ความคิดเห็นที่ 1 ปัญญาอ่อน จากคุณ : หัวโตนะ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:13:19

ความคิดเห็นที่ 2 คคห ที่ 1 สมองมีไ้ว้คิดนะ อ่านแล้วคิด ใช้สมองบ้าง เดี๋ยวหัวโตเปล่าๆ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:14:25 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 4 อ่านจบหรือยัง คคหที่ 3 อ่านหนังสือ อ่านให้ครบทุกบรรทัด ก่อนนะ อ่านภาษาไทย ไม่ยากหรอก ใช้สมองหน่อย จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:21:33 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่อยากให้ข้าวของขึ้นราคา ก้ออยาไปกินอย่าไปซื้อมันซิ จะมาห้ามไม่ให้คนรับเงินเดือนที่ขึ้นได้อย่างไร? จากคุณ : คนที่ราบสูง เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:21:37 A:119.42.64.132 X: TicketID:255841

ความคิดเห็นที่ 6 อย่ากังวลไป คุณไม่รับ งั้นผมขอ รับคนเดียว ขอเงินขึ้นมากฯผมอยากได้ มากฯฯ จากคุณ : dokaki (dokaki) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:23:33

ความคิดเห็นที่ 7 เดี๋ยวของแพง เดี๋ยวสินค้าขึ้นราคา ขนาดพวกใช้แรงงาน จะขึ้นแค่วันนึงไม่กี่สิบบาท มนุษย์เงินเดือนยังเครียดแทบตายเลย ตั้งกระทู้เกือบทุกวัน เดี๋ยวข้าวของแพง ประเทศล่มจม แบบ Fwd Mail หรอก อย่าขึ้นเลยนะเงินเดือน เงินเดือนขึ้น 3 % เดี๋ยวค่าอาหารขึ้น เป็น 50 บาทแน่ๆ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:27:13 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 8 ปัจจัยที่ทำให้สินค้ามีราคาแพง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับค่าแรงอย่างเดียว มองหลายๆด้าน คิดให้เยอะๆ ถ้าจะวิเคราะห์ปัญหานี้ครับ จากคุณ : อิอิ (banchong_k) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:31:57

ความคิดเห็นที่ 9 ผ่าน ครม. แล้วเหรอ ?  หรือเราตกข่าว ถ้ายังไม่ผ่าน  ก็อย่าเพิ่ม กระต่ายตื่นตูม ถ้าผ่านแล้ว  เด๋วคงต้องหาวิธีใหม่ๆอีกยาว ใจเย็นๆก่อนพี่น้อง จากคุณ : B (ViViCo1) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:32:27

ความคิดเห็นที่ 10 รู้สึกเหมือนประชดนะคะ หุหุ จากคุณ : เด็กน้อยคนหนึ่งกับดวงดาวสีเงิน เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:32:28

ความคิดเห็นที่ 11 ค่าแรงงาน ไม่ใช่ต้นทุนการผลิตเพียงอย่างเดียว ยังมีต้นทุนการผลิตจากปัจจัยอื่นอีก.....ถ้าสามรถควบคุมปัจจัยตัวอื่นได้ ค่อยมาคุยเรื่องการควบคุมการขึ้นค่าแรง อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ ราคาน้ำมัน .....น้ำมันเป็นต้นทุนการผลิตของเกือบทุกอุตสหกรรม ....แล้วควบคุมได้หรือเปล่า จากคุณ : ทะเลสวย น้ำใส เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:34:03

ความคิดเห็นที่ 12 เจ้าของบริษัทยิ้มเลย อิอิ จากคุณ : [O-bee1] เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:40:43

ความคิดเห็นที่ 13 กลัวแล้วครับ ความคิดเห็นอะไร ไม่ถูกใจ ต้องขอโทษ อย่างยิ่ง แล้วจะทำหนังสือขอโทษ เป็นทางการครับ จากคุณ : aksorn_ji เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:44:32

ความคิดเห็นที่ 14 ขอแทรกคำถามหน่อยนึงครับ พอดีเห็นกระทู้ 300 บาทเยอะมากกกก อยากรู้ว่าคนที่คัดค้าน ทั้งเสนอตัวตั้งกระทู้เองและมาตอบ ด้วยเหตุผลต่างๆนานา ส่วนใหญ่รายรับวันเท่าไหร่กันครับสงสัยจัง เอาไว้เป็นวิทยาทานว่าคนมีรายได้น้อยกว่า 300 คิดแบบใหน และคนมีรายได้เยอะกว่า 300 คิดยังไง จากคุณ : [O-bee1] เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:48:33

ความคิดเห็นที่ 15 อ้าว คคหที่ 13 กลัวอะไร เราต้องรักชาติ เราต้องช่วยกันป้องกันเงินเฟ้อ ป้องกันสินค้าราคาขึ้น เดี๋ยวกลายเปนแบบ ซิมบาฟเว อาเจนติน่า หรอก ไม่กลัวหรอ ช่วยกันนะ อย่าขึ้นเงินเดือน อย่ารับเงินเพิ่ม ช่วยๆกันนะ ใครได้แค่ไหนก็รับเท่านั้นไปซัก 10 ปี จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:49:37 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 16 จขกท. ประชดนะครับ เพราะช่วงนี้กระทู้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทเยอะ และก็มีคนบอกว่าจะทำให้ของแพงขึ้น ซึ่งถ้าเทียบกับมนุษย์เงินเดือน ก็ขึ้นทุกปีเหมือนกัน ก็น่าจะเป็นเหตุให้ของแพงขึ้นเหมือนกัน อ่านแล้วขำ ๆ น่ะครับ จากคุณ : MAX เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:52:45

ความคิดเห็นที่ 17 เสริม พนักงานธนาคาร แบงค์ ไฟแนนซ์ ถ้าขึ้นเงินเดือน ก็จะทำให้ต้นทุน ของธนาคาร แพงขึ้น เกิด Cost มากขึ้น ก็ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น ดอกเบี้ยขึ้น เงินเฟ้อ บ้านแพง ผ่อนบ้านลำบากอีก แบบนี้เพื่อช่วยชาติ พนักงานแบงค์ และ สถาบันการเงินทุกชนิด ควรปรับลดเงินเดือนตนเองลง เพื่อช่วยชาติ ด้วย ลดไปซัก 1000-2000 ต่อคน ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวดอกเบี้ยลด เงินเฟ้อลด ประเทศจะได้ไ่ม่่ล่มจม ดังที่กลัวกัน ส่วนเงินที่หายไปทำไงล่ะ ก็อยู่อย่างพอเพียงสิ นอนห้องเช่า รวมๆกันก็ได้นี่นา ทำไมต้องไปเช่าอพาตเม้น ผ่อนคอนโด ผ่อนบ้านล่ะ ครอบครัวนึง 3-4 คน พ่อแม่ลูก ก็นอนรวมๆกันในห้องเช่า สังกะสี ห้องเดียวก็ได้นะ นอนเรียงๆกัน ไม่ต้องมีแอร์เออ อะไรหรอก เดี๋ยวเงินเฟ้อ ลูก ก็ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์การเรียนอะไรหรอก รอ โรงเรียนแจกฟรี ขนม เขนิม ไม่ต้องกิน เมียก็อย่าให้แต่งหน้ามาก ฟุ่มเฟือย ใช้ตลาดนัด 20 บาท พอ อยู่แบบพอเพียงไง คนใช้แรงงานเค้ายังต้องใช้ชีวิตแบบนั้นเลย ถ้าใช้มาตรฐานชีวิตดีกว่านี้ เดี๋ยวกลายเป็นพวก ฟุ่มเฟือยนะ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:59:48 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 18 มนุษย์เงินเดือนห้องสีลม เงินเดือนไม่ขึ้นซัก 10 ปี ไม่เห็นเป็นไรเลย สบายๆ วิธีประหยัด อย่าใช้ชีวิตเกินมาตรฐาน ที่ชนชั้นกลางได้กำหนดไว้สำหรับผู้ใช้แรงงาน 1. อยู่กระต้อบสังกะสี เพิงสร้างง่ายๆ นอนรวมๆ ครอบครัวนึง มี 5-6 คน ก็นอนเรียงๆกัน น้ำไฟ ไม่ต้อง ขอต่อเชื่อมจากเสาไฟฟ้า เอา 2. อาหาร อย่าซื้อกินเยอะ อย่ากินร้านอาหาร เห็นมนุษย์เงินเดือนบอกให้พวกใช้แรงงานทำอาหารกินเอง แล้วถ้าอยู่กระต้อบ ไม่มีตู้เย็น ทำไงดีวะ ของสดทำไง อ้อไม่เป็นไร กินมาม่า ทุกมื้อ ก็คงได้มั้ง 5-6 บาท กินข้าวถุง กับข้าว 1 ชนิด พอ อย่ากินน้ำหวาน น้ำอัดลม ชากาแฟ 3. เสื้อผ้า ซื้อทำไม ฟุ่มเฟือย เอาที่ site ก่อสร้าง ใส่เอานั่นแหล่ะ 4. ลูก มีทำไมเปลือง ถ้ามีก็ช่างมัน กินพอประชีวิต อย่าไปหวังคุณภาพชีวิตอะไร กับเด็กที่มาันเกิดมาในครอบครัวคนใช้แรงงานเลย จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 11:04:33 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 19 อ่อ ผม get ล่ะครับ อิอิเข้าใจประชดนะ พอดีอ่านไม่ถี่ถ้วน แต่ผมว่าคนที่ค้านกลัวของแพง ส่วนใหญ่รายได้เกินสามร้อยกันเกือบหมด อยู่ในระดับทำเครดิตการ์ดได้เลยและครับ แต่ถามว่าสิ้นปีผมต้องการเงินเดือนขึ้นใหม ต้องการครับ ต้องการโบนัสใหมต้องการครับ เพราะ 1 คนเราทำงานก็เพื่อเงิน ถึงแม้ตอนสัมภาษจะบอกว่าต้องการหาประสบการ์ณคร้าบบ(อิอิ) แต่พูดต่อเงินเดือนกันนั่นและคือเหตุผลทั้งปวง ไม่มีไครอยากย่ำอยู่กับที่หรอก 5ปี 10 ปี ทำงานก็ต้องอยากมี บ้านมีรถ มีนั่นมีนี่กันหมด เห้อ นานาจิตตัง คนเงินเดือนเยอะไม่อยากให้คนได้น้อยได้มาก คนเงินเดือนน้อยก็อยากได้มากขึ้น เพราะอยากมี อีกกระทู้เห็นตั้งว่าแม่บ้านเงินเดือน 7500 มาพูดกับตนเรื่องขั้นต่ำ 300 เห้อ เห็นแล้วเหนื่อยแทน จากคุณ : [O-bee1] เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 11:05:23

ความคิดเห็นที่ 20 อ่านที่ จขกท เขียนแล้วเริ่มสนุก รออ่านต่อนะคะ จากคุณ : ทะเลสวย น้ำใส เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 11:15:56

ความคิดเห็นที่ 21 ผมว่า คนตั้งกระทู้ เขาประชด พวกที่ชอบบอกว่า ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทแล้วจะเกิดเงินเฟ้อ แต่ก็ได้เห็นแล้วว่า ถ้าจะขึ้นเงินเดือนให้ กรรมกร คนสีลมจะต่อต้าน แต่ถ้าจะขึ้นเงินเดือนให้พวกตรู พวกตรูก็จะเอา และห้ามไม่ขึ้นด้วย จากคุณ : ซื่อสัตย์ มั่นคง เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 11:17:59

ความคิดเห็นที่ 22 เจ้าของกระทู้แค่ประชด อย่าซีเรียสมากครับ ส่วนเจ้าของกระทู้ก็ไม่ต้องไปไล่ตอบทุกคนที่เขาไม่เห็นด้วยหรอกครับ มันจะมาม่า  กันซะเปล่าๆ จากคุณ : จอบบ้อน เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 11:18:28

ความคิดเห็นที่ 23 นี่แำหละำำพวกเห็นแก่ได้ พอตัวเองไม่ได้ขึ้นเงินเดือนก็โวยวายๆ :-) ที่คนใช้แรงงานจะขึ้น ก็โวยวายตัวเองจะเสียผลประโยชน์ จากคุณ : เด็กขงเบ้ง เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 11:33:02

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้าพวกคุณไม่เอาเงินเดือนที่ขึ้น  ผมขอนะ รอมานานมาก จากคุณ : dokaki (dokaki) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 11:34:13

ความคิดเห็นที่ 25 อ่านแล้วก็ขำดีครับ สนุกดี เงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ต้องเฟ้อนิดหน่อย มันสะท้อนว่าเศรฐกิจกำลังเติบโต แต่ถ้าเงินฝืด (Deflation) อันนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันจะท้อนว่า เศรษฐกิจกำลังจะมีปัญหา การขึ้นเงินเดือน 3-5% มันก็เป็นไปตามกลไก ค่าของเงินน้อยลง ก็ต้องมีปริมาณเงินในมือมากขึ้น เพื่อให้มีเงินเท่าเดิม แล้วการขึ้นตามกลไกระบบเศรษฐกิจ มันไม่ทำให้ข้าว จาก 30 บาท ขึ้นเป็น 50 บาท ในคราวเดียวหรอกครับ แต่การเข้าไปแทรกแซง Invisible hand ในระบบ เช่น การบังคับเพิ่มรายได้ของแรงงานที่สูงเกินไป ตางหาก ที่มันจะทำให้เกิด Inflation เร็วกว่าที่ควร จากคุณ : M style เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 11:39:38

ความคิดเห็นที่ 26 ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเศรษฐศาตร์เท่าไหร่ แต่ขึ้น 300 ให้แรงงานผมก็เห็นด้วยนะ ของแพงแล้วเงินเดือนเพิ่ม ดีกว่าของแพง(เพราะทุกวันนี้มันไม่ได้ถูกลง)แล้วเงินยังเท่าเดิม จะเอาอันใหน แจก 2000 บาทต่อหัวก็แจกมาแล้ว เอาน่าอันนี้แค่เท่าไหร่เอง อิอิ จากคุณ : [O-bee1] เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 11:45:49

ความคิดเห็นที่ 27 คิดได้แค่นี้หรือครับเจ้าของกระทู้ เข้าใจครับว่าประชด ไม่มีใครว่าการขึ้นเงินเดือนเป็นสิ่งไม่มี แต่เวลาจะขึ้นดูด้วยว่าเหมาะมั้ย ขึ้นฐานเงินเดือนทีละ 3-5% ตามเงินเฟ้อจะมีคนด่ามั้ย ไอนี่ไปขึ้น 40 % มันเกินมั้ยครับ เงินเฟ้อควรจะมีครับ แต่เยอะไปมันไม่ดีอะไรที่มากไปหรือน้อยไปก็ไม่ดีทั้งนั้น แรงงานขั้นต่ำเองก็ใช่จะรับขั้นต่ำตลอดชีวิต เค้าทำงานไปนานๆ ก็เริ่มเป็นแรงงานมีฝีมือ เริ่มเป็นหัวหน้าคนงาน ตรงนั้นก็ทำให้เค้ามีรายได้เพิ่มเรื่อยๆอยู่แล้ว เหมือนกับที่คนออฟฟิตได้เงินเดือนเพิ่มทุกปีนั่นแหละ ซึ่งอันนั้น ไม่มีใครเถียงเว้ยว่าควรจะได้ ถ้ารู้จักพัฒนาตัวเองเงินมันตามมาอยู่แล้ว ประเด็นคือควรมั้ยที่จะไปปรับฐานเงินเดือน ฐานเงินเดือนมันไม่ใช่เงินเดือนที่ปรับทุกปีนะคร้าบ ถ้าไอคนที่รับ 215 ไปรับ 300 ไอหัวหน้าที่เคยรับ 300 มันก็อยากได้ 350 ป.ตรีที่เคยรับ 12k พอรับ 15k รุ่นพี่ที่ทำจนมารับ 15k ก็อยากจะรับ 17k-18k ตรงนี้ต่างหากที่เป็นปัญหา แล้วมันไม่ใช่เพิ่มนิดเดียวนะครับ เพิ่มทีเป็น 40-50% เงินมันเฟ้อ มากกว่าที่ควรจะเป็น แรงงานหลายคนอาจสงสัยเงินมันเฟ้อแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า เงินค่าเพิ่ม 40% ของอาจจะแพงขึ้นซัก 20%  เงินเฟ้อซัก 10-20% ข้าก็กำไรอยู่ดี ประเด็นคือเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกซิครับ ถ้าเงินเราเฟ้อเยอะอยู่ประเทศเดียวชาวบ้านเค้า 3-4% เท่าเดิม เท่ากับเงินบาทเราค่าน้อยลง ใครมันอยากจะถือเงินบาทหล่ะครับ เค้าก็เทขายหมดซิครับ พอเทขายแล้วเกิดอะไรขึ้นครับ ค่าเงินอ่อนตัวไงครับ ค่าเงินอ่อนน้ำมันแพงต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าก็สูงไปอีก ทีนี้ ถ้าเงินที่อ่อนไปไม่ได้ช่วยให้ต้นทุน การผลิตลดลง(เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน)คุ้มกับ ค่าแรงค่าน้ำมันนำเข้าวัตถุดิบนำเข้าที่ขึ้น เค้าก็ไปลงทุนในประเทศอื่นซิครับ   ค่าแรงถูกกว่า เงินเฟ้อไม่เท่าเรา ทีนี้เราก็ตายซิครับ อย่าลืมนะครับว่าบ.ต่างๆของเราส่วนใหญ่ต่างชาติเข้ามาลงทุนทั้งนั้น เค้าไม่สนใจหรอกนะครับว่าชนั้นแรงงานเราจะตายหรือไม่เค้าไม่ง้อครับ เค้าถอนการลงทุนไปอยู่ไม่ได้เป็นแถวๆแน่ ทีนี้ตกงานกันชัวร์ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 12:13:08 แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 12:11:29 แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 12:10:09 จากคุณ : hil4552 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:07:56

