ความคิดเห็นที่ 1 <วัยทำงาน> มาเริ่มทำงานที่ที่ 3 บริษัท จะส่งเมลล์ติดต่อหรือประกาศภายใน หรือติดต่อต่างชาติในเครื่อเป็นภาษาอังกฤษเกือบทั้งหมด เครียดดดมาก เนื่องจากจบมาแค่ท่องจำก่อนสอบแล้วก็ทิ้งเลย เชื่อไหม mail สั้นๆ แค่ 3 -5 บันทัด ใช้เวลาเขียนเป็นชั่วโมง 5 5+ แถม Mail ไปให้เพื่อนเก่งๆ ช่วยแต่งหรือตรวจสอบ ก่อนส่งอีกเพราะอายยยยยมาก แต่ก็นั่นแหล่ะแผนกผม แทบไม่ต้องใช้ ภาษาอังกฤษ เพื่อติดต่อสื่อสารเลย ยกเว้น mail บ้าง ทำให้ไม่ค่อยได้พัฒนาเท่าไหร่  แล้ววันนึงบริษัทก็ สนับสนุนการติดต่อสื่อสาร ภาษาอังกฤษโดยส่งเสริมให้สอบ Toeic ถ้าสอบได้ 600 ก็จะเพิ่มเงินให้.. ก็ไม่ได้คิดอะไร ลองไปสอบดู อ่านหนังสือไป 2 -3 วัน 5 5+ ผลสอบออกมา *** คะแนน - -' ห่างเกณฑ์ฟ้ากับเหว... ก็ไม่ได้คิดอะไร รู้อยู่แล้วยังไงก็คงไม่มีวันได้....  ก็มาถึงวันที่ต้องโตขึ้น เริ่มมาเป็นหัวหน้าคน ก็ต้องติดต่องานมากขึ้น  ก็มีวันนึงต้องติดต่อกับคนสิงคโปร์ ... กลัวสุดๆ ไม่กล้าพูดคุย ฟังไม่รู้เรื่อง ตอบมั่ว yes , no , ok คุยกันไม่รู้เรื่อง ต้องเรียกพี่ ที่พอได้มาช่วย จนทำให้เค้าแซว ว่าอย่างเราไม่กล้าคุยหรอก  ..... คำนี้แหละทำให้เราฮึด.... จากคุณ : sailompantip เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 22:48:58

ความคิดเห็นที่ 2 มาเริ่มเรื่องราวของการพัฒนาภาษากัน ออกตัวไว้ก่อนว่า จขกท เป็นคนไม่ชอบอ่านเอง ชอบให้คนอื่นมากระเตื้องให้ และไม่เดือดร้อนเรื่องเงินที่ลงเรียน เพราะสถาบันที่เลือกราคาไม่สูง และชอบไปติว เป็นแบบอย่างไม่ค่อยดีนะ แนะนำว่าอ่านเองฝึกเองก็ได้เหมือนกัน < AUA >  มันรู้สึกโดนเหยียดหยาม จึงคิดได้ว่าเราต้องเริ่มทำอะไรแล้ว.... จึงตัดสินใจไปเรียน AUA ไปสมัคร เค้าให้มาสอบวัดระดับ เราจึงอ่านหนังสือสรุปเตรียมสอบ ม.4 เล่มเล็กๆ ไป 1 วันก่อนสอบ ผลออกมาได้ Level 10 แม่เจ้า คนที่ดูผลด้วยกันข้างๆ ชม เก่งโครต มารู้ทีหลังว่าเค้าไม่อ่านกัน มาสอบเลย จะได้รู้ level จริงๆ จึงตัดสินใจขอเรียน level 3 เพื่อเริ่มซึมซับทีละน้อย ครั้งแรกที่เข้าไปเรียน ....ฟังไม่รู้เรื่องเลย ตายแน่ๆ อาจารย์ ถามไรไม่รู้เรื่องเลย ต้องหันไปถามเด็กๆ ข้างๆ ว่า จารย์ถามไรเหรอลูก พี่ฟังไม่ออก 5 5+ น้องๆ พี่ๆ ในห้องสนิทกันหมดเพราะร่วมห้องกันมาตั้งแต่ Intro A หรือ level 1 จึงพอฟังออกกันว่าเค้าพูดอะไร รู้งี้ไปเริ่ม level 1 ซะดีกว่า มีเรามาใหม่คนเดียว ปล่าวเปรี่ยวใจ Level 5 ก็ยังฟังไม่ค่อยรู้ มาพอได้ตอน Level 6 ระหว่างนั้น มีแอบขโมย CD Listening จากวิทยุมา Copy ลง Notebook อิอิ ช่วงเบรก อาจารย์ไม่อยู่ โดยมีเด็กๆ ดูต้นทาง ผมทำไปมือสั่นไปแต่เพราะความอยากได้ แอบเอาไปฟังที่บ้าน ช่วงต้นๆ ที่เรียนรู้สึกเราอ่อนมาก ตามเพื่อน(น้องๆ) ไม่ค่อยทัน จึงมาก่อนเวลา 30 นาที เกือบทุกวันมานั่งอ่าน หนังสือ "english grammar in use" ที่หามาเอง เป็นเล่มที่ดีมาก ทำให้เราแยกความแตกต่างของ Grammar ได้นำไปใช้ถูกต้อง จึงเริ่มตามเพื่อนทัน และไม่อายที่จะออกไปพูดแล้ว ใช้เวลาเรียน อยู่เกือบ 2 ปี หลังเลิกงาน แต่ไม่ได้เรียนติดกันตลอดเนื่องจาก บาง Level คนไม่ พออาจารย์ไม่ว่าง ทำให้เว้นเป็นเดือนๆ ก็มี สิ่งที่ได้จาก AUA (ความคิดส่วนตัว) -  Connection จากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ (อาจได้แฟนด้วย) -  ***ทำให้กล้าพูดกับฝรั่ง ไม่อาย สามารถสื่อสารกับคนต่างชาติที่ทำงานได้แล้ว โดยไม่อาย 5 5 work work -  AUA สอน Eng, Grammar ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ซะส่วนใหญ่ -  ใช้เวลาว่างตอนเย็นเป็นประโยชน์ขึ้น จากการเที่ยวกินเหล้า เมายา -  ตอนนี้สามารถไป ประชุมที่ ตปท. ได้แล้ว เนื่องจากเริ่มหน้าด้านขึ้น หุหุ -  Grammar เค้าไม่ค่อยเน้นเท่าไรนะ -  ห้องผมคนเย่อะมาก จึงทำให้ไม่ค่อยทั่วถึง จากคุณ : sailompantip เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 22:49:22

