ความคิดเห็นที่ 1 เคยเจอลูกชายพันล้าน บัณฑิตป้ายแดงจากอังกฤษ จะเอาที่ดินไร่ละ 35 ล้านไปทำร้านคาร์แคร์เจาะตลาดnicheรับเฉพาะรถหรูๆ ,, คอนซัลต์กลุ้ม จากคุณ : ร้ายวันละนิดจิตแจ่มใส เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 08:59:19

ความคิดเห็นที่ 2 มีป้ายแดง รุ่นยุโรปทุกคันในที่จอดรถ ประมาณ 10 คัน แต่พนักงานตาดำ ๆ ขึ้นเงินเดือน 2 %  ประมาณนั้น จากคุณ : makotojung เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 09:13:18

ความคิดเห็นที่ 3 เคยได้ยินคำว่า "Third Generation" ไหม รุ่นปู่สร้าง รุ่นลูกขยายจนใหญ่โต แต่รุ่นหลานจะทำพัง เพราะรุ่นหลานไม่เคยเห็นความลำบากของคนรุ่นเก่า เกิดมาบนกองเงินกองทอง รู้แต่ว่าจะใช้เงินที่คนรุ่นเก่าสร้างมาอย่างไร คนพวกนี้จะทำงานไม่เป็น อาศัยเกิดมาในวงศ์ตระกูลที่ร่ำรวย แต่สุดท้ายจะรักษาไว้ไม่ได้ พวกฝรั่งส่วนใหญ่เมื่อถึงจุดหนึ่งเขาจะดันบริษัทเป็นมหาชนเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อเปิดโอกาสให้นักบริหารฝีมือดี ๆ เข้ามาบริหารแทน แต่ของไทยส่วนใหญ่ยังเก็บไว้ให้ลูกหลาน พยายามปิดโอกาสคนนอกเพื่อสงวนทุกอย่างไว้ให้กับวงศ์ตระกูล ลองดูดี ๆ ธุรกิจใหญ่ ๆ ในเมืองไทยหลายอย่างที่เริ่มเข้าสู่ยุค Third Generation โดยเฉพาะธุรกิจที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ สร้างมานานแล้ว จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 09:29:31

ความคิดเห็นที่ 4 บริษัทเขา เงินเขา "ช่างหัวเขา" จากคุณ : ผ่านมา (pasad) เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 09:41:55

ความคิดเห็นที่ 5 ย้ายห้องแล้วหรอครับลุง :) จากคุณ : W.NoWz!! เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 09:43:16

ความคิดเห็นที่ 6 ไปทุกห้องแหละครับ ที่นึกไรได้ จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 09:49:50

ความคิดเห็นที่ 7 เคยเห็นทั้ง 2 แบบ 1 แบบแรกให้ลูกชาย ขึ้นรถเร่ขาย ไปแบกของ ไปเสนอขายตามร้าน   เพื่อให้เข้าใจว่า บริษัทอยู่ได้ด้วยคนเหล่านี้ และจะได้ดูแลพนักงานได้ดี 2 แบบที่ 2 จบนอก โก้หรู มีไอเดียจากตำรา ทันสมัย ออกนโยบายแสนดี   แต่ไม่เคยลงมาดูหน้างาน ไม่รู้ว่าปัญหามีอะไรบ้าง ดูแต่ตัวเลข ผมว่ามันขึ้นอยู่กับแนวทาง ส่วนตระกูลเก่าแก่ ที่ทำธุรกิจมานานจะสอนลูกหลานได้ดีกว่า จากคุณ : master_zo เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 10:05:11

ความคิดเห็นที่ 8 บ้านผม ถึงจะไม่ใหญ่ขนาดนั้น แต่ก็ถือว่ามีอะไรคล้ายๆกันครับ จะมาพังเพราะรุ่นผมนี่แหละ เพราะไม่มีประสบการณ์การทำงานข้างนอก เลยพัฒนาอะไรไม่ถูก ในใจก็อยากจะพัฒนาอะไรให้มันเป็นไปในทางที่ควร แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง เริ่มตรงไหน เคยลองหลายทีแล้ว สุดท้ายก็พังครับ เพราะติดปัญหาอะไรหลายๆอย่างที่ยังแก้ไม่ได้ จากคุณ : luferial เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 10:20:55

ความคิดเห็นที่ 9 ว่าที่กระทู้แนะนำ.... จากคุณ : เขียนบน iPhone (OTL) เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 10:22:50

ความคิดเห็นที่ 10 อย่าไปด่าเค้าเลยคะ เพราะมีคนโง่ เลยมีคนฉลาด เพราะมีควาย ถึงมีข้าวกิน เค้าเอาเงินที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายเค้าสร้างกันมา มาละลายหมุนเศรษฐกิจแบบนี้ก็ดีนักแล เงินมันจะได้ไม่กระจุกอยู่ที่คนกลุ่มเดียว หมุนเวียนมาให้คนอื่นๆ เป็นเรื่องน่ายินดีคะ จากคุณ : sukritudom เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 11:56:20

ความคิดเห็นที่ 11 ว่ายาก ประเมินเขาจากตอนนี้เหมือนจะเร็วไปหน่อย ถึงจะเป็นว่าที่ไม้ใหญ่ แต่ปัจจุบันเขายังเป็นหน่ออ่อน ก็เคยเห็นทั้งหน่ออ่อนที่ไม่รู้จักโต  และ หน่ออ่อนที่เติบโตขึ้นจนเป็นไม้ใหญ่ได้ จากคุณ : จิ๋วจี๊ด เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 12:53:40

ความคิดเห็นที่ 12 ตอนที่ผมเข้ามาทำแทนพ่อใหม่ๆ ก็คงโดนลูกน้องเก่าๆแก่ๆ นินทาแบบนี้แหล่ะมั้ง จากคุณ : king bamboo เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 13:00:17 A:182.52.215.107 X: TicketID:248730

ความคิดเห็นที่ 13 เราต้องมองสองด้านครับ บางทีมันก็มีเหมือนกันที่ไม้แก่ ๆ ในบริษัท พอเจอทายาทผู้บริหารใหม่ เค้ายังไม่ทันกระดิกทำอะไร ก็คิดไปในแง่ลบซะแล้ว ... แบบนี้ก็มีเยอะนะ อย่าลืมว่าคนเรามันไม่ได้เก่ง ไม่ได้เซียนกันมาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่เรียนจบ ประสบการณ์มันต้องสั่งสมทั้งนั้น แต่เค้าก็มีสิทธิที่จะขึ้นมาอยู่ระดับบน เพราะเค้าคือเจ้าของ ... ยอมรับกันมั๊ยล่ะ จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 13:48:40

