|
สงสัยหนูคงเป็นบ้านนอก Gen-Y แน่นอนเลย แต่ได้เงินไปวันละสองบาท เหรียญใหญ่ยังเกิดทันเลย ชอบกินขนมหูช้าง ตอนเด็กมัวแต่ดีใจ วิ่งซะเร็ว ขนมโดนลมปะทะ ก็แตกและร่วงกราวเลย T^T
โตมาก็เลยไม่เคยดูถูกเงินเศษ เงินน้อย เพราะเคยทำงานหาเงินมาเอง รู้เลยว่าลำบากแค่ไหน ยิ่งมาต่างบ้านต่างเมือง เห็นประเทศเขาใช้เงินสลึงค์กันเกลื่อน ก็อดคิดถึงบ้านเราไม่ได้ว่าเหรียญ 25,50 สตางค์ ทำไมไม่นิยมใช้ก็ไม่รู้
ทุกวันนี้แรงผลักดันอย่างหนึ่งที่ทำให้สู้ จากดินสู่ดาว (ว่าไปนั่น) ก็เห็นจะเป็นรูปถ่ายเก่าๆ แบบ พาโนรามา (พูดให้เว่อร์) มีพื้นหลังเป็นต้นมะพร้าวเอียงๆ สูงเสียดฟ้า กับเล้าไก่ หา....สภาพบ้านเราเหมือนเล้าไก่เลย เป็นไม้ไผ่ฝานเป็นซี่ๆๆ เสียบกับพื้น
พูดถึงพื้นบ้านของหนูตอนเด็กๆ แกรนิโต้ถอยไป ปาเก้ถอยไป ลามิเนตกระจอก ปูกระเบื้องก็ภูธรมาก ฮ่าๆๆ เพราะว่าบ้านหนูพื้นบ้านก็คือพื้นดิน ต้องใส่รองเท้า (ดาวเทียม) ตอนอยู่ในบ้านเหมือนฝรั่งเลย ติดตรงที่เราไม่มีฮีตเตอร์ แต่ก็ได้ใช้ Accord ตั้งแต่เล็กๆ (พัดลม)
วันดีคืนดีก็มีกองจิ้งหรีดผุดมาในบ้าน ก็ขุดกันไป แต่ก็ต้องถมดินให้กลับสู่สภาพปกติมากที่สุด กระทืบๆๆๆ อัดหน้าดินให้เรียบ เดี๋ยวที่บ้านสวดยาวโทษฐานทำให้ทัศนียภาพบ้านเสีย
ร่ำรวย ล่ำซำขึ้นมาหน่อย เราก็ไปเชื่อเสื่อน้ำมันจากพี่แขกแมงกะไซต์มา ไปเชื่อมุ้งมา สมัยนั้นมุ้งใหญ่ๆ หลังละ 200 เอง นอนได้รวมกัน ได้อารมณ์ทหารเกณฑ์ตั้งแต่เด็กๆ ได้เสื้อน้ำมันมา ดีใจปานว่าได้พรมจากเปอเซียร์ กินข้าวไม่ให้หกเลอะเลย ถ้าหกก็รีบล้าง รีบเช็ด อารมณ์เห่อของใหม่
ตะเกียงก๊าดก็หอมมาก ชอบดมกลิ่นน้ำมันก๊าด ในใจคิดว่าถ้ากินได้ ก็คงจะกินไปแล้วล่ะ ก็แหม..สีมันเย้ายวนใจขนาดนั้น...นอนดมบ่อยๆ จนยายที่บ้านกลัวว่าหลานจะเอ๋อ เลยห้ามเด็ดขาด เลยไม่ดมก็ไม่ดม ..ตะเกียงก๊าดปลุกอารมณ์การอ่านหนังสือที่ดีมาก อ่านไปลุ้นไปว่าตะเกียงจะดับตอนไหน ดับตอนไหนก็นอนตอนนั้นดีกว่า อิอิ ดีกว่าโคมไฟราคาแพงเสียอีก ตอนไหนวอลเปเปอร์ไม้ไผ่บ้านเรามันต้านทานแรงลมไม่ได้ ตะเกียงก็พริ้วไหว สวยงาม ดูเป็น ART อีกอย่างนึงทีเดียว
