไปเที่ยวเมืองนอกบ่อยๆ" แบบที่คุณบอกนะครับ ดูละครทีวีมากไปหรือเปล่า กลับสู่โลกแห่งความจริงบ้างครับ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพวก SME ผมว่าต่างปากกัดตีนถีบมาทั้งนั้น กว่าจะมาเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของบริษัทได้ ส่วนใหญ่ไม่ได้ร่ำรวยมาแต่อ้อนแต่ออกนะครับ ต้องฝ่าฟัน ต้องขยันขันแข็ง อดออม เวลาเค้าลำบากคุณเคยรู้หรือเปล่า เวลาที่เครียดแทบเ็ป็นบ้า แทบจะฆ่าตัวตายเพราะว่าหมุนเงินไม่ทัน เจ้าหนี้จะมายึดบ้าน หรือเบาะๆเครียดเพรา่ะขายของไม่ได้, มี คู่แข่งมาแชร์ ถูกเบี้ยวหนี้ ต้องคิดตลอดเวลา เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดและขยายงานได้ เพื่อสร้างรากฐานให้ครอบครัว อย่ามองอะไรด้านเดียวครับ แก้ไข .. พิมพ์ผิด แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 54 19:43:24 จากคุณ : 2AM เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 18:34:43

ความคิดเห็นที่ 42 ลองมานึกดูว่า ใครจะได้ผลประโยชน์จากการขึ้นค่าแรงบ้าง ธุรกิจพวกนำเข้า น่าจะรุ่งนะ  ไม่ใช่แค่แรงงานต่างด้าว ที่น่าจะขายดี สินค้าวัตถุดิบบางอย่าง ก็น่าจะถูกนำเข้ามากขึ้น เพราะสินค้าในไทย บางอย่างถ้าเจอค่าแรงเข้าไปแพงขึ้น แน่นอนคนย่อมต้องการของถูก ไม่มีใครอยากเพิ่มต้นทุนตนเอง ก็ต้องหาทางลดต้นทุนด้วยเช่นกัน อาจจะนำเข้าจากต่างประเทศแทน ลูกจ้าง แรงงานมีรายได้มากขึ้น เขาย่อมต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รถมอเตอร์ไซด์น่าจะขายดี เพราะมีเงินผ่อนรถมากขึ้น โทรศัพท์มือถือเป็นที่นิยมอยู่แล้ว น่าจะมีเงินซื้อเครื่องรุ่นใหม่ๆ แพงขึ้น แฟนชั่นเกาหลีกำลังมาแรง เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ ใช้ของเกาหลีมากขึ้น โน๊ตบุคส์ แท๊บเล็ต คนมีเงินซื้อมากขึ้น ธุรกิจสื่อสารเทคโนโลยีดีขึ้น ปากท้อง อาหารการกิน ของในประเทศมันแพงขึ้นแน่นอน แต่สินค้านำเข้าบางอย่างไม่ขึ้นราคา เพราะไม่ได้อิงกับค่าแรงในเมืองไทยเท่าไหร่ คนไทยน่าจะใช้ของนอกมากขึ้น ผลคือเงินทองไหลออกนอกประเทศ  คนได้ผลประโยชน์ไปตกกับต่างชาติ จากคุณ : ..ฟ้าใส.. เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 20:00:12

