ความคิดเห็นที่ 57
คห. 47 คุณผึ้งน้อยพเนจร ผมสนใจ ลิขสิทธิ์ (royalty fee) มันคือ อะไรครับ ขอความรู้ ไว้เป็นวิทยาทานหน่อยครับ หมายถึงว่า คุณผึ้งน้อย ได้รายได้จากลิขสิทธิ์ได้ยังไง(คุณผึ้งน้อยเป็นเจ้าของลขสิทธ์อะไรบางอย่างใช่เปล่า เอาเท่าที่บอกได้ก็พอครับ ขอบคุณคร้าบ
จากคุณ : นะ จัง งัง
^^
ยินดีตอบเลยครับ แต่..ที่ผมพิมพ์มายาวมาก หายหมด!
ตั้งสติ พิมพ์ใหม่ก็ได้ เฮ้อ...
ผมไม่ใช่แฟน Rich Dad, Poor Dad นะครับ แต่บทหนึ่งที่คุณโรเบิร์ต ที.โคโยซากิแกสอน ผมจำได้แม่น เขาบอกว่า "ความร่ำรวยในยุคต่อไป(คือหลังจากพ่อรวยฯออกวางจำหน่าย) จะมาจากค่าลิขสิทธิ์" ผมก็เลยเกิดความกล้าขึ้นมา
Royalty Fee ได้แก่
1. ค่าลิขสิทธิ์จากผลงาน/ไอเดียของเราเอง
ได้แก่ การออกแบบชิ้นงาน งานสร้างสรรค์ เช่น งานประพันธ์/งานคิดโปรเจคท์เลอค่าอมตะล้ำสมัยไม่มีใครคิดได้(อิอิ) งานสร้างตัวสินค้า(เช่น เจ้ากระต่ายจีน Tsu Ki/เจ้าหัวหอมเกาหลีน่ะครับ) งานคิดหนทางแก้ไขปัญหาแบบแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน(เช่น วินโดวส์ ที่มาแก้ DOS)
- ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสายงานโฆษณา ศิลปะ การแพทย์ คอมพิวเตอร์ กราฟฟิคดีไซน์ คุณได้ประโยชน์จากลิขสิทธิ์ได้หมดครับ เช่น คุณหมอที่คิดค้นเครื่องมือผ่าตัด Cesarean Section น่ะครับ เครื่องมือนั้นเป็นลิขสิทธิ์ของคุณหมอคนคิดออกแบบนะครับ
ตัวอย่างจริง : เมื่อก่อนนี้ผมมันโง่ และไม่ค่อยเชื่อมั่นในผลงานตัวเองเลย จึงขายขาดหมด ได้เงินมา 6 หลักก็จริง แต่เงินมันจะไม่ได้มาอีกแล้วนะครับ ดังนั้นเราต้องสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆออกมาเรื่อยๆ ถ้าหยุดทำงานก็ไม่มีเงินครับ แต่เพราะพ่อรวยฯ ทำให้ผมกล้าเลิกขายขาด แล้วให้ผู้ซื้อจ่ายค่าลิขสิทธิ์ผมตามจำนวนครั้งที่ผลิตครับ วิธีนี้-ผมทำงานชิ้นเดียวครั้งเดียว สามารถนำไปผลิตซ้ำเรื่อยๆ ตราบใดที่ของยังขายได้ ตลาดยังต้องการ โดยที่ผมไม่ต้องทำงานเพิ่มอีกเลย ปีที่แล้วผมออกแบบงาน 1 ชิ้น ผมได้ค่า Royalty Fee 200000 บาท ต่อการผลิต 1 ครั้ง เมื่อผลิตซ้ำ 5 ครั้ง ผมจึงมีเงินออม 1 ล้าน โดยไม่ต้องทำงานซ้ำอีกเพื่อแลกเงิน มันคือ passive income จริงๆครับ