ความคิดเห็นที่ 3 < สถาบันติว TOEIC (ตั้งแต่เป็น Toeic รุ่นเก่า) > ช่วงนี้ก็มีไปสอบ Toeic ทีนึง ได้คะแนน มา 4xx ช่วงรอเรียน AUA Level ใหม่ จึงตัดสินใจ ไปเรียน ติว TOEIC มาจากสถาบันนึง ซึ่งไม่แพงมาก เค้าจะเน้น Grammar และ Listening รองลงมา(พวกเทคนิคการฟัง, สอนว่าจะมีศัพท์เสียงเหมือน เช่น Duck , Dock, ให้ฟัง What, Ware , WH-Question หรือปล่าว) ก็ยังใช้นิสัยเหมือนเดิม คือไปเรียนแต่ก็ไม่เคยกลับมาทบทวน หรือทำการบ้านเลย แต่ก็ตั้งใจเรียนในห้องพอสมควร สิ่งที่ได้ - สอน Grammar ดีมากๆ โจทย์มายังงี้ เลือกยังไง ตัดช้อยยังไง - Listening ได้บ้าง (ได้เทคนิค แต่ยังฟังไม่ค่อยได้เหมือนเดิม) อ่านหนังสือ 3 - 4 วันไปสอบอีกที ได้ 555 คะแนน ยังไม่ถึงที่บริษัทต้องการ จากคุณ : sailompantip เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 22:49:51

ความคิดเห็นที่ 4 หลังจากได้ 555 คะแนน  แล้ว 1 เดือนก็ไปสอบอีก ยังคงใช้นิสัยเดิมคือ อ่านหนังสือ 2 -3 วันก่อนสอบ คืออ่านแบบอัดๆ ทั้งวัน ไม่ไปไหน โดยที่คิดว่ามันต้องได้มากกว่าเดิมบ้างล่ะ ผลสอบออกมา คะแนนลดลงมาเหลือ 545 ก๊ากกกกกกกกก พอแล้วไม่เอาแล้ว ขี้เกียจสอบแล้ว วันๆ ไม่ได้ใช้่ภาษาเลย สอบไปคงไม่ขึ้นมาก แล้วก็ไม่ได้สอบอีกเลย 3 ปี เนื่องจากติดเรียนโทอย่างหนัก ที่ ป.โท เค้าก็มีให้สอบวัดผลภาษาถ้าสอบได้ตามผลก็ไม่ต้องลงเรียนภาษาอังกฤษ 1 วิชา ผลสอบออกมา ก๊ากกก คะแนนขาดไปไม่เย่อะก็จะผ่านนนน สรุปต้องลงเสียเงินเรียน มีคนผ่าน 3 คนจาก 70 คน < Reading ป.โท > โชคดีเหมือนกันที่ลงเรียน อาจารย์น่ารักมากๆ สอนดีมากๆ ค่อยๆ ไปไม่ดุ ต่างจากอีกห้องนึง แบ่งเป็น 2 ห้องน่ะ อีกห้องนรก ให้ตกด้วย ห้องผมไม่มี วิชาที่สอนเป็น เทคนิคการอ่าน เป็นเรื่องที่อ่อนที่สุดพอดีเพราะอ่านช้า เค้าก็สอนการอ่านเร็วๆ การสแกนหาคำตอบ ประโยคสำคัญจะอยู่ ย่อหน้าแรก ไรประมาณนี้ ผมก็ตั้งใจเรียนนะ แต่ไม่เคยกลับไปทำการบ้านหรือฝึกหัดเพิ่มเติมเหมือนเดิมมมมม คือ เข้าใจแล้วสอบผ่านๆ ก็พอ ยังไงก็ผ่านเพราะตั้งใจเรียน -------------- สรุป จากการเรียน จขกท ค่อนข้างตั้งใจเรียน จดๆ จำๆ สามารถจำกฎต่างๆได้ แต่.... ไม่เคยกลับไป Practice หรือฝึกซ้อมนั่นเอง ทำให้ไม่สามารถพัฒนาไปได้มากมาย มันไม่เหมือนหนังจีนที่ตกหน้าผาไปเจอคัมภีร์เทพ ต่อมาก็ฝึกจนเทพสุด จากคุณ : sailompantip เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 22:50:34

ความคิดเห็นที่ 5 < จบโทแล้ว > จบโท มาทำงานตามปกติ วันนึงหัวหน้าเดินมาบอกว่า จะเลื่อนตำแหน่งให้ แต่ติดที่คะแนน Toeic ไม่มีมายื่นนะเรา "เอาเท่าไหร่อ่ะพี่" "เอา 500 คะแนน" "ก๊ากกกกกกก สบาย ผลเก่า 555 พี่" "เออดี เอามายื่น" HR ตีกลับบอกว่าผลสอบหมดอายุ ไปสอบใหม่มีเวลา(เกือบ) 3 อาทิตย์ ก่อนจะประกาศผลพร้อมเลื่อนตำแหน่งพร้อมคนอื่น ไม่งั้นจะดองไปก่อน ก๊ากกก ไม่ออกผ่านไป 3 ปีไม่ได้แตะเลย กลับมาเตรียมตัวอ่านใหม่ บุญเก่ายังมีบ้างจากหนังสือเก่าๆ อ้าว Re-Design แล้วนี่หว่า อ่านไปก่อนค่อยซื้อ คล้ายๆกัน ลืมบอกไปว่า ที่ผ่านมาก็เปิด CD Toeic ในรถฟังบ้าง เรื่อยๆ ระหว่างไป กลับ ที่ทำงาน ใช้เวลา 15 นาที (ที่พักใกล้ที่ทำงาน) ทำให้ซึมซับการฟังไปเรื่อยๆ จากฟังไม่ออก มันก็พอฟังออกไปเอง การอ่านหนังสือสอบ มารอบนี้จากเดิม ที่เน้นอ่าน Grammar เป็นหลัก ไม่ค่อยได้ทำแบบฝึกหัด เปลียนมาเป็นทำแบบฝึกหัดและ shot note ข้อสอบตัวที่สำคัญไว้ จากการจับเวลาซ้อมเอง ที่บ้านก็จะได้ 600 - 700 คะแนน ถึงวันสอบจริง ลนมาก ไม่ได้สอบนาน ฟังไม่ทัน ลนกับข้อก่อนหน้าบ้าง ไม่ยอมผ่าน จิปาถะ แต่เนื่องจากบุญเก่าที่สะสมมาจากการติวบ้าง อ่านบ้าง คะแนนออกมาได้ 595 กรี๊ดดดดด แต่วแตก ตอนซ้อมไม่ลนยังได้เกิน 600 ทุกคั้งเลย บริษัท จขกท จะเพิ่มเงินให้ถ้าได้เกิน 600 คะแนน ขาดอีก 5 คะแนน หรือ 1-2 ข้อเอง T T ก็ยังดีได้เลื่อนตำแหน่ง จากคุณ : sailompantip เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 22:51:08

