ความคิดเห็นที่ 1 เราว่าถ้าเรียนเอกภาษา ต้องเบเบเอาให้เก่งไปเลย เช่น ถ้าติดอักษร จุฬาฯเบเบนี้เอาไปเลยเวิร์คเเน่ เเต่ถ้าเรียนมหา'ลัยทั่วไป หรือคนๆนั้นไม่เก่งมากก็ไม่ค่อนเวิร์ค จากคุณ : Vn,,, เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 12:22:10 A:58.10.228.236 X: TicketID:327154

ความคิดเห็นที่ 2 สายภาษาจบมาทำ บ. ท่องเที่ยว หรือ เอเย่นต์รับจองโรงแรม ก้อได้นี่ครับ แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะชอบหรือเปล่า จากคุณ : F.C. 77 เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 12:28:59

ความคิดเห็นที่ 3 กระทู้นี้โดนอย่างแรงค่ะ โดนกระหน่ำซ้ำเติมตั้งแต่เรียนปี 1 จนปัจจุบันทำงานแล้วญาติๆ ยังไม่หยุดหัวข้อนี้ แต่เราเชื่ออย่างหนึ่งนะ ถ้าเราตั้งใจทำอะไร เราทำได้ดีแน่ เราก็เป็นคนหนึ่งที่เรียนเอกภาษาที่ 3 คณะอักษรฯ ค่ะ จบมาได้เงินเดือนเยอะกว่าคนที่จบสายบริหารอีกนะ เพราะเป็นงานการตลาดต้องติดต่อกับลูกค้า ถ้าคิดว่าชอบ อยากรู้ที่มาที่ไปของภาษานั้นๆ ก็เรียนโลด ตอนทำงานก็ต้องปูพื้นใหม่อยู่ดี แต่ถ้าเรียนเพราะต้องการงานที่กว้างขึ้น เพราะรุ้ภาษาที่ 3 แนะนำอย่าเรียนเลย(คงไม่ทันแล้ว เพราะน้องอยุ่ปี 3 จะจบแล้ว เหอๆๆ) เพราะจบมาเราต้องแบกหัวโขนว่าจบภาษานี้มา ต้องทำงานที่เกี่ยวกับภาษานี้เท่านั้น ยิ่งทำเราจะยิ่งเกลียดภาษาที่เราเรียนมา(เหมือนพี่ไง) จากคุณ : prettyworld เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 12:34:24

ความคิดเห็นที่ 4 เรียนอักษร ภาษาเหมือนกัน แล้วเพิ่งคิดได้ว่า ถ้าย้อนเวลาได้คงไม่เลือกคณะนี้ ที่ใครๆพูดก็ถูกแหละครับ เรียนภาษาไปหากไม่ได้ไปอยู่ที่ประเทศๆนั้นก็ไม่เก่งหรอกครับ จบมา ไอพูดสื่อสารมันน่ะก็พูดได้ แต่ไอจะเหมือนเนทีฟพูดแบบไม่ต้องคิดคงยาก เพราะฉะนั้นหากเลือกคณะอื่น เรียนจบ ยอมเสียเวลา เสียเงินไปหนึ่งปี ไปประเทศภาษาที่สามที่อยากเรียน กลับมารับรอง อักษรก็อักษรเถอะ ฮาๆๆ แล้วจะมาพูดตัดกำลังใจกันทำไม เอาเป็นว่า คนจบอักษรได้งานดีๆ มีหน้ามีตาในสังคมเยอะ สู้ๆ เรียนให้จบ แล้วก็หาเวลาไปเรียนภาษาที่เมืองนอกซักสามสี่เดือนคงจะคล่อง จากคุณ : yananash เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 12:53:10

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าชอบภาษาคุณก็มาถูกทางแล้ว เดี๋ยวนี้บริษัทหลาย ๆ แห่งก็อยากได้ พนง. ที่เก่งภาษา ส่วนเรื่องงานส่วนใหญ่จะมีเจ้าหน้าอบรมให้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง เรียนไปเถอะครับไม่เสียเวลาเปล่า ๆ หรอก จากคุณ : ทำไมจัง เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 13:13:12

