ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าไปซื้อที่จันทบุรี โลนึงไม่เกิน 10 บาทครับ เงาะ โลละ 3 บาท เรื่องค้าขายเอากำไรมันเป็นเรื่องปกติของพ่อค้าน่ะครับ  เค้าตั้งราคานี้แล้วเขาขายได้เขาก็ขาย ส่วนชาวสวน ถ้าอยากได้ราคาดีๆ ก็ต้องเอาออกมาขายเองครับ ไม่ใช่รอให้เค้าไปรับซื้อถึงสวน โดนกดราคาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนะึครับ จากคุณ : คิดถึงแล้วรักป่ะ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 01:00:45

ความคิดเห็นที่ 2 ผมเคยนั่งแท๊กซี่ ครับ เขาเล่าว่า เขาอยากเป็นพ่อค้า ไปเอาทุเรียนมาขาย ไปที่สวน โดนชาวสวนหลอก ขายทุเรียนอ่อน  เอามาขายไม่ได้เลยครับ หมดตัวเลย เพราะเงินทุนมีเท่านั้น กำไรที่คุณเห็น  ผมว่าสมเหตุสมผลของสภาพการค้าแล้วครับ  เพราะถ้ามีกำไรเกินควรโดยไม่ต้องทำอะไร ไม่เสี่ยง  ที่สุด ก็จะมีพ่อค้ารายใหม่เข้ามาแข่งขัน และทำให้ราคาลดลงมาเอง แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น  แสดงว่า พ่อค้าเหล่านี้ ล้วนต้องผ่านประสบการณ์ ความเสี่ยง แล้วเรียนรู้ โดยเสียค่าวิชา ค่าเวลาไปไม่น้อยเหมือนกัน เหมือนกับคุณไปเห็นหมอรักษาโรค  เอาหูฟัง ฟังไม่กี่ที เก็บเงิน 500 บาท ว่าเป็นการเอาเปรียบไหม ในความเป็นจริงก็คือ กว่าเขาจะเรียนจบมา ใช้เงินไม่น้อย อดหลับอดนอนในการสอบแข่งขัน สอบประจำปี ผมเองคิดว่า แต่ละอาชีพ มีสิทธิที่จะหากำไร  ถ้าสามารถทำได้ และไม่ควรเอาความรู้สึกเราไปวัดว่าใครควรได้เท่าไหร่  เพราะเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น จากคุณ : ป้อม (Bgate) เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 01:11:20

ความคิดเห็นที่ 3 เกษตรกรสามารถเพิ่มอำนาจต่อรอง ทั้งเรื่องราคาขาย การซื้อปัจจัยการผลิต การขอความช่วยเหลือจากรัฐ ถ้ามีการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม อย่าง สมาคมยาง สมาคมผู้เลี้ยงหมู จากคุณ : ดอกไม้ทะเล เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 01:42:28

ความคิดเห็นที่ 4 ผมเองก็คิดมานานแล้วล่ะครับ ทำไมเกษตรกรถึงจน ทำไมชาวนาถึงจน ทั้งๆที่ พ่อค้ารวย  โรงสีรวย เพราะอะไรน่ะเหรอครับ - ก็เพราะว่า  เกษตรกร เหมือนกับเป็นห่วงโซ่ลำดับแรกสุดไงล่ะครับ  เพราะการเกษตร,เกษตรกรคือจุดเริ่มต้นของกระบวนการสินค้าเกษตร   (ห่วงโซ่อันดับสุดท้ายคือผู้บริโภค) แล้วทีนี้จะทำยังไง เกษตรกรถึงจะรวยกว่านี้ได้ - ไม่ยากเลยครับ  แค่ยก ระดับห่วงโซ่ให้ชาวเกษตรกร  จากที่เคยเป็นลำดับแรกสุด ให้เกษตรกร ควบห่วงโซ่ เป็นทั้งเกษตรกร และพ่อค้าไปในตัว แล้วทำไมที่ผ่านมา เกษตรกรส่วนใหญ่ถึงไม่ทำ - เพราะเขาถนัดแต่ทำการเกษตรไง  ไม่ถนัดทำพ่อค้า    (มันก็เหมือนกับ บางคนเป็นเจ้าของกิจการ บางคนเป็นแค่( ^o^ )รับเงินเดือนไงล่ะ)(ขอโทษที่ใช้คำแรงๆ เพราะต้องการให้เห็นภาพที่ชัดเจน) แล้วมีวิธีแก้ไขไหม - มี   โดยการ รวมกลุ่มเกษตรกร จัดตั้งตนเอง ลงขันหุ้นกันหลายๆๆๆคนเป็นกลุ่มการค้า  ผลิตเอง แล้วขายผลผลิตให้กลุ่ม แล้วให้ตัวแทนกลุ่มนำไปขายปลีกเองที่ตลาด  หรืออย่างน้อยๆให้ตัวแทนกลุ่ม นำไปขายส่งที่ตลาดกลาง(เช่นตลาดไท) ในราคาพ่อค้าทั่วไป  หรืออย่างชาวนา ก็ให้จัดตั้งกลุ่ม ปลูกข้าวเอง สีเอง ขายเอง เป็นต้น ทำอย่างงี้แล้วจะมีอะไรดีขึ้น - ก็จะเป็นการ ลดห่วงโซ่ พ่อค้าคนกลาง(อย่างน้อยๆก็พ่อค้าส่ง)ลงไป ทำให้เกษตรกรเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ขาย  ส่วนต่างกำไรที่เคยอยู่ในมือพ่อค้า ก็จะแปรเปลี่ยนมาอยู่ในมือเกษตรกร(โดยการปันหุ้น) ความเสี่ยงล่ะ - ความเสี่ยงคือ  ความไม่ชำนาญในการค้า อาจจะทำให้กลุ่มเกษตรกร ขาดทุนก็เป็นได้ แล้วจะลดความเสี่ยงได้อย่างไร - เริ่มจากเล็กๆก่อน  (รวมกลุ่มหลายๆๆคนนี่แหล่ะ แต่เริ่มจากเอาผลผลิตมาลงขันกันน้อยๆก่อน) เพื่อหาความชำนาญ - แล้วเรียกลูก-หลาน ที่มีความรู้มาช่วยงานบ้านเกิด มาเป็นตัวแทนกลุ่มในการค้าขาย  และแน่นอน ก็ต้องมีเงินเดือนให้ตัวแทนกลุ่มด้วย และก็ต้องมีงบในการดำเนินงานด้วย (เช่นค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าแรงคนงาน เป็นต้น) อุปสรรค ?? - เงินทุน  ความรู้  ความไว้ใจ(ตัวแทนกลุ่ม) ตรวจสอบได้  เกษตรกรตรวจสอบเป็น มีความเข้าใจในธุรกิจ  ความสามัคคีในกลุ่ม  ต้องช่วยกันพัฒนา  .............ฯลฯ เกษตรกร,ชาวนา(พูดแทรกทันใด) : เฮ้ย..ยากวะ  ทำนา ทำไร่อย่างเดียวสบายกว่ากันเยอะ ไม่ต้องคิดอะไรให้มันยุ่งยาก  เว้ย...ไปดีฝ่า +++ ง่ะ ถามเอง ตอบเอง สรุปเอง เฮ้อ... จากคุณ : aumpaump12 เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 01:49:08

ความคิดเห็นที่ 5 ข้อบกพร่องในเรื่องเล่าอวยเกษตรกรของ จขกท. คือเอาเรื่องกำไรจากการขายของ มาปนกับกำไรจากการผลิต การตั้งราคาของผู้จัดจำหน่ายไม่ได้เกี่ยวข้องกับกำไรที่ผู้ผลิตได้รับ หากเป็นการซื้อขาด พ่อค้าซื้อไปขายเงินสด เกษตรกรไม่ได้ให้เครดิต และขายไม่หมดเอามาคืนไม่ได้ กำไรที่พ่อค้าตั้ง จะมากจะน้อย ไม่เกี่ยวกับเกษตรกร ต่อให้ลดลงมาขายกิโลละ40บาท หน้าสวนก็ยังได้แค่15บาทเท่าเดิม จากคุณ : Zeichnung เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 07:28:51