ความคิดเห็นที่ 6 เดี่ยวมาเล่าต่อนะครับ ถึงการสอบครั้งสุดท้าย จากคะแนน 595 ใช้เวลา 3 อาทิตย์ เป็น 700 กว่านิดๆ ว่าทำยังไง มีเทคนิคยังไงครับ แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 23:55:41 จากคุณ : sailompantip เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 22:53:53

ความคิดเห็นที่ 7 ติดตามๆๆ ผมคนนึ่งละที่โง่อังกฤษ มาก ฮ่าๆๆๆ จากคุณ : ETaThai เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 23:48:34

ความคิดเห็นที่ 8 ขาดอีก 5 คะแนนจะได้เงินเพิ่ม.............. ถามตัวเองอยากได้ไหม.... แน่นอนอยากได้มันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก เป็นครั้งแรกที่จริงจังมาก เพราะใกล้เป็นจริงแล้ว > เทคนิคที่ 1 ... ลงวันสอบที่แน่นอน กำหนดเป้าหมาย จะเหลือเวลาเท่าไหร่ 3 อาทิตย์หลังจากรู้ผล จึงลงวันสอบไปเลย เพื่อบังคับตัวเอง ใช้เวลา กี่วันเตรียม เรื่อง Listening (สมมติ 7 วัน) ใช้เวลา กี่วันเตรียม เรื่อง Grammar (สมมติ 5 วัน) ใช้เวลา กี่วันเตรียม เรื่อง Reading (สมมติ 9 วัน) > เทคนิคที่ 2 วิเคราะห์ จุดด้อยของเรา - 2.1 ตัวผมเองอ่อนเรื่อง Reading ที่สุดอ่านรู้เรื่องแต่ช้ามาก บางทีต้องอ่านวนไปวนมา จับใจความไม่ได้ - 2.2 เป็นคนอ่านแบบอัดๆ 2-3 วันก่อนสอบ จนเช้า พอไปสอบจริงเบลอ - 2.3 ทำข้อสอบช้าไม่เคยทันเหลือประมาณ 20-30 ข้อทุกครั้ง - 2.4 ฟังพอได้ แต่พอฟังจบจำไม่ได้ว่าเทปพูดอะไรไปบ้าง - 2.5 ไม่เคยท่องศัพท์ บางทีคำนี้เจอบ่อยยังจำไม่ได้ > เทคนิคที่ 3 ลงมือทำ มีเวลา 3 อาทิตย์ จากคุณ : sailompantip เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 23:55:03

ความคิดเห็นที่ 9 - Reading ผมฝึกซ้อมด้วยการอ่านแหลก สังเกตุว่าบทความจาก Toeic จะมีหลากหลาย เช่น ประกาศ โฆษณา ประชาสัมพันธ์ จดหมาย สมัคงาน พยากรณ์อากาศ... หนีไม่พ้นพวกนี้ ถ้าเราหาอ่านพวกนี้ได้จนชินก็จะได้ศัพท์ของเรื่องนั้นไป ทำให้บทความหัวข้อเดิมๆ อ่านได้ไว เช่น พยากรณ์อากาศ ก็จะเจอศัพท์เดิม เราก็จดศัพท์ไว้เป็นหมวดหมู่ของพยากรณ์อากาศ *และอย่าลืมหาประโยคเพื่อช่วยจำครับ* มันช่วยทำให้จำศัพท์ง่ายขึ้น หาได้จาก Example ของ Dic แปลอังกฤษเป็นอังกฤษครับเช่น Oxford จดในคอมนะครับเพราะแก้ไขหมวดหมู่ง่าย ตัวอย่าง -------Weather------- scenery N ภาพภูมิประเทศ, ทิวทัศน์,ทัศนียภาพ : Most people have a love of natural scenery. ; The scenery in the country is very beautiful. tropics n เขตร้อน climatic  adj  สภาพอากาศ variation n. การเปลี่ยนแปลง,การผันแปร,การแปรปรวน : The reason for this variation of weather is the country humid adj ชื้น coast n ฝั่งทะเล :His house is on the coast. Gulf n อ่าว monsoon n ลมมรสุม,ลมฝน,ฤดูลมมรสุม, :Thailand is a tropical country with some rain and cloudy sky in the "monsoon" during Mid May to September breeze n ลมอ่อนๆ : There is a cool breeze in the evening. --------------------- ผมไปทำงานจะเบียดบังเวลางาน 1 ชม ตอนเช้า หรือเมื่อมีโอกาส ทุกวันเพื่ออ่านข่าวภาษาอังกฤษ จาก CNN,BBC,Bangkok post เราต้องเปลี่ยนไปเลือกอ่าน Topic ที่ไม่ถนัดเรื่อยๆ เช่น Business , Technology, ท่องเที่ยว.... ช่วงแรกของการอ่าน คือ อ่านหมดและจดศัพท์ที่เจอบ่อย เน้น "ศัพท์ที่เจอบ่อย" ไม่ใช่จดทุกคำ และทวนศัพท์เดิมทุกเช้าก่อนอ่านบทความใหม่ ตอนนี้อ่านหมด โฆษณา ก็ Link ไปอ่าน จองโรงแรม อัตราค่าเช่า อ่านหมด  หุ้นก็อ่าน Rebound แปลว่า หุ้นจะกลับมาขึ้นอีกครั้งหลังจากลง rebound v สะท้อนกลับ,ดีดกลับ: But we expect prices will rebound in the third quarters ได้ศัพท์ง่ายแต่ไม่รู้มาอีกตัว ก๊ากกกกก หมายความว่า 3 week ผมซ้อม Reading ที่อ่อนสุดได้ทุกวัน หลังจากอ่านมาพอควรก็จำศัพท์ได้เย่อะขึ้นมาก * ก็ฝึกอ่านแบบรวดเร็วแบบไม่จดศัพท์แล้ว แปลไม่ได้ก็ข้ามๆ * ผลปรากฏว่าดีขึ้นมาก อ่านได้เร็วและจับใจความได้ ไม่ต้องอ่านซ้ำ ศัพท์ก็แปลได้ กลับมาบ้านก็ซ้อมทำแต่ข้อสอบ Reading ทั้ง Week จนคล่องแล้วทำลายจุดอ่อน จากข้อสอบ Toeic ที่จับได้ก็คือ ไปอ่านโจทย์ก่อนอ่านเนื้อเรื่อง แล้วเอาโจทย์ไป Scan (Skim,Scan ทั้งหลายแหล่)หาในเนื้อเรื่อง รู้สึกว่า (ไม่รู้ว่า รู้สึกไปเองหรือไม่) คือ โจทย์มันจะไล่เนื้อหาไปเลย คือ สมมติโจทย์ข้อ 2 เราไปไล่อ่านจะเจอจากบันทัดแรกๆ พออ่านเสร็จก็ตัดบันทัดแรกๆ ได้เลย พอโจทย์ข้อที่ 3 คำตอบจะไล่ในบันทัดถัดมาเรื่อยๆ ทิ้งบันทัดที่อ่านผ่านมาได้เลย ทำให้เราพอเดาช่วงคำตอบในเนื้อหาที่ Scan หาได้ จากคุณ : sailompantip เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 23:56:08