ความคิดเห็นที่ 14 คุณหนูร้อยล้านพันล้าน เข้ามาใหม่ๆก็คงแบบนี้กันหมดนะคะ แบบว่า ไลฟ์สไตล เพื่อนแฮงค์เอาท์ สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด พอผ่านไปซักพัก ถ้าลงมือทำงานเองจริงจัง บางคนเขี้ยวซะยิ่งกว่ารุ่นพ่ออีก แต่ก็หลายราย ที่ไม่ทันเขี้ยวงอก ธุรกิจก็พับไปก่อน หรือถูกคนนอกเข้าครอบงำ เคยไปสัมภาณ์งานกับโรงงานแห่งหนึ่ง เพื่อนร่วมงานที่เก่าเค้าไปเป็นใหญ่เป็นโต ชวนไปบุกเบิกด้วยกัน เคยทำงานจนรู้กันแบบไม่ต้องถาม แค่ให้คุณหนูสัมภาษณ์ตามมารยาท แต่เพื่อนแอบกระซิบ กรุต้องตามใจเขาว่ะ ทำไรไม่เป็นตามกรุหมด แต่ต้องถามเพราะเป้นลูกเจ้าของ เอาละเว้ย ลางสังหรณ์เริ่มทำงาน พอถึงวันสัมภาษณ์ นัดบ่ายโมง เราต้องลางานที่เก่า ขับรถไปสี่ชั่วโมง เที่ยงครึ่งโทรเช็คกับเพื่อน อยู่ตรงไหน ใกล้ถึงแล้ว ทางเข้าโรงงานกันดารโคดๆ แต่มีรถมินิสีขาว ที่ไม่น่าจะมาขับในละแวกนั้น สวนไปด้วยความเร็วสูง สังหรณ์ใจชอบกล สงสัยว่าจะเป็นคนที่เราต้องไปคุยด้วยหรือเปล่า พอถึงโรงงาน เป๊ะ เพื่อนทำหน้ายู่ยี่ ขอโทษขอโพย คุณหนูขับรถไปส่งเพื่อนขึ้นเครื่องในเมือง รอก่อนนะ อืมมม ไม่เป็นไรไหนๆก็มาละ ไปเดินดูโรงงานก่อนก็ได้ กำลังก่อสร้างขยายโรงงาน จนบ่ายสาม คุณหนูโทรมาบอกว่า จะกินข้าวกับเพื่อนก่อน ตอนเย็นค่อยคุยกันนะ เลยบอกเพื่อนว่า สงสัย จะไม่ได้ทำงานด้วยกันแล้วว่ะ นายทนได้ทนไปนะเพื่อน เงินเดือนเกือบแสน แต่ต้องมาเจอแบบนี้ ขอลาว่ะ จากคุณ : Jarunya.b เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 13:55:08

ความคิดเห็นที่ 15 จะด่าคนพูดหลุดภาษาอังกฤษว่าโก้ตาย ทำไมอะคะ? บางทีบางคนเค้าก็หลุดจริงๆนิดๆหน่อยๆ... จากคุณ : Nikomosphere เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 14:32:48

ความคิดเห็นที่ 16 เข้ามาใส่ ปล. จริงๆเราร้อนตัวน่ะค่ะ เพราะบางทีมันหลุดจริงๆนะ ไม่ใช่ว่าทุกคำ ไม่ได้เรียกตัวเองว่า I คนอื่นว่า you หรืออะไรแบบนั้น แต่เป็นบางคำที่มันออกไปแบบ กระทันหันเช่น เดินชนแล้วติดสวนกลับไปเลยว่า sorry อะไรแบบนี้... ขอโทษนะคะ ไม่เกี่ยวกับกระทู้ เมื่อกี้อ่านๆอยู่แล้วงง ว่ามันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ จากคุณ : Nikomosphere เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 14:43:00

ความคิดเห็นที่ 17 เห็นมาเยอะค่ะ อยู่ในสังคมเพื่อนแบบนี้ก็แยะ Who am I to judge them? เอาเวลามาทำบุญ เกิดชาติหน้าจะได้รวยๆมั่งดีกว่า 555 จากคุณ : Kitty lover เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 14:43:14

ความคิดเห็นที่ 18 คห 10 คะ   ละลายแบบนี้ไม่ช่วยค่ะ  เงินออกนอกประเทศเป็นหลักเลยนะนั่น จากคุณ : รินบุญญา เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 14:50:39

ความคิดเห็นที่ 19 เคยเห็นในบริษัทคู่แข่ง รุ่นพ่อขับกระบะเก่าๆ ส่งของ จนรวย ทุกวันนี้ยังขับกระบะคันเดียว (Isuzu มังกร) รุ่นลูกจบวิศวะจุฬาไปต่อเมืองนอก กลับมาถอยซีคลาสป้ายแดง นั่งตำแหน่ง Managing Director ในบริษัท ทุกคนสบประมาทเค้าหมด ว่าที่คุณชาย แต่งตัวไฮโซ ไปดูงานที พักโรงแรมคืนเฉียดหมื่น ทำงานมาห้าปีแล้ว ปีแรก บริษัทกำไรขึ้น 15% ปีที่แล้วบริษัทกำไรขึ้น 400% จากปีสุดท้ายก่อนเขาเข้ามาบริหาร ลูกน้องจาก 20 คน (เป็นวิศวกรระดับโท-เอก) ตอนนี้เพิ่มเป็นเกือบร้อยคน ส่วนพ่อเค้าก็ยังขับกระบะคันเดิม วางมือให้ลูกชายคุมเองหมดแล้ว คนรสนิยมดี.... ไม่ได้แปลว่าไม่มีความสามารถนะครับ.... จากคุณ : ลุงเหว่ย เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 15:37:29

ความคิดเห็นที่ 20 เจ้านายฝรั่งผมเล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนประมูลงานกัน ไม่เคยเห็นบริษัทนี้ในสายตา ตอนนี้ต้องวิ่งเต้นอุดตลุด บางทีต้องจ้างบริษัทนี้ไม่ให้เข้าประมูลด้วยซ้ำ เพราะสู้ราคาเขาไม่ไหว บริษัทผม ทุนจดทะเบียน 200 กว่าล้านบาทนะครับ.... จากคุณ : ลุงเหว่ย เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 15:39:14

ความคิดเห็นที่ 21 เข้าใจว่า จขกท พูดถึงพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อครับ ไม่ได้หมายถึง คุณหนูทุกคน ส่วนตัวเคยมี ปสก ทั้งดีและไม่ดีเหมือนกัน แบบไม่ดีก็เสนออะไรไปก็ไม่ดีไม่ได้ไม่เอาไม่สนใจจะดูรายละเอียด ผมก็หัวเราะในใจสิครับ บริษัทคุณไม่เอาก็ไม่ต้องเอาทนค่าบำรุงได้ก็ทนไป บัญชีค้อนทุกปีว่าค่าซ่อมแพงกว่าค่าซื้อใหม่ จากคุณ : Jump.Jr เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 15:54:33

ความคิดเห็นที่ 22 เราเองก็กลัวเหตุการณ์เช่นนั้นค่ะ ตอนนี้เลือกที่จะมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ข้างนอก แล้วแอบทำโน้นนี่โดยไม่บอกใคร สุดท้ายเจ๊งบ๊ง แต่ถ้าเจ๊งก็ช่างมัน อันนั้นเงินเรา ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องเสียดาย ไม่ต้องเสียใจ แต่เก็บมาไว้เป็นบทเรียน เราถือคติว่า คนจะเป็นเจ้านายคนได้ต้องรู้ทุกเรื่อง คุยเข้าใจทั้งหมด หากไม่รู้ก็ต้องรู้จักใช้คนให้เป็น การเป็นเจ้านายนั้นยากยิ่งกว่าการเป็นลูกน้องหลายร้อยหลายพันเท่า มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก ทุกวันนี้กลับบ้านใครๆก็มองว่าเป็นคุณหนู แต่เค้าไม่รู้ว่าอยู่กรุงเทพเนี้ย ... หน้ามือเป็นหลังเท้าเลย 555 จากคุณ : โจรดอกบ๊วย เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 16:25:52