ความคิดเห็นที่ 28 คคหที่ 27 อย่างที่บอกต้องช่วยกัน เห็นด้วย ตกลงเอาเป็นว่าเดี๋ยวไปแจ้ง HR ของดขึ้นเดือนสิ้นปี และ ขอลดอัตราเิงินเดือนละ ซัก 5 % จะดีมากๆ เพราะว่าเดี๋ยวค่าเงินจะได้มีเสถียรภาพ ของจะลดราคาลงตั้ง 5 % แน่ะ เงินเฟ้อลดลง 5 % เงินบาทแข็ง เดี๋ยวน้ำมันจะราคาถูกลง เยี่ยมไปเลย ถ้าคุณไปหาแนวร่วมในบริษัทได้ซัก 100 คน บริษัทคุณจะกำไรมากขึ้น จะได้ช่วยกันลดราคาสินค้าลง แข่งขันกับต่างประเทศได้มากขึ้น รับเงินเดือนเต็มๆอยู่ได้ไง ไม่ละอายใจหรอ ที่ทำให้ cost บริษัทสูงขึ้น แย่เลย เดี๋ยวเงินเฟ้อ ต่างชาติต้องไปลงทุนประเทศอื่น หมด ประเทศล่มจมแน่ๆ เงินเดือนผู้บริหาร เวลาปรับขึ้นที 5000 - 10000 นี่ไม่กระทบเงินเฟ้อเลย แต่ละปี พวกพนักงานเสมียน กินเงินเดือน ไปเดือนๆนึง อย่าไปปรับให้พวกเค้าเลย เดี๋ยวเงินเฟ้อ ประเทศล่มจมแน่ๆ ข้าวของจะแพงขึ้น พวกแมสเซนเจอร์ ถ้าขึ้นเงินได้อีกเดือนละ 1500 เดี๋ยว บริษัทเจ๊ง สงสารเจ้าของเดี๋ยวไม่มีเงินไปทิปเด็กเชียร์เบียร์ ตีกอลฟ ส่งลูกเรียนคุมอน ติวกวดวิชา ส่วนลูกคนงานนะเรอะ ให้มันอ่านกระดาษห่อกล้วยแขกไป ไม่ต้องติวหรอก ส่วนเมียคนงานก็ให้มันต้มมาม่าให้ลูกให้ผัวกิน อยู่แบบนั้นแหล่ะพอแล้ว อย่าขึ้นเงินใดๆ เดี๋ยวเีมียเจ้าของไม่มีเงินไปกินบุฟเฟ่โรงแรมหรูๆ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:20:48 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 29 เถียงไปก็เท่านั้น เค้าแค่ประชดแต่ความรู้น้อยแค่นั้นเอง.. โรบินฮู้ดปล้นคนชั้นกลาง ช่วยคนจน แล้วก็หักไว้กินเองครึ่งนึง จากคุณ : hexa เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:26:29 A:223.204.133.37 X: TicketID:256654

ความคิดเห็นที่ 30 มนุษย์เงินเดือน บอกให้พวก แรงงานเสียสละ อย่าขึ้นเงินรายวัน ของตนเอง เพราะเดี๋ยวการแข่งขันจะลำบาก ประเทศจะพินาศ ย่อยยับ เอางี้ไหม win win คนงานไ่ม่ต้องขึ้นเงิน ส่วน พนักงานบริษัททุกคนที่เงินเดือน เกิน 15000 ขอลดเงินเดือนตัวเอง 2000 บาท ต่อเดือน เพื่อช่วยให้ประเทศไม่ล่มจม เงินไม่เฟ้อ และ หวังว่าข้าวของจะถูกลง แน่ๆ บริษัทจะมีกำไรเยอะขึ้น ต้องลดราคาสินค้าลงได้สบายๆ เจ้าของกำไรมากขึ้น เงินก็จะไม่เฟ้อ เพราะ cost ลดลงเห็นๆ โอ้ย มีประโยชน์กับประเทศชาติ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ทำไมคนรักชาติ เป็นห่วงเศรษฐกิจ และ กลัวเงินเฟ้อ ทุกคนไม่ทำงี้อ่ะ แค่ 2000 เอง ช่วยชาติได้นะ ลด Cost ให้บริษัท ทำให้ลดต้นทุน คาดว่าเงินเฟ้อจะลดลง เงินบาทสงสัยจะมีเสถียรภาพมากขึ้น (ส่วนเศรฐกิจอเมริกา เป็นอะไรหรอ คนสีลมไมู่รู้จักอ่ะ เงินบาทอ่อนแข็ง มันเกี่ยวกับ เมกาด้วยหรอ หนูไม่รู้ หนูรู้แต่เกี่ยวกับ 300 บาท แน่ๆ ฮ่ะ) ประเทศชาติจะรุ่งเรือง เจริญถึงขีดสุดแน่ๆ เมื่อมนุษย์เงินเดือนจะช่วยชาติ ด้วยการไม่ขึ้นเงินเดือน และ ลดเงินเดือนตัวเอง ปกป้องไม่ให้เงินเฟ้อ อพาตเม้นอย่าไปเช่า เช่าห้องนอนรวมๆกันน่ะแหล่ะ ดีที่สุด รถอย่าขับ นั่งรถเมล์ฟรีเอา จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:26:42 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 31 ส่วน คคหที่ 29 ถ้าหาเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ ที่เป็นตัวเลขมาตอบได้อย่างมีเหตุและผล ค่อยมาโพสนะ เพราะไม่งั้น จะนึกว่าเป็นเด็กจากเว็บเ็ด็กดี มาเล่นในห้องสีลม สองอาิทิตย์แล้ว ความรู้น้อยหรือเปล่า คุณลองโชว์ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ มาหน่อย จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:27:53 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 32 ประชดผู้บริหารกะเจ้าของนี่เอง ผู้บริหารเงินเดือนหลายๆ แสน เขาก็มีไม่กี่คน แตกำหนดทิศทางบริษัทได้ คนเก่งๆ ออกนโยบาย บริหารไม่กี่เดือน บริษัทกำไรเพิ่มหลายสิบล้านก็มี แต่เสมียนระดับล่างๆ มีจำนวนมาก ขึ้ินเงินเดือนมากๆ ก็ทำงานเหมือนเดิม... ยกเว้นเก่งขึ้น ย้ายตำแหน่งไปเป็นหัวหน้า ก็สมควรได้เงินเพิ่ม ค่าแรงขั้นต่ำ 100 หรือ 300 ก็เช่นกัน ถ้าเป็นคนงาน ไม่คิดจะทำอะไรเองเป็นเลย ก็สมควรได้รับต่ำกว่า 300 เพราะไม่งั้นเงินจะเฟ้อ ทำงานด้านก่อสร้าง ช่างไม้พอเลื่อยไม้ ตอกตะปู เข้ามุมได้ ทำตู้ง่ายๆได้ ค่าแรง 550-600 บาทต่อวันแล้วครับ... ไอ้คนค่าแรง 300 หรือต่ำกว่า ต้องพัฒนาฝีมือ ไม่ให้เป็นแรงงานไร้ฝีมือ ไม่ใช่ออกมาให้เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ... จากคุณ : เด็กสร้างบ้าน คนสร้างภาพ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:32:42

ความคิดเห็นที่ 33 เหนื่อยเวลาอธิบายกับคนเหวี่ยงๆแบบนี้ แต่คุณมีเหตผลอะไรมาบอกให้ผมยอมเสียสละโดนปล้น? จะลดก็ได้ แต่ต้องลดทั้งระบบ ต้นทุนการผลิตถึงจะลดลง จากคุณ : hexa เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:34:01 A:223.204.133.37 X: TicketID:256654

ความคิดเห็นที่ 34 ทำตัวเป็นขอทาน แทนที่จะพัฒนาตัวเอง จากคุณ : hexa เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:34:42 A:223.204.133.37 X: TicketID:256654

ความคิดเห็นที่ 35 เอ่อ คือ ไปไม่ถูกเลยค่ะ.... จากคุณ : minkblue เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:38:20

ความคิดเห็นที่ 36 เทียบต่างประเทศ ที่ยุโรปละกัน ในสายงานก่อสร้าง ไม่มีใครรับค่าแรงขั้นต่ำหรอก ก่อสร้างบ้าน หรืออาคารสัก 5 ชั้น ใช้คน 4-5 คน กับเวลา 6 เดือน (ส่วนในไทย ใช้คน 20 คนกับเวลาเป็นปี) เพราะเครื่องมือเครื่องจักรเพียบ แต่ละคนเป็นช่างไม้ ช่างไฟฟ้า ในตัว ขับรถขุด ใช้เครื่องมือเจาะ เก่งทุกอย่าง ผลิตผล ทำงานออกมาดี ค่าแรงเขาจึงแพง!!!! คนไทยต้องอัพเกรดฝีมือตัวเองให้เก่งๆ เป็นกรรมกรก็อัพเป็นช่างไม้ ช่างปูน(ฉาบแกะสลัก) ช่างไฟฟ้า อะไรที่ใช้แรงงานดิบๆ เอาเครื่องจักรมาใช้แทน ในไซต์ก่อสร้างในไทยที่ผมทำตอนนี้ คน 20 คน ขับรถแบ็กโฮเป็นคนเดียว เวลามันท้องเสีย วิศวกรยังไม่มา งานก็เดินไปไหนไม่ได้ อีก 19 คน เป็นใบ้รับประทาน ที่ยุโรปค่าแรงแพง เพราะใช้คนแค่ 1 ใน 4 และใช้เวลาแค่ 1 ใน 2 ค่าแรงต่างกัน 8 เท่า นายจ้างยังไม่ต้องจ่ายเพิ่มเลยด้วยซ้ำ จากคุณ : เด็กสร้างบ้าน คนสร้างภาพ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:40:32

ความคิดเห็นที่ 37 ของดตอบ คุณ hexa เพราะมีคำพูดที่ Racist ผู้อื่น บ่อยครั้ง ทั้งในกระทู้นี้และกระทู้อื่น ที่คนผู้นี้ตอบ ไม่เหมาะที่ผู้เจริญจะกระทำกันใน Board สาธารณะ ค่อนข้างเหมาะกับ Board การเมืองในกลุ่มที่เค้าชอบ มากกว่า ถ้าคุณ hexa ตอบอะไรขออนุญาต ไม่ตอบ เพราะไ่ม่มีประโยชน์ ในต่างประเทศ คนหัวรุนแรง มีลักษณะ Racist จะถูกรังเกียจจากสังคม และ ในบางประเทศ การ racist ผู้อื่น แบบ face to face มีความผิดทางอาญา จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:42:49 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 38 ก็ดีครับ ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะมีข้อมูลอะไรให้เสวนาเท่าไหร่ ดูแล้วก็ไม่ได้มีความรู้อะไร แค่อยากเหวี่ยง แบบตื้่นๆ แล้วก็ภูมิใจกับความสำเร็จ ที่มีคนมาดูเยอะ ปิติจนตัวสั่นงิกๆ ผมไม่เชื่อว่าคุณเป็นคนชั้นล่าง แต่เชื่อว่าคุณเป็นกลุ่มการเมือง และเชื่อที่สุดว่าคุณตอบคำถามไม่ได้ ก็เลยหาทางลงแบบสวยๆ จากคุณ : hexa เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:55:44 A:223.204.133.37 X: TicketID:256654

ความคิดเห็นที่ 39 จขกท ถ้ามีล๊อกอินเดี๋ยวให้กิ๊ฟเลย ผมชอบนะแม้ว่าจะดูเป็นการประชดประชัน แต่ก็เป็นความคิดเห็นที่แตกต่าง จากคุณ : E20TKD เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 13:09:45

ความคิดเห็นที่ 40 ผมว่าประชดประชันแบบ จขกท ฉลาดในการกัดดี เวลาอ่านคนกัดจิกแนวๆ นี้แหละมันดี คนที่เล่น พันทิปส่วนใหญ่คนกรุงจะเยอะ และ จะชอบพรรคการเมือง นั้นแหละ จะเยอะมากๆ แต่เลือกตั้งดันแพ้ตลอด ก็จะโยน ขรี้ให้ ตจว เสมอ เรื่องพวกนี้ หากมองแบบการเมือง หายใจก็ผิดแล้ว เพราะคนละฝั่งกัน หากมองแบบคนที่ได้ประโยชน์ เรื่องนี้เป็นเรื่องดี หากมองแบบคนที่ไม่ได้ ไม่เสีย ประโยชน์ รอดู หากมองแบบคนที่เสียประโยชน์ หายใจก็ผิดแล้ว จากคุณ : varchar2 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 13:15:05 A:93.31.155.175 X: TicketID:322575

ความคิดเห็นที่ 41 บอก Background จขกท ก่อน มีคนหาว่าเป็นกลุ่มการเมือง - จขกท เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนพวกท่าน - ทำกิจการส่วนตัวเสริม เป็นกิจการที่ต้องใช้แรงงาน และ ต้องเพิ่ม cost กรณี กม. 300 บาท ผ่านสภา - เงินเดือน จขกท อยู่ในระดับเหลือกินเหลือใช้ - จขกท ไม่ได้เป็นผู้ใช้แรงงาน หรือ ลำบากใดๆ - จากการดูคร่าวๆทั้งในเรื่องเงินเฟ้อ และ cost ที่เพิ่มขึ้น มันนิดหน่อยเอง เมื่อเีทียบกับ ต้องการยกระดับสวัสดิการต่างๆในประเทศนี้ให้มันดีขึ้น ขณะที่ ประเทศฮ่องกง น้ำชากาแฟ ข้างถนนก็ราคา 40-50 บาท เหมือนไทย บะหมี่ร้านข้างทางก็ตกราวๆ 70-80 บาท (ในไทยบางแห่งที่ดังๆ ก็ราคาเกือบเท่าที่นี่ใช่ไหม ) แต่เงินเดือนเด็กจบใหม่สตาร์ทประมาณ 40000 ไม่ได้ต้องการให้เงินเดือนเยอะเว่อร์แบบต่างประเทศ สำหรับคนใช้แรงงาน แต่ว่าไม่ต้องการเห็นชีวิตของคนที่ต้องได้เงินแค่พอกินไปวันๆ ซุกหัวนอนในห้องเช่าแคบๆ (ดังที่ คนในห้องสินธร และ สีลม พยายามนำเสนอ ว่า ซุกในห้องเช่าแคบๆ ก็พอแล้ว ประหยัดเงิน ) อยากให้คนใช้แรงงาน สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่เลี้ยงไม่ไหว ส่งไปให้บ้านที่ ต่างจังหวัดเลี้ยง อยากเห็นเด็กที่เป็นลูกผู้ใช้แรงงาน มีเงินเล็กๆน้อยๆ ซื้อหนังสือที่อยากอ่าน ไม่ใช่เป็นโอกาสของแค่ลูกมนุษย์เงินเดือน หรือ ลูกเจ้าของ ที่สามารถเรียนพิเศษ ซื้อหนังสือ ว่ายน้ำ ได้ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 13:15:28 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 42 ค่าแรงขั้นต่ำคือเครื่องมือนายทุน ถ้าไม่ระบุค่าแรงขั้นต่ำไว้ คงต่ำได้อีกเชื่อมั้ยล่ะ บอกให้ไปพัฺ์ฒนาฝีมือ เงินไม่มีจะกินข้่าว อยู่ได้ด้วยกาีำรทำโอที จะเอา้เวลาไหนไปพัฒนาครับ จากคุณ : เด็กขงเบ้ง เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 13:16:34

ความคิดเห็นที่ 43 ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก แค่ผู้บริหารรับเงินให้ น้อยลง ก็ บริษัทก้ได้กำไรมากขึ้นแล้วครับ จากคุณ : ton_21 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 13:20:09

ความคิดเห็นที่ 44 ให้สองคำครับ "ขั้นต่ำ" กับ "กลไกตลาด" ลองทำความเข้าใจดูครับ จากคุณ : Roby เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 13:22:07

ความคิดเห็นที่ 45 จขกท ความคิดเห็นที่ 41 ได้ใจไปเลยค่ะ....เห้นด้วยเป็นอย่างยิ่งเรื่องคุณภาพชีวิตของคน ตามอ่านต่อนะคะ จากคุณ : ทะเลสวย น้ำใส เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 13:33:42

ความคิดเห็นที่ 46 ถ้าเราไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี ไม่ต้องใช้สินค้าเครื่องจักรหรือวัตถุดิบ ตลอดจนน้ำมันนำเข้า ค่อยมาว่ากันอีกทีนะคะ จากคุณ : ปืนใหญ่นางพญาตานี เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 13:41:40