ความคิดเห็นที่ 10 ลืมไป เวลาเราอ่านข่าวใน web พวก CNN พวกนี้ มันจะมี ฝรั่งมาเม้นโต้ตอบกันไปมาด้านล่างด้วย เราก็ไปอ่านที่เค้าเม้น เพื่อเชื่อมโยงเหตุการที่เค้ามาคุยกันได้ เพื่อเอาไปใช้ประโยชน์ ในตอน Reading ที่มันมีจดหมายโต้ตอบกันได้ครับ จะได้เชื่อมโยงได้ไวขึ้น ผมใช้วิธีนี้ เนื่องจากในเวลางานไม่สามารถ เอาโจทย์  Toeic online มานั่งอ่านนั่งทำได้ เพราะ มันน่าเกลียด เลยอ่านพวกนี้แทนมันไม่น่าเกลียดมาก ก๊ากกกกกกกก แล้วแต่นะครับ เทคนิคใครเทคนิคมัน จากคุณ : sailompantip เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 00:03:51

ความคิดเห็นที่ 11 เอ่อจริงๆ ผมว่าที่ได้เย่อะขึ้นเพราะ Toeic Re-Design มันง่ายกว่าแบบก่อนด้วยมั้ง เค้าก็ว่ากัน เดี่ยวมาต่อ listening ครับ จากคุณ : sailompantip เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 00:05:39

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณครับ จากคุณ : WangYu เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 00:37:53

ความคิดเห็นที่ 13 ผมแป็ก listening ตลอด ต้องลง codec หรือ earOS ใหม่ไหมเนี่ย อิอิ จากคุณ : OTL เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 00:43:37

ความคิดเห็นที่ 14 ^^ ถ้าไม่ค่อยได listenning แนะนำ ดูหนัง series เยอะๆ อย่าไปเน้นอ่าน sub  เด๊วมันจะฟังขึ้นมาได้เอง Toeic เป้นอะไรที่ใช้งานง่ายๆ ไม่ได้ยากเย้นมากนัก ใช้งานชีวิตประจำวันคล่องๆ 7-800 สบายๆครับ จากคุณ : รวยยิ่งรวย เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 08:08:17

ความคิดเห็นที่ 15 ของผมส่วนมากฝึก Listening จากดูหนังฝรั่งครับ ฝึกให้เราคุ้นกับสำเนียงฝรั่ง ทั้งอังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย ช่วยได้เยอะเลยครับ จขกท ถือว่ามีความพยายามมากเลยนะครับ ส่วนผมเองสิบครั้งแรกได้ 715 เลยครับแต่พื้นฐานก็สื่อสารกับฝรั่งได้ดีอยู่แล้ว จากคุณ : CKP_M (CKP_M) เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 09:29:19

ความคิดเห็นที่ 16 < Listening> Listening นี่ ต้องบอกว่าเราจะต้องเปิดเซนต์ในการฟังให้ได้ นั่นคือ ต้องหัดฟังบ่อยๆ เดี่ยวจะฟังออกเอง ปกติผมจะอ่านหนังสือก่อนสอบแค่ไม่นานยังที่บอก แล้วก็พบว่า มันไม่สามารถนำมาใช้ได้กับการสอบภาษาอังกฤษ อย่างที่เพื่อนๆ ว่าคือ ต้องดูหนัง ฟังเพลง ครับ วิธีของผมก็คือฟังแต่ CD Toeic ในรถไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อน ฟังไปเป็นปีๆ เปลี่ยนแผ่น เปลี่ยนสำเนียง ไปเรื่อยมันก็พอฟังออกไปเอง โดยธรรมชาติครับ คือผมไม่ได้ฟังอย่างอื่น ฟังแต่ CD Toeic ให้คุ้น อันนี้ไม่มีใครช่วยได้ ต้องฝึกเอง ฟังเอง อดทน............ เทคนิคการทำข้อสอบจริง * เทคนิคทั่วไปของ listening หาอ่านได้จากหนังสือเตรียมสอบนะครับ * อันนี้เป็นเทคนิคการทำที่ผมทำแล้ว OK พอเค้าเริ่มอ่านคำสั่ง ให้เราไปอ่านข้อ 1 โจทย์และคำตอบ รอไว้เลยครับ พอพูดมาถึงก็กาคำตอบลงในกระดาษโจทย์ไปเลย และรีบไปอ่านโจทย์และคำตอบของข้อถัดไปรอไว้เลยอย่างรวดเร็ว พอพูดมาถึง สายตาก็มองๆ คำตอบอยู่ หูฟังปุ๊บกาเลยจนครบ ไม่ต้องรอเทปอ่านจบค่อยมาทำ อย่าลืมฝึกที่บ้านด้วย พอกาเสร็จครบ 3 ข้อ เทปยังพูดไม่จบไม่ต้องสนแล้ว ให้เรากระโดดไปอ่านโจทย์ของชุดใหม่รอไว้อย่างรวดเร็ว แล้วก็ทำตามวิธีเดิม *อย่าลืมห้ามห่วงหน้าผวงหลัง ทำไม่ได้ทิ้งเลย ข้อต่อไปยังมี* พอกาครบ Listening หมดแล้วค่อยไปฝนกระดาษคำตอบทีหลัง อย่าลืมฝึกฝนเร็วด้วย อย่าให้เกิน 5 นาที วิธีนี้จะทำให้เรามีสมาธิ ข้ามไปอ่านข้อต่อไปได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องพวังไปฝน ผมได้ฟังมากกว่า Reading เย่อะครับใช้วิธีนี้ เพิ่มอีกนิด คือ ถ้ามีเวลาก็ขีดฆ่า คำที่มันเย่อะๆ ขยะๆ ออกไป จะได้อ่านน้อย จ้องน้อย พูดมาเตรียมกาได้เลย ยังอันนี้ ถ้ากด 9 คืออะไร หูรอฟัง "Press nine" เลย ตาจ้องคำตอบรอกาพอมันพูดมาถึง เสร็จแล้วข้ามไปอ่านโจทย์ต่อไปรอเลย แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 14:02:28 แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 14:01:39 แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 10:15:16 แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 10:13:33 จากคุณ : sailompantip เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 10:12:20

