|
ขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันแสดงความคิดเห็นนะครับ ผมอยากให้ทุกคนร่วมกันแสดงความคิดเห็น โดยปราศจากอารมณ์เป็นที่ตั้ง ตัวผมเองก็พยายามนำเหตุผล เหนือผลประโยชน์ และความรู้สึก มาอธิบายให้ทุกๆได้ทราบเช่นกันครับ
ก่อนจะมาพูดถึงส่วนถัดไป
ผมจะมาพูดถึง อัตลักษณ์ของสวนจตุจักร ซึ่งเกิดขึ้นจากกลุ่มคนทั้งสองกลุ่มที่ผ่านมา ก็คือ กลุ่มเจ้าของล็อค และ กลุ่มผู้เช่าช่วงกันครับ
ตลาดนัดสวนจตุจักร เป็นตลาดนัดสากล ที่ต่างชาติให้ความสนใจมานาน และเป็นสถานที่ติด 1 ใน 5 ของประเทศ ที่ชาวต่างชาติห้ามพลาดเป็นอันขาด ดังนั้นจึงทำให้ชาวต่างชาติที่เดินทางมาที่ประเทศไทย ต้องแวะมาช็อปปิ้งที่ตลาดแห่งนี้
ก่อนหน้าที่การรถไฟจะเข้าบริหารได้ไม่นาน ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 2 - 3 ปีก่อน กรุงเทพมหานคร ได้ร่วมมือกับ กรมการค้าขายใน และ TCDC ทำให้ตลาดนัดสวนจตุจักรเป็นตลาดนัดสร้างสรรค์ ที่รวมรวมผลิตภัณฑ์ที่ผลิต และสร้างสรรค์ด้วยฝีมือคนไทย เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ตลาดนัดจตุจักรของชาวโลก ที่ว่า ตลาดนัดแห่งนี้รวบรวมสินค้า copy แบรนด์ดังๆไว้ทั่วโลก ซึ่งผมมองว่า เป็นการกำหนดทิศทางที่ดี และเกิดผลจริงๆ จากการได้คุยกับชาวต่างชาติ และประสบด้วยตัวเอง
กลุ่มผู้ค้าที่เป็นเจ้าของล็อค บางส่วนก็ยังดำเนินธุรกิจในแบบเดิมๆ คือ ซื้อมา ขายไป บางส่วนก็เป็น มีทายาทมาสืบทอดธุรกิจ โดยบ้างก็ยังคงธุรกิจแบบเดิม บ้างก็ปรับปรุงพัฒนาสินค้า และสร้างแบรนด์ขึ้นมา
ส่วนกลุ่มผู้เช่าช่วง ก็ดำเนินธุรกิจคล้ายกับผู้ค้าเจ้าของล็อค บางส่วนคือ ซื้อมา ขายไป (ทั้งจากไทยเอง จีน และเกาหลีเป็นต้น) บางส่วนที่มีไอเดีย เงินลงทุน ก็พัฒนาสร้างแบรนด์กันจนดังไปหลายต่อหลายเจ้า
สิ่งที่ผมให้ความสนใจ นั่นก็คือ ความสร้างสรรค์ในธุรกิจของคนรุ่นใหม่ ที่ถือว่าจะเป็นกำลังของประเทศ ในการผลักดันพัฒนาให้ไทยเราก้าวสู่ความเป็นชั้นนำ ด้วยผลิตภัณฑ์ หรือการบริการที่เทียบเท่ากับต่างชาติ โดยจุดนี้ผมมองว่าเป็นอัตลักษณ์ของตลาดนัดจตุจักรแห่งนี้ เป็นแห่งเดียวและทำได้จริง
หากวิเคราะห์จากข้อมูลที่สื่อต่างๆ ได้นำเสนอกันมา ว่าใน 1 สัปดาห์จะมีผู้คนเข้ามาจับจ่ายใช้สอยในตลาดนัดแห่งนี้ราว 200,000 คนต่อสัปดาห์ และมีเงินไหลเวียนในระบบถึง 100 - 200 ล้านต่อสัปดาห์ บางคนคิดว่ามากเกินไป ตัวผมเองที่ขายของในตลาดแห่งนี้ การประเมินเหล่านี้ไม่ได้มากเกินไปด้วยซ้ำครับ และบางทีอาจจะมากกว่านี้อีก (แต่ไม่เปิดเผยกัน)