ความคิดเห็นที่ 47 จขกท ทำงานบริษัทมาสิบกว่าปี มาถึงในระดับที่เรียกว่า ได้เงินเดือนพอใจ พอกิน พอใช้ มีเหลือ ด้วยการพัฒนาฝีมือแรงงานเช่นเดียวกับ คำแนะนำของหลายท่าน แต่จากประสบการณ์ของ จขกท พบว่า 1. การพัฒนาฝีมือแรงงานได้มีประสิทธิภาพ ต้องเกิดจาก มีกินอิ่ม มีที่พักพอใช้ได้ มีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม สมวัย มีสวัสดิภาพในการรักษาพยาบาล 2. จขกท เคยทำงานในระดับ junior ของบริษัท ได้เงินเดือนไม่พอกินไ่ม่พอใช้ พอแค่ยังชีพ กินข้าวอิ่ม มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน และขึ้นรถเมล์ร้อนไปทำงาน ( บริษัท มหาชน ใจกลางกรุง) ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีเงินซื้อหนังสือ ไม่มีเงินเรียนต่อ ไม่มีเงินทำอะไรนอกจาก กินอาหารสามมื้อ เท่านั้น (ต้องร้านข้างถนน ข้าวแกงถุงด้วย ไม่มีการกินร้านอาหารใดๆ) 3. ณ ตอนนั้น จขกท ไม่มีเงินเหลือพอที่จะไปซื้อหนังสือมาอ่านเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน หรือ ไม่มีเงินเหลือพอที่จะมีเงินเก็บไปเทรนนิ่งคอร์ส ที่เกี่ยวข้องกับที่จบมา เพื่อพัฒนาฝีมือใดๆ วันๆ ได้แต่ทำงานเพื่อหาเงินมากิน จ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าเดินทาง หมดไปทุกๆวัน 4. จขกท ใช้เวลาหลายปี จนกระทั่งในที่สุดก็เก็บเงินได้บางส่วน และเริ่มแสวงหาความรู้ เพิ่มเติม (ย้ายงานด้วย) ในที่สุด จขกท ก็อยู่ในระดับที่มีเงินเหลือจะทำอะไรที่อยากทำได้ทุกๆอย่าง 5. การพัฒนาฝีมือแรงงาน ศักยภาพได้เพิ่มขึ้นราวกับเสือติดปีก เมื่อมีเงิน มีเวลา 6. เมื่อมีเงิน มีเวลา ก็สามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุน เจ๊งบ้าง ได้บ้าง สลับกันไป 7. คุณภาพชีวิตที่ดขึ้น ส่วนนึงก็เกิดจากตนเอง แต่ อาจจะไม่ต้องเดินอ้อมไกลขนาดนี้ ถ้ามีสวัสดิการที่ดี จากรัฐบ้าง และ มาตรฐานรายได้ที่เหมาะสม จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 13:49:21 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 48 คุณ คคหที่ 46 ช่วยอธิบายว่า การนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ และ ค่าเงิน หรือ ค่าน้ำมัน มันเกี่ยวกับข้อง ค่าแรงงานขั้นต่ำ อย่างไร บ้าง ช่วยอธิบายปัจจับ และ เปอร์เซ็นต์ ของผลกระทบค่าแรงขั้นต่ำ ที่ขึ้นไปเป็น 300 บาท ว่าจะกระทบกับเงินบาท อย่างไร ทำไมมันจะไปเกี่ยวกับค่าน้ำมัน จนกลายเป็นปัจจัยหลักที่ต้อง concern ขนาดนี้ แล้วมาตรการ QE3 ที่ สหรัฐ เพิ่งประกาศเมื่อคืนนี้ มีผลกระทบกับเงินบาทหรือไม่อย่างไร มีผลรุนแรงกว่า การขึ้นค่าแรง 300 หรือไม่ ทำไมถึงคิดว่า ค่าแรงกี่เปอร์เซ็นต์ที่ขึ้น กระทบกับค่าเงินอ่อนแข็ง อย่างไร เพิ่มต้นทุนไปถึง วัตถุดิบ และ เครื่องจักร อย่างไร จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 13:53:49 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 49 เงินเดือนขึ้น ค่าแรงขึ้น ผมชอบนะ ไม่ได้ต่อต้าน ทำให้จริงและเป็นธรรมละกัน แต่ผมก็ไม่ได้เลือกพรรคนี้หรอกนะ 555+ เหตุผล จขกท. ด้านนึง   คนอื่น เค้าก็ด้านนึงครับ ไม่เป็นต้องมาประชดประชันกันเลย  เหตุผลอื่นที่ยกมามันก็พอรับได้นะครับ แต่ถ้าวิเคราะห์แล้วก็ต้องวิเคราะห์ผลกระทบในเชิงมหภาคด้วย เอาเถอะครับต่างคนต่างใจ ปล. ผมคนตจว. จากคุณ : ความเป็นจริงที่ว่างเปล่า เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 13:57:51

ความคิดเห็นที่ 50 คห.48 เคยคิดไหมว่า ถ้าเราหยุดอยู่นิ่งๆ ในขณะที่คนอื่นกำลังก้าวเดิน มันจะเป็นอย่างไร มันจึงมีวาทะว่าแค่คุณหยุดเดิน คุณก็เริ่มถอยหลังแล้ว   เราอาจจะตรึงค่าแรงได้ แต่วัตถุดิบที่นำเข้า คุณคงไม่คิดว่า ตปท. เขาจะหยุดไปกับคุณด้วยใช่ไหม ของๆ เขา เขาก็ต้องขึ้นราคาตามค่าแรงที่ปรับขึ้นด้วยหรือเปล่า  ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ ทำทิชชู ยังต้องนำเข้าเยื่อกระดาษจาก ตปท. (ไทยยังผลิตเองไม่ได้) ถ้าคุณเป็นโรงงานผลิตกระดาษชำระต้องซื้อวัตถุดิบแพงขึ้น คุณจากแบกรับต้นทุนที่ปรับตัวขึ้นอย่างไร เพราะคุณขึ้นราคาสินค้าไม่ได้ แม้คุณไม่จ่ายค่าแรงเพิ่มก็ตาม  หรือเอาง่ายๆ ราคาน้ำมัน ทอง และเหล็ก ของพวกนี้เราผลิตเองได้ทั้งหมดหรือไม่ มันเคยหยุดนิ่งหรือเปล่า ไทยกำหนดราคามันได้หรือ ลองคิดดูดีๆ นะคะ จากคุณ : ปืนใหญ่นางพญาตานี เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:05:59

ความคิดเห็นที่ 51 แล้วคุณ ปืนใหญ่นางพญาตานี คิดว่าการกด cost ค่าแรงไว้ที่ 215 บาท อย่างเดียว มันส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทอย่างไร ค่าวัตถุดิบที่นำเข้า ราคาสูงขึ้น บริษัทยอมจ่าย cost เพิ่ม แต่ cost บุคลากร กลับไม่ยอมจ่าย cost เพิ่ม เพื่ออ้างว่า จะไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ถ้ามีข้ออ้างลักษณะนี้ ก็ต้องเอาบัญชีมาเปิดดูกันเลยว่า ต้นทุนวัตถุดิบอยู่ที่เท่าไหร่ ต้นทุนแรงงานอยู่ที่เท่าไหร่ กำไรสุทธิก่อนหักภาษีอยู่ที่เท่าไหร่ ความรับผิดชอบของฝ่ายจัดซื้อสินค้าอุตสาหกรรม ที่ต่อรองราคาไม่ได้ หรือ ความรับผิดชอบของฝ่ายการเงิน ที่ไม่สามารถบริหารความเสี่ยงในความผันผวนค่าเิงิน ทั้งหมดนี้ คุณจึงโยนภาระนั้นมาให้ แรงงาน ราคา 215 บาท ? จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:09:10 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 52 ถ้าความรับผิดชอบต่อ cost ในความผันผวนของต้นทุนการผลิต เป็นของทุกคน ดังนั้นก็เป็นอย่างที่ หัวข้อกระทู้ได้บอกไว้ว่า เงินเดือนของทุกคน ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนไม่ควรถูกขึ้นเลย เป็นเวลาหลายๆปีเช่นกัน เพราะทุกคนมีส่วนร่วมรับผิดชอบ ต่อต้นทุนของบริษัท และ ความผันผวนของค่าเงิน ไม่ใช่เฉพาะพวกแรงงาน พวกพนักงานในออฟฟิศ ก็ต้องรับภาระนี้ด้วยเช่นกัน จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:10:54 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 53 เอาล่ะสิ ถามว่าคิดต่างได้แต่ต้องยกเหตุผลประกอบ คำถามยากซะด้วย งั้นเอาเป็นว่าผม "เห็นด้วย" แล้วกันครับ เข้าใจเลยครับสำหรับคำว่าโอกาส ที่เกิดจากเงิน ผมว่าไอ้ค่าแรง สามร้อย กับ เงินเดือนเริ่มต้น หมื่นห้า มันคือการกำหนดจุดสตาร์ท ให้กับคนทำงานกินเงินเดือน ส่วนจะนำไปใช้จ่ายอย่างไร ชีวิตจะก้าวหน้าไม๊ มันก็แล้วแต่โอกาส และความคิดของแต่ละบุคคล เพียงแต่กำหนดให้มันสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สอดคล้องของผมก็คือ "เหลือ" พอจะได้เอาไปใช้สร้างประโยชน์ทางอื่น เช่นที่ จขกท. ว่าไว้นั่นแหละครับ ไม่งั้นชีวิตก็คงเป็นวังวน ที่หวังเพียงกินอิ่ม นอนหลับในแต่ละวัน จะพัฒนาตนเองคงต้องกัดฟันดิ้นรนมากๆ กับเงินที่มีในมือเท่านี้ เพิ่มเงิน ก็เท่ากับ เพิ่มโอกาส ในคนที่พอจะมีความคิดบ้างน่ะครับ ส่วนเรื่องการที่ ลูกน้องคนอื่นๆ จะขอขึ้นบ้าง เป็นลำดับขั้น ในเมื่อเป็นผู้บริหาร ถ้าคิดจะตอบสนองนโยบายรัฐ ก็คงต้องหาวิธีกันล่ะครับ ที่ให้แนวทางที่ชัดเจน ไม่ทำให้เกิดการเกี่ยงงอนในองค์กร เรากำลังให้โอกาสคนในการ พัฒนา เพื่อให้ถึงจุดที่ว่า "แรงงานมีคุณภาพ" ผมเชื่อนะ ว่าถ้าคนที่มีความคิดได้รับโอกาส เค้าจะไม่หยุดพัฒนา ในวันที่ประเทศกำลังล้มลุกคลุกคลานแบบนี้ ให้โอกาสเถอะครับ จากคุณ : PLOYBAY เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:18:31

ความคิดเห็นที่ 54 กำ จขกท. บอกเงินเดือนดูไม่ค่อยเหมาะกับความคิดเลยนะครับ จะบอกว่าคุณอ่านผมไม่รู้เรื่องหรือครับว่าเพิ่มเงินเพิ่มได้ เพิ่มแล้วดีด้วยครับ เพราะเศรษฐกิจต้องการเงินเฟ้อบ้าง ถ้าเพิ่มเป็นซัก 220-230 ไม่มีคนว่าเลย แต่ไม่ใช่เพิ่มที 40-50 % แบบนี้ ขอร้องอย่ามาอ้างความแตกต่างของเงินเดือนเลยครับ ถามหน่อยแรงงานขั้นต่ำรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำไมได้เงินแค่ ค่าแรงขั้นต่ำ แล้วทำไมผู้บริหารเค้าถึงได้ค่าแรงเยอะ เพราะผู้บริหารคนเดียวเค้าหาคนแทนไม่ได้ไงครับ คนเดียวทำกำไรให้บ.ได้เป็นล้าน บ.ก็ต้องง้อเค้า แต่แรงงานขั้นต่ำถ้าไม่พัฒนาฝีมือตัวเอง แล้วยังมาเรียกร้อง ขอเงินเพิ่มคิดว่าเค้าจะจ้างมั้ยครับ เค้าก็จ้างต่างด้าวซิครับ ที่คุณทำอยู่มันฝืนกลไกทางตลาด คุณจะมาบังคับให้ นักธุรกิจมาจ้างแรงงานไม่มีฝีมือในราคาที่สูงกว่าที่ทำกำไรให้เค้าได้ เค้าจะจ้างมั้ยครับ เค้าก็ไปจ้างต่างด้าวซิครับ หรือหนีไปทำงานต่างประเทศซิครับ มาอ้างให้คนโน้นคนนี้เสียสละ ฝรั่ง นายทุนเค้าจะเอากับคุณมั้ย บอกตรงๆ จริงๆทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าเค้าบีบให้ชนชั้นแรงงานเสียสละหรอกครับ แต่เพราะชนชั้นแรงงานไม่รู้จักพัฒนาตัวเอง เอาแต่ร้องจะให้ขึ้นค่าจ้างโดยไม่สนว่าตัวเองทำประโยชน์คุ้มกับค่าจ้างมั้ย ถามหน่อยเถอะครับ ถ้าคุณทำคุ้ม เป็นช่างไม่ ช่างปูนที่เก่ง เค้าจ้างคุณขั้นต่ำคุณก็ไม่อยู่แล้วจริงมั้ย แค่ขับรถเป็นไปเป็นแท็กซี่ก็ได้วันเป็นพันแล้ว แค่คุณขยันยอมทำงานเป็นกะไปเป็นยามก็ได้วันละ 300+ แล้ว(ค่าแรง ณ วันนี้)ยามช่วงนี้ขลาดแคลนด้วยซ้ำ ถ้ารู้จักพัฒนาฝีมือตัวเอง ขยันไม่เกี่ยงงานไม่มีความรู้อะไรเลยก็ได้มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำกันอยู่แล้ว แต่ทุกวันนี้ คนที่ได้แค่นี้เคยนึกโทษมั้ยว่าทำไม คอยคิดแต่จะเอางานสบาย แต่จะขอค่าแรงเพิ่ม กลไกลทางตลาดมีอยู่แล้ว การแข่งขันมันมี ถ้ามันทำกำไรให้น้อยกว่าที่เค้าควรจะเป็นใครเค้าจะจ้าง แล้วที่ไปเทียบกับประเทศรวย เคยคิดมั้ยทำไมคนประเทศเค้าได้เงินเยอะ เพราะเค้าค่าครองชีพแพง แรงงานในประเทศเค้าทำงานกันโหด และคุ้มค่าจ้าง เพราะแรงงานเค้ามีความรู้และประสิทธิภาพกว่าเราเยอะ แรงงานเค้าทำกำไร ให้บ.เค้ามากกว่าแรงงานไทยไงครับเราถึงต้องไปง้อเค้า ถึงเค้าจะขึ้นค่าจ้างเราต้องไปง้อเค้าอยู่ดี เพราะ เราต้องการแบรนด์เค้า เราต้องการเทคโนโลยีเค้า เราไม่มีทางเลือก แล้วรู้มั้ยครับว่าฝรั่งหรือประเทศที่เจริญแล้ว เค้าพยายามใช้เครื่องจักรแทนทุกประเภท แทบทุกคนต้องใช้เครื่องทุ่นแรงได้ และทำงานได้มากกว่าเรา 2-3 เท่า จำนวนแรงงานที่จัดว่าเป็น unskilled labor คิดเป็นเค้าน้อยมากเมื่อเทียบกับเรา แต่ทางกลับกันแรงงานไม่มีฝีมือของเรา เค้าต้องง้อเรามั้ย ทุกวันนี้ที่เค้ายอมจ่ายแพงกว่าจ้างประเทศเพื่อนบ้านมา จ้างแรงงานเรา เพราะทำแลเราดี เพราะเรามีแรงงานมีความรู้สูงกว่าเพื่อนบ้าน (เหมือนๆกับที่ฮ่องกงได้ค่าจ้างดีกว่าเรา) เค้าไม่จำเป็นต้องจ้างคนมีความรู้จากที่อื่นมาคุมงานมาก เพราะคนพวกนี้ค่าจ้างมันแพง(เช่นพวกนายฝรั่งทั้งหลาย) แต่หากเราโก่งราคาเกินไป  เค้าคำนวนแล้วไม่คุ้ม เค้าก็หันไปจ้างแรงงานไม่มีฝีมือประเทศเพื่อนบ้านเราแทน ซิครับ แล้วค่อยส่งคนมีความรู้ 2-3 คนมาคุมแทน ยังไงเค้าก็ทำทุกทางครับให้ได้กำไรสูงสุด ทีนี้ผลกรรมก็ ตกกับแรงงานไม่มีฝีมือแหละครับตกงานเป็นแถว ถ้าอยากได้ค่าแรงเยอะ ลองคิดดูใหม่ดีกว่าครับว่าจะทำอย่างไรให้แรงงานเราทำงานได้มีประสิทธิภาพ ทำงาน แรงงานเราจึงมีความรู้มีความชำนาญสูงกว่าที่อื่นจนเค้าต้องมาง้อเรา ระบบเศรษฐศาสตร์พื้นฐานครับ ถ้าเรามีใน สิ่งที่คนอื่นๆไม่มีเรากำหนดราคาได้เค้าต้องง้อเรา ปล. เดียวจะหาว่าผมเป้นคนนั่งออฟฟิตเงินเดือนสูงเลยค้านกดขี่คนอื่น ผมเป็นข้าราชการครับ เงินเดือนไม่ 15k ปรับรอบนี้ผมได้เพิ่ม 3-4k มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำจะได้เพิ่มเยอะครับ แต่ผมเองไม่สนับสนุนครับ ถ้าเพิ่มเยอะแล้วชาติเจ๊ง ให้ผม 3-5 % พอ จากคุณ : hil4552 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:22:21

