วันนี้มีเวลา ล่ะ ของเรา ของใช้ชื่อว่าชีวิตลิขิตได้ ... เราเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน เตี่ย แม่ แต่งงานแบบตลุมถุงชน ไม่แน่ใจว่าเค้ารักกัน หรือเปล่า มีลูก 8 คน เราเป็นคนที่ 5 ตั้งแต่จำความได้ ครอบครัวอยู่บ้านเช่า หลังคามุงจาก แถวฝั่งธน ครอบครัวคนจน ปัญหา ก็เยอะมากมาย เตี่ย ขายก๋วยเตี๋ยว แม่ขาย ก๋วยจัีบ รถเข็นทั้ง 2 คน เนื่องจาก ลูก 8 คน เตี่ย กับ แม่ทะเลาะกันแทบวันเว้นวันเลย เตี่ยเป็นคนโมโหร้ายมาก เวลาทะเลาะกับแม่ ก็ลงไม้ลงมือกัน เล่น จานบินชามบิน ตลอด และ ก็เวลาเค้าทะเลาะกัน ก็ลาม มาถึงลูกๆ ก็ โดนกันทุกคน
เราไปโรงเรียนวัด ของเทศสบาล จำได้ไปโรงเเรียนปีแรก ไม่มีรองเท้านักเรียนใส่ อาหารมื้อกลางวันก้เป็น ห่อข้าว กับไข่ดาว ไปกินแทบทุกวัน ก หรือบางที ก้แค่กล้วยน้ำหว้า ลูกเดียว พี่ชายเรา 2 คนต้องไปขายไอติม เวลาเลิกเรียน ช่วยหาเงิน พอเราโตสัก ป.3 ได้ ด้ต้องไปช่วยชายของ ไปขายของที่งานวัดเข็นรถไป กว่าจะกลับบ้านเข้านอน ก็ประมาณ ตี 1 พอ ตี 5 ต้องตื่นแต่เช้ามาก่อไฟ ช่วงที่ เรียนโรงเรียน วัด ถึงวันพระ ก็ไปเข้าโบสถ์ฟังพระเทศน์ พระท่านก็สอนให้เป็นคนดี สอนให้อดทน พ่อแม่มีบุญคุณ ทำให้เราเกิดมา แต่เวลา เตี่ย กับแม่ทะเลาะ กัน ก้พาลมาด่าลูกๆ ประจำ และแถบแม่ไม้มวยไทย ให้ ด้วย บ่อยครั้งมาก จากเหตุการณ์ นี้ ทำเอา พี่สาวเรา เรียนไม่จบ เพราะ โดนด่า โดนตีเวลานั่งทำการบ้าน เค้าก็ต้องออกจาก โรงเรียนมาช่วยขายของ และเลี้ยงน้อง เพราะเตี่ย กับแม่ด่าประจำ ว่าเป็นลูกสาว เหมือนมีส้วมน่าบ้าน เดี๋ยวโตไป ก็มีผัว เรียนไปก้เปลืองตังค์ หรือ ด่าว่าไป เรียนเดี๋ยวจะท้องไม่มีพ่อบ้าง....แถมท้วงบุญคุณ อีกว่าให้เกิดมา แล้ว เปลืองตังค์ ค่าเลี้ยงมาจนโต ก้ดี หนักหนา แล้ว และด่าคำหยาบๆ อีกมากมาย
และเตี่ยก็ด่า และแตะพี่ชายเราประจำ จน พี่ชายเราเริ่มโต ก็ยังโดน จน พี่ชายทนไม่ไหว เรียนจบ ม.6 ก็ หนีออกจากบ้าน ไปอาศัยอยู่กับป้าของเพื่อน ไปช่วยเค้าขายของบ้าง ไป เป็นกระเป๋ารถเมล์ ไปรับจ้างเข็นผักที่ปากคลองตลาด อยุ่หลาย ปี จนแม่เค้าทนไม่ไหว ก้ไป เรียก ให้ กลับบ้าน มาเรียนต่อ พาณิชย์ แม่รักลุกชายมากกว่า ลุกสาว พี่ชายจบก็รไปสอบรับราชการได้