ความคิดเห็นที่ 17 <Grammar> Grammar นี่ก็คงต้องอ่านกันเอาเอง * เทคนิคทั่วไปของ Grammar หาอ่านได้จากหนังสือเตรียมสอบเหมือนเดิมนะครับ * ฝึกตัดช้อยข้อที่ ไม่ใช่ออกให้เหลือน้อยสุด วิธีดีสุดคงต้องขยันหาแบบฝึกหัดมา ทำบ่อยๆ สิ่งที่ต้องท่อง คือ คำใดลงท้ายด้วยอะไรแล้วเป็น Adj คำใดเป็น Adv, Noun, Verb ไรพวกนี้ผมว่ามันมีไม่เย่อะมาก ยังไงก็ออก ทำให้ทำได้เร็วขึ้น และจด shot note ข้อที่เทพๆ หรือผิดๆ ไว้ สอบคลาวต่อไปก็มาอ่าน Shot note ได้ ทำข้อสอบจริงให้ไวที่สุด ไม่ต้องคิดมาก ผมไม่ค่อยได้อ่าน Grammar เท่าไรครับ สอบคราวหน้าจะไปเน้น Grammar แทน จากคุณ : sailompantip เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 10:23:25

ความคิดเห็นที่ 18 > เทคนิคที่ 4 เตรียมซ้อมทำข้อสอบ จับเวลาทำจริง ห้ามโกง ให้ชินและคุ้นเคยกับข้อสอบ ฝึกทำให้ทันเวลา ถ้าทำไม่ทันฝึกทำให้เร็วๆ ข้ามๆ ข้อไม่แน่ใจ ทำไม่ควรต่ำกว่า 3 -4 ชุดก่อนสอบจริง ทำเสร็จแล้ว มาทวนอีกรอบด้วย อย่าเพิ่งไป ชุดใหม่ เสร็จแล้วมาดูคะแนน ประเมิณ อ่อนตรงไป ไปซ้อมตรงนั้น > เทคนิคที่ 5 เตรียมร่างกาย สมองก่อนสอบ ปกติ นอนเช้าไปสอบแย่มากๆ เบลอๆ สำคัญมาก เลยเปลี่ยนมาเตรียมร่างกาย คือ ก่อนสอบ 2 คืน แค่ทวนศัพท์ ทวน Shot note นอนไม่เกิน 2-3 ทุ่ม ได้แค่ไหนแค่นั้นแล้ว ตื่นมาจะสดใสมากๆ ก่อนสอบให้กินอะไรที่ช่วยทำให้ปลอดโปร่ง ดูดซึมเร็ว ย่อยง่าย ลอง Search google ครับ ถ้าจำไม่ผิด วันนั้นก่อนสอบกิน กล้วย วิต้าเบอร์รี่ แบลนซุปไก่ น้ำผลไม้ ลูกอม 5 5 5 ดูดๆ ไปเลี้ยงสมอง ซะ จากคุณ : sailompantip เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 10:31:42

ความคิดเห็นที่ 19 เนื่องจากแผนกที่ จขกท ไม่ได้ใช้ภาษาในชีวิตประจำวันสักเท่าไหร่ หรือใช้ก็นานๆ ทีน้อยมาก แต่เป็นความต้องการของบริษัท ที่ต้องการให้พนักงานทุกคนสอบ Toeic เพื่อยกระดับตัวเองและสามารถใช้ในเวลาที่ต้องใช้ ผมจึงแนะนำได้แต่วิธีที่ใช้ทำข้อสอบนะครับ การสื่อสารจริงยังต้องฝึกฝนด้านอื่นกันอีกมาก ตอนนี้ก็ได้เงินมาใช้แล้วจากค่า Toeic ซึ่งถ้าได้ 600 ก็จะได้เงินมาก้อนนึงทุกเดือน ถ้าได้ 700+ ก็จะได้เงินเพิ่มมาอีกระดับนึง มากกว่านั้นก็ได้เงินเพิ่มไปอีก เป้าหมายต่อไปคือ 800 ครับ สู้ๆ นะครับ ถ้าตั้งใจจริงทุกคนก็คงได้ไม่ยาก ให้กำลังใจผู้ที่ยังทำไม่ได้ตามเป้าครับ ผมก็ใช้เวลาอันยาวนาน... จากคุณ : sailompantip เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 10:37:43

ความคิดเห็นที่ 20 มีประโยชน์มากครับ ขอบคุณท่าน sailompantip ที่มาแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ ด้วยนะครับ ;) จากคุณ : kjcomputer (jowittaya) เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 11:17:58

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณที่มา แบ่งปัน นะคร๊ะ จากคุณ : ปาดศรี เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 12:15:02

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณที่มาแบ่งปันครับ ผมกำลังจะไปสอบเหมือนกัน แต่ผมอ่านหนังสือของ Barron's toeic test อย่างเดียวเลยอะ ไม่รู้จะไหวป่าว จากคุณ : jUnOLink เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 12:29:42