ความคิดเห็นที่ 43 สรุปก็คือยังไงก็ต้องให้เค้าลองทำดูไปก่อนว่าเค้าจะทำได้ดีแค่ไหนครับ ยังไงก็ถูกเลือกมาเป็นที่หนึ่งของประเทศ ซึ่งก็ต้องยอมรับครับ มันเป็นแนวทางของประชาธิปไตยที่พรรคที่ได้เบอร์ 1 เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล รัฐบาลชุดนี้ยังมีโอกาสที่ดีกว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว ที่ไม่ต้องเจอการชุมนุมมาก่อกวนตลอดเวลา และก็ปัญหาเพื่อนบ้าน ที่ใครบ้างคนเคยเป็นที่ปรึกษา ถ้าเกิดทำแล้วเกิดผลกระทบเสียหายค่อยว่ากันอีกที อย่าลืมด้วยว่ายังมีคะแนนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดที่ไม่ได้เลือกพรรคเจ้าของนโยบายแต่เลือกพรรคอื่นๆ รวมทั้งพวกโนโหวตและไม่ได้ใช้สิทธิเลือกตั้ง อาจเป็นเพราะเบื่อการเมือง หรือไม่ว่าง หรือเหตุผลอื่นๆ รวมกันทั้งหมดเยอะกว่าคะแนนที่เลือกพรรคเจ้าของนโยบายด้วยเช่นกันเป็นตัวตัดสิน แล้วก็การเลือกตั้งครั้งต่อไป ถ้าไม่หายไปจากกันเสียก่อนครับ แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 54 20:33:32 จากคุณ : tee tiger1306 เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 20:30:10

ความคิดเห็นที่ 44 เห็นบาง คห. ข้างบน  เลยพอเข้าใจเลย  ทำไมประเทศไทยไม่ไปไหนสักที ตัวเองไม่คิดจะทำมาหากิน  ทำงานเช้าชามเย็นชาม ทำโน่นนี่ก็บ่นเหนื่อยบ่นร้อน ในขณะที่คนอื่นเขาปากกัดตีนถีบเลือดตาแทบกระเด็น  เวลาเขาประสบความสำเร็จ  ก็มีพวกแรกมาคอยอิจฉาแย่งชิงผลจากความสำเร็จเขาอีก แล้วแบบนี้ใครเขาอยากจะทำงานหนักอดมื้อกินมื้อ แถมเสี่ยงกับการหมดตัวล่ะ  สู้นอนรอคนแจกเงินที่ปล้นมาได้ไม่ดีกว่าเหรอ ส่วนค่าแรงนะหรือเงินเดือนนะ  ยังไงซะมันก็ขึ้นของมันเองไปวันยันค่ำตามกลไกของตลาดอยู่แล้ว ถ้าน้อยเกินไปจนคนทำแล้วไม่คุ้มเขาก็นอนอยู่บ้านดีกว่า กลับบ้านทำการเกษตรกันไป  สุดท้ายแรงงานขาดตลาด ผู้ประกอบการก็ต้องจ่ายแพงขึ้นอยู่ดี แต่ถ้ามากเกินไปจนทำให้ผู้ประกอบกาเขาไม่สามรถแข่งขันในตลาดโลกาภิวัตน์นี้ได้ เขาก็ต้องทำการบ้านหนักเรื่องลดต้นทุนสารพัด ทั้งลดสวัสดิการต่างๆ  จ้างวุฒิที่ต่ำกว่าแต่เอามารีดความสามารถเพิ่มเอาทีหลัง  หรือนั่งดีดลูกคิดแล้ว ใช้ระบบออโต้เมชั่นหรือเครื่องกลต่างๆแล้วมันคุ้มทุนกว่าคนที่เดี๋ยวสายเดี๋ยวขาดแถมแพง  ก็ใช้เครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์แทน อันหลังนี่เลวร้ายสุด  มีเงินในไทยก็ทำอะไรได้หมด  จ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐแลกกับการมาตรวจสอบการจ้างแรงงาน  เอาทั้งแรงงานเถื่อนหรือกดราคาแรงงานไทยลง แถมบวกข้างบนหาวัตถุดิบที่ราคาถูกก็คงไม่พ้นจีน FTA ก็มาแล้ว  นำเข้าสบายกว่า SME ก็จบข่าว  ขายไม่ออก  พวกหนีไปซื้อจีนหมด สุดท้ายแรงงานไทยก็จะได้แค่ตัวเลข  แต่ไม่มีใครจ้าง  จ้างก็จ้างถูกกว่าตัวเลขที่สวยหรูนั้นแถมสวัสดิการต่ำลง บวกด้วยของแพงขึ้นจากผู้ประกอบการผลักภาระให้ผู้บริโภค แรงงานตกงานมากขึ้น GDP ก็หดเพราะไม่มีความสามารถในการจับจ่าย  อย่าไปหวังแรงงานเถื่อนมันจะจับจ่าย  เพราะเขาก็ต้องส่งเงินกลับบ้าน เหมือนทุกวันนี้ได้กันสี่พันอยู่ในกรุงเทพกันสบาย  แต่สามารถส่งเงินกลับบ้านได้ไม่ต่ำกว่าเดือนล่ะสองพัน ให้กลไกตลาดทำงานของมันจะดีกว่า  รัฐอาจจะแทรกแซงได้ก็เพียงนิดหน่อย  เพื่อช่วยเหลือฐานเสียงได้ แต่ก็ไม่ถึงกับบิดเบี้ยวแบบก้าวกระโดดแบบนี้ เพราะผลสุดท้ายมันจะไปตกที่ผู้ใช้แรงงาน และเมื่อ GDP หดทำให้เก็บภาษีได้น้อยลง รัฐก็ต้องหาทางรีดภาษีจากที่ใดที่หนึ่ง  เอาไปดำเนินการกับโครงการหรูอีกหลายหลากที่ประกาศไว้ เราประชาชนก็ต้องหาทางรอดกันเองต่อไป แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 54 20:51:50 แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 54 20:38:38 แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 54 20:35:31 แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 54 20:33:31 จากคุณ : jomjonbupa เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 20:32:31

