ความคิดเห็นที่ 1 แวะมารับทราบและเข้าใจครับ..พี่หมอ.. จากคุณ : ผมคือ (b2fen) เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 01:16:40

ความคิดเห็นที่ 2 เห็นใจจังเลย ลำบากจริงๆ ผมว่า อย่าเป็นเลยครับ ถ้ามันลำบากขนาดนี้ โอ้ยดูลำบากเหลือเกินเนาะ ผมเห็นใจ ออกมาเถอถถ้าลำบากขนาดนี้ จากคุณ : ปีศาจตาเดียว เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 01:49:41

ความคิดเห็นที่ 3 เท่าที่อ่านดู ผมอยากรู้จริงว่าการที่เห็นหมอ(มั้ง) ตั้งกระทู้แบบนี้ว่าต้องการเวลาเนื่องจากว่างานที่ทำอยู่มันหนักเกินไป ผมกลับนึกว่าถ้าระบบเปลี่ยนให้เป็นหมอทำงานรัฐบาลเงินเดือน 8000 บาท ส่วนถ้าไปทำงานเอกชนเงินเดือนจบใหม่ 12000-30000 แต่ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง มีพักเที่ยง อยากรู้จริงจะเข้ามาบ่นอีกไหมว่าเงินเดือนน้อย หรือว่าที่เข้ามาบ่นแต่ละกระทู้คือ ต้องการลดเวลาการทำงานแต่ว่าเงินที่ได้รับขอเท่าเดิม ??????????? อันนี้น่าคิดเนอะ ??????? มาถึงตอนนี้ผมสงสัยเหลือเกินว่าหมอๆที่มาตั้งกระทู้นี้ไม่ได้ต้องการให้คนมองว่าหมอคือเครื่องจักรอันนี้ผมเข้าใจ แต่ผมว่าคุณอาจหวังว่าต้องการให้คนอื่นมองคุณว่า คุณคือเทวดา ที่เหนือกว่าชาวบ้านคนอื่นๆ ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาแก้ปัญหาให้คุณ ทั้งๆที่ผมว่าถ้าใครมาเป็นรัฐบาลก็ไม่เข้ามาแก้ปัญหานี้ให้หรอก เพราะปัญหาที่คุณมีมันเกิดจากความอยากสบายเป็นที่ตั้ง ประมาณว่าเงินก็จะเอาสบายก็จะเอา ผมว่าแบบนี้มันก็ไม่แฟร์กับคนอื่นนะ คุณลองคิดดูเถอะ มาถึงตอนนี้ผมก็เห็นว่ายิ่งคุณตั้งกระทู้อะไรออกมามันก็เป็นการประจานความเห็นแก่ตัวเองของคุณเท่านั้นแหละ อย่าให้วงการหมอที่นับวันยิ่งทำให้คนมองว่าทำเพื่อส่วนตัวมันเสื่อมไปกว่านี้เลย และอันที่จริงผมก็สงสัยเหลือเกินว่าทำไมต้องเข้ามาบ่นว่าโรงพยาบาลรัฐใช้งานหนักเกินไป อันนี้ผมมองว่าเนื่องจากรัฐบาลลงทุนไปกับคุณเยอะ ดังนั้นเค้าถอนทุนเยอะก็ถือว่าสมเหตุสมผลนะ ลองกลับไปคิดดู ? จากคุณ : song เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 02:55:37 A:125.25.247.67 X: TicketID:343084

ความคิดเห็นที่ 4 อยากจะบอก คห 3 ว่า ท่านกำลังเข้าใจผิดอย่างมาก  เพราะผม ไม่ได้ต้องการทำงานสบาย แต่เงินเท่าเดิม   แต่ผมต้องการที่จะทำงานสบาย  และเงินมากกว่าเดิม ครับผม จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 06:54:28