ความคิดเห็นที่ 6 จริงครับ ถ้าผมย้อนได้ ผมก็จะไม่เรียนสายภาษาครับ โดยส่วนตัวผมไม่เคยเจอใครพูดจาดูถูกครับ แต่เจอด้วยตัวเองหลังจากทำงานเนี่ยแหละ มีความรู้สึกว่าจะเรียนไปทำไมสายภาษา ไม่ได้มีประโยชน์เท่าไร กลับคิดไปอีกว่า หากย้อนได้เราคงกลับไปเรียนพวกวิศวะ บัญชี บริหาร หรือสายช่างเฉพาะทางไปเลยอะไรแบบนี้ ถ้ามีคนบอกว่าทำไมถึงไม่มีประโยชน์ มีประโยชน์น่ะมันมี แต่การทำงานเนี่ยสำหรับสายภาษาแล้วมันมีไว้แค่สื่อสาร มันไม่ใช่หัวใจหลักในงานที่ทำ ก่อนที่ผมจะเรียนสายภาษา เพราะคิดอย่างเดียว ไม่ได้คิดรอบด้าน ที่เรียนภาษาเพราะว่าชอบ ไปได้ เกรดน่าจะสวยอะไรทำนองนี้ แต่กลายเป็นว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป ภาษาอังกฤษก็เริ่มเกลื่อน ใคร ๆ ก็พูดได้ แล้วเราจะเบนตัวเองไปทางไหนล่ะ บัญชีก็ไม่ได้ ตลาดก็ไม่ได้ ก็เลยเป็นสิ่งที่คนที่เรียนสายภาษาต้องพยายามหาตัวเองให้เจอว่าจะทำอะไรในสาขาอาชีพ เช่น เป็นล่าม เป็นไกด์ ทัวร์ โรงแรม อะไรเทือกนี้ ซึ่งเหตุผลต่อมาอีกก็คือ ว๊ะ....ทำงานสายนี้หยุดไม่ตรงชาวบ้านอีก เผลอ ๆ ได้หยุดแค่วันเดียว แถมเงินเดือนน้อยอีกต่างหาก แต่ แต่ แต่ก็อีกแหละ คนเรียนมาสายเฉพาะทาง เช่นสายช่าง บัญชี หลายคนก็ชอบบอกว่าจบภาษาดีนะ ทำได้หลายอย่าง อ้าววว.....ว่าไปนั่นอีก ส่วนภาษาที่สามเนี่ย เห็นด้วยเลย ยิ่งใช้ภาษาญี่ปุ่นได้เก่ง ๆ เนี่ย รับรอง 3-4 หมื่นจริง ๆ แล้วยังไม่มีใครเก่งจริง ณ ตอนนี้ แต่ถ้าให้ผมย้อนไปนะ จะเรียนสายเฉพาะทางครับ เพราะภาษามันเป็นแค่เครื่องมือในการสื่อสารเท่านั้น ส่วนคนที่ชอบด่า ชอบว่า ก็อย่าไปถือสาครับ ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ผมไม่เคยเจอนะ แต่มาเจอกับชีวิตตัวเองเนี่ยแหละ ทุกวันนี้หน้าที่การงานดี โอเค แต่ถ้าย้อนได้เราคงกลับไปเรียนอะไรที่มันยาก ท้าทายกว่านี้ครับ จากคุณ : ปีเตอร์นอร์ธ เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 13:18:55

ความคิดเห็นที่ 7 ผมก็เรียนภาษาเหมือนกัน แต่ตอนนี้มาเป็นทหารเฉยเลย - -' ก้เคยมีคนบอกว่าทำไมไม่เรียนเอก บริหาร หรืออะไรก้ได้ แล้วค่อยลงภาษาเสริมเอา แต่ผมคิดว่าถ้าทำอย่างนั้น คงไม่เก่งหรอก ถ้าเรียนภาษาใดภาษาหนึ่งไปเลยน่าจะเต็มที่กว่า เช่นสมมติตอนนี้คุณเรียนเอกภาษาอินเดียนแดง คุณก็จะได้เปรียบ กว่าคนที่เรียนเอกบริหารแล้ว หาเวลาเรียนพิเศษภาษานี้เอานะ คุณมีเวลาเรียนไวยากรณืหรือวัฒนธรรมด้วย ส่วนคนที่เรียนพิเศษนั้น ไม่เต็มที่หรอก เพราะว่าแพงครับ คอร์สนึงก้แพง ฉะนนั้นเรียนไปเถอะ อย่าสนใจชาวบ้านนักเลย เรียนจบมาขอทุนไปเรียนต่อเมืองนอกก้ได้ เห็นเพื่อนผมขอทุนไปเรียนต่อเมืองนอกกันเพียบ ส่วนผมคงไม่แล้วหล่ะ เป็นทหารพอละ อิอิอิ จากคุณ : กำลังใจ เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 13:23:18 A:119.46.176.222 X: TicketID:335252