ความคิดเห็นที่ 23 ... ครั้งนะครับว่า ช่วยๆๆ กันกด VOTE ก็ดีนะครับ เพี่อที่ กระทู้จะได้อยู่ได้นานๆ นะครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 13:07:09

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณนะครับ มีประโยชน์มากเลย จากคุณ : โสดเสมอเมื่อเจอผู้ชาย เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 15:12:33

ความคิดเห็นที่ 26 เป็นกำลังใจให้คนที่จะสอบทุกคนครับ อย่างน้อยถ้าคะแนนสูงๆก็น่าจะช่วยเปิดโอกาสให้เราได้ในการหางาน สำหรับผม คะแนน TOEIC ช่วยให้ผมได้งานที่ไม่เคยคิดว่าจะได้มาก่อน สู้ๆครับทุกท่าน จากคุณ : nickyagape เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 15:57:15

ความคิดเห็นที่ 27 โทอิค ไม่ได้วัดอะไรซักเท่าไหร่เลย ง่ายสุดๆๆๆ ถ้าอันปกติ พูดก็ไม่มี เขียนก็ไม่มี กาๆๆๆ อย่างเดียว จากคุณ : ลัลลา เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 17:40:34

ความคิดเห็นที่ 28 คะแนน toeic อิฉันว่ามันไม่ได้แสดงความสามารถในการสื่อสารได้จริงๆ น่ะ เจ้านายอิฉันมาสายช่าง Toeic 300 กว่า แต่ PRESENT งานเป็นภาษาอังกฤษได้รู้เรื่อง สื่อสารภาษาอังกฤษกับผู้บริหารชาวญี่ปุ่นได้แบบรู้เรื่องเลยล่ะ เก่งจริง ๆ .. ที่ทำงาน จขกท ดีจังเลยนะ ให้ค่า toeic ด้วย อยากได้มั่ง.. จากคุณ : คนดีผีคุ้ม เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 18:03:09

ความคิดเห็นที่ 29 ผมว่าจากการที่เราได้เตรียมตัวสอบ Toeic นี่ ทำให้เรา ได้พัฒนา การอ่าน การฟัง Grammar เหมือนกันนะ เมื่อก่อนเขียนเมลล์ยังไม่มีความมั่นใจเลย ส่วนการสนทนา คงต้องใช้ในชีวิตจริงกันเอง จากคุณ : sailompantip เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 18:34:18

ความคิดเห็นที่ 30 ส่วนผมไม่เคยสอบโทอิค แต่เท่าที่ทราบ มันก้อไม่ได้วัดทักษะการสื่อสารแบบเต็มที่นัก แต่มันก้อเป็นตัววัดในเบื้องต้นถึงทักษะภาษาอังกฤษได้บ้างครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมดีใจแทน จขกท คือ ความอึดและขยันหมั่นเพียร คนที่ตั้งใจจริงแบบนี้ เป็นผม ผมก้ออยากจ้างให้มาทำงานให้องค์กรผมครับ เอาใจช่วยให้ จขกท พัฒนาภาษาอังกฤษให้มากขึ้นไปอีกครับ สู้ๆ จากคุณ : เคนตะซัง เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 23:40:18

ความคิดเห็นที่ 31 ลงชื่ออ่าน ผมเองก็ภาษาอังกฤษห่วยแตกเช่นกัน จากคุณ : ซาตานกลับใจ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 09:45:45

ความคิดเห็นที่ 32 มันจะมีเวลาสัก ไม่กี่วิ ตอนที่ช่วงเปลี่ยนข้อ ให้เรารีบอ่าน ช้อยส์ข้อต่อไป เราทำอย่างนั้นได้ 720 คะแนน ในการสอบครั้งแรก  ปัญหาของเราในการสอบคือเมื่อยมือมากและแอร์ก็เย็นมากด้วย จะร้องไห้เพราะว่าเมื่อยมือเนี่ยเเหละ และที่สำคัญกลัวคะแนนไม่ถึง และต้องมาสอบใหม่มันเปลื้องเงิน จากคุณ : A Little Babyfish เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 13:48:27

ความคิดเห็นที่ 33 เอาของพี่คนนึงมาให้ดูเป็นแรงบันดาลใจครับ ^3^ จากคุณ : 6_pack เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 15:19:50

ความคิดเห็นที่ 34 ขอชื่นชมในความพยายามของจขกท นะคะ เราเองก็สอบโทอิคมาสองรอบทั้งแบบเก่าและใหม่ ยังไงก็ขอร่วมแชร์ประสบการณ์ด้วยนะคะ เรามักพบว่าคนใกล้ตัวเราไปสอบโทอิคมักจะทำ part listening ได้ไม่ค่อยดีคือทำไม่ทันนั่นเอง เราก็มักจะบอกเพื่อนๆของเราเสมอว่า ให้ฝึกทำข้อสอบให้มากๆ ไม่ต้องไปซื้อหนังสือฝรั่ง ซื้อข้อสอบรวมเล่มนี่แหละ แล้วเอาซีดีมาเปิดฟังกับลำโพง เพื่อความเสมือนจริงตอนสอบ แล้วก็ลองฝนคำตอบตามไปด้วย จะได้ชินมือ เวลาลงสนามจริงก็จะไม่ตื่นเต้นและทำทัน ส่วน Part Reading เทคนิคของเราคือ เราเป็นคนอ่านไว รู้ศัพท์เยอะ เราก็จะเลือก อ่านข้อความยาวๆก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาทำแกรมม่า (ซึ่งถ้าไม่ทันเราจะเดาไปเลย) สุดท้ายจะได้คะแนนดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความขยันและอดทนด้วยนะคะ เราคิดว่ายังไงก็แล้วแต่คะแนนโทอิคก็ยังมีความสำคัญในการสมัครงานในประเทศไทยอยู่ ยังไงก็ขอให้ทุกคนสู้ๆนะคะ จากคุณ : juri_gal เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 23:24:11

ความคิดเห็นที่ 35 ขอแชร์คะแนนด้วยคนนะคะ จากคุณ : juri_gal เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 23:26:42

ความคิดเห็นที่ 36 ไม่ได้สอบมาหลายปีแล้ว เตรียมตัวสอบมั่งดีกว่า อ่านแล้วเกิดแรงบันดาลใจ ขอยคุณคะ จากคุณ : ผู้หญิงกลัวฝน เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 54 20:46:16

ความคิดเห็นที่ 37 สอบครั้งแรก หลังเรียนจบ ได้ 715 คะแนน ส่วนมากได้มาจากการฟัง เพราะถนัดมากกว่าแกรมม่า แถมทำข้อสอบไม่ทันไป 10 ข้อ คะแนนถือว่าดี ผ่านมาเกือบ 4 ปี ไปสอบใหม่เพราะผลหมดอายุไปแล้ว รอบนี้ไปสอบ อีกครั้ง ได้ 800 กว่า แอบแปลกใจตัวเอง ต้องบอกตามตรงว่า ไม่ได้อ่านหนังสือ หรือ เตรียมอะไรไปเลย เพราะตัวเองมั่นใจทักษะการฟัง แต่รู้ว่าตัวเองโง่แกรมม่าเข้าเอาเรื่อง รู้อย่างเดียวว่า ต้องมีสติ สติในการฟัง และ ทำ จะช่วยทักษะการฟังมากกกก คิดว่า ถ้าเตรียมตัวอ่านแกรมม่าไป อาจจะได้ดีกว่านี้ ขอให้ทุกคนสู้ๆ มีสติทุกครั้งที่ทำนะค่ะ เพื่อนเราไม่ได้ต่างกับเรา แต่เพื่อนขาดสติ คือ จิตหลุดลอย มันไปแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย ทุกคนสู้ๆค่ะ จากคุณ : Seventh Ave เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 16:34:56

ความคิดเห็นที่ 38 เป็นคนหนึ่งที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกทั้งลิ้นและหู >O< ขอบคุณจขกท. นะคะ ^^ จากคุณ : @โลกละมุนเพราะผู้คนละไม@ เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 19:52:57

ความคิดเห็นที่ 39 หนูเพิ่งไปรับคะแนนมาวันนี้เรียนอยู่ปีสุดท้ายค้ะ)  ได้495 ทั้งๆที่คิดว่าเตรียมตัวดีแล้ว TUT ตอนทำข้อสอบBarron,Longman 700up ตลอดเลยคิดๆว่าน่าจะได้สัก600up คะแนนออกมาแล้วแป้กมากเลยค้ะ จากคุณ : ALittleSmiling เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 20:56:18

ความคิดเห็นที่ 40 จขกท เรียน มอ ไหน น้อ เรียน Eng 5 ตัวเหมือนกันเลย หุหุ จากคุณ : dokya_pladuk เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 10:07:05

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณทุกคนที่มาแบ่งปันครับ จากคุณ : PhotoRhythm เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 15:19:10

ความคิดเห็นที่ 42 เราลองละได้ แค่  480 คือเรียนภาษาไม่เคยรู้เรื่องเลย ทำแบบมั่วๆ พยายามให้กำลังใจตัวเองว่า ถ้าจะตั้งมันต้องดีกว่านี้แน่ๆๆ สู้ๆๆ นะค่ะทุกคน จากคุณ : pupelife เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 23:05:32

ความคิดเห็นที่ 43 แวะมาเอาใจช่วยครับ สู้ต่อไปครับ ผมเชื่อว่า จขกท. ทำได้อยู่แล้ว จากคุณ : Anfield_07 เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 19:19:57

ความคิดเห็นที่ 44 ๕ ปี เร็วมาก ๆ เลยครับ จากคุณ : ๛กอล์ฟ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 13:27:43