ส่วนเราก็พยายามทนเรียนๆ แม้เค้าจะด่า จะตี อย่างไร ก้อดทนเอา เคยโดนด่ามาก จน เราเคยเดินร้องไห้ไปตามถนน ไม่อยาก กลับบ้าน เลย และ ก้เคยคิดฆ่าตัวตายหลายๆ รอบ พอคิดแต่ล่ะรอบ ก้คิดถึงคำเทศน์ของพระที่ว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปมหันต์ ก็หยุดชะงัก และช่วงที่เรียนตอนเย็นก้ต้องรีบกลับบ้านมาช่วยขายของ วัน เสาร์-อาทิตย์ ก็ไม่ค่อยได้ หยุด เวลาอ่านหนังสือ ทำการบ้าน ก็ต้องเลยช่วง 3 ทุ่มถึง ตี1 อย่างงี้ ประจำ แต่ใจเราคิดเสมอว่า ชีวิตเราต้องไม่เป็นอีก่วยจั๊บ ที่เด็กแถวๆบ้านเรียกเราอย่างงี้ และตั้งใจไว้เลยว่า อย่างไร ก้ต้องดอทน ให้เรียนจนจบ หลายๆ ครั้งเค้าบอกไม่ให้เรียนแล้ว เพราะเรียนไปเดี๋ยวมีผ้ว มีท้องไม่มีพ่อ เราก็เถียงๆ ว่าไม่ต้องกลัวว่าจะ ไมีผัว เพราะชาตินี้จะไม่แต่งงาน ที่นี้เค้ายิ่งโมโหมาก หาว่ามาเถียง เตี่ย ก็เข้ามาตบ ตี จนเราเกือบสลบ แม่ หรือ พี่ไม่มีใครกล้าเข้ามาห้ามเลย ตอนนั้นเรา อยากตายมาก ก้บอกไป เลย ว่า ฆ่าเราให้ตายเดี๋ยวนี้เลย เราไม่กลัวตายแล้ว และไม่อยาก อยู่ ด้วย จน รู้สึกว่าข้างบ้านเข้ามาห้าม มั่ง เตี่ยจึงหยุด ตี เค้าพยายามหลายครั้งมากที่จะไม่ให้เราเรียนแต่ แม่ ก็พยายามเก็บเงินให้เราเรียนจนจบราม
พอเรา จบราม สาขาบัญชี เราก็สมัครงาน หางานที่ต่างจังหวัดที่มีที่พัก เพราะเราเบื่อ เสียงทะเลาะกัน ของแม่ และเตี่ย แต่ช่วงนี้ เตี่ย กับแม่ทะเลาะกันน้อยลง เราทำงานที่ต่างจังหวัด นับว่าเป็นช่างเวลาที่เราเริ่มมีความสุขกับชีวิต อิสระ แต่เราก็ ไกลับบ้าน ที่กทม.เดือนล่ะ ครั้งเอาเงินไปให้เตี่ย กับแม่ใช้ ที่นี่เค้าก้เริ่มดีกับเรา ด้วย และ เพราะ ลูกๆ เริ่มโต และเค้าคงเริ่มแก่ตัวมากขึ้น และที่เราผ่านช่วงเวลา นั้นมาได้ ก็ต้องขอขอบคุณ พระที่เทสน์สอนเรามา ทำงานที่ต่างจังหวัด อยุ่ 5 ปีได้ เตี่ยก็เริ่มสุขภาพ แย่ลง ป่วย เป็น มะเร็ง เราก็ขอย้ายมาทำงานที่ กทมใ เพื่อดูแลเค้า ...เตี่ยป่วยอยู่เกือบ 2 ปีเค้าก้เสีย..
เราก้ย้ายที่ทำงาน มาทำงานกับบริษั ญี่ปุ่นได้ เกือบ 3 ปี ทำงาน แต่ล่ะที่ไปสักพัก ก็มี ปัญหา เราก้เริ่มหางานใหม่ ก็มาทำบริษัทฯต่อเรือ ของ อเมริกัน และก็มีปัญหาอีก ก้ มาทำงาน บริษัท ของชาวสวีเดน เกี่ยวกับโทรศัพท์ ครั้งสุดท้าย นี่ช่วง วิกฤตต้มย่ำกุ้ง โดนให้ออก แบบ ไม่ยุติธรรมมาก เพราะไอ้คนที่เรียนไม่จบ แต่ ประจบเจ้านายเก่ง ทำงานแบบโง่ๆ แต่หัวหน้าชอบเพราะจะได้ไม่รู้ทัน ไม่เถียง ด้วย เกาะเก้าอี้ ไอ้หัวหน้าอยุ่รอดปลอดภัย...ก่อนออก ก้เถียงกับไอ้หัวหน้า เฮงซวย จนอยาก เอาปืนไปยิงมันเลยล่ะ..แต่ก็โชคดี ที่ยังหักห้ามใจ ไม่ทำลงไป ..