ความคิดเห็นที่ 23 ทางแก้ คือ ต้องเพิ่มภาษีมรดก...ซะเลย ดีมั้ย เพราะเด็กสมัยใหม่ได้รับอานิสงค์และผลบุญมาจากรุ่นพ่อรุ่นแม่ ไม่ต้องดูอะไรห่างไกล ตระกูลที่ผูกขาดกิจการว่านามสกุลนี้ ต้องคิดถึงธุรกิจนี้ จนเปรียบเสมือนเป็นโลโก้นั่นแหละ สังคมก็เลยมองคุณหนูพันล้านทั้งหลายว่า พวกเขาเหล่านั้นทั้งเก่งและฉลาด ซึ่งความจริงมันไม่ใช่แบบนั้น มันคือการต่อยอดขึ้นมาจากทรัพย์สินที่มีอยู่ล้วนๆ นักบริหารฝีมือดีที่เป้นลูกน้องก็ต่อยอดยกชุดมาจากรุ่นพ่อล้วนๆ คนเดิมๆ มีแต่ผู้บริหารที่เปลี่ยนมือ ที่เหลือบรรดาคุณหนูก็เรียนรู้งานกันไป ต้นทุนทางสังคมเค้าดีกว่าคนเดินดินอย่างเรามาก ก็ไม่แปลกที่เค้าจะเนรมิตจะรังสรรค์สิ่งต่างๆสู่กิจการของพวกเค้าได้อย่างง่ายดาย สายป่านเค้ายาวกว่านี่นา เด็กเหล่านี้ถ้าไม่เหลวไหลจริงๆ เอาตัวรอดได้สบายมาก พวกเขาสบายกว่าลูกนางเมี้ยน ลูกนายชัยที่ทำงานต๊อกๆ เรียนรามไปด้วยทำงานไปด้วย จนได้เข้าไปทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ท้ายที่สุด มีคอนเนคชั่นใหญ่โต ความจริงเคสหลังนี่มันน่าภูมิใจกว่าเยอะ แต่สังคมไทยมันเป็นสังคมจอมปลอมที่มองความสำเร็จของคนอย่างฉาบฉวยไง มองแค่ว่าคนมีเงินมากกว่า มันโก้กว่า ดีกว่า แต่ไม่ได้ดูหรอกว่า เค้าสร้างรากฐานกันมาอย่างไร เห็นแล้วจะอ๊วก...(ลึกๆก็อิจฉาพวกเค้านะ อิอิ) ที่ทำงานของผม มีเด็กแบบนี้เยอะมาก เด็กบางคนก็เหมาะสมแล้วที่จะรับหน้าที่ต่อยอดธุรกิจของบิดามารดาต่อไป เรียนไม่เรียนเปล่า พยายามออกไปหาประสบการณืทำงานนอกบริษัทในเครือของตนเอง ยอมให้เค้าด่า เค้าว่า ทั้งๆที่ตนเองเป็นลูกเจ้าของกิจการใหญ่โตของอีกที แต่บางคนไม่ไหว หมดบุญพ่อแม่ขึ้นมา กลัวว่าจะไปไม่รอด เล่นอยู่ในอุปการะไม่ห่างไกลกันเลย ให้ฝึกงานในบริษัท ทำงานผิดพลาดขึ้นมา เจ้าหน้าที่ต๊อกต๋อยคนไหนจะหาญกล้าต่อว่าเกิดเจอคุณหนูร้ายลึกขึ้นมา พาลจะโดนเด้งทั้งแผนก คนนอกอย่างเราก็ได้แต่ดูห่างๆอย่างห่วงๆ ทำอะไรไม่ได้ คนพวกนี้เขาฉลาดอยู่แล้วล่ะครับ เค้าเลี้ยงลูกน้องเก่งๆไปประคองบริษัทของเค้าและลูกเค้าอยู่แล้ว อย่ากังวลไปเลย ถ้าดวงไม่แตกจริงๆ คุณหนูพันล้านคงเอาตัวรอดได้...สบายๆ จริงมั้ย จากคุณ : MoMo says เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 16:47:18

ความคิดเห็นที่ 24 อ่านทั้งหมดแล้วทำให้เห็นถึงอะไรบางอย่าง ซึ่งจริงๆ ก็เห็นมาเยอะแล้วเหมือนกัน 5555 จากคุณ : ZzIqka เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 18:47:43

ความคิดเห็นที่ 25 มันก็เปง เเบบนี้ ละครับ สุดท้ายใครไม่เก่งจริง  ก็ ล้ม ไปเองครับ จากคุณ : sandee.kung เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 19:13:55

ความคิดเห็นที่ 26 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมระวังตัวมาก ผมเองเป็น 3rd generation ครอบครัวเลี้ยงมาไม่สปอยเลย แต่เนื่องจากชีวิตไม่ลำบาก ก็เลยสบายๆ แม้ไม่ได้รวยเป็นพันล้าน แต่พ่อแม่ผมก็มีมากอยู่ แต่ผมตั้งปณิธานว่าผมจะไม่พึ่งสมบัติพ่อแม่ แม้ว่าวันนึงมันอาจจะตกเป็นของเรา แต่ผมจะต้องทำอะไรสำเร็จด้วยตัวเอง ผมจะใช้ชีวีวิต และคิดเยี่ยงคนจน ราวกับว่าผมไม่มีเงิน และพ่อแม่ไม่มีเงิน ถ้าผมไม่สามารถเริ่มต้นด้วยต้นทนที่ต่ำได้ ผมก็ไม่สมควรจะประสบความสำเร็จ ปัจจุบันผมไม่ได้สำเร็จอะไรมากมาย แม้มีการงานดี เงินเดือนสูง แต่ผมก็ถือว่ายังไม่ได้ทำตามความฝัน แต่สิ่งที่ผมพอจะยึดได้คือผมหลุดพ้นจากการสปอยทุกรูปแบบ :) จากคุณ : Mr. Prodigy เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 20:45:52

ความคิดเห็นที่ 27 เรานี่ไม่กล้ารับเลย มรดกทางอาชีพจากคุณพ่อ เพราะเป็นอะไรที่กลัวพังอย่างเดียว ผู้ใหญ่เขาทำไว้ดีมากๆ เราไร้ความรู้ ไร้ประสบการณ์ เลยไม่กล้ารับ ครอบครัวทำธุรกิจก่อสร้าง ตอนนี้เราเป็น Consultant IT  มันคนละแนวกันเลย >.<" เลยบอกปะป๊าไว้อย่างชัดเจน วันหน่ึงเหนื่อย เลิกทำก็สร้างได้ แต่อย่าให้รับทำต่อเลย ทำไม่ได้จริงๆ กลัวพัง จากคุณ : ying_aui เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 21:13:08

ความคิดเห็นที่ 28 อายุ/รสนิยม/ประสบการณ์/ลูกหลานใคร....ผมไม่ MIND เท่าไหร่..... ขอให้เก่ง/มีคุณสมบัติ/ความรู้ความสามารถ/การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้เทียบเท่า/ดีกว่าคนที่อยู่ในตำแหน่งนั้นควรจะมี.... จากคุณ : UNFORTUNATELY เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 21:13:47

ความคิดเห็นที่ 29 เรื่องแบบนี้ มีมาทุกยุค ทุกสมัย เปอร์เซ็นที่ เจอแบบนี้แล้วได้ดีก็มี ถ้าลูกหลานรู้จักปรับตัว ขยัน ทำงานเป็น แต่หลายเปอร์เซ็นทีเห็นเจอลูกล้างลูกผลาญ ที่ไม่ได้เรื่องหลายๆเจ้า โดนฮุบกิจการจาก คนในบริษัทนั้นเอง จากคุณ : du เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 23:09:47 A:110.168.173.74 X: TicketID:308748