ความคิดเห็นที่ 45 สงสัยว่าถ้าเปลี่ยนสถานะจากลูกจ้างประจำเป็นพาร์ทไทม์นี่ต้องจ่าย 300 ไหม เห็นแม้กระทั่ง apple ส่วนหนึ่งก็ยังจ้าง พนง เป็น พาร์ทไทม์เหมือนกัน จากคุณ : พ่อต้นกล้า เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 20:46:02

ความคิดเห็นที่ 46 งั้นก็ดูประเทศเพื่อนบ้าน อย่างมาเลเซียบ้างก็ดีนะ ค่าแรงขั้นต่ำเค้าแพงกว่าไทยเกือบสองเท่า แต่ค่าครองชีพของไทยสูงกว่ามาเลเซีย(สูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน) ทำไมมาเลเซียยังพัฒนากว่าไทยละ ป.ล.ก้อแค่เห็นใจคนใช้แรงงาน ไม่ได้คนหนึงคนใด จากคุณ : pretty เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 21:58:05 A:223.204.2.73 X: TicketID:323598

ความคิดเห็นที่ 47 เอ้า  เดี๋ยวจะหาว่ามองโลกแง่ร้าย  เอาแงดีบ้างดีกว่าเนอะ การขึ้นค่าแรงแบบก้าวกระโดดนี้มันก็ดี  คล้ายกับให้ยาแรงๆแก่ระบบเศรษฐกิจ เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศกันเลย เป็นการคัดกรองแรงงานและอุตสาหกรรมทางอ้อม แรงงานที่ไร้ฝีมือจนผู้ประกอบการเห็นว่าไม่คุ้มกับ  300 บาทก็จะโดนกำจัดออกไปจากระบบอัตโมัติ   แรงงานที่มีอยู่ต้องแข็งขันด้านคุณภาพที่ขยันทั้งฝีมือเพื่อให้ได้งานที่เหลือน้อยลง แรงงานในระบบก็จะเป็นแรงงานคุณภาพล้วนๆ ภาคอุตสาหกรรม  ถ้าเป้นอุตสาหกรรมที่ไม่มีนวัตกรรมใครๆก็ทำได้  ก็จะอยู่ในตลาดไม่ได้  เพราะโดนจีนเวียตนามกินเรียบ ดันนั้นภาคอุตสาหกรรมก้ต้องพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง  ทั้งรีดไขมันลดค่าใช้จ่ายส่วนเกินออกไป  ลดการใช้ทรัพยากรไปอีกอื้อ ทั้งต้องมีนวัตกรรมต่อเนื่องไม่ให้ประเทศแรงงานถูกตามมาทัน แถมต้องมีกึ๋นอยู่ตลอดเวลา อุตสาหกรรมของเราก็จะเป็นแนวหน้าในโลกเลยทีเดียว รายได้ต่อหัวก็จะสูงเป็นประเทศพัฒนาแล้ว  ประเทศเราก็จะเจริญเป็นอันดับแนวหน้าของโลก แต่  ไอทั้งแรงงานกับอุตสาหกรรมที่โดนเขี่ยออกจากระบบ  มันจะลงถังขยะแล้วจบเลยหรือเปล่าก็คงเป็นไปไม่ได้ กลุ่มที่โดนกันออกจากระบบนี้  จะเอาไปทิ้งที่ไหนดี  คิดไม่ออก  ขายยาบ้าดีมะ แล้วอุตสาหกรรมบ้านเรามันพร้อมจะแข่งขันเรื่องนวัตกรรมในตลาดโลกจะมีสักกี่มากน้อยเชียว แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 54 22:16:19 จากคุณ : jomjonbupa เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 22:15:06