ความคิดเห็นที่ 8 กำลังอยู่ปี2 เรียนเอกภาษาเหมือนกัน เห็นด้วยกับความเห็นที่6 ตอนนี้ก็เลยเรียน นิติ รามอีกใบหนึ่ง อย่างน้อยจะได้พอมีวิชาชีพติดตัวบ้าง จากคุณ : Love to live เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 13:54:35

ความคิดเห็นที่ 9 ตรงแฮะ เรียนภาษาที่ สามเหมือนกัน จะบอกว่าความคิดของผมก็เหมือนท่าน จขกท นี่แหละ แต่เผอิญว่าเรียนจบมาแล้ว คุณอยู่ปี 3 แล้วเรียนไปให้จบเถอะ จบภาษามาได้เปรียบครับ ท่าน ปีเตอร์นอร์ธ ก็พูดถูกเต็ม ส่วนที่บอกว่ามีใจบริหารไม่ยากเลยครับ ออกมาทำงานได้ประสบการณ์ แล้วเอาไปเรียนต่อโท บริหารเอาไม่ยากครับ เรียนจบแล้วก็เข้าบริษัทเจ้าประเทศภาษานั้นๆ ได้เปรียบอยู่พอตัวนะครับ แล้วเป็นล่ามให้ผู้บริหารเขาครับ ผมก็เป็นล่ามและก็ได้เรียนรู้ถึงหลักการของผู้บริหาร การแก้ปัญหา การเรียนรู้ใจคน คำพูด คำจา การวางตัว ต่างๆเต็มๆ ทั้งบางที ทำข้อมูลให้ ค่อยๆเรียนรู้เอาใหม่ ประสบการณ์จะค่อยๆช่วยท่านครับ จงคิดเอาำไว้ครับ เราได้เปรียบที่เราได้ภาษาที่สามแล้ว แถมเราได้เปรียบเราไปเรียนบริหารที่ประเทศนั้นเลย ได้ภาษาด้วย ไปไวครับ ผมก็เคยคุยกับแม่เหมือนกัน ว่าอยากทำแบบที่ท่านพูด แกก็บอกว่าเองเรียนผิดแล้วล่ะ ให้ถอยมันถอยไม่ได้แล้วครับ มีแต่เดินหน้าอ่ะ ผมจึงเดินต่อไป และมองไปที่เป้าหมาย ทำไปเรื่อยๆครับ ไม่นานหรอก เดี๋ยวเราก็เข้มแข็ง เต็มที่ จากคุณ : yongkun (Yongkun) เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 14:13:34

ความคิดเห็นที่ 10 ผมไม่ได้บอกว่าตัวเองอยู่ปี 3 เลยนะครับ ปี 1 ครับ จากคุณ : ฮูลาฮูบ เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 14:18:04 A:58.11.232.219 X: TicketID:293206

ความคิดเห็นที่ 11 บริษัทไม่ได้อยากได้คนที่เก่งภาษาครับ บริษัทอยากได้คนที่ทำงานวิชาชีพได้ และพูดภาษาที่3ได้ด้วย ลองเซิร์ชใน jobsdb ครับแล้วจะพบความจริง จากคุณ : lARtZnolASt เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 14:42:37

ความคิดเห็นที่ 12 เคยคิดแบบนี้ค่ะ เลยมาเรียนสายวิทย์ เพราะคิดว่าภาษาใครๆ ก็เรียนได้ ไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาอย่างเดียวโดยเฉพาะ  แต่ถ้าย้อนกลับไปได้ก็อยากเลือกสายภาษาเหมือนกันค่ะ ชอบอ่ะ ชอบกว่า เพราะว่าตอนนั้นคิดได้แค่นั้นค่ะ รู้อะไรไม่มาก จากคุณ : Youzen เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 14:42:53