ความคิดเห็นที่ 30 ญาติผมเนี่ยแหละครับ - -" ลูกคนโต ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จบภาคอินเตอร์มา แต่ไม่ตรงกับธุรกิจของที่บ้าน ลูกคนกลาง วัตถุนิยม คิดว่าตัวเองเหยียบเมฆ เรียน..ไม่จบ ลูกคนเล็ก ลองทำอะไรใหม่ๆ มองถึงอนาคตของธุรกิจที่บ้าน เรียนไม่จบ ซึ่งผมก็เคยบอกกับน้าผมไปเมื่อหลา่ยปีก่อนว่า ลูกคนโต กับคนกลางจะทำให้บริษัทน้าเจ๊งแน่ๆ แต่ลูกคนเล็กของน้าา จะทำให้บริษัทเจริญขึ้นไปอีก ปัจจุบันเค้าส่งลูกคนเล็กไปดูแลโรงงานกับการตลาดที่จีน ส่วนในประเทศให้ลูกอีก2คนดูแล สรุปได้ว่า ในประเทศยอดขายต่ำลงทุกวันๆ โทษคนนู้น โทษคนนี้ไปเรื่อย ไม่ได้เจริญต่อยอดจากที่พ่อแม่เค้าทำไปเท่าไหร่นัก ทำไมผมถึงรู้ เพราะจากการเคยได้ร่วมงานทั้ง3คนมาแล้ว คนโตนู่นนี่นั่นแต่ไม่ได้สาระอะไรเลย คนกลางโอ่ไปเรื่อย คนเล็กรู้จริงคุยงานสบาย แต่ตอนทำงานกับผมดันโดนคนกลางกดซะไม่ได้ทำอะไรเลย (- -") จากคุณ : Fares เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 23:27:59

ความคิดเห็นที่ 31 ที่ผมเคยเจอ ลูกคนรวย จบหมอ  มาเปิดคลินิคเสริมความงาม  พูดติดอ่างด้วย ผมเป็น เอาท์ซอส ไปเสนองาน วันที่เสนอ ก็ได้แต่  สั่งๆๆๆๆ สั่งให้ทำนั่น สั่งให้ทำนี่  .. ผมก็ ครับๆๆๆๆ ได้เลยครับ สุดท้าย ให้เซ็นต์สัญญาจ้าง   ก็ไม่เซ็นต์ แต่ผมส่งงานให้ทุกเดือน  เบิกจ่ายเงิน ปกติ ทีนี้ดันมาเจอทีเด็ด มีอยู่ครั้งนึง    ลูกน้องเขาประสานงานกับผม สั่งงานปกติ ผมก็ทำงาน  และก็ส่งงานปกติ แต่ที่นี้  มันดันไม่เซ็นต์เบิกจ่ายให้ผม  ??   ผมก็ งงเลย เขาอ้างว่า  "ท..ท..ที่ลูกน้อง ส..ส..สั่งงานผมรอบนี้อ่ะ  ผ..ผ..ผมยังไม่ได้อนุมัติ" ....  .... แล้ว  แล้ว  แล้วมันเกี่ยวกับผมตรงไหนวะ ผมก็โทรไปถามลูกน้องเขา  ลูกน้องก็บอกว่า  "นั่งคุยกันที่ประชุมแล้ว เขาก็โอเค นี่นา" อ้าว  ยังไงกัน สรุปใจความว่า  "ลูกคุณหนู (ไอ้ติดอ่าง)  ลืม!!!!" แต่ก็ยังไว้ลายนะ ค่างานที่จ้างผมทำ เดือนละ8พันบาท   ถ้าอยากได้ไปฟ้องเอา โห...........มิน่า ทำไมมันถึงรวย  อิ๊บอ๋ายเอ๊ย.... และเท่าที่สืบทราบ ไม่ใช่แค่ผมเจ้าเดียวที่ไอ้อ่างมันเบี้ยวแบบนี้  ทั้งค่าลงโฆษณาหนังสือเอย  ค่ายาเอย  ฯลฯ  มันทำกับเขาแบบนี้ไปทั่ว   คลินิกไอ้อ่างเอ๊ย.... จากคุณ : aumpaump12 เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 55 00:22:33

ความคิดเห็นที่ 32 ผมเป็น Third Generation เหมือนกันนะ ทำกันในเครือญาติแต่ส่วนใหญ่ก็จบนอกกันแต่ต่อยอดจากรุ่นพ่อได้ดีมากเลยนะครับ รุ่นอากงมาจากจีน แบกของ ทำไม้แขวนเสื้อ ขายขนม ออกเรือไปขายของตามคลอง รุ่นแม่ แอบเอาขนมไปขายในห้องเรียน ขายเรียงเบอร์ ขายของชำ ขยับเป็นยี่ปั้ว ขยายกิจการมินิมาร์ท-ข้าว รุ่นปัจจุบันตอนเด็กๆ ช่วยดูแลร้านเป็นแคชเชียร์ขายของ จัดเรียงสินค้า แบกของไปส่ง เช็คสต๊อกสินค้า เฝ้าร้าน   ตอนนี้ขยายกิจการ ยุบกิจการยี่ปั้ว เน้นการส่งออก-นำเข้าสินค้า แล้วแต่การดูแลสั่งสอนของพ่อแม่แหละครับ จากคุณ : Ploeauer เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 55 00:23:35

ความคิดเห็นที่ 33 วัยรุ่นพันล้านชัดๆ แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 55 01:28:53 จากคุณ : ไหนดำ เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 55 01:28:29

ความคิดเห็นที่ 34 ผม 4th gen แล้ว ถือว่าผ่านช่วงวิกฤตแล้วช่ายป่ะ อิอิ จากคุณ : OTL เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 55 01:49:22

ความคิดเห็นที่ 35 เจ้านายเก่า ลูกชาย ดร.หนุ่ม จากเมืองนอก กลับมารับราชการอยู่ มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ลูกสาว โท สองใบ กลับจากเมืองนอก สมัครงานเป็นพนักงานบริษัทขนาดกลางแห่งหนึ่ง ทั้งสองคน ของแบรนด์เนม ไม่เคยใช้ นั่งกินข้าว กับแม่บ้านในครัว และ ไม่คิดจะมารับช่วงต่อจากพ่อแม่ จากคุณ : total_memory เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 55 09:18:10

ความคิดเห็นที่ 36 มองในทางกลับกัน ธุรกิจรุ่นพ่อกระจอกๆ   จำพวกธุรกิจ SME เล็กๆเช่นโรงพิมพ์ โลงศพ ฯลฯ ยันธุรกิจขายของเก่า บ้านทำลูกชิ้นปลาขาย ตอกเฟอร์นิเจอร์บิ๊วอินท์ ฯลฯ กำไรนับแสนต่อเดือน นับล้านต่อปี แต่ทำงานวันละ 10ชั่วโมง รุ่นลูก ไม่อยากทำ เหนื่อย รักงานสบายเดือนหมื่น จนพ่อแก่แม่ตาย ธุรกิจไร้ผู้สืบทอด ผมมองว่าเรื่องงานที่ลูกเข้ามาบริหารเอง แล้วทำงานไม่โปร มองในแง่ความเป็นรุ่นพ่อแม่แล้ว เขาสร้างธุรกิจมา เขาก็อยากจะยกกิจการให้ เหมือนจ้างลูกมาทำงานมากกว่า วันใดที่มันส่งผลขนาดทำให้ธุรกิจเจ๊ง ผมว่าเขาก็คงไม่เอาไว้เหมือนกัน จากคุณ : A.R.T. เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 55 12:38:18

ความคิดเห็นที่ 37 ทุกอย่างมีสองด้านเสมอครับ จากคุณ : เด็กขงเบ้ง เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 55 13:44:28

