|
1. ระบุให้เงินอีก 150,000 ที่ขาด เป็น ลูกหนี้เงินกู้กรรมการ โดยแต่ละคนจะเป็นหนี้บริษัทตกคนละ 30,000 บาท ซึ่งเท่าที่อ่านมาการกู้ยืมจะต้องคิดดอกเบี้ยด้วยตามอัตราเรตธนาคาร ณ ปัจจุบันของการกู้ยืม โดยผมมี เคสดังนี้
1.1) สมมติจดบริษัท วันที่ 1/1/55 โดยระบุว่าจ่ายหุ้นเริ่มต้น 250,000 แต่เงินจริงมี 1 แสนบาท แล้วแต่ละคนเป็นหนี้บริษัท 30,000 บาท ณ วันที่จดทะเบียน ต่อมาบริษัทจบโปรเจคหนึ่งตัวที่รับมาด้วยเงิน 2 แสนบาทในวันที่ 1/3/55 แต่รับเงินสดมาไม่ได้เข้าบัญชีบริษัท แล้วผมเอาเงินนั้นมาแบ่งกัน 5 คน จะตกประมาณ คนละ 40,000 บาท แล้วเอาเงินนั้น ไปจ่ายหนี้บริษัทที่แต่ละคนเป็นหนี้ใว้ แปลว่า 25% ที่แต่ละคนค้างเบื้องต้นก็จะถูกลบออกไปหมด ก็จะกลายเป็นแต่ละคนเหลือหนี้ 75% ที่เหลือจากเบื้องต้นระบุว่าจ่ายไปแค่ 25% กรณีนี้ การจ่ายหนี้ของการยืม จะต้องคิดอัตราดอกเบี้ยหรือเปล่าครับ เพราะไม่ได้เป็นหนี้ถึงปี ถ้าคิดแล้วจะคิดอย่างไรครับ
- เงินกู้ยืมกรรมการต้องมีดอกเบี้ยที่กรรมการต้องจ่ายให้บริษัท เมื่อมีดอกเบี้ยก็จะมีเรื่องภาษีธุรกิจเฉพาะเข้ามาเกี่ยว สรรพากรจะมาหาคุณ ดังนั้นมีข้อเสนอดังนี้ - เริ่มต้นด้วยเงิน 100,000 ในบัญชี แต่ลงบัญชีว่ามีเงินสดย่อยอยู่ 150,000 โดยที่ไม่ต้องมีจริง - เมื่อได้เงินมา 200,000 บาท เอาเงินเข้าบัญชีบริษัทตามปรกติ เพราะถ้ารับส่วนตัวใครสักคนจะโดนภาษีอาน แต่ถ้าให้ลูกค้ากระจายเงินให้ส่วนใหญ่เขาไม่ทำให้ - เอาเงิน 200,000 นี้จ่ายให้กรรมการแต่ละคนเป็นค่าจ้าง (หักภาษี ณ.ที่จ่าย 3%) ใครได้เท่าไหร่ก็แล้วแต่ตกลงกัน อาจใช้แรงงานเป็นเกณฑ์ตามที่คุณบอก แต่ต้องตกลงกันทุกคนว่าให้เอาเงินนี้กลับมาบริษัทเพื่อโปะในส่วน 150,000 ที่เป็นเงินสดย่อย - เมื่อกรรมการเอาเงินมาโปะคืน เงินสดย่อย 150,000 ที่มีอยู่แต่ในบัญชีก็จะมีอยู่จริง นำเงิน 150,000 นี้คืนบริษัทกลับมาในบัญชี ในบัญชีก็จะมีเงิน 250,000 ตามที่ต้องการ (อาจไม่ต้องคืนครบ 150,000 เพราะระหว่างนี้ก็มีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เกิดขึ้น เช่น ค่าเดินทาง ค่าน้ำมัน ค่าซื้อวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ทำให้เงินสดย่อยอาจเหลือไม่ถึง 150,000 ขึ้นกับว่าระหว่างนี้หาบิลค่าใช้จ่ายมาลงได้เท่าไหร่)
ส่วนเรื่องหนี้ที่เหลืออีก 75% ไม่เคยมีประสบการณ์ ลองถามสำนักงานบัญชีดูอีกที คนที่ทำสาย IT มักจะไม่ค่อยรู้เรื่องบัญชี อาจต้องใช้เวลาสักนิดแล้วจะเข้าใจเอง
ข้อควรระวัง 1.) เลือกสำนักงานบัญชีดี ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นปวดหัวเลย 2.) การมีหุ้นส่วนหลายคน ระวังปัญหาเรื่องการตัดสินใจ การแบ่งผลประโยชน์ โดยเฉพาะการจัดสรรว่าใครทำงานมากน้อยเท่าไหร่ 3.) การนำบิลค่าใช้จ่ายมาลง บางคนเอาบิลส่วนตัวมาลง หุ้นส่วนที่เหลืออาจไม่พอใจว่าทำไมค่าใช้จ่ายส่วนตัวจึงเป็นค่าใช้จ่ายบริษัท แต่ถ้าไม่ทำก็จะเสียผลประโยชน์เพราะจะทำให้กำไรสูงและเสียภาษีสูงขึ้น จริง ๆ แล้วมีระบบจัดการผลประโยชน์ตรงนี้ถ้าทำดี ๆ จะมีประโยชน์มาก
ผมก็สาย IT และจัดการเรื่องบัญชีเองเหมือนกัน ถ้าสงสัยอะไรก็มาคุยกันได้ครับ
แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 54 08:39:32
จากคุณ |
:
TLL01
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ธ.ค. 54 08:38:12
|
|
|
|
|