ความคิดเห็นที่ 13 เราจบม.ปลายสายวิทย์และจบตรี-โทสายวิทย์ แต่ชอบภาษาต่างประเทศมาก ๆ ค่ะ เริ่มเรียนภาษาที่สามที่สถาบันภาษานอกมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปีหนึ่ง พอเรียนจบปีสี่ก็มาต่อโทสายวิทย์ที่ประเทศเจ้าของภาษานั้น ปัจจุบันมีครอบครัวอยู่ที่นี่ ทำงานอิสระแปลเอกสารให้กับบริษัทแปลในยุโรปและบริษัทต่างชาติที่ส่งสินค้าไปไทย  งานแปลมีเข้ามาตลอดจนเราสร้างฐานลูกค้าได้ ต่อรองราคากับลูกค้าได้ และกำลังขยายกิจการโดยการสร้างทีมนักแปลเฉพาะด้านขึ้นมา ซึ่งตอนนี้ทีมงานของเราประกอบด้วยวิศวกรและผู้ที่เรียนจบสายภาษามาโดยตรง เวลาส่งงานให้คนในทีมงานทำพบปัญหาคือ วิศวกรสามารถแปลเอกสารได้รวดเร็ว ไม่มีปัญหาด้านศัพท์เทคนิค ใช้โปรแกรมช่วยแปลได้คล่องมาก แต่จะไม่ละเอียดรอบคอบ บางทีแปลตก ๆ หล่น ๆ ส่วนคนที่เรียนสายภาษามาโดยตรงจะใช้เวลาแปลนานกว่า เพราะไม่คุ้นกับศัพท์เทคนิค ต้องใช้เวลากูเกิ้ลหาข้อมูล และใช้เวลาเรียนรู้การใช้โปรแกรมช่วยแปลนาน บางครั้งเราต้องเทรนการใช้โปรแกรมผ่าน skype ให้ แต่ทำงานได้ละเอียด แปลแทบไม่ตกหล่น แต่ก็อาจขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยส่วนบุคคลด้วยก็ได้ งานแปลที่เราได้รับส่วนใหญ่จะเป็นงานแปลเอกสารทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ยานยนต์ ซอฟท์แวร์  เราคิดว่าเราได้งานแปลเหล่านั้นมาทำเพราะเราจบสายวิทย์และมีทีมงานที่เป็นวิศวกรค่ะ  แต่ข้อเสียของการที่เราไม่ได้เรียนจบสายภาษาหรือการแปลมาก็คือ ตอนนี้เราไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมล่ามและนักแปลของประเทศนี้ได้ เนื่องจากคนที่จะเข้าสมาคมนี้ได้ต้องเรียนจบสายภาษาหรือการแปล หรือมีประสบการณ์ทำงานแปลหลายปีเท่านั้น  นอกจากนี้เรายังไม่สามารถสอบเอาวุฒินักแปลที่ได้รับการรับรองจากรัฐของประเทศนี้ได้ เพราะผู้มีสิทธิสอบต้องจบสายภาษาหรือการแปล หรือมีประสบการณ์ทำงานแปลที่ยาวนานหลายปีเท่านั้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราคงไม่เปลี่ยนไปเรียนสายภาษาค่ะ แต่จะเรียนเอาวุฒิทางสายภาษาเพิ่ม  ถึงแม้จะเรียนภาษาที่สามในสถาบันสอนภาษานอกมหาวิทยาลัยได้ แต่สถาบันเหล่านี้ไม่ได้สอนวิชาต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการแปล เช่น หลักภาษาศาสตร์และวากยสัมพันธ์ เจ้าของกระทู้อย่าไปสนใจคนที่มาหัวเราะเยาะเลยค่ะ ถ้าคุณชอบทางด้านนี้จริงก็เรียนไปเถอะ แรก ๆ พ่อแม่เราและคนอื่นก็ว่าเรานะคะ ว่าทำไมเรียนจบสายวิทย์แต่มาทำงานด้านภาษา พ่อแม่นี่เป็นห่วงเรามากเลย เกรงว่าเราจะเป็นภาระให้สามี และเกรงว่าจะเลี้ยงตัวเองไม่ได้เพราะงานแปลไม่ได้เป็นงานประจำ แต่ตอนนี้พวกเขากลับเห็นดีเห็นงามกับเราพอรู้ว่าเรามีงานเข้ามามากกว่าทำงานประจำ และมีรายได้เท่ากับหรือมากกว่างานประจำในประเทศนี้อีก เราเคยคุยกับน้องที่จบคณะอักษรฯ ที่เราให้งานแปลไปทำ น้องเล่าให้ฟังว่าเพื่อน ๆ ในภาควิชาก็ได้งานดี ๆ ทำทุกคนค่ะ  ตัวน้องคนนี้ได้งานทำในบริษัทแห่งหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานกับต่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเรียนจบไม่กี่เดือนเท่านั้น  หลังจากนั้นก็ได้ทำงานที่สำนักงานแปล เงินเดือนที่ได้คือสามหมื่นบาท แต่เสียดายที่ทำที่นั่นไม่ได้นานเพราะต้องไปเรียนต่อโทที่ต่างประเทศ  แนะนำว่าเจ้าของกระทู้อย่าไปสนใจคนที่พูดจาเยาะเย้ยเลยค่ะ แต่ถ้าเป็นไปได้ คุณก็ควรเลือกเรียนวิชาเลือกหรือเรียนปริญญาตรีอีกใบในสาขาเฉพาะด้าน เช่น บัญชี บริหาร หรือสาขาอื่นที่คุณสนใจไว้ด้วย คุณจะได้เปรียบคนที่เรียนจบสายภาษาอย่างเดียวค่ะ แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 54 16:08:19 แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 54 15:49:51 จากคุณ : Sonnenschein เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 15:45:15