ความคิดเห็นที่ 38 ระวังคุณหนูเขามานั่งอ่าน pantip แล้้วเจอกระทู้คุณนะครับ จากคุณ : Aria_zone เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 55 14:56:09

ความคิดเห็นที่ 39 เจ้านายคนปัจจุบันของผมก็เป็น third generation ครับ ตระกูลนี้รวยติดอันดับของประเทศ ลูกชายคนโต (เจ้านายผม) หน้าตาดีมาก (ย้ำครับว่าดีมาก) เติบโตและเรียนจบวิศกรรมเคมีจากอังกฤษ กลับมาเมืองไทยใหม่ๆพูดไทยไม่ชัด (ตอนนี้ก็ยังไม่ชัด 55) รสนิยมก็สูงตามระดับฐานะครับ เพื่อนฝูงล้วนแต่ไฮโซ เคยซื้อนาฬิกาให้แฟนเรือนละ 7 แสน (ตอนเอาบิลมาให้ผมทำเรื่องเบิก ผมแทบตกเก้าอี้!!) ซื้อคอนโดเงินสดที่หัวหินห้องละ 50 กว่าล้านเพื่อไว้ไปพักผ่อนปีละครั้ง ช่วงสงกรานต์ !! แต่.. แต่ธุรกิจของครอบครัวนี้ ถ้าไม่ได้ลูกชายคนนี้ ผมบอกได้เลยว่า ไปไม่รอดแน่ๆ เพราะกฎระเบียบต่างๆ คู่มือการปฏิบัติงาน รวมถึงนโยบายด้านคุณภาพ ก็เค้านี่แหละครับที่กล้ารื้อของเก่าและเริ่มต้นใหม่หมดอย่างไม่เกรงใจใคร ทั้งๆที่อายุเพียงแค่ 30 ต้นๆเท่านั้น ที่สำคัญเค้าอ่อนน้อมถ่อมตนและให้เกียรติพนักงานอาวุโสทุกคนในบริษัท เค้าเรียกผมว่า"พี่"พร้อมลงท้ายด้วยคำว่า "ครับ" ทุกครั้ง ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาทำงานที่นี่จนถึงวันนี้ ไฮโซ รสนิยมสูง ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่หลายๆท่านคิดเสมอไปครับ จากคุณ : Leopaul เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 55 19:17:48

ความคิดเห็นที่ 40 คห. 39 นั่นคิดว่าส่วนหนึ่งเพราะเค้าจบจากนอกด้วยครับ วัฒนธรรม มันเป็นแบบนั้น เจ้านาย กับ ลูกน้อง ไม่มีศักดินามากนักสำหรับยุโรปและอเมริกา CEO VP หรือผมเองที่เป็นวิศวกรธรรมดา ก็สามารถเดินตบไหล่ หรือพูดจาหยอกล้อเล่น ได้แบบไม่ต้องเกรงใจ  แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากนิสัยเค้าด้วยละมั้งครับ จากคุณ : St.Wells เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 55 20:17:05

ความคิดเห็นที่ 41 ที่ผมเจอส่วนใหญ่ เป็นเพื่อนร่วมงานที่บริษัทเก่า มีทั้งลูกเจ้าของกิจการระดับร้อยล้านขึ้น ลูกนักการเมืองระดับใหญ่ๆ ลูกข้าราชการระดับสูง ทายาทตระกูลเก่า เชื้อเจ้า ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นคนน่ารัก มั่นใจแต่ไม่หลงตัวเอง ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะ MD เลือกคนเก่ง (ตัว MD เองก็มาจากหนึ่งในตระกูลที่รวยที่สุดของเมืองไทย) เด็กพวกนี้พ่อแม่ส่งมาให้เป็นลูกจ้างก่อนเพื่อให้เรียนรู้การทำงานในระดับล่าง บวกกับสร้าง connection เพิ่มเติม บางคนก็อยู่นาน บางคนทำ 2-5 ปีก็ลาออกไปช่วยดูแลธุรกิจที่บ้าน ส่วนตัวผมว่า model แบบนี้ค่อนข้างดี ทำให้คุณหนูพันล้านทั้งหลายโลกกว้างขึ้น จากคุณ : Roby เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 55 03:36:30

ความคิดเห็นที่ 42 เขาถึงว่าแข่งอย่างอื่นแข่งได้ แต่ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้ ทำงานแลกเงินเดือน ผลประกอบการเน่าจากการบริหารผิด มันก็เข้าตัวเค้าเอง ไม่ว่าเค้าจะกระเทือนหรือไม่ก็ตาม คิดไรมาก  ถ้าบ.ไปไม่รอด จนกระทบถึงเรา อย่างมากก็แค่ หางานไหม ตามประสามนุษย์เงินเดือน มิได้เกิดมาก็คาบช้อนเงินช้อนทอง จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 55 04:22:45

ความคิดเห็นที่ 43 คห 39 นามสกุลทำสีรายใหญ่ที่สุดรึเปล่าคะ มีแฟนของเพื่อนคนนึงโพรไฟล์ใกล้เคียงกะคนที่คุณพูดมาก 555 จากคุณ : citizen girl เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 55 04:23:44

ความคิดเห็นที่ 44 กระทู้นี้ได้มุมมองใหม่ๆ ดีครับ อ่านไปแล้วมาย้อนมองดู  เอ..ทำไมเราไม่เคยใกล้ชิด + รู้จักเจ้าของหรือลูกเจ้าของบริษัทระดับประเทศเลยหว่า - -" แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 55 08:59:41 จากคุณ : Vimsy เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 55 08:59:17

ความคิดเห็นที่ 45 ... แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 55 09:34:04 จากคุณ : Kitty lover เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 55 09:26:47

ความคิดเห็นที่ 46 คคห 39 ที่ว่า เค้าซื้อนาฬิกาให้แฟนเรือนละเจ็ดแสน แล้วเอาบิลมาให้คุณทำเรื่องเบิก แปลว่าอะไรอ่ะ ??? จากคุณ : เคนตะซัง เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 55 10:14:42

ความคิดเห็นที่ 47 เปิดหูเปิดตา อิอิ จากคุณ : เรียนรู้อยู่ร่ำไป (OLYOH) เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 55 11:03:24

ความคิดเห็นที่ 48 ถือว่าเป็นนิมิตรหมายใหม่มากเลยคะ เป็นการเปิดหูเปิดตาของหนูอีกเหมือนกัน จะไดรู้ว่าคนเราต้องต้องผลงานมากกว่า ฐานะหรือรสนิยม จากคุณ : jureejung เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 55 17:28:25

ความคิดเห็นที่ 49 ตอบคุณ คคห.46 พูดง่ายๆ นาฬิกานี่ใช้เงินบริษัท ซื้อไม่ใช่เงินส่วนตัว ถ้าเป็นบริษัท แบบครอบครัว ก็ คงยอมอาโซียตี๋ได้ อาโซ๊ยตี๋จะได้มีเมียซะที แต่ถ้า เป็นมหาชน Audit เข้า ล่ะ มีเฮ เพราะถือว่านี่คือเงินเบิกใช้ส่วนตัว ตั้งลูกหนี้บริษัท ใช้คืน แต่อย่างว่ารวยเป็นพันล้านเงินเจ็ดแสนขนหน้าแข้งไม่ร่วง แต่เป็นผมละร่วงหมดตัวเลย แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 55 17:58:04 จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 55 17:57:20

ความคิดเห็นที่ 50 อืม...เข้ามาตะลึงกับความรวยของลูกเจ้านายทั้งหลาย มองดูตัวเอง หาเช้า-กินค่ำ  มีเงินพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องถึงสิ้นเดือน ก็นับว่าบุญนักหนาแล้ว แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 55 23:02:30 จากคุณ : BIOTOMNEG เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 55 23:01:53