ความคิดเห็นที่ 48 ก็ไม่ได้คิดว่าประเทศไทยจะก้าวกระโดดเป็นแนวหน้าทางเศรษฐกิจของโลกหรอกนะ เพราะเมืองนอกแรงงานขั้นต่ำอย่างอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ทำงานนะได้ชั่วโมงละ 300 บาท ห่างไกลจากพี่ไทยเยอะ แค่อยากให้รายได้กับค่าครองชีพมันสมดุลกันขึ้น ขอโทษถ้าความคิดของเราทำให้ใครไม่พอใจ จากคุณ : pretty เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 22:28:02 A:223.204.2.73 X: TicketID:323598

ความคิดเห็นที่ 49 ^ ชี้ไปที่ 46 ที่เค้าสำรวจว่าค่าครองชีพเป็นอันดับ 2 ของอาเซียนนั้น คือ "เมือง" ครับ ซึ่งผลวิจัยปรากฎว่ากรุงเทพ มีค่าครองชีพสูงกว่ากรุงกัวลาลัมเปอร์ และสูงเป็นอันดับสองของเมืองในอาเซียน อย่าไปเหมาว่าเป็นค่าครองชีพ "ไทย" สูงกว่า "มาเลเซีย" และ "ไทย" สูงเป็นอันดับสองของอาเซียน แก้ไขเมื่อ 10 ก.ค. 54 22:39:17 จากคุณ : 2AM เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 22:37:37

ความคิดเห็นที่ 50 เอางี้ดีไม๊ ให้บริษัทเลือกได้ ให้ก็ได้ลดภาษี ถ้าไม่ให้ก็อยู่กันแบบเดิมน่ะแหละ แล้วรอดูผลกัน จากคุณ : goHm เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 23:05:52

ความคิดเห็นที่ 51 ถ้าให้เลือกได้คงมีแต่บริษัทใหญ่ๆชั้นนำเท่านั้นแหละที่เลือก ปรับเงินเดือนปริญญาตรี เป็น 15,000 บาท เพื่อรับประโยชน์จากการประหยัดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 23% เพราะบริษัทเหล่านี้จ่ายโดยเฉลี่ยสูงกว่า 15,000 บาทอยู่แล้ว การเข้าร่วมโครงการจะทำให้ได้ภาษีฟรีๆ รัฐก็เสียผลประโยชน์ในการเก็บภาษีเพื่อพัฒนาประเทศไปฟรีๆเช่นกัน ส่วนบริษัทเล็กๆ SME ทั้งหลาย เค้าจ่ายภาษีไม่ถึง 30% อยู่แล้ว คงไม่มีใครบ้าจี้เลือกเข้าระบบนี้แน่ๆ สรุปแล้วถ้าให้เลือกได้อย่างความเห็นบนๆว่า มีแต่บริษัทใหญ่ๆที่ได้ผลประโยชน์เท่านั้น และประเทศชาติก็เสียผลประโยชน์ในการเก็บภาษีไปฟรีๆ จากคุณ : ไรเฟิล เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 54 07:41:47