ความคิดเห็นที่ 14 ผมคนนึงที่จบมาด้านภาษา อักษรศาสตร์เต็มๆ โดยส่วนตัวไม่เคยเจอใครดูถูกเช่นกัน แต่ผมเห็นด้วยกับคุณปีเตอร์นอร์ธ สายนี้ค่อนข้าวขาดทุน เพราะว่าอย่างที่ข้างบนว่าไว้ ภาษาใครๆก็ฝึกได้ ถ้าย้อนเวลาไปผมก็คงไม่เรียนเช่นกัน แต่ช้าก่อน...ถ้าว่ากันจริงๆแล้ว ผมได้อะไรมากกว่าควมรู้ด้านวิชาชีพจากคณะนี้เยอะเลย ผมโดนบังคับอ่านหนังสือวรรณกรรม แล้วก็สอบวิจารณ์ต่างๆนานๆ สิ่งเหล่านี้มันซึมซับเป็นแนวคิดในการใช้ชีวิต ในการสื่อสาร ในการทำความเข้าใจโลก และแนวคิดเหล่านี้มันก็มีผลต่อการทำงาน ยิ่งไปกว่านั้น...การใช้ชีวิต ผมถือว่าเป็น มูลค่าที่ถูกซ่อนเอาไว้ เวลาทำงาน พูดคุยกับลูกค้า เราจะมีเสน่ห์ครับ (ลูกค้าเคยยกลูกสาวให้ผมเลยนะ 55) ดังนั้นจะว่าไม่มีประโยชน์คงไม่ได้ เราแค่ต้องรู้จักใช้มัน ทีนี้มีคำถามว่าถ้าเราจะไปสู้กับคนอื่นโดยใช้อาวธเดียวกับเขาจะทำไง คำตอบก็คือต้องศึกษาเพิ่มครับ การศึกษาเพิ่มอาจทำได้ด้วยการเรียนราม หาตำรามาอ่าน มันไม่มีทางลัดอื่นๆ เรื่องพวกนี้ไม่ยาก เราแค่ต้องวางแผน และมีความพยายามมากขึ้น ปัจจุบันผมทำงานไม่ได้ใช้อักษรศาสตร์เลย ผมไม่ได้เป็นล่าม หรือนักเขียน ไม่ได้ทำงานสายท่องเที่ยว แต่ผมก็ยังใช้ภาษาตลอด ภาษาเป็นมากกว่างาน แต่เป็นชีวิตประจำวันที่ผมต้องสื่อสารกับโลกภายนอก   ในส่วนการทำงานความรู้ที่ผมใช้ เป็น finance เลข บัญชีบ้าง บริหารธุรกิจ ผสมผสานกันไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมก็เติมจากการศึกษาเพิ่ม และเรียนต่อ ผมก็ยืนอยู่เคียงข้างเด็กวิศวะ เด็กบริหารได้อย่างไม่ต้องอาย ผมอาจจะใช้ excel สู้เด็กวิศวะไม่ได้ แต่มันก็ไม่หนีกันเท่าไหร่หรอก ข้อดีคือเนื่องจากผมมาจากสายอาร์ต ผมจะเพ้อเจ้อกว่า 55 ทุกอย่างมันปรับแก้กันได้ครับ อยู่ที่ตัวเราเลย ปล. น้องผมก็จบภาษา ทุกวันนี้ทำงานการตลาดส่งออก เป็นพนักงานดีเด่นของแผนกด้วย แก้ไขเมื่อ 25 ธ.ค. 54 15:50:03 จากคุณ : Mr. Prodigy เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 15:46:51