ความคิดเห็นที่ 51 ไม่ต้อง the 3rd generation  ของคุณหนูพันล้านหรอก นี่ต้องครอบครัวเรานี่ เกิดมาจำความได้ รุ่นปู่ย่าตายายทำนาค่ะ ขยันค่ะ ก็มีที่นาให้รุ่นพ่อรุ่นแม่เราทำ ก็ไม่เยอะ แต่ก็มีพอส่งลูกเรียนหนังสือจบได้ทุกคน และรุ่นลูกที่เป็นรุ่นที่ 3 ของบ้านเรา มันจะขายที่นาที่บรรพบุรุษมีไว้ให้หมดแล้วค่ะ เอาไปปรนเปรอ กิเลส เพื่อเข้าสังคมค่ะ จากคุณ : ม่องเท่ง เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 04:42:07

ความคิดเห็นที่ 52 ตอบ 46 ในแต่ละปี บริษัทมี budget กันไว้ให้คนในครอบครับใช้จำนวนหนึ่งครับ (มากกว่าเงินเดือนผมรวมกัน 3 ปีอีก _ _'') คล้ายๆเงินกงสีแหละครับ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่นายๆทั้งหลายมาเบิกนั้น ตามระเบียบต้องมีใบเสร็จมาเบิกเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่ามีการจ่ายเงินไปจริงๆ เป็นการ control ไม่ให้มีการเบิกเงินสดไปใช้โดยหาที่มาที่ไปไม่ได้อ่ะครับ แต่ในส่วนของภาษี ทางบัญชีเค้าไม่ได้นำไปหักค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดครับ บริษัทนี้เป็น private company ครับ สรรพากรเคยบอกผมว่าเงินของเจ้าของบริษัท เค้าจะเอาไปทำอะไรมันเรื่องของเค้า แต่อย่าเอามาหักภาษีก็แล้วกัน ^^ จากคุณ : Leopaul เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 09:08:40

ความคิดเห็นที่ 53 #46 นอกจากนี้ยังเป็นการเลี่ยงภาษีได้ด้วยครับ เพราะการซื้อในนามบ. จะอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายบ. (ตรงใหนฟร่ะ ?) ทีนี้พอเป็นรายจ่ายมันจะเอาไปหักรายได้ ทำให้กำไรลดลง เป็นผลให้จ่ายภาษีนิติน้อยลงไปด้วย (และก็มาเขียน งด.ให้ตัวเองน้อยๆ ทีนี้ก็จะได้เสียภาษีบุคคลน้อยอีก เวลาจะซื้ออะไรชิ้นใหญ่ๆก็ในนาม บ. เอา) โดยถ้าว่ากันจริงๆ ทรัพย์สินที่ซื้อมาจะต้องเป็นของบ. แต่ถ้าเป็น บ.ครอบครัวมันก้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าบ.มหาชนคงแย่แบบที่คห. 46 ว่า ปล.แต่จริงๆอย่าคิดว่า บ.มหาชนเค้าไม่มีหนทางเลี่ยงกันนะครับ บ.มหาชน เจ้าของ(ผู้ถือหุ้นใหญ่)กินใช้ผ่านเงินปันผล ซึ่งปรกติจะถูกหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปรกติ ทีนี้เค้าก็เลียงๆบาลี โดยการตั้งบ.นอมินี มาถือหุ้นแทน ถ้าแอบบไปตั้งต่างชาติจะยิ่งตามยากเงินปันผลก็ไปเข้าที่นิติบุคคล จากนั้นก็เมครายจ่ายกันสนุกสนาน (ที่เรียกว่า การฟอกเงินไงครับ)  เพราะกม.มีช่องโหว่คนรวยถึงรวยเอารวยเอา คิดดูไอคอนโด 50 ล้าน ถ้าเสียภาษีถูกต้อง (โดนทั้งบุคคลธรรมดา โดนทั้งนิติ) รายได้รัฐจะเพิ่มมาแค่ใหน ปล. เพิ่งเห็น #52 รู้ได้อย่างไรครับว่าเค้าไม่ได้เอามาหัก ถ้าไม่ได้มาหักจริงๆขอชื่นชมด้วยแต่ผมเชื่อว่ามีน้อยมากๆๆ แหละที่อุส่าห์เบิกอย่างนี้แล้วไม่มาหัก แต่จริงๆการซื้อลักษณนี้ก็อาศัยช่องว่ากม.ทางอ้อม เพราะการซื้อด้วยเงินบ. มันต้องเป็นทรัพสินของบ. จริงๆแค่เอามาใช้ส่วนตัวมันก็ผิดวัตถุประสงทางกม.แล้ว เงินเค้าก็จริง แต่ถ้าให้ถูกเงินที่จะเอาไปซื้อของส่วนตัว ต้องผ่านการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก่อน โดยลักษณะธุรกิจอย่างนี้อาจเป็นรูปแบบแบ่งกลับเป็น เงินเดือนหรือปันผล ซึ่งต้องเอาไปคำนวนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกครั้ง ซึ่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเสีย เยอะกว่าสูงสุด 37 % แต่ภาษีนิติเสียเพียง 30%  (ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะลดเป็น 23%  ด้วย) ผมว่าถ้าจนท.สรรพากร พูดอย่างนี้จริงผมว่าไม่ถูกแล้ว ถึงไม่เอาไปหักภาษีแต่รัฐยังเสียส่วนต่างถึง 7 % ลองคิดดูนะครับ ถ้ากำไร 100 ล้านบาท ในนามนิติบุคคลต้องเสีย 30 ล้านบาท แต่จะใช้ส่วนตัวถ้าโอนเงินนี้มายังบุคคล เท่ากับ บ.ไม่กำไรจะไม่ต้องเสียภาษีนิติ แต่เสียภาษีเงินได้บุคคลแทน ถ้าโอนมา 100 ล้าน ในนามบุคคลธรรมดาต้องเสีย 37 ล้าน เห็นมั้ยรัฐขาดทุนไป 7 ล้าน จุดประสงค์ที่รัฐเก็บภาษีนิติน้อยกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น เพื่อจะส่งเสริมการลงทุน เพราะกำไรในส่วนนิติ ตามกม.แล้วต้องมาใช้ลงทุน และเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบต่อ แต่ถ้านำมาซื้อขอส่วนตัวอย่างนี้คิดว่าถูกวัตถุประสงค์หรือครับ แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 55 10:31:08 แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 55 10:20:04 แก้ไขเมื่อ 09 ก.พ. 55 10:14:03 จากคุณ : hil4552 เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 10:03:24