edit เพิ่มตัวอย่างครับ : Keanu Reeves เรียกค่าตัวแสดงแบบขายขาดจาก Matrix 2 ภาคหลัง(โง่เหมือนผมเลย อิอิ) ได้มา 30 ล้าน ดูเยอะโคดใช่มั้ยครับ แต่ Tom Cruise ฉลาดกว่าครับ เขาขอค่าตัวไม่กี่แสนเหรียญ(กระจอกมาก) แต่ในสัญญาที่เขาทำกับค่ายหนัง เขาขอเปอร์เซ็นต์จากรายได้ครับ 10% ทุกอย่าง ถ้าหนังฉายโรงได้เงินเท่าไหร่ เขาได้ 10% ไปฉายเคเบิ้ล ฉายกลางแปลง ทำเป็นดีวีดี เขาได้อีก 10% ของยอดขาย ดังนั้นถ้าหนังที่เขาแสดงนำได้รายได้รวมทั้งหมดทั่วโลก รวมทุกผลิตภัณฑ์ 1000 ล้านเหรียญ เขาได้ 100 ล้านแหล่ว! และจะได้แบบนี้ไปอีกตลอดชีวิต ตราบที่ mission impossible หรือ Jerry Mcguire ยังฉายอยู่ (คิดแบบทอมคือคิดแบบมหาเศรษฐี คิดแบบคีอานูคือคิดแบบศิลปินไม่สนใจใคร...เจงๆ)
2. ค่าลิขสิทธิ์ผลงานคนอื่นที่เราซื้อหรือประมูลมา
ถ้าเพื่อนๆผลิตงานเองไม่ได้ ไม่ใช่จุดจบครับ จงเล็งผลงานที่คิดว่าขายได้ชั่วนิรันดร์ แล้วซื้อมันซะมาเป็นของตน
ตัวอย่างจริง : ไมเคิล แจ๊คสัน แย่งประมูลงานเพลงเดอะบีเทิ่ลส์กับเซอร์พอล จนหักเพื่อนไปเลย แต่บั้นปลายชีวิตที่เขางานน้อยลงมาก เขาได้เงินจากการที่มีใครเอาเพลงบีเทิ่ลส์ไปทำอะไร เขาได้ตังค์หมดครับ
edit เพิ่มตัวอย่างครับ : มีฝรั่งออสเตรเลียคนหนึ่งแต่งงานกับสาวไทย เขาไม่ต้องทำงานเลยก็รวยเป็นบ้า เพราะเขาประมูลลิขสิทธิ์ "พ่อมดแห่งออซ" สำหรับละแวกเอเชียทั้งหมดครับ ดังนั้นใครจะแปลเป้นภาษาอะไร ต้องมาจ่ายตังค์ที่เขาครับ
3. ค่าลิขสิทธิ์จากตัวตนเรา(เช่น ชื่อเรา แบรนด์ที่เราสร้างมา)
เช่น นักกีฬา หรือ นักดนตรีระดับโลก มีชื่อไปอยู่ในรุ่นสินค้า หรือกระทั่งเป็นสินค้าเลย แต่ผมอยากยกตัวอย่างทันสมัยหน่อยเพราะผมชอบทำอาหาร เชฟนี่แหละครับ เดี๋ยวนี้ถ้าคุณเป็นเชฟระดับเซเล็บที่มีรายการทีวีของตัวเอง บริษัทเครื่องครัวจะรุมกันแย่งขอชื่อคุณไปปะยี่ห้อเครื่องครัวระดับ 5 ดาว ทุกๆไลน์สินค้าคุณจะได้รับเงินค่าลิขสิทธิ์ชื่อคุณ เช่น เซ็ตนี้เป็นมีดแล่เนื้อรุ่น Jamie Oliver อีกเซ็ตเป็นชุดหม้อความดันรุ่น Gordon Ramsey ฯลฯ บ้านเราสมัยแม่ช้อยนางรำ ร้ายอาหารไหนจะแปะชื่อแม่ช้อยเพื่อเรียกแขก ต้องจ่ายตังค์นะครับ!
ผมถึงเชื่อมั่นว่าการมุ่งมั่นทำงานหนักอย่างเดียวเพื่อแลกเงิน ไม่ใช่หนทางของคนยุคนี้จริงๆครับ ค่าลิขสิทธิ์คือหนึ่งใน passive income ที่สร้างรายได้ให้เรายันแก่เฒ่าไปถึงลูกหลานเลยละ
*แก้ไขเพิ่มสีฟอนท์
แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 54 15:48:02
แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 54 15:34:38