ความคิดเห็นที่ 1 ของเราเสื้อผ้า(เด็ก)นะคะ มีคู่แข่งเยอะ ดังนั้นจึงต้องดูราคาคู่แข่งด้วยค่ะ เอาขายไม่ถูกไม่แพงกว่าคู่แข่งมาก แต่ถ้าสินค้าบางอย่างคู่แข่งไม่เอาเข้ามาหรือหมดจากสต๊อกเมืองนอกไปแล้ว mark up ไปเลยค่ะ สินค้าหน้าร้านจะแพงกว่าพรีออร์เดอร์นิดหน่อยค่ะ   ถ้าสินค้าค้างสต๊อกนานหรือ out แล้วก็เซลราคาเท่าทุนหรือขาดทุนค่ะ (เอาเงินหมุนดีกว่า) จากคุณ : อิ อิ อิ เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 54 15:24:45

ความคิดเห็นที่ 2 ของผมไม่มีกฏเกณฑ์เท่าไหร่ แต่ไม่ให้ขาดทุนเป็นพอ บางชิ้นกำไรนิดเดียวแต่ขายได้หายชิ้นก็ยังพอไหว บางชิ้นขายได้กำไรหลายเท่าตัวก็ถือว่าโชคดีไปครับ จากคุณ : KikuAnonae เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 54 16:17:48

ความคิดเห็นที่ 3 การตั้งราคาขายของเราหลักๆเหมือน จขกท.ค่ะ คือไม่น้อยกว่า 30% แต่ตอนตั้งราคานั้นคำนวนคร่าวๆได้เท่านี้ เสร็จแล้วก้อเสริชดูราคาตลาดค่ะว่าร้านอื่นเขาขายเจ้าสิ่งนี้ราคาเท่าไหร่ ก้อจะตั้งราคาให้เท่าเขา แต่จะไม่น้อยกว่าเขา อันนี้ท่องและเป็นคติประจำใจว่าจะไม่ตัดราคาร้านอื่น ถ้าตั้งราคาเท่าเขาไม่ได้เราก้อตั้งราคาอย่างใจเราค่ะ แพงกว่าหน่อยแต่ดึงดูดด้วยกลยุทธิ์อื่น ถ้าไม่อยากขายสินค้าที่มีการแข่งขันสูง เราก้อจะหาสินค้าใหม่ๆเข้าร้านค่ะ แน่นอนเราตั้งราคาเริ่มแรกได้สูง พอซักพักร้านอื่นจะขายตามเรา แน่นอนเขาตั้งราคาถูกกว่าเราทีนี้เราจะลดราคาตามเขา หรือยังขายเท่าเดิมก้อได้เพราะเราเป็นเจ้าตลาด เราขายก่อนกำไรก่อนไปแล้ว แล้วก้อหันไปหาสินค้าใหม่ สินค้าบางอย่างเราจ้างผลิตเอง กำไร 500% ก้อมีค่ะ จากคุณ : Thundergirl เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 54 17:02:31

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่ได้ตั้งเป็นเปอร์เซ็นต์ค่ะ ดูแยกเป็นอย่างๆ ไป เช่น สินค้า A ต้องสั่งครั้งละมากน้อยเท่าไหร่ เสียค่าจัดส่ง ค่าเดินทางเท่าไหร่ ค่าแพ็คกิ้งของตอนส่ง (ของบางอย่างต้องใช้กล่องแบบดี ราคาแพง หรือใช้บับเบิ้ลเปลือง หรือต้องเก็บสีเพิ่มมีค่าสีอีก) ค่ารถไปไปรษณีย์ ค่ากระจุก กระจิก เฉลี่ยชิ้นละเท่าไหร่ ค่าเหนื่อย อันไหนห่อลำบาก สร้างความเหน็ดเหนื่อยในการขาย ก็ขอบวกหน่อย เพราะสินค้าบางตัว มาถึงหยิบส่งหยิบส่ง บางตัวต้องเอามาโมดิฟายด์ ปรับแต่งให้สวยงามก่อน ต่างๆ ด้านบนนั้น ก็ตั้งเป็นต้นทุน แล้วก็ดูว่าจะบวกกำไรกี่บาท ถึงจะคุ้มทุน คุ้มเหนื่อย จากคุณ : JiGGO InLove เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 54 17:11:40

ความคิดเห็นที่ 5 ต้นทุน + ค่าใช้จ่าย + กำไรขั้นต้น 10-20% กำไรขั้นต้นขึ้นอยู่กับ คู่แข่ง ความยากง่ายในการขาย ฯลฯ ประมาณนี้ค่ะ แต่ถ้าสินค้าตกรุ่น เท่าทุนก็ต้องให้ออกแล้วค่ะ ..... จากคุณ : กุ้งเคย เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 54 17:28:14