ความคิดเห็นที่ 55 นึกว่าข้าวของจะถูกหรือแพง เป็นที่ demand และ supply ซะอีก เป็นที่เงินเดือนหรอกเหรอ ??? มุมมองกลับกัน ถ้าลดเงินเดือนลงเหลือเดือนละ 1000 บาท แปลว่าเงินเฟ้อจะลดลง ข้าวของจะถูกลงหรือไม่ เงินเดือนลด 50% น้ำเปล่าตราสิงห์ จะเหลือขวดละ 4 บาทเหรอ ตลกน่า จากคุณ : BlueJays (X_Blue_Jay) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:26:47

ความคิดเห็นที่ 56 คุณ คคหที่ 54 อ่านเรื่องการพัฒนาศักยภาพ ใน คคหที่ 47 รอบนึง ก่อนตอบคำถามต่อไปนี้ 1. คนงานตามไลน์จะไปขับแท็กซี่ได้อย่างไร ขับรถไม่เป็น ชีวิตนี้ไม่เคยมีรถ ครอบครัวที่เริ่มจาก 0 ไม่เคยมีรถขับ แล้วจะขับรถได้อย่างไร หรือคุณมีวุ้นแปลภาษา กินแล้วขับรถได้เลย เงินเรียนขับรถ 3000 บาท ถ้าไม่มีเงินเก็บจะเอาเงินที่ไหนไปเรียน ถ้าจะไปสอบใบขับขี่จะลางานเสียโอกาสได้ค่าแรง ค่า OT ไปหนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นจะกินอะไร อันนี้ถึงบอกว่า ศักยภาพพัฒนาได้ทุกคน แล้วแต่โอกาส 2. ไปเป็นยามได้ แล้วคนงานหญิงตามไลน์ หรือ แม่บ้านตามสำนักงาน ไปเป็นยามได้ไหม เค้ามีลูกต้องเลี้ยงไหม 3. ถามว่า "แรงงานในประเทศเค้าทำงานกันโหด และคุ้มค่าจ้าง" คุณว่าเด็กที่ขาย KFC , Mac หรือ เด็กตามร้านกาฟ ร้านโดนัท เด็กเสิรฟไอติม พวกนี้ทำงานไม่คุ้มค่าจ้าง หรือไม่อย่างไร ทำงานอย่างที่เรียกว่าคุ้มค่าจ้าง ไม่คุ้มค่าจ้าง (ถ้าไม่ใช่แอบหลับ อู้) พวกพนักงานขายตามห้าง ที่ยืนตั้งแต่ 10.00 - 18.00 (นอกนั้นเป็นค่าโอ) ยืนเป็นเวลา 8-9 ชั่วโมง ทำงานคุ้ม 215 บาทไหม เค้าต้องทำอะไรเพืี่อให้ "คุ้มค่าจ้าง" ในสายตาพนักงานออฟฟิศ ที่นั่งเล่นเน็ตหลังคอม์ เอาคำถามแค่นี้ก่อน จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:31:37 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 57 น้องๆ ตาม KFC, Mac ร้านไอติม ร้านสะดวกซื้อ คนเหล่านี้ ได้เงินแค่ ชั่วโมงละ 25 บาท ต่อวัน เท่านั้น คนพวกนี้ดูแย่ ไม่พัฒนศักยภาพแรงงานไหม ควรพวกนี้ไม่สมควรได้เงินเพิ่ม เพราะว่าพวกเขาไม่พัฒนาศักยภาพในการทำงาน จริงหรือไม่ หรือเป็น มายาคติ ของชนชั้นกลาง ที่มองว่า คนใช้แรงงาน ต้องขี้เกียจ โง่ อู้ เวลาคุณไปกินไอติมร้านดังๆ คุณเห็นเด็กเสริฟซักคนอู้หรือไม่ หรือพวกร้านไก่ทอดทั้งหลาย คุณเคยเห็นตอนพวกเขาต้องเก็บร้าน ล้างของ ตอนสิ้นวันไหม จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:35:25 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 58 การจะมาพูดเรื่อง เงินเดือน กระทบกับราคาสินค้า ต้องแจกแจงออกมาให้ได้ว่า เงินเดือนแรงงาน คิดเป็นกี่ % ของต้นทุนสินค้า ผมว่าไม่ถึง 3% ด้วยซ้ำมั้ง ต้นทุนด้านการตลาดบางทียังซัดไป 70% ของต้นทุนสินค้าเลย จากคุณ : X_Blue_Jay เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:39:59

ความคิดเห็นที่ 59 มายาคติ ที่ว่า "คอยคิดแต่จะเอางานสบาย แต่จะขอค่าแรงเพิ่ม " ถ้างานพวก ขายของหน้าร้าน เป็นเด็กเสริฟ ล้างรถ เด็กปั๊ม แม่บ้าน ตามสำนักงาน พนักงานตามไลน์ เป็นงานสบายจริงๆ ทำไมมีคนไปแย่งกับสอบข้าราชการเยอะจัง ไปทำงาน Labor ไม่ดีกว่าหรอ เห็นชนชั้นกลางส่วนกลาง มักจะคิดว่างานสบายจิงๆ แบกปูน สบายไหม ปีนขึ้นไปตึกชั้น 3 ถือถังปูน ไปด้วย สบายไหม เช็ดกระจก ตึก 42 ชั้น โดยนั่งสลิ่งลงมา สบายไหม แบกของหนัก 20 กิโล จากหน้าร้านสะดวกซื้อ ที่คนมาส่ง ขึ้นไปชั้น 3 ที่เก็บสโตร์ งานสบายไหม จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:40:57 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 60 เราไม่เอาโลกอุดมคติมาคิดนะครับ เอาความจริงมาพูดกัน ที่ว่าบอกว่าค่าแรงขั้นต่ำต้องเพิ่มเพื่อให้เค้าอยู่ได้ ทางปฏิบัติไม่มีใครสนหรอก คุณเห็นของแพงชิ้นนึงกว่าที่ควรจะเป็น คุณจะซื้อเพราะสงสารคนขายมั้ย นี่ก็เหมือนกัน คุณคิดว่านายจ้างจะยอมขาดทุนหรือกำไรลดลงเพราะแรงงานที่เค้าหาแทนด้วยคนต่างด้าวได้ ถูกกว่าหรือครับ ผมเชื่อว่าคนเราเก่งได้เพราะฝึกฝนครับไม่ต้องว่ากินอิ่มนอนหลับหรอก เด็กร้านซ่อมมอไซต์ ซ่อมมันไปทุกวัน วันนึงถ้ามันไม่เก่งเป้นช่างใหญ่ได้ก็ให้มันรู้ไป คุณเองก็บอกเองว่าคุณเคยเป้นพนักงานต๊อกต๋อยเงินเดือนน้อยคนนึง ทุกวันนี้คุณได้เยอะเยอะขึ้นเพราะคุณเรียนต่อ ใช่มั้ยครับ แล้วถ้าคุณไม่มีความรู้อะไรเพิ่มจากเดิมแต่คุณดันไปบอกเจ้าของกิจการว่าขอตังเพิ่ม เค้าจะไล่คุณออก หรือเพิ่มเงินเดือนให้คุณครับ สิ่งที่เป้นตอนนี้คือรัฐบังคับให้เอกชนจ้างคนในราคาที่เค้าไม่อยากจ้าง เพราะไม่คุ้ม วันนึงถ้าแรงงานพัฒนาแล้ว demand มันมากกว่า supply ราคาค่าตัวแรงงานจะเพิ่มเองตามกลไกตลาด ลองตอบคำถามง่ายๆครับ ถ้าคุณเจอของราคาแพงมากไม่คุ้มราคา แถมร้านติดกันราคาถูกกว่ามากของคุณจะซื้อร้านที่แพงกว่ามั้ย ปล.1. ขึ้นค่าจ้างเกี่ยวกับต้นทุนการนำเข้าครับ ค่าจ้างแพง แล้ว เงินเฟ้อ แล้ว ค่าเงินอ่อน แล้ว ของนำเข้าแพง และถ้าคุณจะรู้ แรงงานในหลายๆโรงงาน ทำกันแค่ OT ได้ 12-13 k (ได้เยอะกว่าผมอีก) กินอาหารราคา สวัสดิการ มีเบี้ยขยัน มีรถรับส่ง มีหอให้อยู่ฟรี ที่จ่าย ค่าอาหาร กับของฟุ่มเฟือยล้วนๆ โอเคไม่เถียงว่าเค้าคงต้อง ทำงานกันเหนื่อย (ยิ่งทำงานเยอะคงเก็บได้เยอะไม่มีเวลาใช้ตัง)แต่ถ้าคนรักดี เงินขนาดนั้น เก็บไป 1-2 ปีหาทุน เรียนต่อทำไมจะไม่พอ จากคุณ : hil4552 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:44:25

ความคิดเห็นที่ 61 คุณ คคหที่ 60 พูดถึง OT ก็ดีแล้ว เพราะ OT หมายถึง การเอาเวลาไปใช้เพิ่ม เพื่อให้ได้เงินเยอะขึ้น ให้คุณทำงานถึงเที่ยงคืนทุกวัน 7 วันติดต่อกัน 31 วัน ต่อเดือน คุณไหวไหม อายุการทำงานคุณจะใช้ได้ถึง 35 หรือเปล่า โลกในอุดมคติของคุณคือ พวกใช้แรงงานฟุ่มเฟือย แต่ไม่คิดถึงว่า พวกเค้ามีพ่อแม่ต้องส่งเงินไปให้กิน หอให้อยู่ฟรี นี่โรงงานไหนหรอ ช่วยบอกคร่าวๆ ว่าอยู่ที่นิคมไหน แถวไหน (อย่าเอาโลกในจินตนาการ ของชนชั้นกลางมาผสมสิ) ถ้าเค้าเก็บเงินไปเรียนต่อ แล้วที่บ้านจะเอาที่ไหนกิน คุณต้องนึกถึงคนที่ครอบครัวเป็น 0 นะ ไม่ใช่คนที่ พ่อแม่ รับราชการ มีบำนาญ คนที่แบรคกราวน์ ต้องเช่าที่ดินทำนา หรือ จำนองที่ดินไปซื้อปุ๋ย เงินที่เค้าหามาได้ ต้องส่งที่บ้าน คนที่เริ่มต้นจาก 0 แบบนั้นพวกเค้า จะีมีโอกาสยังไงให้ตัวเอง น้องๆ ตามร้านไก่ทอด เด็กส่งพิซซ่า คนพวกนี้เค้ามีที่พักฟรีไหม มีรถรับส่งหรือเปล่า พวกเค้าได้ชั่วโมงละ 25 บาท (แค่ค่ากาแฟแก้วเดียว ของมนุษย์เงินเดือน ชั้นล่าง ) จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:49:54 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 62 คุณ คคหที่ 60 คุณต้องเช่าบ้านไหม พ่อแม่ของคุณเลี้ยงตัวเองได้หรือเปล่า มีน้องต้องส่งเรียนไหม จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:51:15 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 63 แบรคกราวน์ของคนที่ ไม่ได้เริ่มจาก 0 จะแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดกับคนใช้แรงงานขั้นต่ำ คุณอาจจะถามว่า จขกท ทำไมพัฒนาตัวเองได้ จขกท ไม่ได้เริ่มจาก 0 จขกท จบปริญญาตรี ในสาขาที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัว ไม่ยากเลยที่จะพัฒนาให้ศักยภาพดีขึ้น ถ้ามีเงิน มีเวลา แต่สำหรับคนจบ ป6 - ม3 การจะพัฒนาศักยภาพให้พ้นจากผู้ใช้แรงงาน หากไม่มีปัจจัยสี่ครบ มันเริ่มยากมาก จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:54:40 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 64 นายจ้างอย่างผม ต่อไปก็ไม่มีการทำ OT หาเครื่องไม้เครื่องมือในการเคลื่อนย้าย เพิ่มสายการผลิต ไม่นานก็คืนทุน จ้างพนักงานรายวันเพิ่มนิดหน่อยไม่กระทบต่อต้นทุนการผลิต งานก็ใช้วิธีการเหมา ไม่จ้างแม่บ้านใช้ระบบ 5 ส.ทำงาน จากคุณ : เด็กท้ายตลาด เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:57:51

ความคิดเห็นที่ 65 ค่าเงินอ่อนจริง ผู้ประกอบการที่เป็นส่งออกยิ่งดีใจ แต่ผมว่าค่าเงินไทยเราไม่อ่อนหรอกตอนนี้แข็งกว่าเมกาอีก สินค้านำเข้ามีแต่ Luxury good หรือ iPhone5 จะราคา 5 หมื่น ไม่นะ ไม่ยอม จากคุณ : X_Blue_Jay เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 15:01:22

ความคิดเห็นที่ 66 ตอบ 1 ผมไม่เชื่อหรอกครับว่าจะมีคนที่เกิดมาไม่เคยได้จับรถเลย แม้แต่คนบ้านนอกก็ยังมีรถไถ ผมก็ลูกชาวนาตอนเด็กๆ ผมเวลาคนแถวบ้านมารับข้าวไปขาย ผมก็ไปอ้อนเค้าให้สอนขับรถให้ เค้าก็สอนให้นะเค้ายินดีด้วย ไอเราก้ตื่นเต้นได้ ขับรถ เค้าก้ดีใจได้หลอกให้เราขับรถรับส่งของให้เค้าฟรีๆ เลี้ยงหนมเราบ้าง บ้านผมไม่มีรถผมก็ขับรถเป็นครับ (ผมเพิ่งรู้นะครับว่าคนขับรถ 10 ล้อเค้าต้องมีรถ 10 ล้อมาก่อน เค้าไปหัดมายังไงหว่า รถ 10 ล้อคันละหลายล้าน แสดงว่าคนขับ 10 ล้อเค้ารวยแแน่ๆ ) หึๆ แถวบ้านผมโรงสีเยอะแยะยินดีจะสอนเด็กให้ขับรถครับเพราะเค้าอยากได้คนงานราคาถูก 2.ผู้หญิงเป็นยามได้ครับ ลองไปเดินเซ็นทรัลดูเยอะแยะ อ่อแม่บ้านได้ค่าแรงเยอะกว่าค่าแรงขั้นต่ำครับ ไม่เถียงครับ ผู้หญิงต้องเลี้ยงลูก แต่สาวออฟฟิตเค้าไม่ต้องเลี้ยงลูกหรือครับ 3. ตัวอย่างเช่น คนไทย 1 คนแบกปูนได้ 1 ถุง ใน 1 รอบ แรงงานฝรั่ง 1 คน เค้าใช้รถยกขนปูน ได้ 10 ถุงต่อรอบ เห็นยังครับว่าเค้าทำงานมีประสิทธิภาพกว่า ยังไงแบกปูนเหมือนกัน ฝรั่งไม่มีใครแบกปูนทีละถุงขึ้นบันไดครับ เพราะแรงงานเค้าใช้เครื่องจักรได้ทุกคน ขนาดล้างจานยังมีเครื่องเลยครับ ดังนั้นเค้าใช้คนน้อยกว่าแต่ทำงานได้ มากกว่าเราเลยจ้างได้แพงกว่า คนไทยที่ไปทำงานต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นแรงงานมีฝีมือครับ เช่น พ่อครัว คนทำความสะอาด(เค้าต้องอบรมการใช้สารเคมีนะครับ) คนขับรถ เด็กเสิร์ฟ พนักงานเค้าเตอร์ก็ต้องพูดภาษา เค้าได้ ถ้าคนไทยต่อให้ทำอะไรไม่เป้นพูดภาษาต่าชาติได้ก็ได้เงินเดือนไม่น้อยครับ จากคุณ : hil4552 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 15:03:38

ความคิดเห็นที่ 67 ผมไม่เริ่มจาก 0 ครับ แต่ก็ไม่ได้มีเยอะ ที่ได้เรียนผมสอบได้ทุนมาตลอดครับ ได้ทุนไปนอกด้วย แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 15:06:00 จากคุณ : hil4552 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 15:05:44