ความคิดเห็นที่ 52 เราว่าอีกหน่อยคนไทยเองนี่หละจะตกงาน เพราะจ้างต่างด้าวราคาจะถูกกว่า มันดาบสองคมน่ะเราว่า ตอนนี้ยังไม่ขึ้นเป็น 300 บาท ไปดูไซน์งานก่อสร้างสิ มีแต่คนต่างด้าวทั้งนั้นเลย และรัฐบาลก็เปิดให้จดทะเบียนแรงงานต่างด้าว มีหวังนายจ้าง import แรงงานเข้ามาเพียบแน่เลย หากถูกบังคับให้ใช้ราคาจ้างเท่านี้ อีกประเด็นนึงก็คือ หากเพิ่มมาเป็น 300 บาท ต้นทุนสินค้าก็แพงขึ้นแน่นอน มีหรือที่ผู้ผลิตจะเอาภาระดังกล่าวเข้าตัวเอง เขาก็ต้องบวกไปกับต้นทุนสินค้าทั้งหมด ธุรกิจต่างประเทศที่จะมาลงทุนในไทย ก็จะต้องคำนวณต้นทุนให้ดีก่อนมาลงทุน ลดภาษี ก็มีผลทำให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้น้อยลง แต่ต้องการเงินไปทำนโยบายประชานิยม จะเอาเงินจากไหนมามากมาย การเลือกตั้งครั้งต่อ ๆ ไปประชาชนก็จะเลือกคนที่มีนโยบายแจกแหลก แทนที่จะดูนโยบายที่จะสร้างคนให้ยั่งยืน ยังไงก็จะคอยดูนโยบายต่าง ๆ ว่าจะทำอย่างไร ต่อไป เอาใจช่วยรัฐบาลใหม่ให้ทำให้ได้ จากคุณ : Dr.modx เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 54 13:45:24

ความคิดเห็นที่ 53 ไม่เพียงแต่ SME หรอกค่ะ  แถวบ้านเราที่ต่างจังหวัด  เคยเป็นฐานของเพื่อไทย มาตลอด  เลือกกี่ทีก็ได้ พอเจอนโยบายค่าแรง 300 บาทไปทีเดียว ย้ายไปเลือกอีกข้างทันที ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้สมัครหน้าใหม่ด้วยซ้ำ เพราะภาคเกษตรกรรมใช้แรงงานกันตามค่าแรงขั้นต่ำ  ถ้าต้องจ่าย 300 บาท และไม่ได้ประโยชน์จากภาษีของแบบภาคอุตสาหกรรม  ต้นทุนขึ้นบานตะไทเลย เขาบอกว่าอยู่ไม่ได้เหมือนกัน  ถ้าค่าแรงขั้นต่ำราคาเท่านี้  เพราะราคาพืชผล ขึ้นกับกลไกตลาด ไม่ใช่เกษตรกรกำหนดด้วยสิคะ จากคุณ : ตอกะจอ เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 54 14:08:52