ความคิดเห็นที่ 6 ใช้หลาย ๆ แบบ ผสมกันครับ แต่โดยรวมแล้ว ผมตั้งราคาขายแพงกว่าคู่แข่ง เพราะ กำหนดตำแหน่งทางการตลาดเอาไว้ว่า เป็นสินค้าดี บริการดี มีรับประกันการคืนเงิน และการันตีคุณภาพสินค้า หรือโดยรวมแล้ว ผมมีตำแหน่งทางการตลาดสูงกว่า และจับกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงกว่า แบบคร่าว ๆ ประเมินจากคู่แข่งก่อน - สินค้าที่เรามีเหมือนกับคู่แข่ง หรือใช้ทดแทนกันได้ จะตั้งราคาไม่ห่างจากคู่แข่งมากนัก +จากต้นทุนสินค้าประมาณ 40% - แต่ถ้าสินค้าแตกต่าง หรือหาในตลาดยากกว่า จะแพงกว่าคู่แข่งค่อนข้างมาก + ประมาณ 80-100% - แต่ถ้าสินค้าที่เราเกือบ ๆ ผูกขาดหรือหรือมีขายไม่เกิน 2 ราย อันนี้ราคา 200% แต่ถ้าผมขายอยู่คนเดียว 300-500% (แต่มีสินค้าแบบนี้น้อยครับ) ต่อจากแบบคร่าว ๆ ก็มีการปรับสินค้าแต่ละรายการ - สินค้าบางรายการที่ เป็นที่นิยม ก็จะบวกเพิ่มจากด้านบน อีก 10-20% - สินค้าที่ต้องการให้เป็นที่ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาในร้าน หรือให้มาทดลองซื้อ (สินค้าผมเป็นแบบ มาซื้อได้เรื่อย ๆ ใช้แล้วหมดไปน่ะครับ จะมีการซื้อซ้ำบ่อย) ก็จะลดกำไรมาให้เหลือน้อย ๆ หน่อย ไม่เอากำไรมาก - ดูจากความจำเป็น หากสินค้ารายการไหน เป็นสินค้าที่จำเป็นต้องใช้กับสินค้าอื่นในร้าน แต่ใช้น้อยหน่อย ก็จะบวกราคาเพิ่มเข้าไปอีก 10-20% ผมขายใน eBay และมีสินค้าอยู่ 1600 รายการ ก็เลยมีข้อมูลลูกค้า ค่อนข้างเยอะ เลยใช้การตั้งราคาแบบผสมปนเปอย่างนี้ได้ จากคุณ : ชาวบ้าน 100% เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 54 17:29:20

ความคิดเห็นที่ 7 ของผมกำไรเฉลี่ย 30% จากราคาขายครับ จากคุณ : ดอกไม้ทะเล เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 54 20:02:14

ความคิดเห็นที่ 8 ของผมแตกต่างจากหลายๆ ท่านแฮะ ผมขาย + 200% ขึ้น ทุกรายการครับ ถ้าอันไหนขายไม่ได้เก็บไว้นานแล้วก็ค่อยเอามาเซล แต่อันไหนที่เอาไปฝากร้านขายก็ + 300% 400% จากคุณ : รอยหยัก เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 54 20:23:56

ความคิดเห็นที่ 9 ตอนหัดขายของใหม่ๆ สิ่งที่อยากได้เลย คือ วิชา ตั้งราคาสินค้าเนี่ยแหละ ตอนไปเรียนเขาก็สอนแต่คิดราคาสินค้าโรงงาน แต่ไม่ได้สอนการคิดราคาร้านค้า ต้องมาเรียนรู้เอง 1. ถ้าสินค้านั้นมีป้ายราคาชัดเจน ขายตามราคาป้าย แต่ถ้าคู่แข่งมาก ต่ำกว่าราคาป้าย 2. ในร้านต้องมีสินค้าที่ขายดี ตัวเด่น ขายถูกกว่าคนอื่น กำไรอาจจะไม่ถึง 5 % แต่เรามียอดเยอะ 3. เมื่อมีตัวถูก ก็ต้องมีตัวฟันราคา ซึ่งต้องเป็นสินค้าที่ไม่ใช่แบรนดัง เป็นสินค้าหายาก รอบข้างไม่ค่อยมีคนขาย ฟันได้เลย 4. สินค้าราคาต่ำ บวกกำไรสูง สินค้าราคาสูงบวกกำไรต่ำ เทียบออกมาแล้วบางครั้งก็ได้กำไรเท่ากัน เช่น ทุนมา 15 บาท ขาย 30  กำไร 100% กับ ทุนมา 100 ขาย 115 กำไร 15% แต่ได้เงินเท่ากัน คือ 15 บาท 5. สินค้าที่ไร้ต้นทุน ก็คือ งานบริการ พวกนี้กำไรล้วนๆ แต่ต้องออกแรง ในหนึ่งร้านค้า คุณไม่สามารถกำหนดกำไรสินค้าทุกตัวเท่ากันได้ ค่าขนส่ง คู่แข่ง ค่าสถานที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ก็มีผลให้แต่สินค้าแต่ละตัวคิดกำไรไม่เท่ากัน จากคุณ : ..ฟ้าใส.. เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 54 20:57:22

ความคิดเห็นที่ 10 . แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 54 10:12:38 จากคุณ : รินบุญญา เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 00:15:37

ความคิดเห็นที่ 11 ใช้คอมมอนเซนส์ครับ ไม่เคยผิดหวัง ^^ จากคุณ : เชิ้ตดำ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 01:50:12

ความคิดเห็นที่ 12 ของผมเน้น niche market ไม่มีคู่แข่ง + สร้างจุดขาย ในตัวสินค้า + ทำตลาดเยอะๆ กำไร 500 - 1000% ครับ จากคุณ : DJT เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 02:06:52

ความคิดเห็นที่ 13 กำไร 60% จากคุณ : rabellu เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 02:21:37

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าคู่แข่งไม่เยอะ + กำไร 100 % ถ้าคู่แข่งเยอะ + กำไร 50 % จากคุณ : คนมีตังค์ (คนมีตังค์) เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 12:13:08

ความคิดเห็นที่ 15 ของผมเป็นสินค้า (ไอที) ใช้กำลังการผลิต ใช้สูตร ต้นทุน+(30%ต้นทุน)+ค่าแรง (วัน*3500) จากคุณ : ม้าดีกำลังเยี่ยม เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 54 14:20:53