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าคนคิดมาก คุณ จขกท ก้อโง่เหมือนที่เค้าว่านั่นแหละครับ ขอโทษที่พูดแรงๆ จงยืนหยัดกับความชอบของตัวเองและขยันหมั่นเพียร ตั้งใจจริง แล้วจะดีเองครับ ในระหว่างนี้ จะมีมารผจญมาพูดทำให้เสียกำลังใจได้ตลอดเวลา เป็นธรรมชาติของคนครับ ดังนั้น ถ้าเราไม่เอามันมาทำให้เสียกำลังใจ ก้อไม่มีใครทำลายเป้าหมายหรือความฝันในชีวิตเราได้ จากคุณ : เคนตะซัง เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 18:55:32

ความคิดเห็นที่ 16 เห็นหลายคห.บอกว่าถ้าย้อนเวลาได้จะไม่เลือกเรียนสายนี้  ตรงข้ามกับเราเลยค่ะ ถ้าเราย้อนเวลาได้เราจะเลือกเรียนสายภาษาตั้งแต่ม.ปลายเลย(เราจบม.ปลายสายวิทย์) ตอนนี้เราอยู่ปีสาม และเรียนเอกภาษาที่สาม แรกๆเราก็โดนแบบเจ้าของกระทู้นะ แต่เวลาผ่านไปแล้วเราพิสูจน์กับตัวเองได้ว่านี่แหละคือเส้นทางของเรา เราก็ภูมิใจในตัวเองมาก และมีความสุขในการเรียนทุกๆวันเลยค่ะ จากคุณ : ~\MINKU/~ เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 18:58:07

ความคิดเห็นที่ 17 เรียนภาษา ถ้าอยากให้ดี ก็ต้องเป็นภาษาที่ไม่ค่อยมีใครเขาเป็นกันสิครับ และ ฟัง พูด อ่าน เขียน สกิล 4 อย่างนี่ต้องไปด้วยกัน เก่งกันให้หมด ไม่ใช่ฟังได้ แต่พูดไม่ได้ อันนี้ จบ ใบวัดระดับ วิชาชีพอะไร ไปสอบได้ ก็ลองไปสอบซะ คนเก่งยังไงก็ขายได้ครับ ... จากคุณ : Reki เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 54 08:45:32

ความคิดเห็นที่ 18 ฟังคำ ฟังอย่างสงบ คนเราความคิดไม่เหมือนเรา เขาพูดเช่นนั้นเพราะเขาก็เห็นต่างจากเราอ่ะ อะไรที่เขาพูดใส่เราแล้วเราเห็นว่าดีเก็บไว้ แต่คำพูดไหนที่เขาพูดมาเราฟังแล้วเอามาคิดมากแบบนี้ปล่อยทิ้งไปครับ อย่ามาใส่ใจ จากคุณ : Kunaun&Kadookmoo เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 54 09:57:16

ความคิดเห็นที่ 19 คือเราต้องรู้ก่อนเรียนเพื่ออะไร จขกท บอกไปเรียนภาษาแต่อยากทำด้านบริหาร เป็นใครก็มองครับว่ามาผิดทาง แล้วสมัครงานจะมีใครรับครับนอกจากงานล่าม จากคุณ : เด็กขงเบ้ง เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 54 13:26:47

ความคิดเห็นที่ 21 คนจบทางภาษา ถ้าคุณจะทำงานวิชาชีพ ซึ่งการสื่อสารเป็นเรื่องรอง ความรู้อื่นเป็นเรื่องหลัก คุณก็ต้องไปเรียน ไปอบรมเสริม ในส่วนที่คุณหายไป มันก็จะตรงข้าม กับนักวิชาชีพ ที่ภาษาไม่เอาไหน ก็ต้องไปอบรมภาษาอังกฤษ หรือภาษาที่ สามเพิ่ม ถึงจะพูดไม่ได้ว่า สองทางข้างบน มันไม่ได้ยากง่ายเท่ากัน แต่ ต้องบอกว่า คนเราไม่มีใครแก่เกินเรียน จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 26 ธ.ค. 54 20:18:22