ความคิดเห็นที่ 5 คำว่าชดใช้ทุน ของหมอ รพ รัฐ  ผมอยากจะบอกว่าเป็นการใช้ทุนที่ไม่มีอยู่จริงเลยนะครับ เพราะระหว่างเรียนหมอ 6 ปี  ผมและคนอื่นไม่เคยรับอะไรเลยที่แสดงว่าเป็นทุนจากรัฐบาลทั้งสิ้น ผมยังเสีย ค่าเทอมหน่วยกิตละ 400 บาท บวกกับค่าบำรุงอื่นๆอีกจิปาถะ ก็ตกประมาณเทอมละ 2 หมื่น ก็เท่ากับคณะอื่นทั้งนั้นละครับ หนังสือก็ซื้อเอง ตอนผมเรียนตำราภาษาไทย ยังมีน้อย ต้องอ่าน TEXT ค่าหนังสือนี่หนักกว่าค่าเทอมอีกนะครับ แล้วถ้าตอบว่า ทุนที่ให้มามันก็แฝงอยู่ในโต๊ะเก้าอี้ ตึกเรียน อุปกรณ์การศึกษา ค่าทำ LAB ต่างๆ ผมก็ตอบว่า ต้นทุนเหล่านี้ลงทุนโดยรัฐ และรัฐก็ลงทุนให้กับคณอื่นๆทุกคณะในมหาลัยของรัฐเช่นเดียวกัน แต่คณะอื่นไม่ยักต้องใช้หนี้ให้รัฐ ดีไม่ดี ต้นทุนของคณะแพทย์อาจจะน้อยกว่าคณะวิทยาศาสตร์ หรือวิศวะกรรมศาสตร์เสียด้วย ซ้ำ อยากที่รู้ๆมาว่า อุปกรณ์ของคณะพวกนี้ มัน Hight tech Hi-So ขนาดนั้น อย่างที่อธิบายนะครับ แต่กลับบังคับให้ผมเซ็นสัญญาหนี้ คือ ห้ามลาออกจากราชการ 3 ปี ถ้าลาออกต้องชดใช้ 4 แสนบาท เห็นไม๊ครับ ผมยังเรียนไม่จบเลย รัฐ กำหนดแล้วว่า ผมต้องเป็นหนี้ ก่อน สี่แสน บาท และอีกเหตุผลนึงที่ผมคิดว่า ไม่เป็นการใช้ทุนคือ  ตลอดเวลา 3 ปี ของการใช้ทุน มันก็ต้องตีเป็นมูลค่าได้  เช่นใช้ทุน 3 ปี เทียบเท่ากับเงิน สี่แสนบาท ก็ตกเป็น ปีละ แสนสามหมื่นบาท ซึ่งแปลว่า ถ้าผมทำงานครบ สามปี แล้ว เงินเดือนผมควรจะเพิ่มเป็น ปีละ แสนสามหมื่นบาท หรือ เงินเดือนผม ควรจะเพิ่มอีก เดือนละหมืนสองพันบาทต่อเดือน ในการเป็นหมอปีที่สี่ แต่ปีที่สี่ หรือทุกๆปีเงินเดือนผม มันก็เพิ่ม  3% หรือ 4% ก็เท่าๆกับเงินเดือน ข้าราชการทั่วๆไป แล้วตกลงนี่ผมชดใช้ทุนไปตอนไหน และผมไปรับทุนมาตอนไหน สุดท้ายนี้ จะบอกว่า ผมเป็นหมอเพราะทนอยู่ ก็ถูกแหละครับ แต่ถ้าผมเป็นหมอแล้ว ผมก็ขอสัญญากับตัวเองว่า ถ้าผมยังเป้นหมอ ผมก็จะเป็นหมอให้ดีที่สุดหล่ะครับ  และผมก็จะพยายามทำทุกวิถีทาง(โดยไม่คดโกงใคร) เพื่อที่จะทำให้ผมเลิกเป็นหมอ แหละครับ แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 54 07:21:25 จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 07:09:40

ความคิดเห็นที่ 6 อนาคตเค้าว่า ใช้ทุน 4 แสนมันล้าสมัยไปแล้ว กำลังจะปรับเป็น 1 ล้านบาท ถ้ากำหนด เป็น ต้องใช้ทุน 3 ปี ตีเป็นเงิน 1 ล้าน บาท ก็แปลว่า ใน 3 ปี ผมโดนรัฐหักเงินไป ตกปีละ 3 แสน ดังนั้นเมื่อทำงานครบ 3 ปี หรือใช้ทุนครบแล้ว ก็ควรจะคืนเงินส่วนนี้มาให้ผมนะครับ ก็จะตกเดือนละ 25,000 ครับผม จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 07:18:37

