 |
ขอตามมาแจมด้วยนะครับ
ที่คุณ Fares ได้เสนอไปเป็นการตั้งราคาแบบดูจากต้นทุน ว่าตั้งราคา กับค่าส่งเท่าไหร่ แล้วจะไม่ขาดทุน แต่อย่าลืมเผื่อค่า eBay fee ในการประมูลเข้าไปด้วยนะครับ และไม่ใช่บวกแค่ชิ้นเดียว เพราะตามสถิติ ของ ebay แล้ว สินค้าที่ประมูลจบแล้วมีการขายเกิดขึ้น ประมาณ 30% เท่านั้นเอง แต่ถ้าจะให้ปลอดภัย ใช้ 20% ก็พอ
มีการตั้งราคาอีกแบบ ก็คือ การตั้งราคาตามจิตวิทยา จากตัวอย่างของคุณ Fares ที่ตั้งราคาที่ $19.99 ราคานี้ เป็นการส่งสัญญานบอกลูกค้าว่า ราคานี้ เป็นราคาที่ลดลงมาจากราคาเต็ม (ซึ่งเป็นเท่าไหร่ไม่รู้) แต่ถ้าเราอยากส่งสัญญาณว่า เป็นสินค้าที่ "ราคาถูก" จะต้องตั้งราคา $19.95
เคยมีการทดลองที่สหรัฐ (นำมาจากหนังสือ Maketing Management ของ Phillip Kotler ครับ) โดยห้างค้าปลีก นำเสื้อ ที่ราคาเต็ม $20 มาขายลดราคา โดยตั้งราคาในแต่ละสาขา ที่อยู่ ต่างรัฐกัน ไม่เท่ากัน โดยตั้งราคา $19.99, $19.95, $19.88 และ $19.50 ปรากฏว่า ราคา $19.99 กลับเป็นราคาที่ขายดีที่สุด รองลงมาคือ $19.95 ส่วน อีก 2 ราคาไม่ต่างกันมาก เขาอธิบายว่า คนซื้อ $19.99 มากเพราะ คิดว่า ราคามันคงลดลงมาจากราคาที่แพงกว่านี้ ส่วนราคา ที่ถูกกว่า $19.95 กลับขายไม่ดีเท่า เพราะคิดว่าเป็นสินค้าราคาถูกอยู่แล้ว คุณภาพคงไม่ดีเท่าไหร่ ส่วน $19.88 และ $19.50 ขายไม่ดี ถึงแม้จะเป็นสินค้าเดียวกัน แต่เพราะเป็นสินค้าราคาเต็ม จึงไม่จูงใจ
บางครั้ง การตั้งราคา ส่งสัญญาน มากกว่าที่เราคิดนะครับ แต่ก็ต้องรู้ด้วยว่า เราอยากให้ลูกค้ารู้สึกว่า กำลังจะซื้อ สินค้าลดราคา หรือว่า กำลังซิ้อของดี
สินค้าบางอย่าง การตั้งราคาถูก หรือการส่งสัญญาน ว่าราคาถูก กลับมีผลเสีย เช่น เพชร หรือพลอย หรือของที่มีการปลอมเยอะ ๆ การตั้งราคาที่ถูก "เกินจริง" ลูกค้าอาจจะมองว่า เป็นของปลอมก็ได้ ของคนไทย สินค้าส่วนใหญ่ จะเป็นสินค้า Handmade ซึ่งฝรั่งส่วนใหญ่แล้ว ให้คุณค่ากับสินค้าพวกนี้ มากกว่าคนไทย การตั้งราคาต่ำเกินไป เขาอาจจะมองว่าเป็นสินค้าจีน ที่ถูกกว่าก็ได้นะครับ
จากคุณ |
:
ชาวบ้าน 100%
|
เขียนเมื่อ |
:
4 ต.ค. 54 16:33:37
|
|
|
|
 |