ความคิดเห็นที่ 54 บางความเห็นมองเพียงด้านเดียวที่ว่า รัฐบาลใหม่ "ขายฝัน " เพียงการขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาท แต่ไม่ได้มองในมุมที่ว่ารัฐบาลช่วยลดภาษีให้จาก 30% เหลือ 23% บ.มันจะเจ๊งยังงั้ย....ขึ้นค่าแรง บริษัทก็นำมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้... ลดภาษีนิติบุคคล บริษัทก็เสียภาษีน้อยลง.... คุณอย่าบอกนะว่าบริษัทกำไรน้อย หรือไม่มีกำไรไม่ได้ประโยชน์จากการลดภาษี ..ถ้าเป็นงั้นดิชั้นว่าปิดไปเลยดีกว่า จากคุณ : 300 ยังน้อยไป เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 01:08:30 A:110.168.11.211 X: TicketID:284772

ความคิดเห็นที่ 55 ผมเคนคิดคร่าวๆครับ ค่าแรง 300 จากปัจจุบัน 167 บาท (จังหวัดผม) เพิ่มประมาณ 179% ค่าแรงของพนักงานร้านอาหารประมาณ 40% ของต้นทุนรวม ดังนั้นราคาอาหารควรจะเพิ่ม = 71.6% เป็ยอย่างน้อย (จริงๆวัตถุดิบมันจะขึ้นไปด้วยอีกเพราะค่าแรงวัตถุดิบนั้นใช้แรงงานเป็นหลัก) คาดว่าราคาหมูกระทะปัจจุบัน 119 น่าจะเพิ่มอย่างน้อย 80% เป็น 214 บาท คิดราคาตามหลักจิตวิทยาคือ 219 บาท เลยทีเดียว ก๋วยเตี๋ยว 30 บาท จะเป็น 55 บาท ข้าวแกงกับ 3 อย่าง 50 บาท จะเป็น 90 บาท จะเข้าสู่ยุคข้าวแกงจานละร้อยแล้วล่ะครับ เร็วๆนี้ เอาแค่ธุรกิจอาหาร เริ่มจากค่าแรงงานคนเลี้ยงสัตว์เพิ่ม + ค่าแรงงานขนส่งเพิ่ม + ค่าแรงงานโรงเชือดเพิ่ม + ค่าแรงงานเขียงหมูเพิ่ม + ค่าแรงงานพ่อค้าเพิ่ม + ค่าแรงงานพนักงานร้านอาหารเพิ่ม ต้นทุนวัตถุดิบจึงเพิ่ม เหมือนราคาเนื้อสัตว์ที่เพิ่มขึ้นมานับจากต้นปี (ที่มีประกาศขึ้นเงินเดือนสูงมาก) ปรับแค่ 10 บาทก็ขึ้นมาขนาดนี้ แล้วปรับเป็นร้อยจะขนาดไหน ปล.ธุรกิจที่จ่ายได้ก็อยู่ได้ จ่ายไม่ได้ก็เลิกกิจการ คนที่เดือดร้อนคือลูกจ้างครับ ตกงานกันไปละกัน (เพราะเจ้าขอกิจการก็ไปทำอย่างอื่นดีกว่า กำไรเยอะกว่า) จากคุณ : TamanXZG เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 01:45:41