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเห็นด้วยกับ คห2 ครับ.. ผมได้ติดตามกระทู้คุณหมอมาหลายกระทู้... ผมก็อยากจะบอกว่า..อาชีพบางอาชีพนั้นต้องมีความเสียสละและทุ่มเทและเป็นที่คาดหวังจากผู้เจ็บป่วยอย่างมากว่าพวกท่านคือผู้ที่จะช่วยพวกเราคนไข้ให้พ้นจากความเจ็บป่วยได้.. ผมเองเจ็บป่วยบ่อยไปหาหมอก็บ่อยมากๆ..ผมก็พบว่าหมอมี2ประเภทหลักๆ  คือ.. 1. มีน้ำใจ มีความเสียสละและทุ่มเท 2. ค่อนข้างหยิ่งและไม่ค่อยสนใจคนไข้ ผมก็คงต้องกระซิบถามคุณหมอว่า... - คุณหมอไหวไหม? (กับหน้าที่ความรับผิดชอบ, ความเหน็ดเหนื่อย..และภาระอันใหญ่หลวงรวมถึงความเสียสละและทุ่มเทตรงนี้...) - นี่ใช่อาชีพที่คุณหมอ(อยากจะ)ทำหรือไม่? - คุณหมอรออีกนิดแล้วไปรับเงินเดือนสูงๆ ตามรพ เอกชนหรือเปิดคลินิกตามที่คุณหมอต้องการหรือไม่? อย่างพวกผม..เริ่มทำงานกันตั้งแต่เดือนละหมื่นสอง..พอใช้ไม่พอใช้..ว่ากันอีกเรื่องแล้วค่อยขยับขยายไปรับเงินเดือนที่สูงขึ้นตามตำแหน่งหน้าที่ ความรับผิดชอบ และอายุงาน.. คุณหมออายุยังน้อย..มีทางเดินชีวิตที่สดใสอีกยาวไกลที่จะหาเงินได้มากๆ ในอนาคตนะครับ... แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 54 08:44:59 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 54 08:43:43 จากคุณ : แก้ปัญหาด้วยปัญญา เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 08:41:50

ความคิดเห็นที่ 8 ประเด็นที่คนไข้มาใกล้เวลาพัก แล้วพอให้รอรอบบ่ายแล้วไม่พอใจนั้น ผมว่าหมอไม่ควรเอามาใส่ใจเลยครับ เพราะหมอและพยาบาลผู้รับเรื่องก็ปฏิบัติตามระเบียบขั้นตอนแล้ว เป็นหน้าที่ของคนไข้ที่ต้องเข้าใจสถานการณ์ ถ้าไม่เข้าใจ ก็ช่วยไม่ได้ ส่วนประสิทธิภาพของการรักษา อันนี้ผมเข้าใจครับ เพราะโดยหลักการรักษาแล้วหมอก็ใช้วิธีเดาเอานั่นแหละครับ (อันนี้ไม่ได้ว่าหมอนะ) อาการน้ำมูกไหล หมอก็ต้องเดาแล้วว่า เกิดจากอะไรได้บ้าง ความน่าจะเป็น แล้วก็ลองสุ่มยากสักตัวนึงมาให้คนไข้ใช้ คนไข้ใช้ไปสักพัก ถ้าหาย ก็จบ ถ้าไม่หาย ก็ลองยาตัวใหม่ เพราะคนไข้อาจจะไม่ตอบสนองต่อยาตัวแรก เช่นนี้เป็นต้น ดังนั้น ในความคิดและความรู้สึกของผม หมอก็คือคนที่ผมจ้างมาวิเคราะห์ร่างกายให้ผม หมอต้องบอกสิ่งที่หมอทราบ ทราบได้อย่างไร ทำไมหมอถึงคิดเช่นนี้ แล้วผมจะเป็นคนตัดสินเองว่า มันน่าเชื่อถือไหม เพราะบางที ที่เคยเจอ หมอบางคนก็หลงตรรกะตัวเอง หมอมีเก่งมีโง่ มีดีมีเลว มีใจบุญมีใจบาปครับ ธรรมดาของคน เอาเป็นว่าผมเข้าใจที่หมอจะสื่อ แต่หมอก็ต้องเข้าใจด้วยนะครับ ว่าที่หมอเจอทุกวันนั่นก็คน แถมคนหลายคนด้วย มันก็จะมีดี มีเลว มีคนเก่ง คนโง่ มีคนใจบุญ มีคนใจบาป ปะปนกันมาให้หมอรักษาแหละครับ อุอุอุอุ จากคุณ : jaminonez เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 08:43:07