ความคิดเห็นที่ 45 ร่วมด้วยช่วยแชร์ครับ ส่วนตัวเมื่อสามปีก่อน สอบครั้งแรก ฉุกระหุกมาก สอบไปสมัครงาน อะไรเป็นอะไรก็ไม่รู้เลย โง่อังกฤษอีกต่างหาก ได้มา 440 (แบบฟลุ๊คๆ) หลังจากสอบตกสัมภาษณ์(เพราะพูดอิงไม่ได้นี่แหละ) ก็กลับไปซุ่มฝึกซ้อมภาษาอังกฤษ จาก แบบติช(ค่าเทอมถูกดี+ไ้ด้เรียนกับอาจารย์ฝรั่ง) เสริมความทนทานของหน้า ก่อนจะไปเรียนต่อโทภาคอังกฤษ(แต่ในเมืองไทย) ตอนนี้จบมาไปสอบแก้หน้าอีกที ได้มา 825 ครับ เคล็ดลับไม่มีอะไรเลย เพราะจริงๆแล้วมันง่ายมากๆ เพียงแค่เราแม่นเรื่อง Tense กับ Grammar (ไม่ต้องเอายากหรอก แค่ระดับพื้นๆ-กลาง ก็พอ ใครไม่รู้จะอ่านอะไรดี แนะนำให้เริ่มจากหนังสือ grammar ของ cambridge เล่มแดงกับฟ้าครับ) ที่เหลือก็ฝึกทำข้อสอบไปเรื่อยๆ ผมใช้โปรแกรม TOEIC(R) Mastery (เก่าแล้ว) มาฝึกไปเรื่อยๆประมาณ 2-3อาทิตย์ (แรกๆก็ทำผิดตรึม แต่อาศัยข้อไหนผิดก็จำซะว่าเราตกตรงไหนแล้วก็ทำไปเรื่อยๆ พอข้อเดิมมันวนมาก็จะจำได้) ไปสอบ เป็นระบบใหม่อีกต่างหาก(ที่ฝึกมาเป็นระบบเก่า) ตอนแรกเกร็งมาก แต่พอเจอของจริงแล้ว อยากบอกว่า "ง่ายกว่าของเก่าอีก" ครับ ง่ายยังไงเดี๋ยวแจกแจงให้ครับ ส่วนเรื่องการทำข้อสอบ ก่อนอื่นขอบอกก่อนเลยว่า ระดับของข้อสอบ TOEIC นี้จัดอยู่ในระดับ"ง่าย-ปานกลาง" เท่านั้นครับ ไม่มีข้อไหนที่จัดได้ว่า "ยาก" เลย (ที่จะยากสุดก็เป็นแค่พวกวัดเรื่อง vocabulary เท่านั้นเอง) ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่าข้อสอบ TOEIC จะไปออกแกรมม่าหรือสำนวนโหดๆที่ไม่ค่อยจะเจอกันในชีวิตประจำวันเลย ทุกอย่างอยู่ในขอบเขตที่เราจะได้เจอในชีวิตประจำวัน-การทำงานครับ แต่จุดที่ยากของ TOEIC คือการที่มันเป็น SPEED TEST ครับ หรือก็คือ แข่งทำเวลากัน ใครเตรียมตัวทำรูปแบบข้อสอบแบบนี้มามากกว่าจึงจะได้เตรียมเพราะสามารถ"หาทางลัด"ในการทำข้อสอบได้เร็วกว่าพวกที่มีความรู้แต่ไม่รู้แนวข้อสอบครับ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมบอกข้างต้นว่า การเตรียมสอบ TOEIC ไม่มีอะไรดีไปกว่า "ทำข้อสอบไปเรื่อยๆ" ครับ อีกประการหนึ่งคือ ในการสอบนี้ "สมาธิ" สำคัญที่สุดครับ โดยเฉพาะช่วง listening ถ้าหลุดแล้วก็คือหลุดเลย ไม่มีการอ่านทวนซ้ำ ซึ่งถ้าคุณทำข้อสอบเป็นจะรู้ว่า การทำ TOEIC ไม่ควร"เสียดาย" กับข้อที่ผ่านไปแล้วครับ อย่าลังเล ตอบไปเลยแล้วไม่ต้องไปสนใจมันอีก(ต่อให้เราเหลือ 2 ช้อยในใจก็ตาม) ตั้งสมาธิแต่กับข้อต่อไปพอ ไม่งั้นถ้าคุณเสียสมาธิแล้ว คุณจะหลุดในข้อต่อๆไปเหมือนโดมิโน่เลยครับ ซึ่ง 100 ละ 100 คนที่เป็นอาการนี้ ผลสอบไม่ดีทุกราย ในส่วนของข้อสอบ ที่ทำไมผมว่าง่ายกว่าแบบเก่า ผมขอแจกแจงดังนี้ครับ 1. ในส่วนของการฟัง แม้ว่าคำถามประเภทรูปภาพ(ซึ่งง่ายสุด)จะลดลงไป 10 ข้อ แต่ส่วนของบทถามตอบกับการสนทนาสั้นก็ไม่ได้ยากอะไรเลยครับ สำคัญสุดคือ เราต้องรู้จักวิธีการ"อ่านคำถามล่วงหน้า(เพื่อดึงเฉพาะคำตอบจากบทสนทนาออกมา) กับ การจดโน๊ต(คำถาม-คำตอบ-คีย์เวิร์ตสำคัญๆ)" เท่านั้นเองครับ ตอนสอบผมใช้บัตรประจำตัวสอบ(เป็นกระดาษ ครึ่ง A4ได้) นี่แหละในการ note เอาเพราะเค้าไม่ให้เอาอะไรเข้าไปและห้ามเขียนในข้อสอบ (เพราะใช้ดินสอ-ยางลบก็เลยเขียนๆลบๆได้สบาย) ส่วนวิธีการจดก็ขึ้นกับแต่ละ part ครับ เช่น ถ้า part ที่มีคำถาม-ช้อยล่วงหน้า ผมก็จะจดแต่ตัวคำถามล่วงหน้าไว้ก่อนจากนั้นก็จดคำตอบที่ได้จากบทสนทนาเป็นคำสั้นๆไว้ในกระดาษ แล้วค่อยไปดูช้อยหลังจบบทสนทนาครับ 2. ในส่วนของการอ่าน จะมีหลายจุดที่ง่ายขึ้นมาก ขอแจกแจงย่อยดังนี้ครับ 1) ไ่ม่มีคำถามประเภทหาส่วนที่ผิดของประโยค(ที่ขีดเส้นใต้นั่นแหละ) ซึ่งหนักไปทาง grammar ซะเยอะ (แต่จริงๆผมฝึกจนชำนาญแล้วอ่ะนะ แต่กับคนไม่ชิน มันจะค่อนข้างยากเพราะมักจะมีข้อที่ทำให้เราสับสนบ่อยๆ) 2) ในส่วนของบทความ จำนวนคำถามจะเหมาะสมกับความยาวของบทความ ซึ่งเมื่อก่อนมันไม่ได้เป็นแบบนี้ครับ บทความหน้านึง คำถามสองคำถามเงี้ย แต่แบบใหม่นี่ถ้าบทความสั้นคำถามก็จะน้อย ตรงกันข้ามถ้าบทความยาว คำถามก็จะมาก ทำให้เราไม่ต้องไปเสียเวลากับการอ่านบทความที่ไม่คุ้มค่ากับคำถามเหมือนเมื่อก่อนครับ(เมื่อก่อนจะต้องใช้วิธีเช็คความยาวบทความกับจำนวนคำถามก่อนแล้วค่อยไล่ทำจากอันที่คุ้มสุดลงมา แต่แบบใหม่ไม่ต้องแล้วเพราะมันเรียงให้จากบทความสั้น>ยาวอยู่แล้ว จำนวนคำถามเองก็เหมาะสมกับบทความ) 3) เนื้อหาของบทความโดยมากจะเป็น โฆษณา /อีเมล์ ซึ่งอ่านจับใจความได้ง่ายเพราะ1บทความจะมี TOPIC ชัดเจนเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งไอ้ TOPIC ที่ว่าก็มักจะจั่วหัวชัดเจนอยู่บนหัวข้อโฆษณา/อีเมล์ อยู่แล้ว 4) ข้อสอบลดความสำคัญของ vocabulary ลง แต่ให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจเนื้อหามากขึ้น (คือใช้คำพื้นๆแต่เน้นการอ่านจับใจความมากกว่า) ทำให้ทำข้อสอบได้สบายกว่าเมื่อก่อนที่มักจะเน้น vocab พอควรครับ จากคุณ : Greaty O-U!! เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 01:45:44

ความคิดเห็นที่ 46 ที่ว่า Toeic มันง่ายน่ะ ง่ายจริง แต่มันง่ายสำหรับ ผู้ที่เรียนทางด้านภาษามา จบ Inter มา จบนอก ทำงานกับฝรั่งใช้จริงอยู่แล้ว ส่วน ที่ว่า Toeic มันยากกกกกกกก ก็ยากเหมือนกัน สำหับผู้ที่เรียนประถม ตจว บางคน ในอาชีพการงาน ไม่ได้ใช้เลย ไม่ได้อ่าน เขียนเลย แล้วอ่านไปสอบอย่างเดียว ลองไปสอบสิมันยากจริงๆ นะ จากคุณ : JJC เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 13:34:14 A:110.77.179.50 X: TicketID:191526