ความคิดเห็นที่ 68 1. ที่ใช้ site ก่อสร้างคุณมี รถยกขนปูน หรือเปล่า 2. แล้วถ้าคนที่เกิดใน กทม แถบชุมชนแออัด หรือเกิดในบริเวณที่ไม่มีโรงสี หรือ แถวบ้านเค้ามีรถแต่หวงรถ ไม่ให้ขับ นี่เค้าผิดหรือเปล่า คุณซื้อรถมา มาีเด็กแถวบ้านมาขอขับรถ คุณให้ขับหรอ เออแปลกจริงๆ (คุณอยู่ในโลกจินตนาการของชนชั้นกลางมากไปหรือเปล่า แต่จินตนาการคุณแปลกไปหน่อย) รถยนต์เนี่ยปรกติไม่มีใครเค้าให้ขับก่อนหรอก ไม่งั้นจะมีโรงเรียนสอบขับรถเกลือนเมืองหรอ ก็ขอคนข้างบ้านหัดขับกันสิ ถ้าที่บ้านไม่มี 3. คนเรามีความถนัดต่างกัน คุณจะให้เด็กเสริฟไอติม ไปเป็นยาม แม่บ้านไปเป็นยาม เด็กร้านสะดวกซื้อไปเป็นยาม แล้วใครจะเสริฟไอติม ใครจะทอดไก่ ใครจะขับรถส่งพิซซ่า คุณบอกอะไรรายได้ดีก็ควรไปทำ แบบนี้คุณควรจะลาออกจากราชการเพราะเงินน้อยมากๆ ดูแล้วไม่พอกินนะ ค่ากินเที่ยวของ จขกท แต่ละเดือน กินเล่นๆ ซื้อขนมกิน กินข้่าวร้านอาหาร ยังมากกว่าเงินเดือน คุณคคหที่ 66 ทั้งเดือนซะอีก 4. ร้านอาหารจ้างเด็กล้างจาน 215 บาทต่อวัน เป็นความผิดของเด็กเองที่ ไม่รู้จักบอกให้เจ้าของร้านซื้อเครื่องล้างจานมาใช้ในร้าน เพื่อทุ่นแรง เด็กใช้่เครื่องล้างจานที่ไม่มีจริง ไม่เป็น เพราะไม่พัฒนาศักยภาพ ? จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 15:09:59 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 69 เงินเดือนมันเพิ่มคนกลุ่มเดียวไม่ได้คุณจะเข้าใจให้มันยากทำไม ถ้าคุณเพิ่มคนกลุ่มเดียว คนกลุ่มอื่นจะจนลง ไม่มีใครยอมจนลง คุณก็ไม่ยอม ผมก็ไม่ยอม นายทุนก็ไม่ยอม นายทุนน่ะ เค้าไม่ยอมเค้าผลักภาระให้คนอื่นได้ แต่ชนชั้นกลางกับชนชั้นล่าง ผลักภาระต่อไปอีกไม่ได้ ถ้าคุณเพิ่มทุกกลุ่ม เงินก็จะเฟ้อ เรื่องมันก็แค่นี้ ถ้ายังไม่เข้าใจผมว่า คุณต้องไปเรียนปริญญาตรีใหม่แล้วล่ะ ยืนยันว่าผมเห็นด้วยกับการขึ้นเงินเดือน ค่าแรงขั้นต่ำ แต่ไม่ใช่การหลอกต้มประชาชน ด้วยจำนวน 300 บาท เกือบเท่านึงยังงี้ คุณดีใจกันได้ไม่เกิน ปีนึงหรอกครับ คนที่ตาย ที่ตกงานคือคนชั้นล่างนั่นแหละ ที่ตายก่อน จากคุณ : hexa เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 15:18:12 A:223.204.133.37 X: TicketID:256654

ความคิดเห็นที่ 70 ต้องถามคุณ คคหที่ 69 ว่า cost ค่าแรงที่เพิ่มขึ้น มันจะทำให้เงินเฟ้อ รุนแรง จนทุกๆอย่างล่มสลาย อย่างที่คิดไหม มันต้อง คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ของต้นทุนการผลิด มันถึงจะทำให้ต้นทุนพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง เิงินเฟ้อมันเกิดจากปัจจัยอย่างอื่นได้อีกหรือไม่ ถ้าอาหารหมูขึ้น กิโลละ 3 บาท จะส่งผลให้ค่าอาหารตามสั่ง 1 จาน เพิ่มขึ้น 10 บาท จริงหรือไม่ มันเป็น Reasonable cost หรือเปล่า ต้องถามว่า นายทุน และ ต้นทุนขาย เนี่ย มันไม่มีอะไร declare ได้เลยหรอ แล้วพวกคุณที่จบสูงกว่าพวกใช้แรงงาน พวกคุณที่ศักยภาพในการพัฒนาฝีมือแรงงาน จนมาถึงระดับที่เล่นเน็ตได้ ว่างคุยกันในสีลม ไม่มีข้อเสนออะไร สำหรับ check and balance นายทุน นอกเหนือจากการพยายามคงสภาพค่าแรง วันละ 215 บาท เพราะกลัวของแพง เลยหรือ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 15:23:51 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 71 เออ.......ผมว่า ผมว่าพนักงานขับรถนี้ 90% ไม่ได้เรียนในโรงเรียนสอนขับรถนะ จากคุณ : MamaKungking เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 15:25:47

ความคิดเห็นที่ 72 นายทุน น่าจะรวยขึ้นนิ เพราะเสียภาษีลดลง แถมอาจจะรวยมากขึ้น เพราะภาคผู้บริโภคมีเงินมากขึ้นมีกำลังซื้อมากขึ้น (ถ้ามองนายทุนเป็นภาคการผลิตนะ) จากคุณ : X_Blue_Jay เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 15:26:19

ความคิดเห็นที่ 73 เจ้าของกระทู้เลิกปัญญาอ่อนได้แล้ว จากคุณ : หัวโตนะ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 15:34:57

ความคิดเห็นที่ 74 ถ้าค่าแรงงานเพิ่มขึ้นประมาณ 40% ทันที... ถือว่าเร็วเกินไป (ผู้ประกอบการอาจจะปรับตัวไม่ทัน) ควรจะทยอยขึ้นเรื่อยๆ (ซึ่งอาจจะกำหนดว่าภายใน 2 ปี 3 ปี... ก็ว่าไป) แล้วอัพเกรดความสามารถของพนักงานให้ทันกับค่าแรงด้วย โดย... รัฐควรจะต้องส่งเสริม... 1. การพัฒนาฝีมือแรงงานให้เก่งขึ้น ให้มีความสามารถมากขึ้น (จัดสรรงบอบรมแรงงาน ให้แก่แต่ละองค์กร) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากกว่าเดิม (ไม่ได้หมายถึงให้แรงงานทำงานหนักขึ้น แต่ต้องให้แรงงานสามารถสร้างผลงานได้ดีกว่าเดิม) 2. สนับสนุนการพัฒนาวิธีการทำงาน หาวิธีการทำงานที่ช่วยเพิ่มผลผลิต หาเครื่องมือช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น หาเครื่องจักรมาช่วยทำงานแทนแรงงานคน ต้องร่วมกันหาวิธีการที่ช่วยให้ประสิทธิผลโดยรวมไม่กระทบมาก เมื่อค่าแรงงานปรับเพิ่มไปถึง 40% เพิ่มเติมอีกนิดว่า.. ถ้าให้เวลาซักระยะ.. ผู้ประกอบการในไทยส่วนใหญ่น่าจะปรับตัวได้บ้าง.. แต่กรณีของผู้ลงทุนต่างประเทศ ที่กำลังพิจารณาลงทุนการผลิต หรือเตรียมย้ายฐานผลิต.. รัฐคงต้องหามาตรการในการส่งเสริมการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยแน่นอน รวมถึงต้องพัฒนาระบบการขนส่งให้ดีกว่าคู่แข่งในประเทศอื่นด้วย เพื่อหักล้างกับต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 15:56:54 แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 15:42:56 จากคุณ : หลี (EmployeeMan) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 15:42:05

ความคิดเห็นที่ 75 สงสัย ว่าของ คคหที่ 73 ที่ว่าโต ข้างใน ใส่อะไรไว้บ้าง ขี้เลื่อยหรือเปล่า เห็นด้วยกับ คคหที่ 74 แต่ต้องย้ำให้นายทุน ผู้ประกอบการ เห็นชัดว่า การเพิ่มศักยภาพ กับการทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม มันแตกต่างกัน พวกท่านที่ทำงานออฟฟิศ คงเคยเจอบ่อย เช่น แผนกนึง มี 6 คน มีคนลาออกไป 3 กลายเป็นว่าคนที่อีก 3 คน ต้องรับงานคนที่ลาออกมาทำเอง แบบนี้ในทาง Hr ถือว่าดี แต่ต้องมีหัวหน้าที่เข้าใจงาน และ มองออกว่า มันเกินกำลังคนหรือไม่ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 15:48:41 A:203.154.234.59 X: TicketID:323878

ความคิดเห็นที่ 76 เชื่อมโยงตัวเองกับสิ่งดีๆ แล้วสิ่งดีๆ ก็จะเข้ามาหาคุณจนคุณต้องแปลกใจ.. ผมคิดว่าโลกใบนี้มันยุติธรรมสำหรับทุกคนครับ เราเป็นผู้กำหนดชีวิตเราเอง ถ้าคุณยังไม่เชื่อ ก็จะไม่เห็นทางที่เปิดรับคุณอยู่เสมอ และตลอดเวลาทั้งชีวิตของคุณนั่นแหละ.. เฮ้อ..อ.. ... จากคุณ : ตี๋2555 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 15:53:11

ความคิดเห็นที่ 77 ผมเคยทำงานโรงงานมาก่อนครับ ค่าแรงของ พนง.ที่มีฝีมือ บวกโอทีอีกสองแรง ถ้าวันหยุดได้สองแรงครึ่ง เดือนนึงเงินเดือนมากกว่าผมที่เป็นซุปฯ ตอนนั้นเสียอีก.. ตอนนั้น รง.ต้องจ่ายเงินเดือนเดือนละสามล้าน ถ้าค่าแรงขึ้นเป็นสามร้อย คนที่ทำมานานจะยอมหรือครับ? ก็ต้องเป็นสี่ร้อย ห้าร้อยกันไปหรือเปล่า? แล้วคุณคิดว่ามันหนักมั้ยล่ะครับ? ต้องมองให้รอบด้าน ทุกคนๆ ต้องอยู่ได้นะครับ ถึงจะเดินไปด้วยกันได้.. ไม่งั้นก็ขัดแย้งกันตลอดไม่มีวันจบสิ้นเสียที.. ไม่ประชดดีมั้ยครับ? ... แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 16:04:00 แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 16:02:52 จากคุณ : ตี๋2555 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 16:01:15

ความคิดเห็นที่ 78 คนเหล่านี้ไม่มี Skill ไม่มีพรสวรรค์ทางดนตรี ทำอาหาร งานฝีมือหรืออื่นใด ไม่มีทุน และไม่มีใครให้ยืมเงินทำทุน ไม่มีอะไรทั้งนั้นแม้แต่ข้อแม้... อดีตกรรมกรคนนี้เป็นคนอิสาน จบป.4 ไม่ได้เรียนเพราะบ้านยากจน http://hilight.kapook.com/view/46570 อดีตกรรมกรคนนี้จบป.5 แต่เรียนชั้นละ 2 ปีจนครูทนไม่ไหว ออกมารับจ้างทำทุกอย่างที่ได้เงิน http://www.oknation.net/blog/monchai83/2010/09/18/entry-1 อดีตกรรมกรคนนี้เรียนแค่ม.3 แล้วไม่เรียนต่อเพราะโง่ เรียนไม่รู้เรื่อง เคยคิดฆ่าตัวตายเพราะหน้าตาไม่ดี http://women.sanook.com/work/worklife/life_11136.php คนนี้ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เป็นกรรมกร เพราะเป็นลูกขอทานตาบอด แม่วิกลจริต น้องชายปัญญาอ่อน ต้องขอทานหาเลี้ยงครอบครัว 14 คน http://www.:-)/t442.html ถ้าคุณถามผมว่า "จะมีกี่คนที่จะทำได้แบบนี้" ผมจะถามคุณว่า "แล้วทำไมถึงไม่เป็นคุณ" จากคุณ : idolation เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 16:16:29

ความคิดเห็นที่ 79 ผมยกตัวอย่างกรณีผมครับ บ้านนอกเค้าสอนขับให้กันง่ายๆจริงๆ(รถกระบะเก่าๆของเถ้าแก่จะหวงทำไม) ผมว่าคุณอ่ะมองมุมมองคนชั้นกลางลองมาถามคนขับ 10 ล้อหรือแท็กซี่ดูซิครับ ผมรับรองว่าเค้าไม่มีใคร เรียนขับรถหรอก เอาง่ายๆแค่คุณเริ่มไปรับจ้างในร้านเล็กๆ ที่เค้าใช้รถขับไปรับสินค้าทุกวัน เริ่มต้นคุณอาจ จะแบกของอย่างเดียว พอนานๆไปเค้าก็สอนคุณให้ขับรถแน่ๆ เพราะเค้าเองก็อยากแบ่งเบาภาระเค้าครับ (รถเพื่อใช้ทำงานไม่มีใครหวงขนาดนั้นหรอกครับ ผมไม่เห็นจะแปลกเลยครับหรือยากเลยครับที่คนไม่มีรถจะ ขับรถเป็น) เรื่องยกปูนคือต่างประเทศมีกม.เลยครับ ห้ามคนแบกของหนักกว่า 20 กก.โดยไม่มีเครื่องทุนแรง เค้ามีหมดครับ ที่แคบๆก็มีรถเข็น แต่ช่างพวกนั้นเค้าไม่ได้แค่ยกปูนอย่างเดียวไงครับ เค้าผสม ก่อ โบกเป็นด้วย ซึ่งคนไทยเอง ถ้าทำอย่างนั้นได้ไม่มีใครได้แค่ค่าแรงขั้นต่ำครับ แต่โอเคหล่ะ รู้ว่าเราไม่ไม่เท่าเค้าหรอก แต่อย่างที่บอกว่าบางอย่าง ยิ่งคุณพูดมันยิ่งรู้ว่าคุณเป็นคนชั้นกลางพูดมั่วๆ ไอเด็กเสิร์ฟทั้งหลายหน่ะนะครับ เด็กร้านสะดวกซื้อ  ถ้ามันไม่ใช่ นักเรียนหารายได้พิเศษ(part-time)ส่วนใหญ่เค้าจะจ้างรายเดือนนะครับ มันเงินเดือนขึ้นทุกปีนะครับ มีโอที โบนัส ทิป ทำไปนานๆเป็นซุป เป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้านได้ เงินเดือนเพิ่มครับ ทำร้านอาหารกินฟรี เทกกลับบ้านได้(ผมเคยทำ) เรื่องต้องส่งเงินส่งอะไรนั่นผมเห็นคนทั่วไปก็เหลือส่งนะครับ อย่างที่ผมบอกคุณไปดูเลย ต่อให้เค้าทำโอที จริงเหนื่อย แต่เงินได้เป็นหมื่น แรงงานเดียวนี้ไม่มีโอไม่ทำด้วยซ้ำต้องการันตีโอให้เค้า รู้จักเก็บพอส่งพ่อแม่พ่อส่งตัวเองเรียนครับ โรงงานที่สวัสดิการที่ผมว่ามีเยอะครับ ไปเดินตามนิคมเลย ที่ยืนยันได้คือบ.กุลิโกะ เพราะแฟนผมเคยทำที่นั่น ที่พักฟรีอาจมีเป็นบางบ.(ไม่น้อยหรอก) แต่เรื่องรถรับส่งแทบจะทุกที่ แล้วเรื่องเรียนหน่ะยิ่งสะท้อนให้เห้นว่าคุณเป็นชนชั้นกลาง ที่ไม่เคยลำบากคุณถึงไม่รู้ว่าคำว่าแรงงานมีความสามารถ ไม่ได้หมายถึงการต้องจบ ปวช. ปวส. ม.6 แค่คุณทำงานไม้ทุกวัน จนชำนาญก็ถือเป็น skilled labor แล้ว แค่เริ่มจากเป็นเด็กร้านมอไซต์ วันนึงซ่อมเป็นก็เป้นช่างใหญ่ได้แล้ว ของอย่างนี้บางทีมันได้จากประสบการณ์ทำงานครับ หัวหน้าคนงานหลายๆคนไม่ได้เรียนเพิ่มอะไรด้วยซ้ำ พวกช่างเหมาหลายๆคนมาจากคนงานก่อสร้างประสพการณืสอนทั้งนั้น ส่วนพวกเด็กเสิร์ฟในธุรกิจ sme นั้น มักจะกินอยู่กับนายจ้าง อยู่แล้วครับ น้อยคนที่จะแยก แล้วเชื่อมั้ยกำไร นายจ้างเหลือๆเดือนไม่ได้เยอะเลย เพื่อนผมเปิดร้านก๋วยเตียวเล็กๆ ได้เดือนละ 20000 (หลังหักทุกอย่าง) จ้างเด็กมาช่วยคน ให้เด็ก 6000 แต่อยู่ฟรี กินก๋วยเตี๋ยวมันฟรี(ทำงานทุกวันครับ แต่ทำเหมือนครอบครัว แต่งานมันก็ไม่โหดอะไร วันใหนเด็กขอตัวมันก็ให้ ถ้าต้องขึ้นค่าแรงเป็น 300 มันแทบจะได้เท่ากับลูกน้องเลยนะครับ แต่ sme บางตัวที่ลูกจ้างหลายๆคนกำไรไม่มากโดนไปเต็มๆ ภาษี 7% ที่ลดให้ลดจากกำไรครับ ถ้ากำไรน้อยช่วยได้น้อย(sme) ไม่คุ้มครับ เช่นธุรกิจ ขนาด 10 คน แต่ละคนทำกำไรได้ 100 บาทต่อวัน เดือนนึงเจ้าของได้ 30000 เจอภาษี 30% เหลือ 21000 อยู่ได้ ถ้าขึ้น 80 บาท เหลือกำไรคนละ 20 บาท  เดือนนึง 6000 ต่อให้ภาษีเหลือ 23% ก็กำไรลดลงครับ อย่าลืมว่า sme มีความเสี่ยงมากบางเดือนขาดทุน ไอลดภาษีที่ได้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่ค่าจ้างเพิ่มๆ นักการเมืองเค้าเป็นเจ้าของบ.ใหญ่ครับ บางบ.ไม่ได้ใช้คนชั้นแรงงานทำงาน ป.ตรีเงินก็มักให้เกิน 15k อยู่แล้ว ดังนั้นลดภาษี 7 % เข้ากระเป๋าล้วนๆ เห็นยังครับว่าทำไมเค้าถึงดันนโยบายนี้ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 16:40:19 จากคุณ : hil4552 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 16:27:25

ความคิดเห็นที่ 80 อยากให้กิฟท์ จขกท. จัง ^^ จากคุณ : ครอบครัวตัวกลม เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 16:35:52