ความคิดเห็นที่ 9 จริงๆแล้ว หมอ ไม่มีใครรู้แน่นอน นะครับ เป็นหมอเดา กันทุกคน แม่นแล้ว แต่เราเดาจากหลักฐานทางวิชาการครับผม เพราะคนไข้ไม่ได้เดินออกมาจากตำรา เราจะได้รู้ได้เลย ถ้าคนไข้เดินออกมาจากตำรา คือ อาการตามที่หนังสือเขียนไว้นะ ไม่ต้องมีหมอเลย มีคอมพิวเตอร์ก็พอ เอาอาการใส่เข้าไป แล้วประมวลผลก็จะได้โรคออกมาเอง จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 09:15:26

ความคิดเห็นที่ 10 เรียนคุณหมอคานู เข้าใจในสิ่งที่คุณเป็น แต่จะบอกว่า มันยากที่จะขอให้ใครมาเข้าใจคุณ ถ้าเค้าไม่เคยเป็นอย่างคุณ หรือ มาเปลื่ยน มาทำอะไรอย่างที่เราอยากให้เค้าทำ ขอให้เปลื่ยนที่ตัวเองดีกว่า คือ หนึ่ง เอาตัวเองออกไปจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่พอใจ หรือ สอง ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องปรับที่ความคิดของตน ไม่งั้นแล้ว คนที่รู้สึกแย่ คือเราเอง คุณหมอพูดไปก็เหมือน ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ กลัวจะเหนื่อยเปล่า สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้ คุณหมอที่ยังอยู่ในระบบราชการทุกคนแล้วกัน แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 54 11:34:25 แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 54 09:51:08 จากคุณ : ขอโทษด้วยถ้าแรงไป (cardiogenic) เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 09:17:02

ความคิดเห็นที่ 11 ตามคห.3นั่นแหละ ชัดเจนอยู่แล้ว จากคุณ : หมอง เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 10:17:14 A:119.46.176.222 X: TicketID:335252

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าหมอเป็นเครื่องจักรก็ดีสิ  อิอิ หมอยังไงก็ต้องกินข้าว ขี้ นอน  แล้วก็ตายเป็นด้วย หมอเป็นคนชัวไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวแน่นอน  ฟันธง 555 จากคุณ : sappkub เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 11:48:56

ความคิดเห็นที่ 13 ผมขอเอาใจช่วย   ขอให้คุณหมอ ได้ในสิ่งที่ตั้งความหวังไว้ทุกประการนะครับ             และเมื่อได้ทุกสิ่งที่ปรารถนาแล้ว             ก็อย่าลืม  หันกลับมา รักษาคนไข้ ให้สุดฝีมือ เลยนะครับ  จะเดา หรือจะมั่ว ก็สุดแล้วแต่  ขอให้ช่วยคนไข้ หายจากโรค หรือ  มีชีวิตรอด ก็เป็นที่พอใจแล้ว ครับ             ขอให้โชคดีครับ จากคุณ : รุ่งโรจน์ทวีคูณ (รุ่งโรจน์ทวีคูณ) เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 11:58:14

ความคิดเห็นที่ 14 ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่หมอทำงานหนักมากขึ้นเพราะ ลูกจ้างในระบบประกันสังคมครับส่วนหนึ่ง (แจ้งลาป่วยเท็จโดยไม่เสียค่ารักษาพยาบาล)เพราะผลประโยชน์จากค่าจ้างในวันลาป่วย กฏเกณฑ์ของการลาป่วยส่วนใหญ่ก็จะให้ลูกจ้างแสดงใบรับรองแพทย์เป็นหลักฐาน พนักงานบางคนลาป่วยบ่อย ฝ่ายบุคคลก็ต้องเรียกหาใบรับรองแพทย์มาแสดง แต่จากประสบการณ์ มีลูกจ้างน้อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆที่หยุดงานเพราะเจ็บป่วยจริง ส่วนมากหยุดงานเพราะสาเหตุอื่น แต่ แต่แจ้งลาป่วยเท็จและไปหาหมอเพื่อเอาใบรับรองแพทย์ (แจ้งเวียนหัว ปวดหัว ปวดหลัง คุณหมอก็วินิจฉัยตามอาการจะป่วยจริงหรือเท็จคุณหมอตรวจไม่รู้แน่ๆ ก็จ่ายยาให้ตามอาการไป ออกไบรับรองแพทย์ เข้าทางเลย) เอาใบแพทย์มามาแสดงให้ฝ่ายบุคคลเพื่อประโยชน์ที่จะได้รับค่าจ้างในวันลาป่วยครับ เป็นวิธีการที่จะหยุดงานแล้วได้รับค่าจ้างของลูกจ้างรายวัน ตามกฏหมายแรงงานที่จะให้ลูกจ้างได้รับค่าจ้างในวันลาป่วย 30 วันครับ พนักงานที่หยุดงานไม่อยากถูกเพ่งเล็งจากฝ่ายบุคคลมาก ก็จะไปหาใบรับรองแพทย์มาแสดง   แพทย์ก็รับงานหนักขึ้นอีกสิครับ แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 54 12:03:46 จากคุณ : ZHEZA_N1 เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 12:01:18

ความคิดเห็นที่ 15 ขอแสดงความเห็น 2 ด้านเลยนะครับ ด้านแรก เห็นใจครับ เพราะถ้าทำราชการงานก็หนัก ความรับผิดชอบก็สูง  แต่เงินเดือนไม่เหมาะสม เอาซะเลย ด้านสอง ก็ อยากบอกเหมือนกันว่า  ไม่ชอบก็ไม่ต้องทำครับ  ลาออกไปทำอย่างอื่นก็ได้  คนที่เรียนมาไม่ตรงสายก็ประสบความสำเร็จเยอะแยะ  แต่ที่ไม่ไปอาจเป็นเพราะไม่รู้จะไปทางไหน  เลยอยากเข้ามาระบายในบอร์ด จากคุณ : nomphoto เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 16:56:06

ความคิดเห็นที่ 16 ผมเห็นด้วยกับ จขกท ครับ เพราะแค่นี้หมอก็จะตายกันอยู่แล้ว อย่าไปบอกว่าไม่อยากทำ เสียสละไม่ได้ อดทนไม่ได้ ก็ให้ไปทำอาชีพอื่น... เพราะผมคิดว่าคนที่พูดอย่างนี้ ปากมันดีเกินไป ทุกวันนี้ คิดว่าหมอมีเต็มบ้านเต็มเมืองรึไง? มีตั้งหลายที่ที่ขาดแคลนหมอ หมอมีไม่พอกันคนไข้ ไม่ว่าหมอที่ไหน ก็ย่อมอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ยอมเสียสละกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่เห็นใจหมอ ไม่ให้ความร่วมมือเลย จะเอาแต่สะดวกตัวเองอย่างเดียว ไม่มีมนุษย์ที่ไหนทำใจยอมรับได้หรอกครับ เจอความบ้าคลั่งของคนไข้บ่อยๆ จิตมันก็ย่อมตกเป็นธรรมดา ถึงว่าหมอสมัยนี้ถึงได้หาช่องทางไปทำอย่างอื่นกันเยอะ เปิดคลีนิคเสริมสวยกันเต็มไปหมด หรือไม่ก็หนีไปทำ รพ.เอกชน พอมีหมอออกมาบ่นหน่อย คนฟังทำเป้นฟังไม่ได้ต้องมาเถียงๆๆๆ ยัดเยียดให้หมอต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องบางเรื่องน่ะ ถ้าหมอทำไม่ดี อันนี้ผมว่าหมอผิดเต็มๆ แต่ถ้าเรื่องที่ จขกท ยกมาเป็นประเด็น ผมว่าหมอน่าสงสาร จากคุณ : CoollyCat เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 17:22:37

