Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สูงสุดสู่สามัญ ประสบการณ์ชีวิต ประสบการณ์ทำงาน แชร์ให้ฟังค่ะ ติดต่อทีมงาน

วันนี้อยากเข้ามาแชร์ประสบการณ์ชีวิต และประสบการณ์ทำงานค่ะ
จขกท. คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านบ้างน่ะค่ะ เชิญอ่านกันได้เลยค่ะ

ครอบครัวเราเป็นครอบครัวคนจีน มีพี่น้อง 5 คน เราเป็นลูกคนที่ 4 ค่ะ สมัยก่อน พ่อแม่ไม่ค่อยนิยมให้ลูกเลี้ยงหนังสือสูง ๆ จบแค่ป. 4 ป. 7 ก็ออกมาทำงานหาเงินได้แล้วค่ะ ครอบครัวเราก็เป็นแบบนั้น โดยเฉพาะลูกผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องเรียนสูง ๆ หรอก เดี๋ยวก็แต่งงานไปแล้ว

ซึ่งพี่ ๆ 3 คน ก็เป็นแบบนั้นค่ะ ไม่ว่าจะเ็ป็นพี่ชาย พี่สาว ล้วนเรียนจบไม่เกินป. 7 (สมัยก่อนจบป. 7 แล้วไปเรียนต่อ ม.ศ.1ค่ะ )

และต่างคนก็ต่างไปทำงานรับจ้าง พี่ชายก็ไปเป็นลูกจ้าง พี่สาวก็ไปรับจ้างเย็บผ้า ตามสมัยนิยมในชณะนั้น ส่วนเรากับน้องชายก็เรียนหนังสือไป เพราะยังไม่จบประถม

พ่อแม่เป็นคนขยันค่ะ ตื่นแต่เช้าเปิดร้าน บ้านเราเปิดร้านขายของชำ ส่วนพ่อมาจากเมืองจีน มีอาชีพรับจ้างทาสี ก็เป็นลูกจ้างรายวันนั่นหละค่ะ มีลูกต้องเลี้ยงถึง 5 คน แต่ก็เลี้ยงได้ค่ะ ตามอัตภาพ ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวย แค่พอกินพอใช้ ไม่มีหนี้สิน ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ต้องเช่าเขาค่ะ

พ่อแม่จะไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูก ๆ เท่าไหร่ ปล่อยให้เล่นกันเองตามมีตามเกิด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่อบรมลูกน่ะค่ะ เขาจะบอกตลอดว่าต้องขยัน ๆ อดทน ตรงต่อเวลา และทำอะไรให้ว่องไวค่ะ ซึ่งเราก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ

หลังจากจบ ป. 6 ของเราเป็นรุ่นการศึกษาใหม่แล้วค่ะ แม่ก็ทำท่าจะไม่ให้เรียนต่อค่ะ แต่คนแถวบ้านเขามาช่วยพูดให้ว่าเด็กคนนี้พอจะเรียนได้ (พี่เราเรียนไม่เก่งเลยสักคน ส่วนเราก็อาศัยลูกขยันเรียนค่ะ) ลองให้ไปสอบเข้าก่อนถ้าสอบได้ก็ให้มันเรียนเถอะ พูดอยู่นาน ทั้ง ๆ ที่แม่เตรียมถอยจักรเย็บผ้ามาให้เรา 1 หลังแล้วน่ะเนี่ย (เราเย็บผ้าเป็นตั้งแต่เราอยู่ชั้น ป. 3 น่ะ ภาคบังคับเลย แม่สอนให้เราเหยียบจักร ไฟฟ้าเพื่อช่วยงานแม่และพี่สาว จำได้ว่าบางวันเย็บไปหลับคาจักรเลย 555)

และแล้วเราก็ไ้ด้ไปลองสอบเข้า ม. 1 รร.รัฐดูค่ะ ผล เราสอบได้ค่ะ ก็เลยได้เรียน แต่ต้องแลกมาด้วยคำสัญญาว่าจะต้องช่วยงานบ้าน ช่วยเย็บผ้า หากมีเวลาว่างจากทำการบ้านแล้ว