ความคิดเห็นที่ 54 คุณหนูพวกนี้ได้รับโอกาสที่ดีจากพ่อแม่แล้วครับ บุญวาสนาดีกว่าคนอื่น มีต้นทุนมากโขเลย เก่งหรือไม่เก่งอันนี้ว่ากันอีกเรื่อง แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือ การตกจากที่สูง มันจะเจ็บหนักครับ การทำธุรกิจมันมีวัฐจักรของมันครับ มีขึ้นมีลง ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า มีปัจจัยภายในภายนอก ใครปรับตัวได้ก็อยู่รอด ใครปรับตัวไม่ได้ก็ล้มหายตายจากไป จะรู้ว่าเก่งหรือไม่เก่ง ต้องดูตอนเจอวิกฤตเนี่ยแหละครับ ชัดเจนดี ลองนึกถึงตอนวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ก็ได้ คนฆ่าตัวตายทุกวัน ตกงานกันเพียบ จากที่ผมเคยเจอมา คนที่ครอบครัวรวยมาก่อนแล้วจน มักจะจมไม่ลงครับ ทำไงได้ คนมันเคยกินอยู่อย่างราชา ต้องมากินข้างแกงข้างถนน ใช้ของถูกๆ ใครมันจะทำใจได้ ไหนจะเรื่องเพื่อนฝูงก็ทิ้งไปหมด พอถึงเวลามีก็นับเพื่อน แต่เวลาล้มก็ตัวใครตัวมัน สุดท้ายหาทางออกไม่ได้ก็คิดสั้น มีให้เห็นเยอะแยะไปครับ ต่างจากคนจนมาก่อนแล้วรวย แม้จะสิ้นเนื้อประดาตัวอย่างไร ขาดทุนย่อยยับแค่ไหน ก็ยังพอทำใจได้ เพราะเคยจนมาก่อน ก็คิดซะว่าสูงสุดคือสู่สามัญ ค่อยๆสร้างใหม่ คนพวกนี้จะมีภูมิคุ้มกันดีกว่า หากลูกคุณหนูคนไหนมาอ่านกระทู้ ขอให้พึงระลึกไว้เสมอนะครับว่า การสร้างให้สำเร็จนั้นว่ายากแล้ว แต่การรักษาให้คงอยู่สืบไปนั้นยากยิ่งกว่า ขอให้โชคดีครับ จากคุณ : จับวาง (จับวาง) เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 10:15:53

ความคิดเห็นที่ 55 ไปรับจ้างทำงานให้เค้า แล้วเอาเค้ามานินทา ผมว่าไม่มืออาชีพครับ จากคุณ : linder445 เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 21:14:55

ความคิดเห็นที่ 56 มันเป็นทุกที่แหละครับจะไม่นินทา ลูกค้า มัน ไม่มีหรอก Outsource ทุกที่แหละ ถึงเวลาก็จับกลุ่มคุยกัน เล่าใหกันฟัง บริษัทนี้ เก็บเงินยาก บริษัทนี้ ลูกเจ้าของโง่ มันบอกหมด อย่าคิดนะครับว่าบริษัทใหญ่เลือก คนทำงานอย่างเดียว คนทำงานOutsource กบเลือกนายนะครับ ถ้าไม่เก๋า ไม่มืออาชีพ หรือกลัวไม่มีงานทำ คงไม่เอานินทาแบบนี้หรอครับ มือสมัครเล่นไม่กล้า เฮ้ย กับบริษัท ใหญ่หรอก แต่พวกผม สบายๆ ไม่พอใจก็ไม่ทำ งานอื่นล้นมือ จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 22:16:38

ความคิดเห็นที่ 57 ที่ดีๆ ชมก็เยอะนะครับ ไม่ใช่ไม่มี ไว้ว่างๆ จะเล่าให้ฟัง เอาหนังตัวอย่างก่อน บางบริษัทนี่ พ่อทำงาน สร้างบริษัทขนม ลูกต่อยอด ทำบริษัทผลิตถุงขนม รวยแล้วก็ ยังนิสัยดี ถึงเวลากินข้าว โน่นเลย ครับ เจ้าของโรงงานกับจับกังนั่งกินข้าว โรงอาหารเดียวกัน บางทีลูกน้องเถียงกันใครจ่ายตังค์ ลูกชายเจ้าของ ตะโกน"ku จ่ายเอง" จบเลยครับ หรือบริัษัท ผลิต บะหมี่ แห่งหนึ่ง ลูกชาย จากสองภรรยาช่วยกันทำงาน แบ่งฝ่ายกัน บริษัทจนยิ่งๆๆ และยิ่งรวยก็มี จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 22:32:48

ความคิดเห็นที่ 58 พวกทำงานให้แล้วไม่จ่ายเงิน เบี้ยวหนี้ ในรุ่นลูกทั้งที่พ่อซื่อสัตย์นี่ไม่ นินทาหรอกครับด่ามันเลย จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 55 22:33:52

ความคิดเห็นที่ 59 เคยเจอครับ ที่ทำงานเก่าผม พี่สร้างไว้ ไปอยู่เมืองนอก ให้น้องดูแลการเงิน ตื่นบ่ายๆ มาเซ็นต์ แบบหน้าหงิกๆ ด่าๆๆ ลูกน้อง ทั้งหมดนี้น่าจะไม่เกิน 2 ชม. จากนั้นก็ไปอยู่แถวร้านอาหาร กินเหล้า เคล้านารี กว่าจะเสร็จภาระกิจท่าน ก็ เกือบเช้า แต่มันก็เรื่องของเขา  แค่เล่าสู่กันฟัง จากคุณ : gtbboyz เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 55 01:46:21

ความคิดเห็นที่ 60 ขอเสริม ความเห็นทีี 49คะ เรื่องเอาเงินบริษัทมาทำเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว เราเจอมาหลากรูปแบบมาก จากการตรวจสอบบัญชี อยาคิดนะคะว่าจะหลบสายตา AUDIT พ้น บางบริษัทถึงขั้นทำบิลปลอม ซิกแซกกันไปมา แต่ว่า AUDITOR บางคนปล่อยผ่านเพราะว่าเบื้องบนส่งมา งานก็ต้องเข้าทางเรา ต้องมานั่งหาวิธี ตลบตะแลง :-)สรรพากรให้อีก เหนื่อยนะคะ ที่จริงไม่สนับสนุนให้ทำคะ เพราะว่าถ้าสรรพากรเข้ามาประเมิน บริษัทจะลำบาก โดยเฉพาะแผนกบัญชีนี่แหละคะ คือกลุ่มคนที่จะซวยเต็มๆ น่าสงสารและเห็นใจเป็นอย่างมากจริงๆ บางที เราเข้าใจเลยพอไปถาม ลูกค้าว่าอันนี้มันค่าใช้จ่ายอะไรเนี่ย ลูกค้าก็รู้อยู่ในอก พูดมากก็ไม่ได้มองตากันแล้วเข้าใจเลย ถ้า ผู้บริหารจะทำเพื่อความสุขตัวเองเนี่ย ช่วยกรุณา นึกถึง พนักงานของท่านด้วยนะคะ ถ้าสรรพกร เข้ามาประเมิน ก่อนจะด่า แผนกบัญชี ช่วยย้อนกลับไปดูสิ่งที่ท่านทำด้วย หรือถ้าคิดจะทำกัน ขอแบบเนียนๆนะคะ คิดจะทำถึงขั้นนี้แล้ว ด้วยความเคารพ และหวังดีคะ แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 55 18:16:29 จากคุณ : punro937 เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 55 18:14:50

ความคิดเห็นที่ 61 แว๊บเข้ามาดู บุญวาสนามันแข่งกันไม่ได้จริงๆ แถมยังเรื่องสายป่านและการซิกแซกอีก ประเทศเรานี่ช่างน่าอยู่จริงๆ อย่างที่เค้าว่า ต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน จากคุณ : กุ้งเต้นชามะนาว เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 55 22:20:34