ความคิดเห็นที่ 17 อาชีพอื่นที่้ต้องบริการแม้เวลาพักก็มีค่ะ หมอกับอาชีพอื่นที่เบาๆ มันต่างกันที่ความรับผิดชอบชีวิตผู้อื่น เวลาเที่ยงก็ไม่ได้ไปกินข้าวต้องผลัดเวรให้ประชาสัมพันธ์ไปกินก่อน เราต้องนั่งรับโทรฯ แทนก็บ่อยๆ ไปกินหลังจากประชาสัมพันธ์กลับมาแล้ว คือได้กินบ่าย บางทีทำงานต่อเลย กินบ่ายสอง บ่ายสาม ห้ามขาดคนรับโทรศัพท์หรือ ลูกค้าเดินมาสอบถามเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ได้ ไม่ได้หยุดพักตามเวลาค่ะ อย่างไรก็เป็นกำลังใจให้หมอนะคะ สู้ๆ ค่ะ จากคุณ : buchecktien เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 20:14:36

ความคิดเห็นที่ 18 แอบเห็นด้วยกับคคห.ที่3 ก่อนตัดสินใจเรียนน่าจะรู้แล้วว่า "หมอ" งานหนักแค่ไหน เรียนจบมาแล้วงานหนักจริง ก็ไม่น่าจะบ่นเนอะ เพราะตั้งใจจะเป็นหมอตั้งแต่แรกแล้วนิ่ แล้วถ้าไม่ให้คนไข้ฝากชีวิตไว้กับหมอ แล้วจะให้ฝากชีวิตกับใครหรอ แอบงงนะเนี่ย??? จากคุณ : พริกมันเผ็ดนะ (พริกมันเผ็ดนะ) เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 20:29:39

ความคิดเห็นที่ 19 ^ ^ จขกท บอกว่าหมอเหนื่อย ทำงานจนไม่มีเวลาพัก แล้วจะให้คนที่ไม่มีเวลา สมองล้า ร่างกายล้า มารับฝากชีวิตคนไข้หรือไง... ตรวจมากๆ ทำงานมากๆ จะพักก็ไมได้พักติดต่อกันนานๆ หมอป่วยขึ้นมาจะทำยังไง? เรื่องบางเรื่อง ทำตามกฏหน่อย อะไรหน่อย ถ้าไม่ซีเรียสหรือเสียเวลาอะไรมาก ก็ควรที่จะยอมๆบ้าง ก็เพราะคิดว่าตัดสินใจเรียนแล้ว ก็ต้องยอมรับความเลวร้ายทุกอย่าง หมอมันเลยไม่พอเพียงกับจำนวนคนไข้ซักทีไง ทุกวันนี้คนไข้มา รพ กันอย่างบ้าคลั่ง บางคนเจ็บเล็กๆน้อยๆก็มาใช้บริการซะกะจะเอาให้คุ้ม เวลารอคิวนานก็ด่าหมอ แต่เวลาตัวเองได้คิวรักษา หมอสรุปให้ภาพในไม่กี่นาที ทำเป็นไม่พอใจ อยากให้หมอตรวจให้มากกว่านี้... สรุปคือ ให้ตรวจคนอื่นเร็วๆ แต่ของตัวเองนานๆ ตามนิสัยคนเห็นแก่ตัว (น่าจะเป็นกันเยอะ แต่ไม่รู้ตัว) จากคุณ : CoollyCat เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 20:40:39

ความคิดเห็นที่ 20 แม้หน้าที่จะต่างกัน แต่ทุกอาชีพก็ต้องอาศัยความรับผิดชอบ และ แบกรับภาระต่างๆไม่แพ้กัน ดังนั้นระบายอารมณ์เสร็จแล้วก็ได้เวลากลับไปทำงานแล้วนะครับ ^^ จากคุณ : 6_pack เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 54 21:46:11