ความจริงที่เป็นอยู่ตอนนั้นก็ไม่ได้ถือว่าลำบากอะไรเลยนะ แต่ก็อดน้อยใจตามประสาเด็กไม่ได้เพราะว่าเรามีไม่เท่าชาวบ้านคนอื่นเขา แต่ทุกอย่างมันก็อยู่ที่ใจ ไม่ตายจะต้องอัพเลเวลตัวเองให้ได้ อัพเลเวลในที่นี่คือไม่ได้เลื่อนขั้นไปเป็นคุณหนูไฮโซแต่อย่างใด แต่คือทำให้ที่บ้านไม่ลำบากเหมือนเมื่อก่อนก็เท่านั้นเอง ส่วนวิถีชีวิตแบบนั้น ถ้ายังรัก ยังชอบอยู่ ก็ให้คงเดิม
มันคงจะไม่ถนัดและไม่ถูกจริต ถ้าต้องมานั่งกินข้าวจับมีด จับส้อม เพราะมันไม่ใช่วิถีชีวิตที่คุ้นเคยและเคยชิน เลยอยู่แบบเดิมไป เพราะแบบนั้นมันสไตล์เรา ก็ดูมีความสุขดีมากแล้วล่ะค่ะ
คิดถึงบ้านนอกเน๊าะ หนูเกิดทันยุคที่ส้วมและสุขาภิบาลยังเข้าไม่ถึง แอบเข้าดงกล้วยบ่อยๆ เจอระเบิดขนาดย่อมๆ อยู่บ่อยๆ ในดงกล้วย ทีนี้โตมาไปเมืองจีนก็ไม่หวั่นแม้วันมามากแล้วล่ะค่ะ ชิวๆ มากเลย เสร็จกิจก็หักก้านกล้วย ใบกล้วย กิ่งไม้เล็ก ขนาดเหมาะมือ เอามาขัดก้นไป
ชีวิตที่อิงกับธรรมชาติแบบนี้ เกิดมาต้องหาทางประสบพบเจอให้ได้นะเนี่ย คิดไปก็ชวนร้อง อี๋ๆๆๆ เนอะ เพราะว่าบางท่านที่ไม่มีประสบการณ์แบบนี้คงจะช็อคนิดหน่อย ก็ไม่ว่ากัน บางทีตอนเรานั่งอ่านของแบรนด์เนมแต่ละชื่อในบางกระทู้ในพันติ้บ ก็แอบงงเหมือนกัน แต่ก็พยายามกอบโกยความรู้ใส่ตัวให้มากที่สุด เปิดโลกทัศน์ตัวเอง แล้วก็เรียนรู้ในโลกใบอื่น ของคนอื่นๆ ไปในตัวด้วย
แต่โลกของเราในวัยเด็ก ก็ยังมีให้เห็นเยอะในสังคมปัจจุบันนี้ หลายจังหวัดหลายพื้นที่ก็ยังมีครอบครัวที่มีสภาพความเป็นอยู่ไม่ต่างจากเราตอนเด็กๆ เลย
เพิ่มเติม...ประเด็นอมฟลูออไรต์ โอ๊ะ ตักน้ำมาคนละแก้ว ก๊อกน้ำเน่าๆ พังๆ (ซึ่งทุกวันนี้โรงเรียนนั้นก็ยังเป็นแบบนี้อยู่) เปิดเพลงปลุกใจอะไรซักอย่าง แล้วก็ให้ตัวแทนนักเรียนพูดใส่ไมค์อยู่หน้าห้องครูใหญ่ การแปรงฟันคือ บลา บลา บลา แปรงฟันบนค่า แปรงฟันล่างค่า ปัดกระพุ้งแก้มค่า ..(ยุคของหนูตอนนั้นกระทรวงสาธารณสุขแต่เราไม่สุข เพิ่งเริ่มรณรงค์การแปรงพันแบบใหม่นะคะ)....น้ำแก้วเต็มบ้วนปากไปมันจะสะอาดได้ไง แต่ก็ไม่รู้จะทำไง แปรงเสร็จกลิ่นยาสีฟันยังไม่จางจากปาก ก็แจกฟลูออไรต์สีขาวใส ให้อมคนละจิ้กสองจิ้ก แอร๊ยยยยส์
อ้าวพล่ามมาเสียยืดยาว อาหารเช้ายังอยู่ตรงหน้าอยู่เลยค่ะ ชอบจริงๆ กระทู้บ้านนอกรำลึก Bannok Alumni แบบนี้
5555
แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 54 16:05:06
จากคุณ |
:
ณ บ้านนอก สู่เมืองนอก (cat_on_a_hot_tin_roof_)
|
เขียนเมื่อ |
:
29 ก.ย. 54 15:54:45
|
|
|
|
|