ก้ตกงานอยู่เกือบ 2 ปี หางานอยากแล้ว เพราะ อายุเกิน 35 ปี กระ ไปเรียนหล่อเรวิ่นบ้าง เรียนปั้นดอกไม้บ้าง แต และครั้งสุดท้าย ร้านเน็ต กำลังเริ่ม ฮิต เราก้เอาเงินที่มีทั้งหมด มาสร้างต่อเติมย้านพี่ชาย ทำร้านเน็ต โดยมีน้องชายช่วยซ่อม หลานชายช่วยรัลงานพิมพ์รายงาน ส่วนเรารับแปล งาน ส่งอีเมล์ ก็มีงานมาให้แปลอีเมล ตอบอีเมล์เป็น ภ. อังกฤษ ภาษาเราก้ไม่ได้เก่องอะไรมากมาย แต่ พอดีช่วงทำงานได้ ทำงาน บ.ญี่ปุ่น งานบริษัทฯอเมริกัน และงานบริษัทฯ ใหญ่ ของชาวสวีดีส ก้พอรู้เรื่องภาษาอังกฤษ มาพอสมควร
พอ ทำร้านเน็ต โปรมแกรมไอซีคิว ตอนนั้นฮิตมา เราก้เล่น ด้วย หา ฝรั่งคุย ด้วย เพราะ อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร และมีเน็ต อยู่กับร้าน สนุกล่ะวิ ก็มีหลายคนเข้ามาคุย ด้วย บ้างคนก้ดี บ้างคนก็ลามกมากๆ เราก้บอกไปเลย ห้ามคุยเรื่องลามก นะ ที่นี่ กเราก้ เบื่อ ชีวิต ร้านเน็ต ล่ะ เพราะ เหนื่อย ทำงานเปิดร้าน 9 โมงเช้า กว่าจะได้นอตี1 ตี2 พิมพ์งาน ทำนามบัตร อะไรเยอะๆ ที่นี้เราก้เสริท์หาเว็บหาเพื่อนฝรั่ง คุย ดีกว่า ก้เข้าไปที่เว็บ Friend Findder ก็ไปสดุตาที่ หนุ่มมะกันคนหนึ่งบอกว่า เป็นโสด อายุมากกว่าเรา 4 ปี เคยเป็นนักดนตรีเล่น กีต้า โอโฮ ท่าทางถูกใจ อ่ะ เพราะ เราชอบคนร้องเพลงเล่นกีต้ามาก สมัยเรียนราม เพื่อน คนหนึ่งก้เล่นกีต้าร้องเพลงกัน และ ก็คิดว่าคนที่มีดนตรีในหัวใจ คงไม่เป็นคนโมโหร้าย เหมือนเตี่ยเรา เพราะเรากลัวเจอคนโมดหร้ายมาก
ก็ส่งอีเมล์ไปหาเค้าก่อน เลย บอกว่า อยู่ประเทศไทย ภ.อังฯ อ่อนแอมาก คุณมาเป็นเพื่อน ฉันหน่อย นะ และต้องการความช่วยเหลือ เรื่องภาษา ด้วย เพราะตอนนี้ เปิดร้านคอม มีคนมาให้ ส่งอีเมล์ เป็นภาาาอังกฟษ และต้องแปล อีเมล์ จาก อังฯ ให้เป็นไทย ด้วย คนนี้ คุณโรเบิร์ต ก็ตอบมา บอกว่ายินดี เป็นเพื่อน ด้วย โอ ดีใจจัง มีคนช่วยเรื่องภาษา ด้วย ก็ ส่งอีเมล์กันสักพัก เราก้บอกเค้าไปสมัคร ไอซีคิว วิ เราจะได้ คุย กัน ซึ่ง เค้าไม่รุ้จัก ไอซีคิว อ่ะ เราก็บอกเค้าไป ก้คุยกันได้ แบบ แป๊บๆ เพราะเวลา ที่เค้าอยู่กับประเทศไทยต่างกัน 12 ชม. คือ ตอนเช้า ของเค้า ก่อนไปทำงาน ก้ประมาณ 5โมงเย็นที่ไทย ก็ ส่วนใหญ่ใช้ส่งอีเมล์กัน อยู่หลายเดือน เค้าก็บอก อยากคุย แบบใช้เสียง ทางเน็ต เราก้ กลัว เหมือนกัน กลัวคุยไม่รู้เรื่อง และ เราก็ลองใจเค้า ด้วย เราก้บอกเค้าว่าไม่มีไมค์ อ่ะ เค้าซื้อส่งมาให้ที่ไทยเลย..