ความคิดเห็นที่ 21 ท้าให้ลาออกนี่ไม่ไหวนะครับ ที่คนทำงานเขาไม่ลาออกทุกวันนี้ ก็เพราะอยู่ด้วยใจกันอยู่แล้ว ถ้าขาดผึงขึ้นมาเมื่อไหรก็ไปได้ทันที เขาหาที่ไปได้ ไม่เดือดร้อน คนที่จะเดือดร้อนคือคนอื่นครับ ตอนก่อนมาเรียน ใครมันจะไปรู้ครับว่าชีวิตการทำงานจะเป็นแบบนี้ ขนาดช่วงนี้มีเหตุให้มีคนมาบอกเล่าชีวิตการทำงานกันปากเปียกปากแฉะ ยังไม่ค่อยจะมีคนเข้าใจกันเลยครับ จากคุณ : ปรายภพ เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 00:49:56

ความคิดเห็นที่ 22 งานหนัก เงินน้อย เบื่อ เซ็ง ก็ให้ลาออกจากอาชีพหมอแล้วไปทำอาชีพอื่นเหอะ ลืมแม้กระทั่งคำปฏิญาณตนก่อนจะเป็นหมอ ว่าหน้าที่ของหมอคือการช่วยชีวิตผู้อื่น หากสังคมใดมีผู้ที่จบวิชาชีพแล้วมีความคิดแบบนี้ สังคมนั้นก็น่าเป็นห่วงในความอยู่รอดนะครับ จากคุณ : คนที่ราบสูง (ที่มีแต่หมอผี) เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 06:43:27 A:110.168.172.139 X: TicketID:255841

ความคิดเห็นที่ 23 กรรมกร ลูกจ้าง จนๆ ทำงานตีห้า ยันเที่ยงคืน งานหนัก รายได้ ไม่เกินหมื่นต่อเดือน หมอครับ หมอคิดดูละกัน จากคุณ : Aria_zone เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 19:19:24

ความคิดเห็นที่ 24 คุณหมอ  พักเที่ยง  พร้อมกันเหรอคับ   พักคนละเวลาซิคับ  ทุก ชม. ต้องมีหมอ  หรือ เราไ่ม่เข้าใจการทำงานของหมอ  ก็ขอโทษด้วย    เหมือน ธนาคาร  หรือ ร้าน ค้าปลีก ทั่้วไป  พนง. แต่ละตำแหน่ง ต้องพัก คนละเวลา สลับกันไป  แต่ หน้่าเคาท์เตอร์ หรือ ตำแหน่งอื่น  ต้อง มี พนง. พร้อมบริการตลอดเวลา จากคุณ : NooPooK เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 19:50:20

ความคิดเห็นที่ 25 ทุก ชม มีหมอ เฉพาะแผนกฉุกเฉิน แผนกปกติไม่ฉุกเฉินพักเป็นเวลาครับ จากคุณ : ปรายภพ เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 54 07:18:53

ความคิดเห็นที่ 26 แต่ๆ กรณีฉุกเฉินนั้น เราก็พร้อมจะดูแลตลอด 24 ชม. เพียงแต่ นิยาม คำว่า ฉุกเฉิน ของหมอ กับคนไข้ มักไม่ตรงกัน จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 54 09:12:54

ความคิดเห็นที่ 27 คนที่คิดว่าเป็นหมอสบายได้เงินเยอะ อยากให้มาพิสูจน์ครับ มาเรียนแพทย์ ทำงานเป็นแพทย์กัน หรือถ้าติดขัดทำไม่ได้ ญาติป่วยมาเฝ้าไข้บ้างซักคืน 2 คืน คุณจะเข้าใจมากขึ้น จากคุณ : megacure (SET50.com) เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 54 10:46:17

ความคิดเห็นที่ 28 ขอให้คุณหมอสู้สู้นะคับ อยู่ในประเทศไทย ต้องทำใจเพราะคนไทยส่วนหนึง ก็คิดแบบนี้ จะคอยเป็นกำลังใจให้ ผมก็เคยเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากคุณหมอ ท่านไม่เคยมีสีหน้าจะเหนื่อยหน่าย อะไรเลย แถมยิ้มเสมอ แต่เรามองท่านออกว่าท่านเหนื่อยมาก รักคุณหมอทุกคนคับ จากคุณ : HR มือใหม่ (kenshiro1981) เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 54 13:36:18

ความคิดเห็นที่ 29 ผมมองคุณหมอเป็นคนเสมอ และคุณหมอบางคนผมยกให้เป็นอาจารย์ หรือผู้มีพระคุณด้วยครับ จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 00:06:03