ความคิดเห็นที่ 56 เพิ่มเติมอีก 3 ประเด็น 1.ถ้าจะให้เลือกทำตามนโยบายแล้วได้ลดภาษี ไม่ทำไม่ได้ ผมเลือกไม่ทำครับ เพราะต้นทุนค่าแรงผมจะต่างกับชาวบ้านถึง 2 เท่า แต่ผมสามารถขายของราคาเดียวกับพวกที่ขึ้นราคาไปแล้ว ยังไงเสียกำไรก็ได้มากกว่าแน่ๆ 2.ขึ้นแล้วจะดีจริงหรือ ผมอยากให้ดูตัวอย่าง ประเทศ จีน ครับ ค่าแรงถูกมากจนบริษัทต่างชาิติไปตั้งโรงงานกันมากมาย (เพื่อลดต้นทุน) เศรษฐกิจเขาก็โตกัน 2 หลัก เกิดธุรกิจใหม่ๆขึ้นก็ง่าย เพราะต้นทุนต่ำกว่าที่อื่น เลยเกิดเศรษฐีใหม่ขึ้นมากมายในประเทศ ยิ่งพวกบริษัทที่ใช้แรงงานมากๆแย่งสิ่งทอ หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ผมว่าย้ายไปเวียดนาม หรือจีนหมดแน่ๆ ทีนี้ก็จะมีคนตกการกันหลายพันคน เพราะบริษัทพวกนี้จ้างคนงานเยอะมากๆ 3.ประเด็นที่จะเพิ่มทั้งประเทศโดยอ้างความเท่าเทียม หรือกระจายรายได้ ผมว่าคิดสั้นไปครับ ถ้าขึ้นเป็น 300 ค่าแรงอย่าง พะเยา ที่ต่ำที่สุดที่ 151 บาท ต้องเป็น 300 คือขึ้นเท่าตัว ถ้าผมเป็นผู้ประกอบการที่พะเยา ผมไปอยู่กทม.ดีกว่าครับ ค่าจ้างเท่ากัน แต่กำลังซื้อ จำนวนประชากร และรายได้ต่อหัวต่างกันราวฟ้ากับเหว ดังนั้นพะเยาคงจะกลายเป็นเมืองร้างเลยทีเดียว จากคุณ : TamanXZG เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 01:56:50

ความคิดเห็นที่ 57 ก็ทีมเศรษฐกิจของเพื่อไทยบอกว่านอกจากจะลดภาษีให้แล้ว ยังยกเลิกกองทุนน้ำมัน ซึ่งน้ำมันถือมันปัจจัยหลักในการผลิตของทุกอุตสาหกรรมด้วย จากคุณ : pret เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 07:57:24 A:223.206.97.119 X: TicketID:323598

ความคิดเห็นที่ 58 เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันที่จะหายไปหากยกเลิก ดูเอาเองว่าเงินหายไปจากระบบเดือนล่ะกี่พันล้าน http://www.efai.or.th/theoil/theoil-use.htm แล้วเงินที่ใช้อุตหนุนก๊าซ LPG ทำไง  แถมโครงการการสารพัดโปรเจคเอาเงินจากไหน  ไอที่เก็บได้ก็ลดลงอีก แล้วเรื่องน้ำมันที่ใช้ในประเทศ  สูบจากที่ไหนของไทยเหรอครับ ต้องนำเข้าไม่ใช่เหรอครับ ต้นทุนภาคการผลิตสูงขึ้น ส่งออกก็ลำบากมากขึ้น ดันส่งเสริมให้กระซวกน้ำมันเพิ่ม  จะได้นำเข้าน้ำมันเยอะๆ มันไปลงไปช่วยในภาคขนส่งวัตถุดิบอย่างไรเหรอ  ทำยังกะไม่เคยเห็นรถสิบล้อรถบรรทุกติดแก๊ส NGV เดี๋ยวนี้แทบไม่เห็นสิบล้อไม่ติดแก๊สแล้ว ส่งออกลด  นำเข้าเพิ่ม  เยี่ยมจริงๆ จากคุณ : jomjonbupa เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 19:17:44

ความคิดเห็นที่ 59 นึกถึงองค์กรบางแห่งที่มีพนักงาน ปวส ปวช ด้วย  เงินเดือนรวมออกมาแทบจะเท่ากับวุฒิ ม.3 ค่าแรงขั้นต่ำ  พนักงานเค้าจะรู้สึกยังไง เค้าก็ต้องอยากให้อัพเงินเดือนเค้าตามไปด้วย ไหนจะพนักงานคนอื่นๆๆๆๆๆๆๆๆอีก จากคุณ : ทังโคริริน เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 54 20:41:24

ความคิดเห็นที่ 60 ตอบ 58 ก็คงจะขายรัฐวิสาหกิจสัก 2-3 ที่ล่ะมัง เหมือนที่เคยพยายามทำในอดีต จากคุณ : พ่อต้นกล้า เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 17:46:04