ความคิดเห็นที่ 1 ผมว่ามันอยู่ที่คนเรียนครับ นิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ประยุกต์ใช้ในชีวิตได้มาก อยู่ที่คุณว่าเลือกที่จะใช้มันอย่างไร ถ้าคิดอยู่ที่ในกรอบ เอาข้อจำกัดมาเป็นตัวตั้งมันก็หยุดอยู่แค่นั้นล่ะครับ จากคุณ : ความเป็นจริงที่ว่างเปล่า เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 09:24:32

ความคิดเห็นที่ 2 อย่าเอาทัศนคติด้านลบของคุณ มาเผยแพร่กับคนอื่นๆ เลยค่ะ มันก็เหมือนกับทุกสายอาชีพหรือเปล่า  ???  คนเก่ง  คนมีความพยายาม สุดท้ายจะมีที่ไปเสมอ   ส่วนพวกกลางๆ  ไม่เก่งมาก  ไม่พัฒนาตนเอง ก็จะไม่เด่น  มันก็เหมือนทุกอาชีพล่ะค่ะ จริงๆ สายกฎหมายมันออกแนว " เรียนเพราะชอบ " มากกว่า   เราก็มีเพื่อนที่เรียนเก่ง จบกฎหมาย แต่มาทำงานคอมพิวเตอร์  มาร์เก็ตติ้ง  ฯลฯ  ซึ่งเค้าเก่งอยู่แล้ว เค้าก็ไปได้ดี  ไม่มีปัญหากับการเลือกเรียนกฎหมาย งานกฎหมายมันกว้าง ประกอบอาชีพอะไรก็ได้  ก็หาทางพัฒนาตนเองไปสิคะ   เหมือน อาชีพ นักดนตรี สมัยก่อนคนบอก เต้นกินรำกิน, ศิลปินไส้แห้ง ฯลฯ  แต่พวกเล่นดนตรีเก่งจริงๆ รายได้ก็เป็นแสน .... เดี๋ยวนี้ส่งลูกเรียนดนตรี  ค่าเทอมหลายหมื่น  ฯลฯ จากคุณ : จำฉันได้ไหม เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 10:00:44

ความคิดเห็นที่ 3 อ้างขอพวกขี้เกียจ ทั้งนั้น บางคน ไม่เห็นต้องสอบตลอดชีวิต บางคนไม่ต้องรวยอะไร บางเรียนคน มสธ แต่ได้เป็น ผู้พิพากษา ได้เป้นอัยการ ทำงานราชการ ก็เยอะ แยะ พวกสอบไม่ได้ก็คือไม่เอาอ่าว โทษนั้นโทษนี้ มันอยู่ที่ความสามารถ ไม่ใช่มาสร้างข้ออ้าง งี่เง่า เหอะๆ ข้ออ้างแบบนี้มีไว้สำหรับพวก ขี้เกียจ พวกงี่เง่าเท่านั้น จากคุณ : mak2010 เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 10:04:09

ความคิดเห็นที่ 4 เห็นด้วยกับความเห็น 1-3 ค่ะ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเองค่ะ ถ้ามัวแต่โทษปัจจัยรอบข้าง ชีวิตจะหาความเจริญก้วหน้าได้ยากค่ะ คนที่มีทัศนคติแบบนี้ ต่อให้ไม่ต้องเรียนอะไร อยู่บ้านเฉยๆ ก็ต้องสร้างปัญหาอยู่ดี  ยิ่งถ้าว่างจัด ก็อาจมีปัญหาแม้กระทั่งเรื่องการหายใจ ของตัวเอง ว่า จะหายใน เข้า หรือ ออก ก่อนดี จากคุณ : positive thought เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 10:16:19

ความคิดเห็นที่ 5 แนะนำได้อย่างเดียว ทำอะไรแล้วต้องทำให้สุดๆ ถ้าไปไม่ถึง ระบบสังคมจะคัดกรองท่านไปอยู่จุดที่ท่านควรอยู่ ก็เท่านั้นเอง ใบอนุญาต แต่ละัสาขา กว่าจะได้มา ต้องเรียน ต้องอ่าน ต้องสอบนะครับ ไม่ได้มาฟรีๆ แต่ละใบ จะเป็นเศษกระดาษเปล่า หรือไม่ อยู่ที่ คนใช้ ถ้าใช้เป็น ก็ไปต่อยอดได้ แต่ใช้ไม่เป็น สักแต่สอบๆๆๆมาไว้ก่อน ก็เป็นแค่กระดาษเปล่า การให้คำปรึกษา ยิ่งคุณให้คำปรึกษามากเท่าไร (แบบถูกต้อง) ค่าตอบแทน อย่ามองแค่ตัวเิงิน ยึ่งมีคนถาม คุณก็ต้องศึกษาหาความรู้มาตอบ ยิ่งรู้มาก รู้จริง มูลค่าตัวคุณจะสูงขึ้นไปเอง ค่าปรึกษามองเป็นตัวเงิน คุณก็ได้แค่ค่าบริการ แต่ ค่าปรึกษา มองเป็นคอนเนคชั่น มันมีอะไรที่มากกว่าตัวเงินเยอะ และมีเงินก็ซื้อไม่ได้ด้วยนะ จากคุณ : jojoja เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 10:20:29

ความคิดเห็นที่ 6 เห็นด้วยบางส่วนครับ. ส่วนตัวคิดว่าคนเรียนนิติถ้าให้ดีต้องเรียนเก่งจริงๆ เช่น จบจุฬา มธ.เกียรตินิยม. สอบท่านได้ เก่งพอจะทำfirmดังได้. หรือไม่ก็รวยครับเพราะคุณต้องสอบไปตลอดไม่ได้ทำงาน. เเถมถ้ามีเงินไปเรียนป.โทต่างประเมศสองใบ จะได้สอบสนามจิ๋ว ที่โคดอยุติธรรม จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 10:27:13 A:115.87.24.108 X: TicketID:349385

ความคิดเห็นที่ 7 เป็นอีกเสียงหนึ่งที่เห็นด้วยค่ะ ว่าเลือกสายนี้แล้วต้องพยายามมากจริงๆถึงจะสำเร็จค่ะ เพื่อนเราต้องกู้เงินเรียน นั่งรถเมล์ บ้านจนค่ะ ทำงานสำนักงานทนายความเล็กๆ ตั้งแต่เรียนจบ อดทนมากกกกก แต่ตอนนี้อายุ 32 แล้ว ได้ตั๋ว ได้เนติตั้งแต่ 25 พยายามสอบทุกสนามไม่ว่าอัยการ ผู้พิพากษา แต่ไม่ได้ จนตอนนี้ถอดใจ ให้เมียสอบคนเดียว เนื่องจากตัวเองสร้างภาระไว้แล้วเพราะต้องผ่อนบ้าน 2 หลัง ให้พ่อแม่ กับตัวเอง ซื้อรถ altis เงินสด ไม่ว่าเพื่อนมีคดีอะไร ช่วยหมด คิดเงินแค่ค่ารถ ค่าเหนื่อยนิดหน่อย จนเพื่อนเกรงใจ แต่กว่าจะก้าวมาจุดนี้ได้ ต้องผ่านอะไรมาเยอะมากกกก แต่รายได้ตอนนี้ก็ไม่น้อยค่ะ ปล ตอนนี้จบโทแล้ว อีกคนได้เกียรตินิยม อันดับหนึ่ง ได้เนติ ได้ตั๋ว เป็น Inhouse ด้วย สอบไปด้วย ทุกวันนี้ ไป Aimstar ส่วนเราจบตรี ไปเรียนภาษา 1 ปี กลับมา ได้เนติ ได้ตั๋ว ้ แต่ไม่ทำงานด้านนี้นะคะ ค้าขายเรื่อยเปื่อย สักพักพ่อแม่ขอ กึ่งบังคับ ไปเรียนโท ต่างประเทศ หมดไปเป็นล้านค่ะ เนื่องจากพ่อแม่อยากดันให้สอบผู้พิพากษา กลับมามีคน offerงานให้ แต่ไม่ทำ เพราะใจไม่อยากเลยค่ะ รู้ตัวว่าไม่ชอบ แค่ทำได้ ชอบอ่านกฎหมายนะ สนุก แต่ไม่อยากยึดเป็นอาชีพ รู้ว่ามันเครียดมาก จะเป็นทนายก็ต้องเป็นลูกไล่เค้าไปหลายปีกว่าจะเก่ง คือ อีโก้สูง จะสอบก็เบื่อ รู้ว่ามีหน้ามีตา แต่เงินน้อย อยากรวยก็ต้องตามน้ำ คอรัปชั่น ช่วยโจร สุดท้ายรีบแต่งงาน ทำธุรกิจ พ่อแม่เซ็งไปตามระเบียบ แต่มีหลายคนค่ะที่เป็นท่านไปแล้ว ถ้าเจอกันก็ต้องตกใจ หน้าแก่มากกกก อยู่ที่เลือกค่ะ ว่าชอบแบบไหน รีบศึกษาตัวเอง ถ้ารักจะสอบก็ลุยค่ะ ปล เหมือนปิรามิดค่ะ มีไม่กี่คนหรอกที่ไปถึง ถ้ารักจะมาทางนี้ ต้องทำใจเผื่อไม่ได้ตามที่หวัง จากคุณ : ทนายหน้าใส เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 10:34:14 A:125.25.36.189 X: TicketID:355883

ความคิดเห็นที่ 8 คือต่อจากคห.6. นิติต่างยากอาชีพอื่นตรงที่ อย่างคุณจบหมอจากไหนก็ได้ อาจไม่ต้องเก่งเลิศ รัฐหรือหมอ รังสิต สุดท้ายคุณก็คือหมอ ประกอบอาชีพได้เหมือนกัน. หรือบัญชีโอเคถ้าจบบัญชีจุฬาหรือมธฺโอกาสทำเฟิร์มดีๆเยอะกว่า เเต่สุดท้ายไม่ว่าจบจากไหนก็เป็นนักบัญชีได้หมด หรือเอาง่ายๆคณะสายภาษาที่ดูกว้างอย่างรัฐศาสตร์ มนุษยศาสตร์ เเม้จะไม่ใช่อาชีพเฉพาะทางเเต่โอกาสในการก้าวหน้าก็ดูสูงกว่า โอเคถ้างานพวกUN. สถานทูต Scg. กระทรวงตปท. อาจจะ อืม. คัะอักษร จุฬาหรือรัฐศาสตร์จุฬามธ. แต่งานอย่างอื่นถ้าคุณไปทำก็โตได้หมด เลขา. เเอร์. hr ไม่ต้องคัดขั้นเทพก็ได้เหมือนกัน จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 10:39:02 A:115.87.24.108 X: TicketID:349385

ความคิดเห็นที่ 9 สั้นๆครับ สายสังคมศาสตร์ มุมมองส่วนตัว ให้นิติศาสตร์อยู่ท้ายๆ เห็นด้วยกับ จขกท อย่างมาก ถ้าท่านชอบนิติศาสตร์จริงๆ ผมแนะนำ ลองหันไปเรียนเศรษฐศาตร์ ใช้ได้ไม่อดตาย จากคุณ : อ้น (Acer4925g) เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 11:03:06

ความคิดเห็นที่ 10 ปัญหาของนิติไทยคือมันล้นตลาดเท่านั้นแหละครับ พูดจริงๆมันเป็นคณะที่คนจบเยอะอันดับต้นๆของประเทศไทยเลย เพราะมหาลัยเปิดคนก็เรียนคณะนี้มากอันดับต้นๆ เพราะมันเป็นวิชาอ่าน เหมาะกันคนทำงานไปเรียนไป ไม่ต้อง เข้าแล็ป ทำวิจัย เหมือนสายอื่นๆ คนที่ได้ดีในสายนี้มันมี เช่นอัยการ ผู้พิพากษาเป็นข้าราชการเหนือข้าราชการทั่วไป ตำรวจงี้ ปปช. ปปส. เป็นข้าราชการที่มีผลตอบแทนมากกว่าข้าราชการทั่วไปทั้งนั้น แต่ปัญหาอย่างที่บอกคือ คนจบมันล้นจริงๆ คู่แข่งมันเยอะ ปลาเล็กก็ถูกปลาใหญ่กินไปตามระเบียบ ต่างกับหมอและสายวิชาชีพบางสาย ที่คนที่จบไม่พอกับงานที่มี ผลคือจบเท่าใหร่คนก็จ้าง รายได้สูงตามดีมานซัพพลาย ก็เท่านั้น แก้ไขเมื่อ 17 เม.ย. 55 13:58:07 แก้ไขเมื่อ 17 เม.ย. 55 11:26:44 จากคุณ : hil4552 เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 11:26:06

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นคนใกล้ตัวต่อสู้ดิ้นรนกับสายอาชีพนี้แล้วก็เหนื่อยแทน เหอๆๆๆ แต่อย่างที่พูดกัน ทุกอาชีพมีการแข่งขัน ถ้าเราไม่ถีบตัวเองขึ้นมา อย่าหวังว่าจะได้เสวยสุขสบายๆ (ในกรณีที่เป็นคนธรรมดานะ ไม่รวมลูกท่านหลานเธอ) จากคุณ : คุณหนูผลไม้รูปไข่ เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 11:35:12

ความคิดเห็นที่ 12 ผมว่าถ้า จขกท ได้เป็นท่าน เป็นอัยการ ก็คงไม่ออกมาตั้งกระทู้นี้หรอก ถ้าตั้งคงออกแนวความภาคภมูิใจที่ประสบความสำเร็จมากกว่า - - จากคุณ : zgamar เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 12:50:18

ความคิดเห็นที่ 13 เห็นด้วยค่ะ ถ้าใจไม่รักจริง อย่าเรียนเลยนะสายอาชีพนี้ จากคุณ : bangnuu เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 16:44:19

ความคิดเห็นที่ 14 เห็นด้วยกับ จขกท. ที่สุดครับ จากคุณ : GRAYG เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 19:36:32

ความคิดเห็นที่ 15 เรียนนิติศาสตร์มา เห็นด้วยกับ จขกท มาก และบอกน้องๆ เด็กๆ ทุกคนที่รู้จักแบบนี้ทุกคน ถ้าหวังจะมีงานที่ให้ผลตอบแทนโอเค ไม่ต้องอัตคัต (ตอนอายุน้อยๆ) ให้เรียนคณะอื่น อย่างหมอหรือบัญชี จบมาไม่ต้องเก่งเลอเลิศก็มีช่องทางทำกินที่รายได้พอตัว แต่นิติถ้าไม่เลอเลิศ หรือบ้านรวย ส่งไปเรียนโทต่างประเทศ เพิ่มมูลค่าให้ตัวเองได้ จบมาจะได้ค่าตอบแทนแค่ประมาณ 8000 - 10000 แถมทำงานไปยังตัน เงินเดือนมากสุดก็ไม่เท่าไหร่ ส่วนตัวมองว่ารัฐควรจำกัดจำนวนคนเรียนคณะนี้ได้แล้ว แค่เด็กที่จบมหาวิทยาลัยรัฐดังๆ ยังมากเกินความต้องการของตลาดแล้วเลย ป.ล. มุมมองจากคนจบนิติมหาวิทยาลัยดัง ผ่านเนติ ได้ตั๋วทนาย และทำงาน law firm เงินเดือน 6 หลักตั้งแต่ 20 กว่า ไม่ใช่คนที่ล้มเหลวจากการเรียนสายนี้แต่อย่างใด จากคุณ : by iPhone (Flying Duckman) เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 22:10:27

ความคิดเห็นที่ 16 เห็นด้วยนะคะ เสียเงิน เสียเวลา ถ้าไม่รักจริงนะ เพื่อนเราเรียนมาก็ เตร่อยู่ สอบเยอะมาก เกาะพ่อแม่กินไปวันๆนะ เวลาสอบ เวลาอ่านหนังสือ เห็นแล้วเหนือยแทน จากคุณ : nong_ao เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 22:52:47

ความคิดเห็นที่ 17 ขอคิดต่างนะครับ 1.สอบโน่น สอบนี่ ตลอดชีวิต (จนตายยยยกันไปข้าง) ไม่ถึงขนาดน้นครับ ถ้าสอบผ่าน ก็สอบครั้งเดียว ซึ่งก็มีคนทำได้ทั้งในสนามเนติฯ สนามผู้ช่วยและสนามอัยการ ถ้าตั้งใจจริง...impossible is nothing มีคนที่ผมรู้จักที่่ทั้งทำงาน เรียนเนฯ เรียนโท ไปพร้อมๆ กันและจบทั้งสองอย่รางในสองปีครับ 2.ใบอนุญาต ใบประกาศนู่นนี่แค่เศษกระดาษ (เมื่อเทียบกับ วิชาชีพอื่นๆ) มันเป็นกระดาษเพราะคนในสายงานนี้ทำให้เป็นเป็นแค่กระดาษหรือเปล่าครับ? เดินทางลัดกันฝึกงาน คนมีตั๋วจึงไม่ใช่คนที่สามารถทำหน้าที่ทนายความในศาลได้จริงอย่างที่ควรจะเป็น ถ้าคิดว่ามันไม่มีค่าก็จำเป็นต้องเสียเวลาหรือเสียเงินเพื่อให้ได้มันมาครับ 3.ส่วนใหญ่มักให้คำปรึกษาฟรี หรือแม้แต่ร่างเอกสารต่างๆฟรี!! ไม่ขอออกความเห็นครับ ผมไม่มีปัญหานี้ 4.ประเทศไทยคนไม่นิยมใช้กฎหมาย และเห็นว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่อยากเป็นความ 5.Demand ในสายวิชาชีพน้อย เนื่องจากข้อ 4. คนไทยอาจไม่ใช้กฎหมายกันมากเหมือนต่างประเทศที่มักจะใช้ทนายความแม้แต่การลงนามในสัญญาต่างๆ แต่คนที่เห็นความจำเป็นและต้องการคนที่รู้กฎหมายจริงมาทำงานให้องค์กรมีแน่ครับ in-house, law firm etc. และองค์กรของรัฐยังรับคนใหม่ๆ เข้าทำงานตลอดเวลา แต่ต้องเป็นคนที่ "ผ่าน" เท่านั้น 6.ที่บ้านต้องมีฐานะดี ไม่จำเป็นครับ เนื่องจากไม่ต้องเรียนและสอบตลอดชีวิต มีผู้ที่จบจากมหาลัยเปิดหลายคนที่สอบศาลและอัยการได้ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเรียน ไม่สูงแน่ครับ ปล. ส่วนที่ว่่าต้องเรียนตลอดชีวิตนี่ เห็นด้วยครับ เพราะกฎหมายและการใช้กฎหมายรวมถึงคำพิพากษาศาลฎีกามีการเปลี่ยนแปลง จึงจำเป็นต้องติดตามและเรียนรู้ครับ เช่นเดียวกับสายอาชีพอื่น เช่น แพทย์ วิศวะ บัญชี ฯลฯ ครับ 7.คนไทยมักมองอาชีพทนายว่าไม่มีเกียรติ นอกจากไม่รวยแล้ว ยังเห็นแก่ตัว!! คนอื่นจะมองยังไงไม่สำคัญเท่ากับตัวเราเองรู้ว่าเราเป็นอย่างไรครับ ความคิดเขาเราห้ามไม่ได้ 8.เรียนมาก ความรู้เยอะ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ เข้าทำนอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" ถ้าเอาตัวไม่รอด คงเพราะรู้ไม่จริงครับ 9.คนมักจะคิดว่าคุณต้องรู้กฎหมายทุกอย่างที่มีบัญญัติขึ้นในประเทศนี้? ใจเย็นๆ แล้วอธิบายไปครับว่าทำไมเราไม่ได้รู้ทุกเรื่อง เช่นเดียวกับแพทย์ไม่ได้รักษาเป็นทุกโรค วิศกรไม่สามารถทำได้ทุกสิ่งอัน เมื่อคิดต่าง มองต่าง ผมก็คงต้องสรุปต่างว่าเรียนกฎหมายไม่เสียเวลาเปล่าแน่ๆ ครับ เป็นการติดอาวุธให้ตัวเอง ถึงไม่ได้ทำงานในสายนี้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ และกฎหมายก็เกี่ยวข้องกับเราตั้งแต่เกิดจนตาย (ไล่ไปครับ ตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก ถึงมรดก ;p) รู้กฎหมายได้ประโยขน์แน่นอน จากคุณ : sailom เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 00:04:17 A:58.64.95.98 X: TicketID:241803

ความคิดเห็นที่ 18 ขออนุญาตเจ้าของความเห็นนี้นำมาลงครับ แล้วดูว่ามันตรงกับข้อ 7. หรือไม่? เมื่อวิศวกรท่านหนึ่งเสียชีวิตลง ดวงวิญญาณได้ไปวนเวียนอยู่หน้าประตู ๒ ประตู หนึ่งคือประตูนรก อีกหนึ่งคือประตูสวรรค์ รออยู่นานประตูสวรรค์ก็ไม่เปิด มีแต่ฑูตนรกออกมาเปิดประตูให้ วิศวกรจึงต้องเดินลงขุมนรกไป เมื่อวิศวกรมาถึงนรก ก็รู้สึกไม่พอใจกับสิ่งต่างๆที่เห็น เขาจึงเริ่มต้นสร้างห้องใหม่ให้ระบายความร้อนได้ดีขึ้น ออกแบบเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม สร้างส้วมชักโครกแทนส้วมซึมแบบเดิม สร้างสไลเดอร์สำหรับกระโดดลงกะทะทองแดง สร้างบันได้เลื่อน สร้างลิฟท์ เพื่อเชื่อมขุมนรกขุมต่างๆให้ไปมาหาสู่กันได้สะดวกรวดเร็วขึ้น และอื่นๆอีกมากมายนานัปการ ภายในเวลาไม่นาน วิศวกรท่านนั้นก็เป็นที่รู้จักและได้รับคำชมเชยจากทูตนรกไม่เว้นแม้แต่ท่านยมบาล วันหนึ่งฑูตสวรรค์โทรศัพท์มาหาฑูตนรก แล้วพูดติดตลกเหมือนเคยว่า "เป็นไง ข้างล่างนั่นน่ะ สบายดีไหม" ทูตนรกจึงตอบว่า "โอ้ย ดีมากๆเลย ตั้งแต่ได้วิศวกรลงมาอยู่ด้วยเนี่ยะ เขาสร้างอะไรต่อมิอะไรให้เยอะแยะเต็มไปหมด คิดว่าอีกไม่นาน นรกจะต้องน่าอยู่กว่าสวรรค์แน่นอน" ฑูตสวรรค์แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง จึงลงมาดู ก็เห็นเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อตรวจสอบดูจึงพบว่าแท้จริงแล้วดวงวิญญาณวิศวกรจะต้องขึ้นมายังสรวงสวรรค์ แต่ถูกฑูตนรกล่อลวงไป บรรดาทูตสรรค์จึงนำเรื่องนี้ขึ้นปรึกษากัน และฟ้องร้องต่อพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจึงต่อสายถึงท่านยมบาล "นี่ ถ้าพวกท่านไม่ยอมรับผิด และไม่ยอมคืนวิศวกรมาให้เรา เราจะทำเรื่องฟ้องร้องท่าน เรื่องนี้ต้องถึงศาลแน่นอน" ท่านยมบาลหัวเราะขำแล้วตอบว่า "แล้วท่านคิดว่าจะหาทนายเก่งๆได้จากที่ไหนล่ะ" จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 55 01:40:59 [แก้ไข] จากคุณ : บ้าแพะ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 01:02:03

ความคิดเห็นที่ 19 คนแบบนี้มีทุกสายวิชาชีพครับ ต่างกันก็ตรงที่ว่า กระบวนการคัดสรรบุคลากรเข้าไปในสายวิชาชีพ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร วิศวะ เค้ามีการคัดคนตั้งแต่ต้นกระบวนการด้วยการ"สอบเข้า"ไปส่วนหนึ่งแล้วครับ จึงได้คนที่ "พร้อม" จะทำงานในสายวิชาชีพ ส่วนนิติศาสตร์นั้นต่างกันครับ การคัดสรรคนตอนต้นกระบวนการไม่เข้มข้นพอ จึงมีคนทั้งเก่งและไม่เก่งเข้ามาศึกษาในสายวิชาชีพนี้ได้ครับ จบไม่จบ ขึ้นกับความขยัน แต่ทำงานได้ดีหรือไม่ ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่าขึ้นกับความสามารถ ม.ที่เค้ามีการแข่งขันกันสูง เช่นม.ใหญ่ๆตามที่จขกท.นี้และนู้นกล่าวอ้างมา เพราะการคัดสรรคนในตอนเริ่มต้นนั้นเข้มข้นกว่า จึงได้คนที่ทั้งมีความสามารถ และขยัน จึงไม่น่าแปลกใจครับ ที่คนเหล่านั้นมักจะทำงานได้ดีกว่า................ก็เท่านั้นครับ จากคุณ : basicball เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 08:35:39

ความคิดเห็นที่ 20 ถูกใจความเห็นที่ 17 มาก ๆ ครับ จากคุณ : chang_kung เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 08:59:19

ความคิดเห็นที่ 21 ... ครับ ... ครั้งนะครับว่า ช่วยๆๆ กันกด VOTE ก็ดีนะครับ เพี่อที่ กระทู้จะได้อยู่ได้นานๆ นะครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 10:32:11

ความคิดเห็นที่ 22 คือเห็นแย้งกับบางความเห็นเรื่องหมอค่ะ  ที่บอกให้ไปเรียนอ่ะ เค้ามีการคัดกรองด้วยการสอบ คนที่ติดหมอคือ 1% ของเด็กเอนทรานซ์ของประเทศไทยนะคะ อย่าลืม จากคุณ : เพียงเพลงพิณ เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 11:12:56

ความคิดเห็นที่ 23 จริงๆ จขกท. ก็จบ ม.รัฐปิดครับ toeic ก็ได้ 900 กว่าๆมีใบประกอบวิชาชีพ แต่ประเด็นมันอยู่ตรงที่นี่คือความจริงของคนส่วนใหญ่ที่จบนิติศาสตร์ตอนนี้ครับ ซึ่งแต่ก่อนเราจะคิดว่าเป็นท่าน เป็นนู่นนี่ได้ไม่ยาก เงินดี แต่ความจริงมันไม่ใช่ จขกท.ต้องใช้ประสบการณ์เรียนรู้มา เสียเวลา ซึ่งถ้าคนรู้ก่อน ก็จะสามารถวางแผนได้อย่างเหมาะสมครับ ตอนนั้นก่อนเลือกเรียนไม่มีคำแนะนำจากคนมีประสบการณ์จริง พ่อก็บอกแต่เรียนแล้วดี เป็นผู้พิพากษา อัยการได้ แต่ไม่ได้บอก how to ว่ามันต้องผ่านอะไรบ้าง ผมจึงอยากเสนออีกด้านหนึ่ง ซึ่งมันไม่ได้สวยหรูครับ จากคุณ : by iPhone (บ้าแพะ) เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 13:08:59

ความคิดเห็นที่ 24 พี่เราก็ได้เป็นผู้พิพากษาตอน 29 ปี มันอยู่ที่ความชอบมากกว่านะ จากคุณ : waterkill เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 16:19:58

ความคิดเห็นที่ 25 น้องที่ทำงานส่งกระทู้นี้มาให้อ่าน เป็นอีกคนที่บ้านไม่รวย เอ็นท์ก็ไม่ติด เลยมุ่งเรียนรามจนจบภายใน 3 ปี ด้วยเงินที่ทำงานพิเศษระหว่างเรียน จำได้ว่าตอนนั้นลำบากมาก กินแต่มาม่า ปัจจุบันส่งตัวเองจนเรียนจบโท สอบได้ทุนเรียนนอก และทำงานใน firm มาเกือบ10ปีแล้ว (ตอนได้งานที่firmยังไม่จบโทด้วยซ้ำ เพิ่งจบตรีมาแค่2ปี presentตัวเองสุดชีวิต ก่อนหน้านั้นเลือกอ่านทุกอย่างที่เป็นภาษาอังกฤษ แม้แต่ตอนกดATM ยังกดเลือกภาษาอังกฤษเลย ฮ่าๆๆ) ตอนนี้ถึงจุดอิ่มตัวกับงานสายนี้แล้ว กำลังจะออกจากวงจรลูกจ้าง ทิ้งเงินเดือน6หลัก (ไม่ได้จะอวด แค่จะบอกว่าใครๆก็ประสบความสำเร็จได้ ถ้าสู้ ไม่เกี่ยวกับชาติกำเนิด) ไปเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเอง อยากบอกน้องๆว่า เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ แค่มีความพยายาม (จำคำโน๊ต อุดมได้ว่า คนเรามีความพยายามเท่ากัน แต่ใช้ไม่เท่ากัน จำจนถึงวันนี้) เลือกเอาว่าจะมองโลกอย่าง"จม" เอาแต่ท้อแท้ มองแต่คนอื่นที่เค้าโชคดีกว่าเรา บ้านรวย เรียนนอก สอบสนามจิ๋ว ฯลฯ หรือจะเอาเวลามานั่งพิจารณาตัวเอง ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น และพัฒนาในสิ่งที่ตัวเองมี หรือขาด เอาความท้อมาเป็นพลัง แล้วจะเห็นว่าโลกนี้ก็ไม่ได้แคบนักหรอก ยังมีอะไรๆอีกเยอะ อ้อ ขอแย้งข้อ 7 จะบอกว่าตอนไปเรียนนอก พอมีคนรู้ว่าเป็นทนาย โ-ตรเท่เลย เค้าถือว่าเป็นอาชีพที่สุดยอดมาก แต่ก็ไม่เคยเจอคนไทยมองว่าแย่อะไรเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันไม่มีคนแบบนั้นอยู่ในชีวิตจริงๆ หรือเป็นที่ตัวเองเลือกที่จะมองและเก็บเฉพาะสิ่งที่ไม่ใช่ "ขยะสมอง" กันแน่ หวังว่าจะให้ข้อคิดอะไรได้บ้าง อย่าจมกับความคิดปลวกๆ ท้อได้ แต่ต้องลุกให้ไว เข้มแข็งหน่อย คุณทำได้!! มันขึ้นอยู่กับว่าอยากทำจริงรึเปล่า สู้! (ถ้าน้องๆที่firmมาอ่าน แล้วพอจะเดาได้ว่าพี่เป็นใคร ช่วยมาคุยกันตัวตัว อย่าพิมพ์ถามในนี้นะ เขิน ฮ่าๆๆๆ) จากคุณ : ทนาย007 เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 17:53:22 A:171.7.225.53 X: TicketID:356067

ความคิดเห็นที่ 26 ทำไมผมมองว่าเป็นอาชีพที่ดีอาชีพหนึ่งเลย หากมองในแง่ของความร่ำรวยอาจจะไม่ดีแน่ เพราะไม่ได้ค่าตอบแทนสูงมาก เหมือนกับอาชีพอื่น บางครั้งมองในมุมที่จบกฎหมายมาน่ะฮ๊าฟ(ไม่ธรรมดา) มันก็เลยทำให้ดูตัวเองต้อยต่ำ อยู่ที่มุมมองของแต่ละคนว่าจะมองในมุมสูงหรือต่ำกว่าเท่านั้น แต่เห็นด้วยว่าอาชีพนี้ต้องเป็นผู้พิพากษา หรืออัยการเท่านั้นถึงจะสุดยอด จากคุณ : Sofus เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 19:08:44

ความคิดเห็นที่ 27 สาขานี้มีคนจบมากทั้งจากมหาลัยปิดและเปิด แต่ความต้องการของสังคมน้อยมาก ดังนั้นถ้าคุณไม่เก่งจริงโอกาสที่จะเจริญจึงค่อยข้างน้อย   สู้ๆครับคนขยันและพยายามเท่านั้นที่เป็นผู้ประสบความสำเร็จ จากคุณ : ปัจเจกชน เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 20:19:12

ความคิดเห็นที่ 28 ทุกอาชีพมันมีการแข่งขันครับ มีผู้แพ้มีผู้ชนะครับ เคยอยากเรียนนิตินะครับ อยากเรียนมากๆ แต่สอบไม่ติด มาคิดดูอีกที รู้สึกว่าตัวเองโชคดี เพราะคงไม่ไหวกับการสอบตลอดชีวิต ตอนนี้ถามว่าอยากเรียนกฎหมายมั้ย อยากครับ แต่ไม่ใช่เพื่อทำงานสายกฎหมายเหมือนที่เคยคิด แต่เพื่อนำมาใช้ชีวิตมากกว่า จากคุณ : Gusbell ครับผม เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 22:11:38

ความคิดเห็นที่ 29 ส่วนตัวของผมสมัยเรียนมัธยม ตัด คณะนิติศาสตร์ออกไปเลย สมัยในนั้นเป็นนิติศาสตร์คณะยอดฮิตของเด็กสายศิลป์ คำนวณ แต่สำหรับคิดแล้วว่าไม่เหมาะกับตัวเอง 555 เพราะผมเรียนไม่ค่อยเก่ง คนเก่งๆที่เรียน นิติศาสตร์ทั่วประเทศมีเยอะ(ถ้าไม่เก่งจริงๆโอกาสเติบโตในสายนี้ยากจริงๆครับ) อีกทั้ง ถ้าคิดว่าจะเป็น ข้าราชการแล้วเรียนนิติศาสตร์ผมคิดว่าถ้าไม่เก่งจริงหรือเส้นใหญ่จริง  ยากมากกกกนะครับ ลองดูสถิติของ นศ.คณะนิติศาสตร์ทั่วประเทศสิครับ ปีๆหนึ่งจบมาเท่าไหร่?? ตำแหน่งข้าราชการของ กพ.ที่เปิดเป็นสอบอัยการ นิติกร ปีหนึ่งเท่าไหร่ เทียบกับอัตราของคนที่จบ นิติศาสตร์ย้อนหลังสัก 5 ปี ผมว่าคงเป็นพัน ต่อหนึ่ง แล้วถ้าไปทำงานเอกชน ถ้า profile คุณไม่เจ๋งจริงๆ บ.เค้าจะจะจ้างคุณไปทำงานในอัตราเงินเดือนที่สูงๆไหม?? ถ้าอยากเรียนแล้วได้บรรจุเป็นข้าราชการ แนะนำสายวิทยาศาสตร์สุขภาพครับ (รับรองทุกสาขาไม่ตกงานแน่ๆๆ) แต่ถ้าสายสังคมศาสตร์ผมคิดว่า สาขาสังคมสงเคราะห์ หรือจิตวิทยา ก็เป็นสาขามีโอกาสบรรจุเป็นข้าราชการสูงเพราะ จบกันน้อยแล้ว หลายๆองค์กรในภาครัฐต้องการสาขานี้สูง เช่น กระทรวงพัฒนาสังคมