ความคิดเห็นที่ 1 . จากคุณ : ลุงแอ็ด เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 11:36:44

ความคิดเห็นที่ 2 ข้อผิดพลาดที่ควรปรับปรุงของพนักงานขาย ตอนที่ 4  - ไม่ใส่ใจเครื่องทุ่นแรง เพื่อนพนักงานขายรุ่นน้องของลุงคนหนึ่ง  มีบุคลิกประจำตัว  คล้ายๆ กับนักแสดง วิทยากลสมัครเล่นทีเดียว เย็นวันหนึ่ง  ขณะที่เรารับประทานอาหารกลางวันอยู่ด้วยกันนั้น  เขาก็ทำการแสดงกล   โดยการทำให้เหรียญหายไปจากโต๊ะให้พวกเราดู  ซึ่งพวกเราต่างรู้สึกทึ่ง  และชอบใจ เป็นอย่างยิ่ง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ลุงก็กระเซ้าเขาเล่นๆ ว่า “อ๋อ  มิน่าเล่า  คุณถึงได้มียอดขายสูงกว่าคนอื่นๆ ที่แท้ก็เพราะแสดงกลหลอกลูกค้ามา ตลอดเวลานี่เอง” “เสรีชัย”  ซึ่งมีรายเดือนละเกือบแสนบาท จากการเป็นพนักงานขายเครื่องจักรแทนที่จะ ตลกไปด้วย  กลับมีสีหน้าขรึมขึ้นมาทันที  เขาตอบลุงว่า “ไม่หรอก  นี่มันงานอดิเรกอย่างหนึ่งของผมเท่านั้น  แต่ลุงเชื่อไหมว่า  เราสามารถนำวิธี นี้  ไปประยุกต์ใช้กับงานขายได้อย่างเหมาะสมทีเดียว  ก็ขายแบบสาธิตยังไงล่ะ  เพราะ ทุกครั้ง  เวลาผมเสนอขายลูกค้าเสร็จแล้ว  ผมจะต้องทำการสาธิตให้เขาดูเสมอ  ผมมี เครื่องมือที่จะช่วยให้ผมปิดการขายได้  ถ้าผมรู้สึกว่า  การพูดอย่างเดียวดูท่าจะไม่พอ” จากการสนทนากันในวันนั้น  ทำให้ลุงมองเห็นจุดบกพร่องของพนักงานขายที่ลุงพบอยู่ เสมออีกอย่างหนึ่ง “เสรีชัย”  ได้พยายามหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด ซึ่งเกิดขึ้นกับพนักงานขายคนอื่นๆ เป็น ประจำเสีย  ข้อผิดพลาดที่ว่าก็คือ  พนักงานขายเหล่านั้น “มักจะไม่ใช้เครื่องมือที่เป็น ประโยชน์มาช่วยการขายเลย” พนักงานขายทุกคน  ต่างรู้จักเครื่องมือเหล่านี้เป็นอย่างดี  เช่น  ภาพถ่าย  สินค้า ตัวอย่าง  ภาพยนตร์  สไลด์  ตัวเลข  สถิติข้อมูล แผนภูมิ แผนผัง การ์ตูน กระดาน กระดาษ คอมพิวเตอร์ ไอแพด ฯลฯ นอกจากนั้น  ตัวสินค้าเอง  ก็ยังสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือได้ ถ้าคุณต้องการจะจูงใจให้ลูกค้าของคุณเชื่อว่า “ไฟแช็คของคุณ  สามารถจุดได้ตั้งร้อย ครั้งติดๆ กัน”  ก็ทำไมไม่หยิบไฟแช็คออกมาจุดให้ลูกค้าดูเสียล่ะ  ลืมคำพังเพยที่ ว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” เสียแล้วหรือครับ วิธีการง่ายๆ อย่างนี้  มักจะถูกมองข้ามเสมอ  เพราะพนักงานขายมัวแต่คิดว่า เครื่องมือ ต่างๆ เหล่านั้น  มีค่าไม่ผิดกับของเด็กเล่น “จึงมักจะโยนมันไปกองๆ รวมกันไว้ที่ท้ายรถ เสียหมด”  ซึ่งไม่ว่าเราจูงใจอย่างไรให้เขาเชื่อว่า  มันจะช่วยการขายได้  เขาก็ไม่สนใจ เลยแม้แต่น้อย ในปัจจุบันนี้  สินค้าส่วนใหญ่จะแตกต่างกันเฉพาะที่เปลือกนอกเท่านั้น เช่น เครื่องปิ้ง ขนมปัง  แต่ละยี่ห้อจะแตกต่างกันในรูปแบบ  รถยนต์ ก็ผิดกันที่รูปร่างๆ เพราะฉะนั้น  พนักงานขายซึ่งอยู่ในตลาดที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน  จะเอาชนะผู้อื่นได้   ก็อยู่ที่ความสามารถในการสาธิตสินค้านี่เอง  ถ้าเราสามารถสร้างความประทับใจให้ ลูกค้าได้มากเพียงใด  โอกาสที่จะขายได้ก็ย่อมมีมากขึ้นตามกัน เราอาจจะเถียงว่า  การสาธิตนั้น  มันเป็นการแสดง  ซึ่งก็ถูกอยู่  แต่ลุงก็อยากจะถาม ว่า  “มันผิดตรงไหนหรือ  ถ้าเราจะนำศิลปะการแสดงมาประยุกต์กับการขายของเราด้วย” พนักงานขาย  หรือผู้จัดการฝ่ายขายบางคน  มักจะมีทัศนคติที่ไม่ค่อยจะดีว่า “การ แสดง” เป็นของชั้นต่ำ  ไม่คู่ควรกับงานขาย  โดยลืมคิดไปว่า  ถ้าเขามีศิลปะจริงๆ และมี ความเชื่อมั่นในตัวเองมากพอ  การแสดงย่อมมีส่วนช่วยในการขายของเขาได้อย่างแน่ นอน และที่จริงแล้ว  เราไม่ได้มุ่งหวังที่จะสร้างความบันเทิงให้กับลูกค้าเลยแม้แต่น้อย  แต่เรา กำลังเสนอขาย  กำลังเสนอคุณประโยชน์ของสินค้า  ให้ลูกค้าเห็นต่างหาก  และนั่นคือ หน้าที่ของเรา จากคุณ : ลุงแอ็ด เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 11:42:38