สมัยก่อน เรียนครึ่งวันค่ะ กลับมาก็รีบทำการบ้าน ก่อน เสร็จแล้วก็ไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าว ทำกับข้าวหุ้งข้าว (สมัยนั้นที่บ้านไม่มีหม้อหุงข้าวค่ะ ต้องหุงข้าวแบบเช็คน้ำ ใช้เตาถ่ายจุดด้วยขึ้ใต้ จุดทีควันฟุ้งไปทั้งบ้านนั่นหละ) เสร็จแล้วก็มาช่วยเย็บผ้าต่อค่ะ

3 ทุ่มเข้านอน ไม่ค่อยได้ดูทีวีเท่าไหร่ ยิ่งช่วยปิดเทอมไม่มีโอกาสได้เล่นเหมือนชาวบ้านเขาหรอก ต้องไปหาอะไรมาขาย เช่น จับสลาก น้ำเต้าปูปลานั่นหละ หรือขนม เอามาขายเก็บเงิน (นี่หละทำให้เรารู้ค่าเงินว่ามันหายยากกว่าจะกำไรแต่ละสตางค์ มันเหนื่อย)

หลังเรียนจบม. 3 แล้ว แม่ก็บอกว่าให้ออกมาเย็บผ้า (อีกแล้ว) เราก็บอกว่าอยากเรียนต่อเพื่อน ๆ เขาก็เรียนต่อกัน แม่ก็บอกว่างั้นลองไปสอบดูว่าสอบได้เปล่า ถ้าได้ก็ไปเรียน เราเลือกเรียนสายอาชีวะค่ะ สมัยก่อนคนเรียนกันเยอะ เพราะจบแค่ ปวช. ก็มีงานทำแล้ว

ผล เราสอบไม่ติดค่ะ แต่เราก็ยังดื้ออยากเรียน ไปต่อรองแม่ และให้พ่อช่วย (พ่อจะชอบให้ลูกเรียนค่ะ แต่ไม่มีตังค์ส่ง) บอกว่าเอางี้ค่าเทอมนี่เราจะพยายามหาเองโดยทำงานเก็บเงิน และเราพอจะมีเงินเก็บจากตอนเด็ก ๆ อยู่บ้าง สุดท้ายเลยได้เรียนต่อค่ะ

แน่นอนการเรียนครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วสำหรับเรา เราคิดแบบนั้นจริง ๆ เพราะคงถึงเวลาแล้วต้องทำงานเลี้ยงพ่อแม่บ้าง เวลาเรียน ปวช. ต้องเลือกวิชาเอกด้วย เราก็เลือกบัญชีค่ะ เหตุผลง่าย ๆ คือ จบมาแล้วหางานง่าย จะชอบไม่ชอบเป็นเรื่องรองค่ะ และเป็นวิชาเอกที่ยากใน 3 สาขาวิชาเอก ซึ่งประกอบไปด้วย บัญชี เลขานุการ การตลาด (โรงเรียนที่เราเรียนมี 3 สาขาวิชาเอกค่ะ)

บอกตัวเองไว้เสมอค่ะ ต้องเรียนให้ได้เกรดดี ๆ จนจบ ก็สมใจค่ะ ได้เกรดเฉลี่ยมา 3.73 ก่อนจบเราเริ่มหางาน แม่บอกว่างานอะไรก็ทำไปก่อน รีบ ๆ หางาน ไม่ใช่จบมาแล้วมานั่งตกงาน

สิ่งที่เราทำในระหว่างเรียนนอกจากฝึกงานแล้ว เราก็ไปที่กรมแรงงานค่ะ ไปทดสอบการพิมพ์ดีด (สมัยนั้นยังไม่่ใช่คอมพิวเตอร์น่ะค่ะ) เก็บใบประกาศมา เราพิมพ์ดีดไทยได้ 60 คำต่อนาที ภาษาอังกฤษได้ 70 คำต่อนาทีค่ะ เยอะมั๊ยค่ะ ก็บอกไว้ข้างต้นแล้ว แม่สอนให้ทำอะไรให้ไว ๆ เข้าไว้ เลยได้ประโยชน์มาด้วย

ไม่เพียงเท่านั้นเราไปทดสอบเรื่องการใช้เครื่องคำนวณ (เครื่องคิดเลขไฟฟฟ้า) อันนี้ก็เหมือนกัน