ก็คุยๆกัน เอ้คนนี้เข้าท่าดีเหมือนกัน เพราะไม่เคยชวนคุยเรื่องลามก อะไร....ต่อมาเค้าก็บอกว่า ดูรูป และรู้จัก เรา คุยด้วยแล้วสบายใจ อยากเป็นแฟนได้เปล่า...เอาล่ะซิที่นี้งานเข้า เลย เราก็บอกเค้าว่ายูแน่ใจ นะ เพราะเราเป็นคนจริงจังเรื่องพวกนี้ เค้าบอกจริงๆ เราก็บอกไปว่าเราเป้นเพื่อนไปก่อนดีกว่า เค้าก้ดอเค สักพักเค้าก็บอกว่า ไม่เป้นเพื่อนแล้วขอเป้นแฟน อีกรอบ เราก็คิดกลับ เอ้ เราก้อายุเยอะ แล้วลงจากคานดีเหมือนกัน ก้เลยตกลง แต่เราก็ทดสอบเค้าเยอะ นะ ก่อนตกลงเป็นแฟน ที่นี่มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนเค้าตาย เนื่องจากหัวใจวาย เค้าก้บอกว่าเพื่อนตายเสียใจมาก เพราะเป็นเพื่อนรักที่เล่นดนตรี ด้วยกัน และบอกเราว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน ชีวิตมันสั้นนัก เคยไม่อยาก อยู่คนเดียว เค้ามาขอแต่งงานอ่ะ อ้าวงานเข้าอีกรอบ เราก้ถามเค้าว่า ยูแน่ใจ นะ เค้าบอกแน่ใจ แต่เค้าก็บอกว่า เค้าไม่รวย เพียงแต่ มีงานทำที่บริษัท ไม่ไกลบ้านเค้า ถ้าเรามาอยุ่ที่นี่ มีบ้านให้อยู่ มีข้าวให้กิน มีความรักให้ ..โอ๊ยๆ คพอได้ยิน อย่างงี้ เอาไงดีหว้า ก็ ปรึกษาาพี่ น้องแต่ล่ะคนค้านหมด ว่าจะโดนฝรั่งหลอก หรือเปล่า ตอนนั้น ก็คิดว่า ถ้าไม่ดี ก็ เลิกก้ได้ หรือให้มันรู้กันไปเลยว่า ฝรั่งจะหลอก หรือ ตนไทยจะหลอก ฝรั่ง ที่นี่เค้าก็ตกลงบินไปแต่งงานที่ไทย ตอนนี้ก้ผ่านมาเกือบ สิบปี วันที่ 25 กพ. ก็ครบ 10 ปีพอดี และเรายังพิมพ์เก็บอีเมล์ที่ติดต่อกัน มาด้วย
...แต่คิดว่าชีวิตเรายังไม่ถึงจุดสูงสุดแต่แค่นี้เราก็พอใจแล้วค่ะที่ได้ มาอยู่กับคนดี ที่เค้ารักเราเราจริง ทุกวันนี้ยังไม่รวย ค่ะ... แต่ก็คิดว่า สักวันคงพาคุณโรเบริืต คนนี้ไปใช้ชีวิตที่ไทยแน่ๆเมื่อถีงเวลาอันเหมาะสม..จริงถ้าเป็นไปได้ อยาก มีธุรกิจอะไรสักอย่างที่มีเงินมากพอ ที่จะ อยู่ไทย 6 เดือน ช่วงหน้าหนาวที่นี่ และ กลับมาอยู่ที่นี่เมื่อหน้าร้อน ..ตอนนี้ก้พยายาม เก็บเงิน เพื่อทำธุรกิจ สักอย่างอยู่.....
แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 09:35:22
แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 09:00:20