 |
ชี้แนะน้องๆอีกครั้ง เกี่ยวกับการขั้นตอนการสมัครงาน
|
 |
จากครั้งที่แล้วที่ผมได้เสนอแนะแนวทางในการเลือกเรียนคณะต่างๆไปนั้น ผมรู้สึกว่า ผมยังมีเรื่องที่อยากบอกเพื่อนๆในพันทิปอยู่อีก ก็เลยเลือกเรื่องขั้นตอนการสมัครงานมาพูดถึงครับ
++บทความนี้อาจจะเหมือนเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน แต่ก็น่าจะมีเพื่อนๆบางท่านที่ยังไม่ทราบ หากไม่เห็นด้วยแต่อย่างใดก็แย้งตามสบายครับ++
ในกรณีที่คุณจบมาในคณะที่ใครๆก็อ้าแขนรับอย่างที่ผมได้แจงไว้ในกระทู้ที่แล้ว การสมัครงานนั้นคงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
แต่หากไม่ใช่ มิติตรงนี้จะมีรายละเอียดที่เพื่อนๆต้องทราบอยู่ครับ หลังจากที่เราค้นหาข้อมูลงานที่เปิดรับแล้ว ส่งใบสมัครออนไลน์แล้ว เมื่อคุณได้รับการเรียกสัมภาษณ์ โปรดพิจารณาข้อความดังต่อไปนี้เพื่อประโยชน์ของคุณด้วยครับ
๑, รายละเอียดการทำงานต้องทำอะไรบ้าง เช่น สมัครอย่างหนึ่ง แต่ให้ควบสองตำแหน่งแบบมัดมือชก ถ้าคิดว่าทำได้ก็แล้วแต่ครับ แต่ต้องบอกล่วงหน้า ๒, สถานที่ที่เราเดินทางไปสัมภาษณ์ เป็นที่ทำงานของเราใช่หรือไม่ เราจะพลาดตรงที่เราชอบ "คิดไปเอง" เนี่ยแหละครับ ยืนยันกันให้ชัวร์ เผลอๆทางนู้นตอบใช่มาแต่กลายเป็นออฟฟิศชั่วคราวไปก็มี ส่วนที่จริงไกลโขอันนี้ก็เสียเวลาเรานะครับ ๓, งานบางตำแหน่งเช่นเซลล์ เขาจะเหมาไปเลยว่า เงินเดือนที่เราเรียกไปคือ รายได้รวมต่อเดือน(รวมคอมมิชชั่นที่เราต้องรับผิดชอบ) ดังนั้นอย่าลืมถามเงินเดือนเริ่มต้นของเราด้วย ๔, ชื่อตำแหน่งบางตำแหน่ง ชวนให้ฝันหวานนะครับ เช่น ผู้จัดการฝึกหัด ตัวอย่างของ management trainee ที่เป็น management trainee "จริงๆ" ก็มี P&G Unilever etc. แต่บางบริษัท ก็ให้ตำแหน่งดังกล่าวไปเรี่ยไรเงิน(มีนะครับ) หรือให้ไปปัดกวาดเช็ดถูก็มี ดังนั้นก็ให้ถามรายละเอียดการทำงานด้วยอย่าชะล่าใจ ๕, บ่อยครั้งที่การตัดสินใจเลือกทำงานที่ใดที่หนึ่งนั้น ขึ้นกับองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น การเดินทาง รายได้(เงินเดือน) สวัสดิการ เวลาทำงานในแต่ละวัน กะการทำงาน วันทำงานต่อสัปดาห์ สภาพแวดล้อม รายละเอียดการทำงาน เป็นต้น ถ้าเป็นผม ผมเคยใช้เช็คลิสต์เป็นตัวระบุคะแนนของตัวเลือกในแต่ละที่ (ไม่จำเป็นต้องครบ แค่เก็บให้มากที่สุด) เช่น สดมภ์เป็นรายนามบริษัท ส่วนแถวก็เป็นรายการของตัวแปรทั้งหมดที่กล่าวมา ติ๊กไปเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มตัดช้อยส์ สุดท้ายเราก็จะได้คำตอบที่ถูกต้องมาในที่สุดครับ ๖, บางครั้งข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น จะไม่สามารถนำมาพิจารณาได้เลย หากการตกลงรับเข้าทำงานนั้น "เป็นเพียงลมปาก" (อ้าว งั้นต้องให้เซ็นสัญญาก่อนอย่างนั้นเลยรึ?) อาจจะไม่จำเป็นครับ ถ้าคุณมีช่องทางอื่นที่จะยืนยันความจริงข้อนี้ได้ ข้อนี้ผมให้คุณพิจารณาเอง ๗, สิทธิต่างๆในการสอบถามข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น เป็นของว่าที่ลูกจ้างครับ คนไทยยังติดเรื่องเกรงใจ(ในเรื่องที่ไม่ควร)กันอยู่ หากความชัดเจนในข้อมูลต่างๆข้างต้นโดยเฉพาะเรื่องรายได้ และรายละเอียดการทำงานไม่ชัดเจน ให้คิดไว้ก่อนเลยว่า คุณกำลังดีลอยู่กับ "มิจฉาชีพ" และให้รีบหลีกให้ไกลเลยครับ ๘, หากคุณคิดว่าการเดินทางเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับการทำงานมากๆ แน่นอนว่าคุณก็ต้องพอใจที่จะเลือกงานที่ใกล้บ้านมากกว่า แต่บางทีคุณอาจจะบอกตัวเองว่า คุณต้องทนยอมเดินทางไกลๆเพื่อไปหางานในที่ที่คนเขาไม่ค่อยไปกัน จะได้เพิ่มโอกาสในการสมัครงาน ผมอยากบอกว่าสุดท้าย บริษัทเขาไม่เสียอะไรหรอกนะครับ(ถึงแม้ปากจะบอกว่าเสียก็ตาม) คนที่เสียน่ะ คุณ ถ้าสุดท้ายแล้วคุณเพิ่งจะค้นพบว่าคุณหมดเวลาไปกับการเดินทางราว สี่ถึงห้าชั่วโมงในแต่ละวัน โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้องานแต่อย่างใด สุขภาพจิตคุณจะเสีย ตามมาด้วยสุขภาพกายครับ แล้วก็สิ้นสุดการทำงานกลางคันซึ่งคิดอย่างไรก็ไม่คุ้ม ถ้างานมันหายากจริงๆ ผมอยากแนะนำว่า ให้มองงานพื้นๆ เงินเดือนไม่มาก(บริษัทเขามองแค่นี้แหละครับ) แต่สามารถเก็บเกี่ยวเพื่อนำมา "เริ่มธุรกิจ" ที่ว่าได้เองจะดีกว่ามาก ทั้งนี้,,, ก็นานาจิตตังนะครับ ๙, วิชาชีพในปัจจุบันที่เปิดอบรมตามสำนักงานเขตและมหาวิทยาลัยของรัฐหลายๆแห่งน่าสนใจมาก และฟรีด้วย ถ้าคุณอายุยังไม่เยอะ ผมมองว่า ยังไงมันก็ดีกว่าเป็น( ^o^ )คนอื่นนะครับ ประสบการณ์ในการเริ่มธุรกิจแต่ยังเล็ก มันมีค่ามากกว่าการทำงานในตำแหน่งที่ไม่มีวันเจริญก้าวหน้าในสายอาชีพบางตำแหน่งมากๆ (ไม่ขอเอ่ยครับ)
อนึ่ง บทความนี้เขียนด้วยประสบการณ์ ความเห็นส่วนตัว และด้วยความปรารถนาดีล้วนๆ โปรดใช้วิจารณญานนะครับ
"คุณค่าของเรานั้นก็เปรียบเหมือนแหวนวงหนึ่ง หากเราเที่ยวเดินถามใครต่อใคร แม้นเป็นร้อย ไฉนเลยที่เขาจะรู้คุณค่าที่แท้จริงของมันได้ จะมีก็เพียงแต่พ่อค้าเพชรพลอยเท่านั้นที่จะรู้ค่าของแหวนดังกล่าวได้" --ฆอร์เฆ่ บูกาย
จากคุณ |
:
lARtZnolASt
|
เขียนเมื่อ |
:
9 เม.ย. 55 23:02:21
|
|
|
|  |