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าคิดว่ามันง่าย ก็ไปตัดราคาจากสวนทุเรียนมาสิครับ ให้เกษตรกรไปเลยโลละ 25 บาท เอามาขาย 65 กำไรตั้งเยอะ เอาเลยครับ ง่ายมาก จากคุณ : jaminonez เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 08:42:23

ความคิดเห็นที่ 7 ก็เรื่องปกติ พ่อค้าคนกลางช่วยกระจายสินค้าไปยังสถานที่ต่างๆ...ถ้าเราต้องนั่งรถจากบางพลีเพื่อไปซื้อทุเรียนที่4มุมเมือง..คงมีค่าใช้จ่ายสูงกว่านี้....เค๊าต้องขายตามราคาตลาดอยู่แล้ว ถ้าแพงเกินไปก็ไม่มีคนซื้อ..ของขายเหลือก็เจ๊งกันไปเองแหละค่ะ... จากคุณ : มินจุน เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 09:28:36

ความคิดเห็นที่ 8 มันมีกลไกของมันนะครับสินค้าแต่ละอย่าง ไปรับถึงสวนราคาถูก เอาหมดไม่คัด ราคาหนึ่ง คัดเอาดีๆก็ราคาหนึ่ง ขนส่งใกล้ ไกล บวกอีกเท่าไร ขนมาก ขนน้อย เอามาพัก ขายออก คนซื้อต่อที่ราคาถูก เหมาหมด ซื้อปลีก คัดขายปลีก จีปาถะ แล้วถ้าเหลือ เป้นของเสียละครับ เขาเอาไปไหนครับ ต้องบวกอีก ผมไม่ได้พูดเข้าข้างพ่อค้าคนกลาง แต่ทุกอย่างคุณต้องมองให้หมดครับ ไม่ใช่มองเฉพาะต้นทาง และปลายทาง คุณไปกินที่วสนก็เหมือนกัน เขาขายคุณถูกๆ แต่คุณใช้จ่ายการเดินทางเท่าไรครับ เวลาด้วยนะครับอย่าลืมคิด สินค้าเกษตร เวลาออกจะพร้อมๆกันเป็นฤดู ส่วนมากจะล้นตลาด ทุกกลไกต้องการกำไรทั้งนั้นหละครับ คนไทยก็ชอบนักเรื่องแห่กันทำ มันก็เลยไม่แฮบปี้นะครับ จากคุณ : เมล็ดพันธุ์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 09:45:56

ความคิดเห็นที่ 9 ซ้ำลบแล้ว แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 54 09:49:28 จากคุณ : เมล็ดพันธุ์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 09:46:45

ความคิดเห็นที่ 10 ซ้ำลบแล้ว แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 54 09:49:00 จากคุณ : เมล็ดพันธุ์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 09:47:25

ความคิดเห็นที่ 11 ดัชนีราคาสินค้า ขึ้นกับเวลาและสถานที่ รวมถึงมีต้นแฝงอื้นอยู่ด้วย การเพิ่มมูลค่าสินค้าณ.จุดขายก็ทำให้สินค้าสะดวกซื้อสำหรับผู้บริโภค ทุเรียนราคา 65 บาท/กก. รวมปอกเปลือกด้วยถือว่าสมเหตุสมผลครับ ส่วนทุเรียนที่ขายได้ราคาไม่ถึง 15 บาท/กก.ของเกษตรกร อาจเป็นเรื่อง ของคุณภาพและอายุการเก็บเกี่ยวของทุเรียน ไม่เป็นที่ต้องการของตลาด จากคุณ : pc เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 10:56:40 A:223.207.21.229 X: TicketID:315677

ความคิดเห็นที่ 12 ทุเรียนโลละ25 แล้วคุณมั่นใจได้ไงว่าเป็นแบบเปลือกบาง เพราะที่ขายโลละ65-70เป็นราคาทุเรียนเปลือกบางค่ะ ถ้าซื้อมาปอกขายแกนไม่สุกทุเรียนแฉะ เค้าก็ต้องโยนทิ้งทั้งลูก ขายไม่ได้กินไม่ได้ เท่ากับเงินเค้าก็สูญไปแล้ว ไหนจะความเสี่ยงว่าขายได้หมด/ไม่หมด ไหนจะค่ารถค่าขนส่ง และค่าปอก ดิฉันไม่เข้าใจ ทำไมถึงชอบโจมตีพ่อค้าคนกลางกันจัง ดิฉันก็ลูกพ่อค้าคนกลาง คนนอกไม่เข้าใจหัวอกหรอก ว่าการเป็นพ่อค้าคนกลางมันไม่ได้ง่ายเลย คุณเคยไหมล่ะคะ โดนเกษตรกร "โกงยกหมู่บ้าน" พอทวงเิงินมัน มันก็เอาปืนมาวางข่มขู่บอกว่า "จ่ายเงินซื้อลูกตะกั่วถูกว่าหาเงินมาใช้หนี้" มีเงินก็เอาไปกินเหล้าซื้อรถเล่นการพนัน พอเงินหมดก็ขายที่ดินทำกิน พอไม่มีที่ดินทำกินก็โทษรัฐบาลและพ่อค้าคนกลาง แต่ละอาชีพมันก็มีคนดีคนเลวปนๆกันไป ถ้าคุณมองว่าพ่อค้าคนกลางมันเลวนัก เกษตรกรชั่วๆก็มีเยอะไม่แพ้กันหรอกค่ะ จากคุณ : โจรดอกบ๊วย เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 11:05:14

ความคิดเห็นที่ 13 พ่อค้า ต้องแบกรับ ค่าชนส่ง ความเสี่ยงของเน่เสีย ของเหลือ ด้วยนะ บางเจ้า ขายครึ่ง ทิ้งครึ่ง เพาะ ขายไม่ทัน หรืออ่อนเกิน จากคุณ : ก้นกบ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 11:37:09

ความคิดเห็นที่ 14 สมัย ม ปลาย เคยช่วยงานทำสวนอยู่พักหนึ่ง ที่บ้านนั้นเป็นเกษตรกร ปลูกมะม่วง ชมพู่ โดยมีลูกชายคนโต ทำหน้าที่เป็นพ่อค้า พ่อและแม่ เป็นชาวสวน โดยที่ลูกชายจะเอาของในสวนไปขายในตลาดนัดบ้าง เปิดท้ายบ้าง ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ไปหมดทุกที่ที่รู้จัก ก็คือเป็นพ่อค้าคนกลางให้พ่อและแม่นั่นแหละ กำไรก็ไม่หายไปไหน ถ้าผลผลิตมีเยอะก็ขายส่งให้พ่อค้าคนอื่นไป ทุกวันนี้ก็รวยดีครับ ปลูกบ้านทรงไทย ราคาเป็นสิบล้าน อยู่ง่ายๆ สบายๆ ชิวๆ ปล. ช่วงตรุษจีน วันจ่าย วันเดียว ชมพู่สีแดงขายดีมากกกก  เคยขายที่ตลาดนัด คนเดียว แผงเดียว ได้เงินประมาณ 15k ทุนชมพู่แทบไม่มีเพราะเจ้าของสวนมาขายเอง จากคุณ : hahawa111 เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 16:03:32

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าเกษตรกรอยากรวย ก็ต้องควบตำแหน่งละครับ ทั้งเกษตรกร+พ่อค้า ถ้าเราผูกติดกับพ่อค้าอย่างเดียว ตายแน่ๆครับ เคยเห็นมั้ยครับ มะม่วงฟ้าลั่น ออกจากสวนกิโลละบาท ค่าคนงานเก็บมะม่วงก็ไม่คุ้มแล้วครับ กระบะคันนึงบรรทุกได้ ประมาณตันกว่าๆ ตกแล้วคันหนึ่ง พันกว่าบาท เป็นผม ปล่อยให้เน่าคาสวนยังดีซะกว่า ไม่ก็เก็บไปขายเอง อย่างน้อยๆก็กิโลละ 5 บาท 10 บาทละครับ จากคุณ : hahawa111 เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 16:09:22

ความคิดเห็นที่ 16 เห็นด้วยกับ คคห.12 พ่อค้าต้องแบกรับค่าขนส่ง ของเน่าเสีย ของดีคละของไม่ดี ของขายไม่หมด ไปขาย ตจว.ไกล ๆ ก็ต้องนอนโรงแรม ไหนจะค่าเสียเวลา พ่อค้าคนกลาง ไม่ได้เลวเสมอไปหรอก จากคุณ : ขอแฟนรวย เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 54 14:42:02

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าชาวนาโง่ คงโง่กันทัั้งประเทศ  ถ้านำข้าวเข้ามาเมื่อไรจะรู้สึก อยากให้ตั้งราคาขายเองได้ อยากให้ราคามันเสถียรกว่านี่แค่นี่และก็ทำให้รวยขึ้นมาได้แล้ว จากคุณ : vesbino เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 54 23:25:34

ความคิดเห็นที่ 18 รู้คำตอบของสังคมแล้ว ในเวปคงเป็นลูกพ่อค้าเยอะ อยากให้รัฐบาลคิดแบบญี่ปุ่นมั่งจัง ที่ให้เกษตรกรเป็นอาชีพมีเกียรติอันดับ1 พวกพ่อค้านักฉวยโอกาส เป็นอาชีพอันดับ3 ไม่ต้องยกย่องมากเพราะมากเล่ห์หลายเหลี่ยม   แต่สังคมก็เห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่นี่สิ น่าคิดจัง จากคุณ : patcy เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 18:00:19

ความคิดเห็นที่ 19 แหม คห.18 อย่างที่บอกล่ะค่ะ เกิดเป็นลูกพ่อค้าต้องทำใจ ขยันทำมาหากินจนมีเงินกลายเป็นว่าไปทำนาบนหลังคนเสียนี่ เมื่อวันที่ 12สค ที่ผ่านมา ดิฉันก็เจอเกษตรกรคนนึงค่ะ เค้าซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดไปเมื่อสัปดาห์ก่อน 3 ถุง แล้วใช้ไม่หมด ขับรถร่วมร้อยกิโลมาคืนที่บ้าน พอไม่รับคืน สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือ "ใจแคบ ค้ากำไรเกินควร ขี้เหนียว" ฮาๆๆๆ  สุดท้ายก็ต้องรับค่ะ ถุงก็เลอะโคลนมาแล้วด้วยขายต่อก็ไม่ได้ขาดทุนไปอีกพันกว่าบาท เพื่อให้เค้าหุบปากไม่งั้นก็มาโวยวายอยู่หน้าบ้านไม่ยอมไปไหน พาลเอาไปบอกชาวบ้านอีกว่าบ้านเรางั้นงี้ โว่ยยย เซ็งค่ะ ไงล่ะคะ เกษตรกรผู้น่าสงสาร นี่ยังดีนะคะ ห่างกันไม่นาน บางคนเก็บไว้จนเมล็ดพันธุ์หมดอายุแล้วเอามาคืน โดยอ้างว่า "ยังไม่ได้แกะถุง" เหอๆๆๆๆๆๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 54 22:26:38 จากคุณ : โจรดอกบ๊วย เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 54 22:25:01