หลังจากได้ประกาศนีย์บัตรมาเป็นใบเบิกทางเพิ่มความสามารถตัวเองแล้ว ก็เลยพิมพ์จดหมายสมัครงานค่ะ ใช้พิมพ์ดีดนี่หละ จัดหน้ากระดาษตามที่เรียนเป๊ะ ๆ เลย

ก็มีเรียกไปสัมภาษณ์งานเหมือนกัน แต่เราอ่อนต่อโลกมากเลยสำหรับการสำภาษณ์แต่ละครั้งไ ม่รู้เรื่องเลย เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งมีผุ้บริหารมาสัมภาษณ์เรา ในตำแหน่งพนักงานบัญชี เขาเดินเข้ามาถามเราว่าดีใจมั๊ย แทนที่เราจะถามว่าดีใจเรื่องอะไร เราก็ตอบไปเลยว่าดีใจ เลยโดนเขาย้อนถามกลับมาว่าดีใจเรื่องอะไร อึ่งไปเลย นั่นสิน่ะดีใจเรื่องอะไร 555 สุดท้ายก็ไม่ได้งาน (ไม่รู้เพราะคำถามนี้หรือเปล่า)

และแล้วงานแรกที่เราได้คืองานหนังสือพิมพ์ ไม่เกี่ยวกับที่เรียนมาเลย ที่เข้าไปทำงานที่นี่เราก็งง ๆ อยู่ สัมภาษณ์ปุ๊บรับทันที พอเข้าไปทำก็ถึงบางอ้อ ที่แท้ให้เราหาโฆษณานั่นเอง เราไม่ถนัดเลย ทำได้ไม่กี่วันก็ลาออก เพราะไม่ได้ค่าตอบแทน จนกว่าจะหาโฆษณาได้

เราก็ไปที่กรมแรงงาน รุ่นที่เราจบน่ะคนจบเยอะมาก ๆ เลย เพราะมันเป็นช่วงที่มี ม.ศ. 3 รุ่นสุดท้าย และม. 3 รุ่นแรก จบพร้อมกัน อย่างที่บอกสมัยนั้นคนนิยมแห่งมาเรียนพาณิชย์กันเยอะ จบมาก็เลยเยอะตาม

เราไปกรมแรงงานครั้งนี้ไม่ผิดหวังค่ะ เจ้าหน้าที่เขียนเอกสารแล้วส่งตัวเราไปที่บริษัทลิสซิ่งแห่งหนึ่งแถวฝั่งธน ไปถึงก็เจอเจ้าของบริษัท เป็นบริษัทเล็ก ๆ ค่ะ มีเจ้าของ2คนผัวเมียเท่านั้น เราก็เสมียนค่ะ เขาบอกเราว่ามาทำงานใหม่ ๆ ฝึกงาน 6 เดือน (สมัยนั้น) ในระหว่างฝึกงานให้วันละ 50 บาท (หลายท่านคงนึงว่าน้อยมาก สมัยนั้นค่ารถเมล์ 1.50 บาทค่ะ ก๋วยเตี๋ยวชามละ 5 บาทค่ะ น้ำแข็งเปล่าแก้วละ 50 สตางค์)

แต่ยังไม่หมดเท่านี้ค่ะ ให้ค่าแรงวันละ 50 บาท เนื่องจากเราเป็นพนักงานเพียงคนเดียวในบริษัท ดังนั้น เราต้องทำความสะอาดออฟฟิศด้วย เพราะเขาไม่มีแม่บ้าน ฟังแบบนี้หลายคนคงโยนผ้าขาวใช่มั๊ย แต่ไม่ใช่สำหรับเราค่ะ เรานึกถึงแม่เรามาก ๆ เลยไปเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่าต้องอดทนทำไปก่อน แล้วก็หางานใหม่ งานมันหายากน่ะ ก็เลยทำค่ะ งานเริ่ม 8 โมงเช้าเลิก 4.30น. เย็นค่ะ เช้ามาก็เปิดบริษัท (เป็นตกแถว ถูกพื้นเช็ดโต๊ะ ดีน่ะไม่ให้เราล้างห้องน้ำด้วย 555 )

จากคุณ : จบข่าว
เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 55 10:55:31 A:58.8.164.146 X: TicketID:191184




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com