ความคิดเห็นที่ 81 กำเรื่องทำไมผมไม่ลาออกจากราชการ ผมไม่เถียงครับผมเงินเดือนน้อย แต่ผมพอใจของผม รัฐส่งเสียผมเรียนมาจนจบ ไม่ได้ใช้ตังพ่อแม่ จะตอบแทนรัฐผิดตรงใหน ที่ผมจะสื่อคือผมได้ตังแค่นี้ผมยัง"พอ"ครับ และข้าราชการจบป.ตรีได้กัน เริ่มต้นมาได้น้อยแค่นี้ทุกคนจริงๆ ถ้าคุณว่ามันไม่พอข้าราชการคงต้องพร้อมใจกันลาออกหมดครับ แต่น่าแปลกตรรกคุณมัน ทำให้แรงงานบางคนที่ได้เงินมากกว่าผมใช้ไม่พอได้ น้องที่ทำงานผมที่ไม่จบตรี มันได้คนละ 8200 รวมทุกอย่างมันยัง"พอ" อาจไม่หรูหราแต่มีเก็บครับ(ข้าราชการกทม.ไม่ค่อยมีบ้านให้ครับเบิกค่าเช่าบ้านจบใหม่ก็ได้ 600) อีกอย่างผมอยุ่ไปเงินผมก็เพิ่มเรื่อยๆผมจะแคร์ทำไมครับ เกษียญก็มีบำนาญ ผมไม่ได้ว่างานผมแย่นะครับ ผมโชคดีที่มายืนตรงนี้ได้ แต่อยากจะบอกคุณว่า ขนาดผมเป็นข้าราชการ ที่เงินเดือนไม่ได้มากอะไร ผมก็"พอ"ครับ จากคุณ : hil4552 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 16:39:02

ความคิดเห็นที่ 82 สาเหตุของการขึ้นเงินเดือน น่าจะมีอยู่ 2 อย่าง 1. ขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ เพราะฉะนั้น ก็ควรจะขึ้นแค่ปีละ 3-5% 2. ขึ้นตามความสามารถ อย่างเช่นกรรมกร ถ้าทำงานช่างไม้ได้ ก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นช่างไม้ ได้ค่าแรงเพิ่ม ช่างไม้อ่านแบบเป็น ก็ได้เลื่อนเป็นหัวหน้างาน รับค่าแรงเพิ่ม ตามข้อ 2 นายจ้างยินดีจะจ่ายเพิ่มอยู่แล้ว เพราะทำงานให้เขาได้มากขึ้น ในกรณีของพนักงาน office ถ้าเงินเดือนจะขึ้นทุกปี เขาต้องมีผลงานนะครับ ส่วนพวกที่ไม่มีผลงาน ก็จะปรับตามอัตราเงินเฟ้อ บางครั้งพนักงาน office ก็เป็นอาชีพเฉพาะคือ คุณทำงานตรงนี้มานาน คุณเชี่ยวชาญ ถ้าคุณออกไป จะหาคนมาทำแทนได้ยาก เขาก็ต้องเพิ่มเงินเดือนให้คุณ เพื่อรั้งให้คุณอยู่ คำถามคือ ทำไมพนักงาน office ถึงเงินเดือนสูงกว่าแม่บ้าน ก็เพราะหาพนักงาน office ที่ทำงานด้วยเงินเดือนระดับแม่บ้านไม่ได้ ความรู้ความเชี่ยวชาญคือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เงินเดือนเราเพิ่มขึ้น พ่อผม จบ ป4 เข้ามาทำงานก่อสร้างใน กทม ตั้งแต่ตอนที่แม่ท้องผม เริ่มจาก กรรมกร ช่างไม้ สุดท้ายได้เป็นหัวหน้าคนงาน เกือบจะได้เป็นผู้รับเหมา แต่ใจไม่ได้ ตอนหลังก็ลาออกมาทำสวน ถ้ารัฐบาลจะเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 5% ผมว่าจะน้อยคนที่ออกมาค้านครับ แต่ 40% นี่คงปรับตัวกันลำบากครับ จากคุณ : remem เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 16:39:23

ความคิดเห็นที่ 83 มาดู ดราม่า คับ... จากคุณ : basic10th เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 16:47:08

ความคิดเห็นที่ 84 ปัญหาคือ รายได้ของคนที่ได้มาก กับคนทีไ้่ด้น้อยมันแตกต่างกันเกินไปครับ เพราะทุนและการครอบครองทุน มันตกอยู่ในมือของเอกชนและนายทุน ซึ่งเป็นกลุ่มคนผู้ต้องการแสวงหาผลตอบแทน ผลกำไร และผลประโยชน์จากทุนที่อยู่ในมือให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อใช้เป็นฐานในการขยายทุนและการครอบครองปัจจัยการผลิตต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้นตราบใดที่ทุนและปัจจัยการผลิตยังอยู่ในมือของเอกชน และครอบครองโดยปัจเจกชน ก็ไม่มีวันที่คนใช้แรงงานจะลืมตาอ้าปากได้ครับ การลืมตาอ้าปากของชนชั้นแรงงานทั้งปวงก็จะเป็นแค่ความเพ้อฝันที่พวกนายทุน หยิบยื่นมาให้ชนชั้นกรรมชีพ โดยมีพวกปัญญาชนเข้าไปร่วมฝันด้วย ความฝันของทุนนิยมที่ว่า ตราบใดที่พวกท่านยังทำงานอย่างขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์ และหมั่นพัฒนาตนอย่างสม่ำเสมอ แม้่ท่านจะเริ่มต้นด้วยการเป็นแรงงานระดับล่าง แต่สักวันท่านก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและกลายเป็นนายทุนได้นั้น..........มันก็แค่ความฝัน ที่แม้จะมีคนทำได้จริงๆ แต่ก็เป็นเพียงหนึ่งในพันหรือหนึ่งในหมื่น ของคนที่สามาีรถก้าวจากแรงงานมาเป็นนายทุนได้ครับ อีก เก้าร้อยเก้าสิบเก้า หรือ เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน ก็ถูกหลอกให้หลงเชื่อในความฝันเหล่านี้ต่อไป และยอมก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้พวกนายทุน แลกผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยมาดำีรงชีพอย่างไม่มีทางเลือกนั้นแล ทางเดียว ที่จะปลดปล่อยชนชั้นแรงงานทั้งผองได้ก็คือ การปฏิวัติ ยึดเอาทุนและทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตทั้งหมดมาเป็นของรัฐ ก่อตั้งรัฐที่ปกครองโดยชนชั้นกรรมชีพ ที่ทำเพื่อชนชั้นกรรมชีพอย่างแท้ัจริงขึ้นมา โดยอาศัยระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ ซึ่งรัฐเป็นผู้ดำเนินการและวางแผนทั้งหมด ผลผลิตและผลตอบแทนใดๆ จะถูกแบ่งปันกันตามความต้องการและความสามารถอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการสะสมทุนของผู้ปฏิบัติงาน จนพัฒนาขึ้นมาเป็นนายทุนครับ อย่างโรงงานอุตสาหกรรมในเซี่ยงไฮ้ ในยุค 1970 แรงงานระดับที่ได้เงินเดือนน้อยที่สุด จะได้ค่าตอบแทนคิดเป็นราวๆ 1 ใน 3 ของผู้บริหารโรงงานที่ได้รับเงินเดือนสูงสุด ซึ่งเป็นการเฉลี่ยรายได้ตามความต้องการ (คือให้เขามีกินอิ่มท้องก่อนเป็นปฐม) และตามความสามารถ (คือผู้บริหาร เรายอมรับว่าท่านมีความสามารถอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม ก็ควรจะได้มากกว่าคนอื่น แต่ต้องไม่มากจนเกินไป และทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างมหาศาลในสังคม) แล้วมาดูบ้านเราตอนนี้สิครับ สมมติโรงงานแห่งหนึ่ง แรงงานที่ได้เงินน้อยที่สุดของโรงงาน มีรายได้คิดเป็นกี่ส่วน ของผู้บริหารที่ได้มากที่สุด ? ผมว่า แรงงานที่มีรายได้่น้อยที่สุด 20 คน ยังมีรายได้น้อยกว่าผู้บริหารระดับสูงสุดเลย........ ซึ่งนี่ก่อให้เกิดความเหลี่ยมล้ำทางด้านรายได้อย่างรุนแรง และทำให้เกิดปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจครับ จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 16:53:26

ความคิดเห็นที่ 85 การเพิ่มค่าแรงแบบลูบหน้าปะจมูกแบบนี้ ก็เพียงหวังผลทางการเมืองและผลการสนับสนุนจากชนชั้นแรงงานทั่วประเทศครับ ไม่ได้มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาใดๆเลย เพราะพอไปบังคับขึ้นค่าแรงจากพวกนายทุน พวกนายทุนก็ไปหาทางกดขี่ขูดรีดมาจากชาวบ้านและชนชั้นกรรมชีพด้วยวิธีอื่นๆอยู่ดี สุดท้ายมันจึงเหมือนเฉือนเนื้่อของพวกแรงงาน เอามาต้มซุปหอมหวานให้พวกเขาทานนั่นแล โดยคนที่ต้มซุปได้ชื่อเสียงจอมปลอมไป..... ถ้ารัฐบาลจริงใจจริงๆ ต้องยึดทรัพย์และปัจจัยการผลิตทั้งหมดมาเป็นของรัฐครับ ทำการกำจัดและรื้อถอนพวกชนชั้นนายทุนให้หมดทั้งประเทศ กิจการใดๆจะดำเนินการโดยเอกชนไม่ได้ รัฐต้องควบคุมกิจการและปัจจัยการผลิตทั้งปวงเอาไว้เอง ดูแลบริหารจัดการโดยรัฐเอง และวางแผนการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของมวลชนเป็นปฐม มิใช่เพื่อตอบสนองต่อกำไรหรือผลประโยชน์ครับ จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 17:00:43

ความคิดเห็นที่ 86 คห. 82 ถูกต้องที่สุด ที่ผมพยายามจะสื่อคือ ถ้าขึ้นตามแบบ คห. 82 มันเป็นไปตามกลไกลของตลาดครับ มันทำได้แต่ถ้าไปบังคับให้ขั้นเลย 40% ถามว่านายจ้างที่เค้าจ้างไม่ใหวทำอย่างไร ต้องปิดตัวไปใช่มั้ย นายจ้างตาย ลูกจ้างตกงานทำอย่างไร ผมก้บอกแล้วลูกจ้างที่ทำงานคุ้มเงินเดือนเค้าจ่ายเพิ่มแน่ๆ แต่การไปบังคับนายจ้างให้จ่ายเงินที่เค้ายังให้ได้เปล่าก็ไม่รู้นี่ มันคือการทำลายกลไกลการตลาดครับ รับรองครับว่าคนใฝ่ดีปรกติไม่มีใครรับค่าแรงขั้นต่ำไปจนแก่หรอกครับส่วนตอนเด็กๆลำบากทั้งนั้น ผมเป็นข้าราชการก็ลำบาก แต่ผมพูดจริงๆว่าผมยอมไม่ได้เป็น 15k นะครับ ถ้ามันไม่ทำให้เศรษฐกิจพัง จริงๆผมยังสงสัยเลยเค้าลดภาษีนิติ รัฐเก็บเงินได้น้อยลงแต่จะมาจ้างผมเพิ่มเกือบ 2 เท่า จะเอาเงินมาจากใหน ขึ้นเงินเดือนไปก็ต้องขึ้นให้คนอาวุธโสกว่าด้วย มีผลต่อบำนาญอีกที่ต้องสูงขึ้น ทุกวันนี้สายผมพี่ๆที่เกษียญไปก็รับกัน 40-50k อยู่แล้ว จะเอาเงินมาจากใหน จากคุณ : hil4552 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 17:03:52

ความคิดเห็นที่ 87 ผมว่าจขกทมีความคิดอ่านที่ดีนะแต่ยังขาดความคิดที่ดีที่ชอบต่อชนชั้นกลาง ทั้งๆที่กลุ่มผู้ผลักดันให้เกิดเงินเฟ้อคือกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่กับกลุ่มนายทุนที่หวังผลกำไรมากเกินไป เรากลับเพ่งโทษแรงงานที่แทบไม่มีกิน ผ่านมาสิบปี แรงงานขั้นต่ำขึ้นปีละ 4-5 หรือไม่ ก็เปล่า มนุษย์เงินเดือนขึ้นไปเกือบหมื่นแล้วแต่แรงงานขั้นต่ำยังไม่ถึงร้อยเลย ทั้งๆที่ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน แต่เจ้าสัวนายทุนทั้งหลายกลับรวยเอาๆ มีเงินซื้อรถ sport โคตรแพงกับภาษีเวอร์ๆยิ่งกว่าเมืองนอกอีก จากคุณ : Windows X เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 17:26:51

ความคิดเห็นที่ 88 แค่กระทู้ประชด แล้วเถียงกัน ขึ้นแนะนได้ไงเนี้ยยยย.. จากคุณ : kunaom เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 17:30:16

ความคิดเห็นที่ 89 ถ้ามองอีกมุมนึง มันก็เป้นการสกรีน ที่จะทำให้บริษัทองค์กรที่สามารถปรับตัวในอนาคตอยู่รอดได้ ท่ามกลางการแข่งขันในอนาคต หลังจากเปิดเสรีเต็มรุปแบบ ภาษีศุนย์เปอร์เซนต์ระหว่างประเทศในกลุ่มอาฟต้าหรือทวิภาคีอื่นๆ การปรับขึ้นค่าแรงจะบีบให้องค์กรไปลดต้นทุนด้านอื่น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานตามหลักวิธีการต่างๆเยอะแยะ แม้ว่าค่าแรงขั้นต่ำจะขึ้นไม่ถึง 300 ก็ตามบริษัทหรือโรงงานต่างๆ เขาก็มีแผนตามโรดแมบแต่ละแห่งอยุ่แล้ว อาจย้ายไปประเทศค่าแรงถูก ไม่ปีใดปีนึง แต่ถึงวันนั้นธุรกิจหลากหลายที่ไม่เตรียมพร้อมอาจล้มหายไปเยอะโดยไม่ทันตั้งตัวก็ได้ องค์กรหรือบริษัทต่างๆ ค่าแรงเงินเดือนทั้งแรงงานผู้บริหาร ไม่ใช่ต้นทุนอันดับแรกหรอกครับ พวกวัตถุดิบ เครื่องมือเครื่องจักรในการผลิต เป็นต้นทุนหลักๆ บริษัทหรือองค์กรไหน ที่บริหารแล้วค่าแรงเงินเดือนของคนเป้นต้นทุนหลักอันดับแรกๆขององค์กร ก็สมควรที่จะล้มหายตายจากไปบ้าง อนาคตไม่ใช่การแข่งขันในประเทศอย่างเดียว มันเป็นการแข่งขันระหว่างประเทศ หรือระดับโลกกันหมดแล้ว จากคุณ : iphone-9 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 17:59:07 A:199.64.0.252 X: TicketID:275368

ความคิดเห็นที่ 90 ผมว่า จขกท. ลาออกจากงานเลยครับ ช่วยต้นสังกัดลดต้นทุน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการประคับประคองปัญหาเงินเฟ้อ ตามแนวคิด "ไม่รับค่าจ้าง ไม่มีเงินเฟ้อ" OK ชาบู~~~ จากคุณ : enadiz เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 18:06:08

ความคิดเห็นที่ 91 http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B10808049/B10808049.html จากคุณ : patham เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 18:08:51

ความคิดเห็นที่ 92 สำหรับคนที่คิดว่าการขึ้นค่าแรงที่เดียว 40% แล้วนายจ้างจะเจ๊ง นี่เป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียวของนายจ้าง ค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้ขึ้นทุกปีนะครับ ถ้าเอาแบบที่บ้างท่านบอกว่า มีเงินเฟ้อทุกปี 3-5% ผมขอยึดที่ 5% ล่ะกัน   ถ้ายึดที่ 5% ปีนี้ค่าแรงก็ควรจะอยู่ที่ประมาณ 235 บาท นับจากปี 2551 ที่ 203 บาท ดังนั้นถ้าปัจจุบันนี้จะปรับไปที่ 300 บาทก็คือปรับ 27.6% ไม่ใช่ 40% แล้วไอ้ส่วนต่างระหว่างการรอปรับค่าแรงนี่ล่ะ  ไม่ใช่กำไรของนายจ้างเหรอ เมื่อปี 2545 ค่าแรงขั้นต่ำที่ 169 บาท ค่าข้าวอาหารตามสั่งที่จานล่ะ 20 บาท ปีนี้ ค่าแรงขั้นต่ำที่ 215 บาท ค่าข้าวอาหารตามสั่งที่จานล่ะ 30 บาท ลองเทียบ % เทียบอัตราดูครับ ว่ามันเหมาะสมหรือเปล่า และในฐานะที่เป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง หากต้นทุนในการขาย/การบริการที่มี ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องเป็นข้อระวังในการกำหนดราคาต่าง ๆ เพราะการที่มันต่ำกว่าที่ควรจะเป็น วันหนึ่งมันก็จะกลับมาราคาที่มันควรจะเป็น ถ้าเจ้าของกิจการ ไม่รู้จักประเมินสิ่งนี้ ก็จะเจ๊งก็ไม่แปลกอะไร แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 18:16:08 จากคุณ : MAX เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 18:13:47

