ผมชอบข้อคิดของมันที่ให้เรารู้จักสังเกตและสร้างอะไรด้วยตัวเอง คือ เวลาคนเราคิดจะหาเงิน เรามักจะเดินตามเส้นทางที่มีอยู่แล้ว เดินตามคนอื่นไปเรื่อยๆ
ซึ่งมันก็ไม่ผิด
เพียงแต่ต้องยอมรับว่าหลายๆ คนที่ร่ำรวยได้ เขาเริ่มหาเงินด้วยความคิดของตัวเอง ไอเดียของตัวเอง ถ้ามันไม่ใช่การประดิษฐ์ใหม่ชนิดครั้งแรกในโลก อย่างน้อยในห้วงเวลานั้น สังคมนั้น เงื่อนไขนั้น มันก็คือสิ่งแปลกใหม่ที่เขาไม่ได้เดินตามเส้นทางของคนอื่น (ในสังคมนั้นๆ) เอา
แต่เรื่องการหาประโยชน์เป็นครั้งคราวไปนั้นก็น่าคิด
ผมว่าถ้าตีโจทย์ให้แตก ไม่ใช่การทำตามนิทานเป๊ะๆ อย่างการเปลี่ยนไปทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยของขอทานนั้น ไม่ได้แปลว่าให้เราต้องล้มๆ เลิกๆ กิจการไปเรื่อย
แต่หมายถึงให้เราเลียนแบบ "ความช่างสังเกตุ" ของขอทาน ที่รู้จักไหวตัว สังเกตุเหตุการณ์ สังคม สิ่งแวดล้อม แล้วปรับตัวไปกับมัน
เปรียบเป็นปัจจุบัน ถ้ามีกิจการสักอย่างหนึ่ง คุณก็ไม่สามารถหยุดนิ่งได้ (แต่ไม่ใช่ว่าต้องทิ้งไปทำอย่างอื่นเรื่อยๆ) แต่ต้องสังเกตุสิ่งรอบข้างแล้วปรับตัวไปกับมัน
ทุกวันนี้สารพัดแบรนด์ครับที่ปรับตัวไปเรื่อยๆ เพราะเงื่อนไขมันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา จะแข็ง หยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้
ผมว่านี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากขอทานในนิทานนะ
แต่ก็นั่นล่ะครับ ยอมรับว่ามันมีเส้นบางๆ กั้นระหว่าง "ฉลาด" กับ "เอาเปรียบ" ตรงนี้ต้องแยกให้ออก ตรงนี้ต้องใช้สติดีๆ
อีกเรื่องที่สอนก็คือความพอดี อันนี้สำคัญมาก ความพอดีทำให้เรามีมิตร และเอาตัวเองรอดได้ ก็อย่างที่สังคมไทยมักไม่ชอบคนขี้งก เรามักจะบอกให้หาตรงกลางระหว่างรู้จักอดออมกับรู้จักให้
การรู้จักให้ของขอทานทำให้เขาได้เป็นมิตรกับทั้งคนทำหญ้าและคนเรือ นี่คือสิ่งที่ควรเอาอย่าง เพราะไม่รู้เลยว่าเงินทองจะมาทิศทางไหน ต่อให้ทำดีกับคนอื่นแล้วไม่ได้เงินทอง แต่ก็ยังได้มิตรภาพที่แทนค่าเป็นเงินไม่ได้
แต่อีกส่วนที่ต้องคิดก็คือ การที่ขอทานตัดสินใจทำอย่างไรกับข่าวที่เขาได้รับจากมิตรเหล่านั้น
ผมมองว่าการสังเกตุสถานการณ์แล้วทำเงินจากมันนั้นไม่ผิด แต่ก็ต้องวกกลับไปด้านบนที่ "ความพอดี" ซ้ำยังต้องมองที่ความเหมาะสมด้วย
ผมมองว่าขอทานไม่ผิดต่อพวกพ่อค้าด้วยกัน การค้าย่อมมีการแข่งขัน ต่อรอง ใครขยับก่อนก็ได้เปรียบ แต่ถ้าถามว่าผิดต่อผู้บริโภคไหม อันนี้ก็อีกเรื่อง เพราะอย่างในนิทานนั่นยกตัวอย่างว่าเป็นสินค้าหลังเกิดภัยพิบัติ อันนี้คนไทยซึ้งดี ทำเงินจากความเดือดร้อนของคนอื่นไม่เวิร์คแน่
นิทานนี้มีทั้งข้อคิดด้านดีและด้านบวกครับ ไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองให้ปักใจแค่ด้านใดด้านหนึ่ง
และอย่าแข็งเกินไป อ่านแล้วพลิกแพลง ไม่ใช่คู่มืออาชีพที่ให้เลียนแบบเป๊ะๆ จับจุดสำคัญที่สุด คือ "มุมมอง" และ "ทัศคติ" ของคนต้นเรื่องได้ก็โอเคแล้ว