ผมจะมาวิเคราะห์ถึงธุรกิจที่มีการพัฒนาตัวเป็นแบรนด์ขึ้นมา ผมมักชอบเรียกว่า Street brand เป็นแบรนด์ที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จัก เพราะบางแบรนด์ไปดังไกลต่างประเทศ บางแบรนด์ก็รับทำให้แบรนด์อื่น หรือบางแบรนด์ก็เน้นขายต่างจังหวัด หรือ mass เป็นหลัก ให้ผมวิเคราะห์คร่าวๆ มีแบรนด์เหล่านี้เกิดขึ้นในตลาด มากกว่า 1000 แบรนด์ รายได้ต่อปีมีตั้งแต่ 500,000 - 100,000,0000 บาท (ผมไม่ได้พิมพ์ผิดหรอกครับ มีจริงๆ แค่คุณไม่รู้เท่านั้น)
ร้านค้าธุรกิจเหล่านี้ อาศัยตลาดนัดจตุจักร ในการสร้างมูลค่าธุรกิจ ถ้าจะพูดไป ต่างคนต่างพึ่งพากัน มากกว่าครับ เรื่องพวกนี้มันต้องอาศัยกันและกัน "ทำเลดี กับ นักธุรกิจ, นักการขาย ที่มีความสามารถ" ไม่ใช่ทุกคนที่ทำการค้าที่จตุจักรแล้วจะประสบความสำเร็จเสมอไปนะครับ มีเยอะเหมือนกันที่เจ๊ง ขาดทุนกันไป ทั้งนี้ มันขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการเอง ว่าคุณสามารถทำเงิน จากทำเลทองได้หรือเปล่า เหมือนคนที่มีอาวุธ แต่ไม่รู้ว่าจะเอามันไปทำอะไรได้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนตัวเปล่าๆ
สิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมด มันเกิดจากหลายๆ องค์ประกอบมารวมกัน ทั้งภาครัฐ, เจ้าของล็อค, ผู้เช่าช่วง มันเหมือนเหตุผลที่ว่า ทำไมมนูษย์ถึงเกิดขึ้นมาบนโลกได้ มันมีทั้งส่วนผสมที่ผิด และส่วนผสมที่ถูก ปะปนกันไปครับ ทั้งดีและไม่ดี รวมกันอยู่
ถ้าให้เริ่มต้นกันใหม่หมด รื้อจตุจักรทิ้ง แล้วสร้างขึ้นมาใหม่ ผมว่ามันก็คงไม่ได้จตุจักรเหมือนเช่นทุกวันนี้ โครงการจตุจักร 2,3,4,5,6 ขึ้นมามากมาย แต่ก็ยังไม่มีที่ไหนที่สามารถ ทำได้เหมือนตลาดนัดจตุจักร ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นจาก ความสามารถของคนเป็นหลัก มากกว่าทำเล การที่ตลาดนัดจตุจักรเติบโตขึ้นได้ถึงขนาดนี้ เพราะคนไทยมีความสามารถครับ คนไทยได้แสดงออกถึงความสามารถในการผลิตสินค้า สร้างสรรค์ผลงาน และแสดงออกผ่านตลาดนัดแห่งนี้ มันอาศัยคนเพียงคนเดียวก็ไม่ได้ ทั้งหมดเกิดจากพลังของคนหลายๆคน ผลักดันให้มีตลาดนัดจตุจักรทุกวันนี้
แล้วมันคุ้มแล้วหรือ ที่จะให้ปัญหาต่างๆ มันมาทำลายอัตลักษณ์ที่ดีของตลาดนัดจตุจักรไป
จบส่วนนี้ ส่วนต่อไป ผมขอกระโดดข้ามไปพูดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ ผู้บริโภค, นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ, ประเทศชาติ กันก่อนนะครับ เพราะส่วนของการรถไฟนี้ มันโยงใย หลายกลุ่ม ผมไม่รู้ว่าจะพูดได้มากแค่ไหนด้วย (กลัวถูกอุ้ม 55+)
จากคุณ |
:
จตุจักรอลเวง
|
เขียนเมื่อ |
:
5 มี.ค. 55 15:38:55
A:58.8.155.137 X: TicketID:271436
|
|
|
|
|