ความคิดเห็นที่ 93 ชอบประโยคนี้ครับ การเพิ่มค่าแรงแบบลูบหน้าปะจมูกแบบนี้ ก็เพียงหวังผลทางการเมืองและผลการสนับสนุนจากชนชั้นแรงงานทั่วประเทศครับ ไม่ได้มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาใดๆเลย เพราะพอไปบังคับขึ้นค่าแรงจากพวกนายทุน พวกนายทุนก็ไปหาทางกดขี่ขูดรีดมาจากชาวบ้านและชนชั้นกรรมชีพด้วยวิธีอื่นๆ อยู่ดี สุดท้ายมันจึงเหมือนเฉือนเนื้่อของพวกแรงงาน เอามาต้มซุปหอมหวานให้พวกเขาทานนั่นแล โดยคนที่ต้มซุปได้ชื่อเสียงจอมปลอมไป..... จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) [FriendFlock] [Bloggang] เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 17:00:43 [แก้ไข] จากคุณ : ligay097 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 18:34:14

ความคิดเห็นที่ 94 เอ่อ คนที่บอกว่าเป็นข้าราชการไม่อยากรับเงินเดือนเกินกว่าหมื่นห้าเนี่ย เงินเดือนปัจจุบันรวมค่าปีก ค่าตำแหน่ง แล้วก็ค่าที่ไม่ไปเป็นลูกจ้างสายการบินพาณิชย์ด้วยรึป่าวคะ  หรือว่าจบรร.เหล่าปุ๊บ สตาร์ทเกินหมื่นห้าปั๊บ งั้นเราขอกลับชาติมาเกิดใหม่บ้างนะ ขอเกิดเป็นผู้ชายอ้ะ จะได้ไปสอบเข้า รร.เหล่าบ้าง เพราะทุกวันนี้ก็เป็นข้าราชการ เงินเดือนบวกค่าครองชีพ(ที่จ่ายทีละ 6 เดือน) ยังไม่ถึงหมื่นเลย ขนาดทำงานมา 2 ปี  6 เดือนนะ  บรรจุวุฒิปริญญาตรีซี 3 แหละ(ตำแหน่งที่คนแห่ไปสอบเป็นแสนๆ เมื่อตอนปี 2551 อ้ะ )   อย่างว่าแหละโง่นี่ ไม่มีปัญญาไปทำงาน การบินไทยนี่หว่า เลยต้องมาสอบเป็นข้าราชการ พ่อแม่จะได้มีสวัสดิการรักษาฟรี ไม่ได้ทำงานการบินไทยพ่อแม่เลยอดขึ้นเครื่องฟรีเลย อกตัญญูจริงๆ เลยตรู อย่าลืมทำหนังสือแจ้งต้นสังกัดนะ ว่าขอไม่รับเงินเดือนเพิ่ม ค่าปีกไม่เอา ค่าตำแหน่งไม่เอา ค่าพิเศษรายเดือนไม่เอา จะไม่ไปทำงานการบินไทยด้วย สายการบินต่างชาติเงินเดือนเป็นแสนๆ ก็ไม่ไป ที่พิมพ์มาทั้งหมดเนี่ย หมั่นไส้อ้ะ บอกตรงๆ คุณดูแต่พนักงานที่รายได้ระดับเดียวกับคุณ แล้วพวกนักเรียนจ่าที่จบใหม่ที่ไม่ได้อยู่เหล่าที่มีเงินพิเศษ นี่เค้าไม่มีพ่อแม่ใช่ป่ะ ไม่ต้องเลี้ยงดูใครเลยใช่ป่ะ หรือว่าเป็นทหารก็ดีแล้วจะเอาไรมาก ปล่อยสัญญาบัตรแบบพวกตรูไปเหอะ พวกตรูกว่าจะจบ รร.เหล่าเนี่ย ลำบากนะเฟ้ย ต้องแข่งจีบสาวกับอีก 3 เหล่าที่เหลือ  รร.นายสิบแบบพวกเอ็งน่ะ สบาย (อย่าบอกนะ ว่าพวกที่ จบ รร.เหล่าบางคนไม่ได้มีความคิดที่ดูถูกพวกที่จบรร.นายสิบ หรือพวกสัญญาบัตรสายปริญญาตรีสอบเข้า  หรือนายทหารชั้น ข) เกี่ยวไรกัน สมมตินะ จ่ามีแฟน หรือ เมียก็ได้อ้ะ  จบ ป.ตรี เงินเดือนหมื่นห้า ถ้าได้จริง บวกกับจ่าอีกประมาณ หลัก เจ็ดแปดพันก็ประมาณ สองหมื่นสอง สองหมื่นสาม  กับจ่ามีเมียจบป .ตรี เงินเดือน แปดพัน บวกจ่าเงินเดือนแปดพัน อู้หู ตั้งหมื่นหก ยังไม่พออีกเหรอ เออ ไม่พอโว้ย ทำไมต้องมาเทียบกับสัญญาบัตร เพราะสัญญาบัตรมีทางเลือกไง นักบินพานิชย์(สัญญาบัตร) กับช่างซ่อมเครื่องบินสายการบินพานิชย์(จ่า เพราะสัญญาบัตรจะเรียกตัวเองว่าวิศวกร)เหมือนกัน เงินเดือนคงจะต่างกันไม่มากสินะ เออ ถ้าได้ทำสายการบินตะวันออกกลางนะ ยอมรับ เลียนายห้างตราดูไบห่อ เพราะอยากได้เงินหมื่นห้า ตรูต้องเอาตัวรอดก่อน ไม่มีเวลาไปคิดถึงระบบเศรษฐกิจของชาติทั้งระบบ  หรือคิดถึงหัวอกนายจ้างหรอก แม่ตรูเป็นมะเร็งต้องใช้เงินรักษาโว้ย ขืนตรูรอเงินเดือนเอกชนสตาร์ทแปดพันกว่าแม่ตรูจะได้เงินรักษา ถึงตอนนั้นตรูคงมีเงินเช่าเรือครูเซอร์ไปลอยอังคารแม่ตรูแล้วล่ะ พอใจรึยัง ตรูถึงต้องมาเป็นข้าราชการไง สวัสดิการรักษาแม่ตรู บอกอีกอย่างนะ  เงินมันจะเฟ้อก็ช่างมันให้ตรูมีเงินจ่ายเงินค่ายาที่เบิกไม่ได้ก็พอแล้ว  ตรูอกตัญญูต่อชาติ แต่ตรูกตัญญูต่อแม่ตรูที่อยากได้เงินเยอะๆ มารักษาแม่ตรูเนี่ยผิดใช่ป่ะ ไม่ช่วยชาติใช่ป่ะ ตอบตรูหน่อยดิ สวัสดิการบริษัทไหนบ้างรักษาแม่ตรูฟรี จ่ายค่ายาทุกบาททุกสตางค์มั่ง  บอกตรูที ตรูจะได้ไปสมัครเงินเดือนแปดพันตรูก็เอา  หาให้หน่อยดิพ่อคุณ ป.ล.ไปฟังเพลง ดอกไม้นีออนเถอะไป จากคุณ : Shabu&Sugar&Shadow เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 18:58:27

ความคิดเห็นที่ 95 อีกที ตรูมีอคติกับทหาร และเป็น พวกชอบเผาบ้านเผาเมือง พอใจมั๊ย เนี่ยตรูลางานมาเพื่อมาเผา เซ็งทั่งเวร โดยเฉพาะเลยนะ ชัดเจนมั๊ย ตรูเป็นสาวกเสื้อแดง เชิญถล่มตรูได้เลย บ้าบอ  ใครอยากได้เงินหมื่นห้าโดนหาว่าเป็นสมุนหน้าเหลี่ยมซะงั้น งั้นอภิสิทธิ์มาจ้างตรูไปเป็นแม่บ้านที รักษาแม่ตรูด้วยนะ จากคุณ : Shabu&Sugar&Shadow เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 19:04:40

ความคิดเห็นที่ 96 งั้นเลือกตั้ง คราวหน้า ขอเสนอ ค่าแรงขั้นต่ำ 500 บาทไปเลยค่ะ ไหนๆก็ไหนๆ จะได้เหมือนฮ่องกง หรือ 1000 บาทเลย เหมือนเกาหลี ดีมั้ยฮ๊าฟฟฟฟฟ  พรรคที่เสนอจะได้ไม่โดนด่าเพราะมีนโยบายนำร่องแล้ว จากคุณ : rocky mountain เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 19:08:22

ความคิดเห็นที่ 97 ตัดประเด็นการเมืองทิ้งไป ว่ากันด้วยการขึ้นค่าแรงล้วนๆ แรงงานและป.ตรีได้ประโยชน์จากการขึ้นค่าแรงครั้งละมากๆจริงหรือ(บางท้องที่ราวๆ 40% บางท้องที่เกือบ 100%) แบ่งเป็นส่วนแรงงานและป.ตรี ในส่วนของแรงงาน นโยบายนี้จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมาก(การ์เมนต์เป็นตัวอย่างที่ดี อิเล็กทรอนิกส์ก็ใช่) ผลกระทบขั้นต้นที่ส่งผลทันทีคือจะต้องมีการปรับตัว ยังไงล่ะ? นำเครื่องจักรมาทดแทนในอุตสากรรมที่ใช้เครื่องจักรแทนได้ ไม่งั้นก็ต้องปรับตัวไปเล่นตลาดบนผลิตงานราคาสูง ถ้าทำไม่ได้ก็ตาย ล้มๆไป ขั้นที่สอง การลงทุนมีน้อยลง ทั้งจากต่างประเทศและการผันตัวมาเป็นผู้ประกอบการเองของลูกจ้าง เหตุเพราะต้นทุนแรงงานสูงขึ้น ท้ายที่สุดจะมีตำแหน่งงานลดลง ในช่วงแรกต้องบอกว่าดีกับแรงงานด้วยซ้ำเพราะปัจจุบันแรงงานเราขาดแคลน อุตสาหกรรมที่อยู่รอดได้จะมีแรงงานมาทำงานให้มากขึ้น ฟังดูก็ดี แล้วปัญหาอยู่ที่ไหน? เราจะมีการเปิดเสรีแรงงานอยู่แล้วในปี 2558 แรงงานต่างด้าวทำงานหนักกว่าคนไทย ปัญหาน้อยกว่าคนไทย อัตราการขาดงานการลาออกต่ำกว่าคนไทย ถึงตอนนั้นมีเหตุผลอะไรจะไม่ใช้แรงงานต่างชาติ สุดท้ายคนกลุ่มหนึ่งจะเจอปัญหาไม่มีงานทำทั้งจากตำแหน่งงานที่ลดลงและซัพพลายแรงงานที่มากขึ้น ว่าแต่กลุ่มไหนครับที่จะตกงาน? ใช่กลุ่มแรงงานที่ไม่มีความสามารถไม่มีทุนรึเปล่าครับ? การขึ้นเงินทีเดียวจนเกิดปัญหากับผู้ประกอบการนั้นเป็นสิ่งที่ดีจริงหรือครับ? ถ้าไม่มีผู้ประกอบการแล้วแรงงานจะเอางานมาจากไหน ค่าแรงสูงแต่ไม่มีงานทำ มีอัตรการว่างงานสูงอย่างอเมริกามันทำให้สังคมได้ประโยชน์จริงๆรึเปล่า หรือถ้าเทียบกับสเปนที่มีอัตรการว่างงานสูงกว่า 20% คือวัยแรงงาน 5 คนตกงาน 1 คนเนี่ยมันดีกับประเทศไทยจริงรึ? ต่อประเด็นป.ตรีความเห็นต่อไป จากคุณ : sleeper_j เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 19:40:41

ความคิดเห็นที่ 98 มาต่อกันเลย ป.ตรีนั้นทำไมไม่สมควรกำหนดค่าแรงเริ่มต้น 15,000 บาท ขอยกดีมานด์กับซัพพลายมาคุย ปัจจุบันเด็กจบใหม่มีจำนวนเท่าไหร่ จำนวนตำแหน่งงานเกิดใหม่มีจำนวนเท่าไหร่ คนที่ตามข้อมูลตรงนี้อยู่คงเคยผ่านตามาว่าจำนวนเด็กจบใหม่มากกว่าจำนวนตำแหน่งงานที่เพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องหลายปีแล้ว(ตรงนี้พูดถึงงานไวท์คอลล่าร์ ไม่ใช่งานบลูคอลล่าร์ที่ขาดแคลนจนถึงระดับวิกฤติในไทยตอนนี้นะครับ) พูดง่ายๆว่าซัพพลายมากกว่าดีมานด์ เอาล่ะ ถ้างั้นถ้าเราเพิ่มค่าแรงให้เด็กจบใหม่เป็น 15,000 จะเป็นอย่างไร? คำตอบก็คือดีมานด์ในตลาดจะยิ่งลดลงครับ ส่วนนึงคือธุรกิจล้มตามที่ตอบไว้ในค.ห.บน ต่อมาคือการปรับตัวของนายจ้างที่จะลดต้นทุน นั่นก็คือการจ้างเด็กจบปวช. - ปวส.แทนครับ ปัญหานี้จะแก้ต้องแก้ตั้งแต่ระบบการศึกษา ผลิตบัณฑิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และมีคุณภาพตามที่ตลาดแรงงานต้องการ ปัจจุบันบัณฑิตจำนวนมากจบมาแต่ไม่มีความรู้ความสามารถที่พอเพียงกับความต้องการของเอกชน มีจำนวนมาก คุณภาพไม่ได้ ใครจะไปอยากจ้าง? และยกประเด็นเปิดเสรีแรงงานมาคุยอีกที ถ้าผมเป็นบริษัทใหญ่ๆ ผมเลือกจ้างเด็กจบใหม่จากเวียดนามที่มีความสามารถพูดอ่านเขียนได้ 3 ภาษาอย่างคล่องแคล่วแทนเด็กไทยดีกว่ามั้ย? ราคาเท่ากันนะครับ คุณจะซื้อสินค้าธรรมดาที่เมดอินไทยแลนด์หรือสินค้าพรีเมี่ยมที่ผลิตในต่างประเทศล่ะครับ? เอาล่ะ ทีนี้เราก็จะมีแรงงานจำนวนมากเพิ่มขึ้นจากกลุ่มเด็กจบใหม่ที่ไม่สามารถผลักดันตัวเองให้เข้าตานายจ้างได้ อย่าเสียใจไป เขายังมีสิทธิรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันครับ แค่ต้องแข่งขันกับแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาหางานในไทยแค่นั้นเอง มีต่ออีกนิดที่ค.ห.ถัดไปเน้อ จากคุณ : sleeper_j เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 19:54:47

ความคิดเห็นที่ 99 สุดท้าย ถ้าจขกท.บอกให้ผมไม่รับค่าจ้างเพื่อช่วยกดเงินเฟ้อไม่ให้สูงขึ้น ก็เป็นความคิดที่แปลกดี เริ่มต้นได้ด้วยการยกเลิกโครงการจำนำข้าว หรือโครงการอุดหนุนสินค้าการเกษตรโดยรัฐทุกชนิดครับ ปล่อยชาวนาที่ไม่มีปัญญาปรับตัวให้ตายไปเลยครับ เรื่องอะไรที่รัฐต้องไปอุ้มคนกลุ่มนี้แล้วทำให้ต้นทุนค่าครองชีพในประเทศสูงขึ้นล่ะครับ เนอะ? (ข้างบนนี้เหตุผลวิบัติทั้งดุ้นเลยครับ เป็นเหตุผลวิบัติรูปแบบเดียวกับที่จขกท.ใช้ เรียกเป็นไทยง่ายๆว่าการจับแพะชนแกะครับ) ยินดีต้อนรับการใช้เหตุผลวิบัติทุกประเภท เพราะผมรู้ทันครับ เถียงกับพวกใช้เหตุผลวิบัตินี่สนุกจริงๆ จากคุณ : sleeper_j เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 20:03:04

ความคิดเห็นที่ 100 วิ่งควายเอาค.ห.100 กระทู้เกรียนๆถึงจะคุยกันด้วยเหตุผลแต่ขอทำตัวเกรียนหน่อยล่ะครับ จากคุณ : sleeper_j เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 20:04:17

ความคิดเห็นที่ 101 ตายละ เข้ามาตอนแรกนึกว่าบอร์ดประมูล เห็นด้วยกับ คห 82 คุณ จขกท ทำงานมานานแล้วจริงเหรอ การปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ กับการปรับเงินเดือนมันเป็นเรื่องเดียวกันเหรอครับ การปรับขึ้นเงินเดือนมันรองรับสองเรื่อง อัตราค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น + ความสามารถที่สูงขึ้น ส่วนค่าแรงขั้นต่ำมันแค่เหตุผลแรงอย่างเดียว ถ้าคุณทำงานมา 35 ปีแล้วยังได้ค่าแรงขึ้นต่ำ เป็นแรงงานไร้ฝีมือที่ใครที่ไหนมาแทนที่ได้ ประสบการณ์การทำงานสูง แต่เอามาใช้ไม่ได้ ไม่มีความหมาย ผมคงไม่มีอะไรจะพูดกับคนกลุ่มนี้จริงๆ อ้างอิงที่คหคุณที่ 47 ผมไม่เห็นด้วยที่คุณบอกในข้อ 7 ว่า "คุณภาพชีวิตที่ดขึ้น ส่วนนึงก็เกิดจากตนเอง แต่ อาจจะไม่ต้องเดินอ้อมไกลขนาดนี้ ถ้ามีสวัสดิการที่ดี จากรัฐบ้าง และ มาตรฐานรายได้ที่เหมาะสม" ที่คุณพยายามถึบตัวมาถึงจุดนี้ได้ มาจากคุณลำบากมาก่อน ประสบการณ์ในตอนนี้ สอนให้คุณเลือกที่จะทำอย่างนี้ ถ้าคุณมีรายได้เหมาะสม ผลอาจะไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ก็ได้ คุณไม่เคยเห็นคุณค่าของประสบการณ์ด้านลบของคุณ ไม่เคยคิดว่ามันเป็นตัวสำคัญที่ผลักดันให้คุณมาถึงวันนี้ได้ ในความคิดส่วนตัวผม ผมว่าคุณไม่เข้าใจอะไรเลย แม้แต่ตัวคุณเอง จากคุณ : BT82 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 20:10:50