ความคิดเห็นที่ 62 อ่านเนื้อหาของ จขกท.แล้ว สรุปออกมาได้ว่า คงมีปัญหาในวิธีคิด เก็บกด มองโลกในแง่ลบ สุดท้าย ปัญหาจะเกิดกับความก้าวหน้าในการดำเนินธุรกิจของ จขกท.เอง คุณหนูพันล้าน มีมากมายครับ ในวงธุรกิจ เมื่อเราเข้าไปได้มีโอกาสติดต่องานกับเขาและเธอ หากเราเป็นผู้มีวุฒิภาวะสูงกว่า ประสบการณ์มากกว่า อันดับแรกเลย ต้องมองอย่างเข้าใจ และอยากจะช่วย จะทางตรงหรือทางอ้อม นั่นอยู่ที่เราวิเคราะห์ถึงลักษณะนิสัยของเขาและเธอ หน้าที่ๆสำคัญของพลเมืองคือ ทำให้ชาติพัฒนาไปข้างหน้า การที่เราช่วยให้คนๆหนึ่งเก่งขึ้นมา และถ้าคนๆนั้น มีภาระกิจต้องสืบทอดธุรกิจที่ต้องรับผิดชอบพนักงานจำนวนมาก และก็มีส่วนช่วยพัฒนาชาติไปในตัว กรณีที่ยกมา ในกรณีแรก ถ้าเป็นผมจะบอกปัญหาถึงความเดือดร้อนจากการที่เงินไม่ออกตามที่กำหนด คุยอย่างมิตร สายตาจริงใจ  สิ่งที่เขาละเลยหน้าที่ จนทำให้เราต้องเดือดร้อน ไม่ใช่เพราะเจตนาที่จะแกล้งเรา แต่เป็นเพราะความรับผิดชอบเขายังไม่สูงพอที่จะทำตำแหน่งนี้ เราต้องมีส่วนกระตุ้นเตือนเขา เพื่อให้ในวันหนึ่งข้างหน้าเขาจะมีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น และสุดท้าย เป็นผลดีทุกฝ่าย ใจเราร่มเย็นเพราะได้ให้ พนักงานดีขึ้น เพราะเขามีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในกรณีที่2 ที่เสนอเปลี่ยนserver ผมมองว่า เป็นปัญหาของผู้เสนอต่างหาก ธุรกิจคือการเปรียบเทียบว่า อะไรให้ผลตอบแทนสูงกว่ากัน ในกรณีนี้ เงิน50000 บาท ไม่มีผลต่อความมั่นคงทางการเงินแน่นอน ตัดสินใจง่ายมาก เพียงแค่ว่า ผู้เสนอซื้อ ไร้ขีดความสามารถที่จะนำเสนอให้ผู้มีอำนาจ รู้ได้ว่า ถ้าไม่ซื้อจะเสียอะไร ถ้าซื้อจะได้อะไร คนที่ไม่อยู่ในสายคอม บางครั้งก็ไม่เข้าใจหรอกครับว่า เทคโนโลยี่ที่สูงขึ้นในระบบสารสนเทศนั้น จะทำให้ประสิทธิภาพขององค์กรสูงขึ้นได้อย่างร ส่วนเรื่องที่เธอ(คุณเล็ก) ยังมีวิธีคิดเชิงตรวจสอบ(อนุรักษ์นิยม) แทนที่จะใช้วิธีเชิงก้าวหน้า หานวัตกรรมใหม่ๆในการบริหาร เพราะเธอยังขาดประสบการณ์ หากเราผ่านไปพบและได้รู้จัก และคิดว่าวุฒิภาวะเหนือกว่า ประสบการณ์มากกว่า ก็แชร์กับเธอดีกว่ามานั่งจับผิดเธอมิใช่หรือ เพราะการแชร์ที่ที่ดี สิ่งที่สร้างสรร ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย แต่การจับผิดผมไม่เห็นประโยชน์อะไรเลย จากคุณ : พี (peh_chai) เขียนเมื่อ : 11 ก.พ. 55 08:39:30

ความคิดเห็นที่ 63 เปล่าเลยครับคุณ พี เรื่องที่เล่าเป็นเล่าสู่กันฟังเฉย เพราะเรื่องการที่ผมเป็น outsource ให้ใครนั้น ผมไม่ค่อยแคร์อะไรถ้าไม่กระทบกับงาน การนำเสนอถ้าคุณเจอคนที่ไม่เอาถ่านอะไร ไม่ว่าจะอะไรเขาก็ไม่สนใจ บางคนเกิดมา คาบช้อนเงินช้อนทองมา มาถึงใช้เงินเลย เรื่องการนำเสนอ เรื่องพวกนี้ มันพูดยาก บางทีแซะออกมาจากห้องทำงานเขาเชิญประชุมยังไม่อยากจะมา นั่งกด บีบีก็เยอะ เรื่องพวกนี้ ไม่เจอไม่รู้ ไม่ต้องนั่งจับผิด เลยครับ แค่มองปุ๊บก็เจอ ว่า แบบนี้ ไม่ไหว บางบริษัทผมไม่ต่อสัญญาก็เยอะ เพราะปล่อยคนของผมลงไป คลุกงาน ก็มีปัญหากลับมา ตอนหลังผมเลือกบริษัทที่ ู้ผู้บริหารมืออาชีพหรือ ต่างชาติดีกว่า คุยกันง่ายกว่าไม่ต้องการ ให้วุ่นวายอะไร ไม่ใช่ผมมองจับผิด เพราะบริษัทที่ดี ก็เยอะครับ บางบริษัทเจ้านายกับลูกน้องจับเข่ากินข้าวกันก็เยอะ จากคุณ : ทาสเทวี เขียนเมื่อ : 11 ก.พ. 55 11:47:37

ความคิดเห็นที่ 64 เฮ้อ เข้ามายืนยัน 53 และ 60 อีกทีครับว่า "ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ไม่เคยนำมาหักภาษีครับ" และคอนโดไม่ได้ซื้อในนามบริษัทครับ ใช้เงินส่วนตัวครับ การวางแผนภาษีของบริษัทผมนั้น เหนือชั้นกว่านี้มากครับ เป็น tax evasion ครับ มิใช่ tax avoidance และบริษัทผมก็ใช้บริการ audit 1 ใน big 4 แต่ก็ไม่เคยเห็นจะมีประเด็นเลยซักปีนะครับ ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าตรวจพบแต่ไม่เป็นประเด็น หรือจริงๆแล้วตรวจไม่เจอเลยกันแน่ !! ปล. ผมก็เคยทำงาน audit ที่ big 4 มาเกือบ 15 ปีครับ ตั้งแต่ออกมาทำงานในที่ปัจจุบันเกือบ 10 ปี ถึงแม้จะไม่ได้ทำงานด้านบัญชีแล้ว แต่ก็ให้คำแนะนำน้องที่ดูแลบัญชีให้สู้รบกับสรรพากรมาโดยตลอดครับ แต่ก็ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง ^^ จากคุณ : Leopaul เขียนเมื่อ : 11 ก.พ. 55 19:43:00

ความคิดเห็นที่ 65 คนเราเกิดมาต้นทุนเท่ากันครับ เสื่อผืน หมอนใบ ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐี แล้วมันไม่เท่ากันตรงไหน หรือ คนอายุเท่าคุณ จะรู้ได้ไง ว่าอีก 5 ปี หรือ 10 ปี เค้าจะไม่กลายเป็น "โคตรเศรษฐี" (ไม่ใช่จตุครามนะครับ) ต้นทุนเท่ากันครับ "จบ" จากคุณ : EAK099 เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 55 16:57:52

ความคิดเห็นที่ 66 อยู่แล้วไม่สบายก็ออก มีใครบังคับให้ทนอยู่กะคนประเภทนี้ละ ผมเจอคนประเภทนี้ไม่สบายใจก็ออก จะเอาไรไปสู้คนพวกนี้เสียเวลา เอาเวลาไปหางานที่ใหม่จะดีกว่า มาบ่นไรที่ยังไงก็ไม่ชนะ จากคุณ : ไร้สาระ เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 55 23:41:34 A:58.8.116.235 X: TicketID:346477