ความคิดเห็นที่ 22 ย้อนไปได้ก็ไม่เรียนครับ ประเด็นอยู่ที่เป้าหมายของเรา แต่ด้วยวัยและประสบการณ์ขณะนั้น ก็ยังไม่มี ก็ดั้นด้นเรียนจนจบ งั้นพี่ขอบอกจขกท.เลยละกัน ถ้าไม่มีเป้าหมายชัดเจน เช่น ฉันต้องเป็น ล่าม ครูสอนภาษา ไปใช้ชีวิตต่างแดน ไกด์นำเที่ยวภาษาที่สาม ถ้าไม่มีเป้าหมายในการทำงานเกี่ยวกับภาษาที่กำลังเรียนอยู่เลยตอนนี้ ถอยได้ถอยเลยครับ ไปเรียนในสาขาที่คุณอยากเรียน เพราะไม่อย่างนั้นคุณจบไป คุณก็จะไปได้แค่บางสายเท่านั้น เช่น ธุรการ เสมียน ประสานงาน ที่พูดมานี่จากประสบการณ์ล้วนๆ ตอนนี้พี่เบนสายออกมาเรียนโทด้านบริหารแล้ว ก็เหมือนจะดีขึ้นนะ แต่ยังไงอดีตก็ลบเลือนไม่ได้ ก็ยังมีภาษีไม่เท่าคนจบบริหารตั้งแต่ป.ตรี ลองกลับไปถามตนเองดูนะ จากคุณ : Das ist ein Mensch เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 54 00:57:02

ความคิดเห็นที่ 23 ผู้ใหญ่อย่างเราตัดสินใจเดินตามทางที่เลือกเองหลายครั้ง ในสายตาคนอื่นนับว่า “โง่” กว่าเรียนภาษาที่ 3 ด้วยซ้ำ จงมั่นใจในความเป็นตัวของเราเอง สิ่งที่เราชอบ และทางที่เราเลือกเอง ^^   ป.ล. เราก็จบภาษานะ และทุกวันนี้ใช้ภาษาที่เรียนมาทำมาหากินทั้งงานประจำ งานฟรีแลนซ์ งานพาร์ตไทม์เลยล่ะ จากคุณ : The Field Where I Died เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 54 22:25:55

ความคิดเห็นที่ 24 ## Mr.Prodigy จริงหรอครับ ที่ความสามารถด้านการใช้ Excel ไม่หนีเด็กวิศวะเท่าไหร่ Excel มันเป็นแค่เครื่องคิดเลขครับพี่  สิ่งที่คุณมองไม่เห็นคือ  Logic ของวิศวกรครับ แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 54 01:34:12 จากคุณ : St.Wells เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 01:31:43

ความคิดเห็นที่ 25 ถ้าเราย้อนเวลากลับได้  เชื่อไหม  เราเลือกสายภาษา ตอนนั้นเราเลือกระหว่างสิ่งที่รัก(ภาษา)กับสิ่งที่ทำได้ดี(คอมกราฟ) เราเลือกสิ่งที่ทำได้ดีและคิดที่จะเรียนภาษาเสริมเอา เฮ้อ ทำไมตูไม่เรียนภาษาที่สองสามสี่ไปเลยนะ จากคุณ : นักออกแบบไส้แห้ง เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 21:47:31

ความคิดเห็นที่ 26 #24 ดูเหมือน Mr.Prodigy ใช้ finance เลข บัญชีบ้าง บริหารธุรกิจ ผสมผสานกันไป ในงานของเขา Excel ที่เค้าใช้ คงไม่ต้องถึงกับมี Engineering sense หรอกครับ ขอแค่มีความรู้เพิ่มเติม ที่ศึกษามาเองทีหลังเพียงพอ  อาจจจะคิดอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมมากไป เหมือนนักบัญชีหลายๆ คน บ้าง ก็คงไม่เป็นไร ผมว่าแค่ Convert นักภาษาศาสตร์ เป็น นักบัญชี หรือ นักการจัดการดีๆ ได้ นี่ก็เก่งแล้ว จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 23:18:38