ความคิดเห็นที่ 102 #94 จนถึงตอนนี้เขาให้ ขรก ครูไม่ใช่เหรอครับ? จากคุณ : hexa เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 20:14:48 A:223.204.133.37 X: TicketID:256654

ความคิดเห็นที่ 103 เจ้าของศึกษาภัณฑ์ขอนแก่นที่นำร่องเพิ่มเงินเดือน 300  บาท บอกว่าบริษัทไม่ได้เพิ่มต้นทุนอะไรเลยแค่กำไรลดลงนิดหน่อยเท่านั้นเอง บริษัทต่างๆ เอากำไรน้อยลงได้ใหม จะมีปัญหาก็ตรงพวกแม่บ้านหรือธุรกิจขนาดเล็กเท่านั้น จากคุณ : kotolay เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 20:38:02

ความคิดเห็นที่ 104 ผมคงไม่ใช้กรรมกร ที่รับค่าแรงขั้นต่ำนะครับ แต่ผมสนับสนุนการปรับขึ้นค่าแรงขนานใหญ่จริงๆ เพราะ ทำไมค่าแรงขั้นต่ำจึงต้องเป็นสิ่งที่พวกท่านทั้งหลาย ผลักภาระมาให้กันจังเลย 1. สังเกตุมั้ยครับว่า ทุกวันนี้ อาหารในห้างราคา 30-50 บาท กับร้านอาหารที่อยู่นอกห้าง มันราคาใกล้เคียงกันมั้ยครับ ซึ่งแต่ก่อนไม่ใช่เลย ข้าวข้างนอกราคา 15-25 บาท แต่ทุกวันนี้ ผมเจอแต่ราคา 25-40 บาท ราคาอาหารในห้างไม่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อหรอครับ จึงปรับขึ้นน้อยกว่าอาหารนอกห้าง หรือเพราะมาตรฐานการครองชีพของคนเราสูงขึ้น จึงทำให้ ราคาอาหารต่อจานของร้านข้าวทั่วไปสูงขึ้นเป็นอย่างมาก 2. ค่าแรงขั้นต่ำ ผมแทบจะไม่เชื่อว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะทำให้บริษัทปิดกิจการลง ผมอยากจะแนะนำแบบนี้เพราะ   2.1 ท่านๆทั้งหลายคิดว่า ถ้าเรานำเงิน 1000 บาท ไปให้กับคนเงินเดือน 30000 บาท กับ นำเงิน 1000 บาท ไปให้กับคนเงินเดือน 8000 บาท ท่านว่า จะเกิดผลเหมือนกันหรือไม่ ผมจะขอตอบว่า แนวโน้มคนที่เงินเดือน 30,000 บาทไปออม มีมากกว่าที่คนเงินเดือน 8,000 บาท จะนำไปออม ซึ่ง ตามหลักทฤษฎี GDP = C (Consumer: การบริโภค) +I (Investment) +G (Government) +(X-M) ถ้า รัฐคือ G แล้ว G ยอมลดภาษี เพื่อเพิ่มค่าแรงเพื่อการบริโภคในประเทศ แต่ตัว C กลับไม่เอามาใช้จ่าย แต่กลับเอาไปออม การลงทุนจะมีปัญหาทันทีเลย เพราะ ค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็นการเพิ่มต้นทุนของบริษัท แต่การลดภาษีจะเป็นการช่วยกระตุ้น การลงทุนทางตรงอีกทางหนึ่ง การเพิ่ม ค่าแรงและการปรับลดภาษีนิติบุคคล จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากการบริโภคในประเทศและการลงทุนทางตรงป็นหลักครับ เมื่อการบริโภคปรับตัวสูงขึ้นการลงทุนจะปรับตัวสูงตาม เพราะสินค้าผลิตมาขายได้ และสินค้าที่เราซื้อเป็นกิจวัตร หรือใช้เป็นประจำส่วนมากจะเป็นสินค้า MASS market ทั้งนั้นครับ ดังนั้น เศรษฐกิจโดยรวมผมว่าน่าจะดีขึ้น และนี่ผมมองว่า ทำไมรัฐบาลจึงต้องไปเจาะเฉพาะค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนขั้นต่ำ เพราะคนกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะนำเงินที่ได้รับเพิ่ม ไปออมน้อยกว่านั่นเอง ส่วน SME นั้นผมว่าคงต้องยกตัวอย่างละครับ ว่าประกอบธุรกิจอะไร เช่น โรงงานแปรรูปเหล็ก?? รับซื้อของเก่า?? แล้วค่อยแก้เป็นรายกรณีไปดีกว่ามั้ย      2. 2 รัฐบาลควรจะมีนโยบายที่ชัดเจน และกำหนดนโยบายสนับสนุนการลงทุนของไทย อาจจะเพิ่มสิทธิให้ BOI เพื่อ เพิ่ม FDI (Foreign Direct Investment) ของไทย ที่หลังๆมานี้ น้อยเหลือเกิน ซึ่งถ้าได้ตัวนี้เข้ามา ตัวค่าแรงที่รัฐบาลกำหนดก็จะมีโอกาสสัมฤทธิ์ผลมากขึ้น 3. ที่น่าห่วงคือค่าเงินบาทครับ เพราะรัฐบาลต้องดูแลให้แข็งค่านะครับ เพราะเรากำลังกระตุ้นการบริโภคในประเทศ หากอ่อนค่าขึ้นมา จะลำบากทันทีเลย เพราะจะเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อ จากการที่ บ้านเรามีอุตสาหกรรมต้นน้ำน้อยมาก วัตถุดิบต้นน้ำหลักๆจะนำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงเครื่องจักรด้วย การดูแลค่าเงินบาทเนี่ยหละที่ผมมองว่าจะเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายของนโยบายของรัฐบาล ถ้าเงินบาทอ่อน เสร็จแน่ เพราะทุกวันนี้ ส่งออกเรา กระจุกตัวแค่บางอุตสาหกรรม และ EU กับ US ทำท่าจะป้อแป้ จะคาดหวังการส่งออกท่าจะลำบาก 4. ประเทศเราต้องการการพัฒนา เงินเฟ้อควรจะมีต่อไป แต่ควรจะมีในระดับที่เหมาะสม ^^ 5. ผมให้เวลารัฐบาล 6 เดือน ขอดูผลงานนะครับ วัดกันด้วย BOI ว่าโตเยอะมั้ย และขอยลโฉม GDP ไตรมาส 4 กับ Q1 เป็นบุญตาหน่อยนะครับ ป.ล. ฟังสภาอุตสัมภาษณ์แล้ว หมั่นไส้จังที่ว่า ลดภาษีเอามั้ย เอา แต่ถ้าจะขึ้นค่าแรงเยอะๆ ไม่เอา - - เพราะเดี๋ยว SME เจ๊ง ผมว่า แทนที่จะกลัว SME เจ๊ง ไปกลัวว่าเศรษฐกิจหดตัว จะเอาของไปขายให้ใครดีกว่านะ ท่านสภาอุต (ไม่ได้แปลว่าจะให้ปล่อย SME เจ๊งนะ แต่ SME ก็คงต้องหาทางช่วยเยียวยากันไป แต่ถ้าไม่กระตุ้นแรงๆ สงสัยจะฟุบยาว) แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 21:05:44 แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 21:01:55 จากคุณ : hunchback เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 21:00:02

ความคิดเห็นที่ 105 ชอบกระทู้นี้หว่ะ จขกท.เกรียนดี ่ท่านsleeper_j เรื่องป.ตรีล้นตลาดแรงงานไม่ใช่แค่นี้นะครับ ส่วนหนึ่งก็มาจากบีโอไอด้วย เรามักได้ยินข่าวบีโิอไอดึงมาลงทุน"ตั้งรง."ได้เท่าำนั้นเท่านี้ เคยได้ยินข่าวดึงมาตั้งออฟฟิส ตั้งฮับบ้างไหม ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่สร้างงานให้ตรงกับคนที่จบ คนมีความรู้มากขึ้น สร้างแต่งานที่ไม่ต้องการคนมีความรู้ ท่านว่าบ้ารึเปล่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่วาดฝันไว้สวยหรูจะเป็นจริงได้มั้ยถ้าใช้คนไม่มีความรู้ นี่เค้าเรียก"ลิงได้แก้ว ไก่ได้พลอย"รึเปล่า มีบ.ในไทยบ้างมั้ยที่เทงบวิจัย/งบลงทุน10-15% ของรายได้ แล้วต้องดูด้วยว่าป.ตรีที่จบใหม่จบอะไรมา ที่จริงรัฐควรประสานงานกับมหาลัย กำหนดจำนวนนักศึกษา เช่น5ปีข้างหน้าคาดว่าต้องการวิศวะ5หมื่น วิทยา3หมื่น ก็กระจายๆไปตามม.ต่างๆ คณะไหนที่ล้นตลาดก็เปิดรับน้อยๆ รัฐวางแผนพัฒนาด้านไหนก็เปิดรับด้านนั้นเยอะๆ อยากพัฒนาการเกษตร ก็รับคณะเกษตร วิทยาชีวะ วิทยาเคมี อยากพัฒนาการแพทย์ก็รับหมอ เทคนิคการแพทย์เยอะๆ หากเราไม่สร้างสังคมแห่งการวิจัยพัฒนา ยังคงเน้นแต่ภาคการผลิตที่ใช้แรงงาน อย่าหวังเลยครับว่าประเทศไทยจะก้าวไปสู่กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว นายประสารกล่าวต่อว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเกาหลีใต้ ซึ่งทุ่มเทกับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง พบว่าช่วงปี 2523 ซึ่งเป็นช่วงที่ชาติในเอเชียเริ่มเปิดให้ต่างชาติมาลงทุนและรับเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ผลสำรวจความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของไทยกับเกาหลีใกล้เคียงกัน แต่ผ่านมา 20 ปี สำรวจอีกครั้งปี 2543 ไทยล้าหลังเกาหลีใต้อยู่ 10-15 ปี โดยเกาหลีใต้มีเทคโนโลยีของตัวเอง มีแบรนด์สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือชั้นนำของโลก แต่ไทยยังพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติและรับจ้างผลิต “รัฐมีแนวคิดส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แต่ประเทศมีงบเพื่อการวิจัยและพัฒนา 0.2% ของจีดีพี เป็นตัวเลขเดียวต่อเนื่องมา 10 ปี ขณะที่มาเลเซียมีงบฯส่วนนี้ 0.8% ของจีดีพี และญี่ปุ่น 3.5% ของจีดีพี ดังนั้น หากต้องการให้ไทยไม่ถูกทิ้งห่างเรื่องขีดการแข่งขันการค้าและการผลิต อยากให้ทุกฝ่ายรวมทั้งรัฐบาลใหม่ให้ความสนใจเรื่องนี้ เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกไปในทางนี้ ไม่เช่นนั้นรายได้ของเรายังเป็นแค่รับจ้างผลิต ไม่สามารถยกระดับรายได้ของประชาชนได้อย่างที่ควรเป็น. http://thairecent.com/Business/2011/900888/ http://www.ryt9.com/s/bot/1189180 จากคุณ : ANUBIS[TJ] เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 21:30:25

ความคิดเห็นที่ 106 รักจขกท.และ คห.94 จุ๊บๆ จากคุณ : แมงป่องหางด้วน เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 21:33:29

ความคิดเห็นที่ 107 ชอบกระทู้นี้จัง ถึงแต่ละคนจะเกรียนๆแรงๆ แต่ถกกันด้วนเหตุด้วยผลดีอ่ะ อ่านมัน..อ่านเพลิน..ได้สาระดีด้วย ชอบเหตุผลของทั้งสองฝ่าย แต่ท้ายที่สุดขอเงินเดือนหมื่นห้าทีเห้ออออ ปล.เป็นขรก.จบโท แต่เงินเดือนเก้าพันอ่ะ คิดดู จากคุณ : แมงป่องหางด้วน เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 21:40:29

ความคิดเห็นที่ 108 สมควรขึ้นเป็น กท.แนะนำ เพราะ จขกท. ประชดได้เจ็บแสบมาก อุปมาดังไบกอน ที่ฉีดลงบนหัวแมลงสาป แมลงสาบได้แต่ดิ้น แถ...ก แถ...ก แถ...ก ไป แถ...ก มา ไปไม่รอด จบที่คำเดิมว่า ตัวเองฉลาด ส่วนพวกอื่นเป็นพวกโง่ จากคุณ : แมงสาปจงพินาศ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 21:56:49 A:125.25.143.227 X: TicketID:299425

ความคิดเห็นที่ 109 ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่พูดแทนคนระดับใช้แรงงานนะคะ จากคุณ : พิซซ่าอินเตอร์ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 22:01:49

ความคิดเห็นที่ 110 กระทู้ประชดประชัน แต่ถูกใจ ใครบางคนก็เท่านั้นเอง ถ้าชอบแบบนี้ก็จะมีกระทู้ประชด ประชัน ต่อไปอีกไม่รู้จบ สักพักก็จะมีกระทู้ "ไหนๆก็ขึ้น300 บาทต่อวันแล้ว มันจะไปพออะไร ขึ้นเป็น 3 หมื่นต่อวันไปเลยดีกว่า จะได้ไม่จน" "ไหนๆเงินมันก็เฟ้อทุกปีอยู่แล้ว ขึ้นเงินให้มันเฟ้ออีก มันจะเป็นจะตายหรือไง" ตั้งประชดกันไปมา ไม่จบไม่สิ้น จากคุณ : durasail เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 22:04:56 A:115.87.186.194 X: TicketID:308748

ความคิดเห็นที่ 111 ู^^ ต่างคนต่างความคิด   เข้าใจ๊ จากคุณ : พิซซ่าอินเตอร์ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 22:14:06

ความคิดเห็นที่ 112 ^ ^ ^ ตรรกวิบัติ การประชดประชันเพื่อชี้ให้เห็นถึงปัญหาต่างกับการประชดประชันเพื่อความสะใจ เงิน5บาทของบัฟเฟตกับผู้ใช้แรงงานมีค่าเท่ากันรึเปล่า เงินจะมีค่ามากที่สุดในมือใครครับ ไม่ใช่ในมือคนที่รู้จักใช้มันหรอก แต่เป็นในมือคนที่จำเป็นต้องใช้มันต่างหาก แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 22:20:20 จากคุณ : ANUBIS[TJ] เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 22:18:55

ความคิดเห็นที่ 113 พวกที่โวยวายๆ บอกเงินเฟ้อ ๆ ๆ ๆ เรียนจบไรมาหรอ จากคุณ : ขนมหลายชั้น เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 22:21:13

ความคิดเห็นที่ 114 ความจริงน่าจะรอดูมาตราการของรัฐบาล คุณยิ่งลักษณ์ก่อนนะ ว่าจะมีมาตราการรองรับ ยังไง แผนงานบริหารจัดการยังไง สำหรับธุรกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม หรือแม้แต่โอท๊อป เพื่อให้ธุรกิจเหล่านี้อยู่ได้ ส่วนธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มั่นคงแล้วน่าจะได้ประโยชน์จากการลดภาษี จากคุณ : E20TKD เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 22:22:20

ความคิดเห็นที่ 115 #105 เห็นควรด้วย และมันก็เป็นอะไรที่ลักลั่นมากที่งบประมาณที่กระทรวงศึกษาบ้านเราได้รับคิดเป็นอัตราส่วนที่สูงที่สุดในโลกเลยทีเดียว(ราวๆ 4% มั้งครับ) แต่ไม่สามารถผลิตบัณฑิตที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานได้ ส่วนเรื่องก้าวไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วเป็นเรื่องที่น่าทำจริงๆนะ แต่ตอนนี้เราต้องเร่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน ตอนนี้ไทยยังติดบัญชีของอเมริกาในฐานะประเทศหนึ่งที่ยังมี Worst forms of child labor อยู่เลยครับ(พบการใช้แรงงานเด็กในงานอันตรายและพบเด็กในอุตสาหกรรมทางเพศ แน่นอนว่าเกือบทั้งหมดเป็นแรงงานต่างด้าวเด็ก) การยกระดับความเป็นอยู่แรงงานทั้งระบบเป็นสิ่งที่ต้องทำครับ ทั้งเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน สภาพความเป็นอยู่ หรือค่าแรงก็ล้วนต้องมีการพัฒนา แต่การหักดิบเดินหน้าโดยโครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อมก็จะเกิดปัญหาสะท้อนตามมาครับ เรื่องค่าแรงไม่ควรกำหนดเป็นตัวเลขกลมๆ แต่ควรจะมาจากการสำรวจค่าครองชีพที่เหมาะสมของแต่ละท้องที่แล้วค่อยกำหนดขึ้นมามากกว่าครับ ต่อจากนั้นค่อยปล่อยให้มันเป็นไปตามกลไกตลาดเสรีครับ จากคุณ : sleeper_j เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 22:28:03