ความคิดเห็นที่ 3 . จากคุณ : ลุงแอ็ด เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 11:48:40

ความคิดเห็นที่ 4 ประสาทสัมผัสทั้งห้า จากการวิจัย ของมหาวิทาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ มีหลักฐานที่ พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนเลยว่า การสาธิตที่ดี จะช่วยเพิ่มยอดขายได้หลายเท่า เพราะมนุษย์ เรา มีประสาทสัมผัสถึงห้าแห่งด้วยกัน การรับฟังคำพูดเสนอขาย จึงเป็นการสัมผัส ประสาทเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง ถ้าลูกค้าได้มีโอกาสเห็นกับตา สัมผัสกับมือ สูดกับ จมูก หรือชิมด้วยปากแล้ว เขาก็จะเริ่มมีความเชื่อมั่นในสินค้ามากขึ้น เพราะฉะนั้น ในการขายทุกครั้ง เมื่อได้ใช้ปากสาธยายไปพอสมควรแล้ว พนักงานขายน่าจะสาธิตสินค้า ให้ลูกค้ามีโอกาสใช้ประสาททั้ง 5 แห่งของเขาให้เป็น ประโยชน์บ้าง จริงอยู่ การใช้น้ำเสียงที่เหมาะสม และการมีบุคลิกที่ดี ย่อมมีส่วนในการ เสนอขายอยู่ไม่น้อย แต่ทั้งหมดหาได้เป็นการเพียงพอไม่ “เพราะหลังหลังการฟัง พนักงานขายพูดมาแล้ว 20 นาที” ลูกค้าอาจจะเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ในความรู้สึกของเขา อย่างนี้ก็ได้ว่า “เอาล่ะ คุณได้บอกรายละเอียดผมหมดแล้ว มีอะไรอีกไหม” ซึ่งพนักงาน ขายทุกคนจะรู้ดีว่า ความในใจของลูกค้า กำลังลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ปฏิกิริยาเหล่านี้ เป็น พฤติกรรมธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ปุถุชนทั่วไป พนักงานขายเครื่องมือแพทย์คนหนึ่งชื่อ “ณรงค์” ได้รับบทเรียนเกี่ยวกับกฎ ธรรมชาตินี้ ด้วยราคาค่อนข้างแพง และเป็นประสบการณ์ที่สร้างความละอายใจให้กับ เขาเป็นอย่างยิ่ง คือ ลูกค้าของเขาถึงกับอ้าปากหาวใส่หน้าเขา ในระหว่างที่เขากำลัง จ้อ เสนอขายอย่าง มันส์ในอารมณ์อยู่ เขาบอกกับลุงในคืนต่อมา ระหว่างเล่นโบว์ลิ่งด้วยกันว่า “ขายหน้าจริงๆ ผมอยากจะเลิกขายเสียแล้วล่ะ แบบนี้เท่ากับตบหน้าผม ชัดๆ และผมไม่ขอเจอปัญหาอย่างนี้อีกแล้ว” ลุงจึงรีบบอกเขาว่า “เอาล่ะ ลุงเข้าใจความรู้สึกของคุณดี แต่ก่อนที่จะตัดสินใจลาออก ผมอยาก จะชวนคุณไปร่วมประชุมสมาคมเด็กพิการกับลุงในคืนพรุ่งนี้ก่อน” เขารู้สึกงงและถามว่า “สมาคมเด็กพิการอะไรหรือ ผมไม่ได้เป็นสมาชิกด้วยนะ” ลุงตอบเขาว่า “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเราไปด้วยกัน” ในที่สุด เขาก็ตกลง เราไปถึงที่นั่น ขณะที่สมาชิกคนหนึ่งจากมูลนิธิแห่งหนึ่ง กำลังยืนพูดขอการ บริจาคจากผู้ร่วมประชุม เพื่อหารายได้ไปช่วยเหลือเด็กๆ ที่พิการอยู่ การพูดของเขา ก็เหมือนอย่างคำเชิญชวนที่เคยได้ยินได้ฟังทั่วๆ ไป ซึ่งน่า เบื่อยิ่งนัก แต่ทันทีที่เขาพูดจบ ไฟในห้องประชุมก็ค่อยๆ หรี่ดับลงจนมืดมิด พร้อมกัน นั้นก็เริ่มฉายภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการดำรงชีวิตอันลำบากยากเข็ญของเด็กพิการตามสลัม ภาพของเด็กที่ผอมกะหร่อง บีบคั้นใจให้เรารู้สึกได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาเหล่านั้นต้อง การความช่วยเหลือมากเพียงไร เมื่อภาพยนตร์จบลง ผู้ร่วมประชุมทุกคน ต่างก็แย่งกันบริจาคเงินเป็นพัลวัน ระหว่างเดินทางกลับ ลุงได้ถาม “ณรงค์” ว่า “คุณคงได้รับคำตอบแล้วซินะ ลุงว่า “มีพนักงานขายไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์ ที่สามารถขายได้ด้วยปากเพียงอย่างเดียว” แต่ในหนังเมื่อกี้ เห็นไหม มันช่วยได้โดยไม่ ต้องพูดมากเลย เพราะทุกคนรู้ดีว่า เงินบริจาคทุกบาททุกสตางค์ จะถูกนำไปใช้อย่างมี ประโยชน์แท้จริง” “ณรงค์” รู้สึกงุนงงและถามว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการขายของผมด้วยเล่า” “เกี่ยวซิ” ลุงตอบ “คุณมีเครื่องมือ แต่คุณไม่ยอมใช้ หลังจากการเสนอขายแล้ว ทำไมคุณถึง ไม่นำเอาอุปกรณ์มาสาธิตด้วยเล่า มันจะเป็นการย้ำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นมากขึ้นไม่ใช้ หรือ อย่าลืมนะว่า ลูกค้าทุกคนต้องการหลักประกันจากผู้ขายทั้งนั้น” “ณรงค์” ฟังลุงด้วยดี และภายในปีนั้น ยอดขายของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นสาม เท่าตัว ปัจจุบันนี้ เขาเป็นผู้จัดการเขต ซึ่งควบคุมทีมงานายถึง 35 คน และเขาไม่ลืมที่จะ บังคับให้ทุกคน ใช้อุปกรณ์สาธิตแก่ลูกค้าเสมอ ถ้ามีพนักงานขายคนใดไม่เชื่อ เขาก็จะร่วมทางไปด้วย และแสดงให้ดูด้วย ตัวเอง จนเป็นที่ประจักษ์และยอมรับ ในที่สุด ทุกคนก็มีความเข้าใจและเกิดความเชื่อถือ อย่างจริงจัง จากคุณ : ลุงแอ็ด เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 11:58:21

ความคิดเห็นที่ 5 . จากคุณ : ลุงแอ็ด เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 11:58:47

ความคิดเห็นที่ 6 การตรวจสอบความเรียบร้อย ไม่จำเป็นที่เราจะต้องแสดงการสาธิต ตามหลักการขายเสมอไป บางครั้ง เราอาจจะเริ่ม ต้นด้วยการฉายสไลด์ หรือแสดงแผนภูมิก่อนก็ได้ เพื่อเป็นการกระตุ้นความสนใจของ ลูกค้า ต่อจากนั้น เมื่อได้พูดคุยไปสักพัก จึงเริ่มใช้อุปกรณ์สาธิตอย่างอื่นต่อ และปิดการ ขายในที่สุด อย่างไรก็ตาม ต่อให้เรามีอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก มันก็อาจไร้ความหมายโดย สิ้นเชิง ถ้าเราใช้ไม่เป็น หรือใช้ไม่ถูกวิธี เพราะฉะนั้น พนักงานขายจึงควรที่จะวางแผน และฝึกซ้อมให้ดีเสียก่อน จะได้ไม่ต้องเสียหน้าและเสียเวลาเปล่า การวางแผน จะช่วยให้เราสามารถลำดับขั้นตอนให้เหมาสม และระมัดระวังเรื่องเวลา ไม่ ให้ลูกค้าเปลืองเวลามากโดยใช่เหตุด้วย นอกจากนั้น การฝึกซ้อม ยังช่วยให้เรารู้ว่าทุกอย่างอยู่ในสภาพดี ไม่มีภาพสไลด์ที่กลับ หัวลง หลอดฉายขาด หรือจอภาพยนตร์ที่เปิดไม่ออก ฯลฯ พนักงานขายที่ฉลาด จะฝึกซ้อมทุกอย่างจนคล่อง และจำขั้นตอนทุกอย่างไว้จนขึ้นใจ จะขอให้สมาชิกในบ้านแสดงบทของผู้ซื้อ พร้อมกับขอให้เขาช่วยวิจารณ์ข้อบกพร่อง ของเราด้วยก็ได้ การสาธิต และเครื่องโสตทัศนูปกรณ์ ได้ผ่านการวิจัยมาเป็นเวลานานแล้วว่า มีประโยชน์ ต่อการส่งเสริมการขายเป็นอย่างยิ่งพนักงานขายที่บ่นว่า การสาธิตเป็นการทำให้เสีย เวลานั้น มักจะเป็นการแก้ตัวไปอย่างน้ำขุ่นๆ หรือมิฉะนั้นก็เป็นเพราะมีทัศนคติที่ไม่ถูก ต้อง เนื่องจากการสาธิตนั้นที่แท้ก็คือการขายอย่างหนึ่งนั่นเอง พนักงานขายบางคน ไม่กล้าสาธิตในห้องทำงานของลูกค้า ซึ่งเป็นความกลัวที่ปราศจาก เหตุผลยิ่ง เพราะจากการวิจัยพบว่า “ลูกค้าส่วนใหญ่ต่างสนใจการสาธิตทั้งสิ้นและมีแนว โน้มที่จะสั่งซื้อมากขึ้นอีกด้วย” เครื่องมือที่ดี จะช่วยให้สามารถเข้าใจได้เร็วขึ้น และดีขึ้น ข้อโต้แย้งของลูกค้าจะลด น้อยลง เพราะเขาสามารถเห็นหลักฐานด้วยตาของเขาเอง ในมหาวิทยาลัยทั่วไป เราจะพบเสมอว่า แผนภูมิบางอัน ช่วยอธิบายให้นักศึกษาเข้าใจ ได้ดีกว่าการพูดเป็นชั่วโมง นอกจากนั้น ถ้าลูกค้าเกิดข้องใจหรือสงสัยในภายหลัง เราก็ อาจจะอ้างแผนภูมิอันเก่าได้อีกด้วย จากคุณ : ลุงแอ็ด เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 12:02:30

ความคิดเห็นที่ 7 . จากคุณ : ลุงแอ็ด เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 12:02:46

ความคิดเห็นที่ 8 จงทำตัวเป็นนักแสดง แนวความคิดที่ดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ “การให้ลูกค้าเป็นผู้แสดงเสียเอง” ให้เขาลงมือด้วย ตัวเอง แล้วเขาจะรู้ว่า สินค้ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง “เพราะการสร้างความปรารถนา หรือ ความอยากได้ ที่เกิดขึ้นกับลูกค้านั้น เป็นสิ่งสำคัญสุดยอดของการขาย” แล้วจะมี วิธีใดที่ดีไปกว่าการสาธิตอีกหรือ ดังที่กล่าวมาแล้วว่า การไม่ใช้เครื่องมือให้เป็นประโยชน์ เป็นความผิดพลาดอย่างยิ่ง แต่ ถ้าพนักงานขาย ปล่อยให้เครื่องมือทำหน้าที่ขายแต่เพียงอย่างเดียวก็ไม่น่าให้อภัยเช่น กัน มีพนักงานขายบางคนที่รู้สึกประทับใจกับเครื่องมือของตนเองจนเกินไป จนปล่อยให้ เครื่องมือนั้น ทำหน้าที่ขายแต่เพียงฝ่ายเดียว ในขณะที่ตัวเองคอยรับผิดชอบแค่เปิดและ ปิดเท่านั้น ซึ่งย่อมไม่ผิดอะไรกับการทำงานของหุ่นยนต์ เขาลืมคิดไปว่า ที่ถูกแล้ว จะ ต้องใช้ปากเสนอขายไปด้วยเหมือนกัน ระหว่างการสาธิต ควรจะใช้คำพูดที่มีศิลปะประกอบไปให้น่าสนใจตลอดเวลา ส่วนจะพูด มากหรือน้อยนั้นย่อมขึ้นอยู่กับรายละเอียดของเครื่องมือด้วย บางครั้งย่อมไม่จำเป็นที่จะ อธิบายในสิ่งที่ลูกค้าเห็นด้วยตาอยู่แล้วเพราะจะเท่ากับเป็นการดูถูกลูกค้าไปโดยไม่รู้ตัว การใช้คำพูดที่เหมาะสม จะช่วยให้การสาธิตมีรสชาติ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างพัก หรือ ช่วงระหว่างหยุดฉายสไลด์ ยิ่งถ้าพนักงานขายมีโอกาสได้ศึกษาภูมิหลังของลูกค้ามา ก่อนด้วยแล้ว ก็อาจจะประยุกต์เรื่องราวต่างๆ ให้จูงใจลูกค้ามากขึ้นได้ เน้นจุดดี การสาธิตสินค้า เป็นอาวุธที่ร้ายกาจของการขายทีเดียว ถ้าพนักงานขายมีความจริงใจ และซื่อสัตย์ต่อตนเองและลูกค้าแล้ว ก็แทบจะไม่มีข้อเสียอะไรเลยแม้แต่น้อย ตัวอย่างเช่น การพิสูจน์ให้ลูกค้าเห็นว่า กล่องกระดาษของเรากันน้ำได้ ด้วยการทดสอบให้เห็นกับตา ย่อมดีกว่าคำพูดแน่นอน หรือถ้าต้องการให้ลูกค้าเห็นว่า สินค้าของเราประกอบง่าย ก็จงถอดสินค้าออกเป็นชิ้นๆ แล้วประกอบกลับคืนให้เขาเห็น ถ้าอยากให้เขาเห็นสินค้าทนทาน ก็ลองทุ่มหรือโยนให้ประจักษ์แก่ตาเขาเลย ฯลฯ การสาธิตสินค้า ไม่ใช่การแสดงวิทยากล จึงไม่จำเป็นที่จะต้องให้มันวิวิสมาหรา หรือมุ่ง เป้าหมายไปที่การสร้างความบันเทิง ให้กับลูกค้าแม้แต่น้อย เพราะถ้าลูกค้าต้องการ แสวงหาความบันเทิงเริงรมย์แล้ว เขาสามารถหาดูได้จากรายการโชว์ทางทีวี หรือตาม ไนต์คลับต่างๆ เอง “โดยสรุปก็คือ จงสาธิตสินค้า ไม่ใช่สาธิตตัวคุณเอง” “เสรีชัย” ไม่เคยหลงผิดเลยว่า วิธีเล่นกลสนุกกับเพื่อน จะสามารถนำมาประยุกต์กับการ ขายของตนได้ เพราะเขาไม่ได้แสดงกลให้ลูกค้าดู “แต่เขาสาธิตสินค้าของเขาด้วย เหตุผลและหลักการ เพื่อชี้แนะให้ลูกค้าเห็นถึงประโยชน์ของสินค้าได้กระจ่างชัดขึ้น” จะเห็นได้ว่า แม้แต่ “ทีวี” ซึ่งเป็นสื่อโฆษณาที่มีอิทธิพลมากอย่างหนึ่ง ก็ยังต้องอาศัย เสียงที่เร้าใจเป็นเครื่องประกอบ ถ้าไม่เชื่อ ก็ขอให้ลองเปิดดูโฆษณาโดยปิดปุ่มเสียง เสีย เราจะรู้สึกทันทีเลยว่า ภาพบนจอขาดวิญญาณไปอย่างคาดไม่ถึง “นอกจากนั้น การสาธิตแต่เพียงอย่างเดียว จะไม่ช่วยพนักงานขายได้เลย ถ้าเขาไม่มี ความรู้ในเรื่องสินค้าดีพอ หรือขาดความจริงใจในการเสนอขาย” แต่ในทางตรงกันข้าม “ถ้าเขามีคุณสมบัติในการขายอย่าง พร้อมมูล เครื่องมือเหล่านั้น จะช่วยให้เขาขายได้มากขึ้น และเป็นนักขายมืออาชีพอย่างแท้จริง” ____________________________________________________________ ตอนต่อไป  :  - ข้อผิดพลาดประการที่ 5  :  ชอบแข่งเรื่องราคา ----------------------------------------------------------------------------------- จาก  The 36 Biggest Mistakes Salesmen make and how to correct them.  ของ  George N. Kahn วุฒิวัฒน์  อรรถจริยา  แปลและเรียบเรียง อมร  ถาวรมาศ.....เรียบเรียงใหม่ amorntvm@hotmail.com ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ตอนที่แล้ว..................................................................... ข้อผิดพลาดที่ควรปรับปรุงของพนักงานขาย ตอนที่ 3 - จ้องแต่คว้าปลาใหญ่... http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B10941780/B10941780.html +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ จากคุณ : ลุงแอ็ด เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 12:12:37

ความคิดเห็นที่ 9 ตะแหล๋น ๆ ๆ ตัวป่วนมาแล้วจ้า  ^ 0 ^  ลุงแอ็ดขยันพิมพ์จัง โพสไว้ก่อน ขอไปดูตูนก่อนกำลังติดงอมแงม แล้วจะมาตามอ่านทีหลังนะเจ้า จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 13:11:41

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณครับลุงแอ็ด พรุ่งนี้ผมจะเริ่มงาน(แรกของชีวิต) เป็น Sales ครับ ตอนนี้ก็ตามอ่านกระทู้เก่าๆของลุงอยู่ จากคุณ : N!-MO-N!C-z เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 18:50:50

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณลุงมากครับ จากคุณ : FreeWing เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 23:16:40

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณครับลุง จากคุณ : RAORUE เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 54 10:24:57

ความคิดเห็นที่ 13 มาอ่านแล้วค่ะ ข้าเจ้าว่าปัญหามันคือ จะทำยังไงให้การขายด้วยปากกับสาธิตอุปกรณ์มันสมดุลกันมากกว่า -*-  ไปด้านใดด้านหนึ่งมากหรือน้อยไปก็ไม่ดี แล้วสินค้าแต่ละชนิดก็สมดุลไม่เหมือนกันด้วย ยากจังน้าเจ้า  -3- จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 09:10:08

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าสินค้าบางอย่างที่ไม่สามารถสาธิตได้ เช่น บัตรเครดิต มีวิธีการขายยังไงค่ะ ^^ จากคุณ : พลอยใส (P'Ploysai) เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 16:46:43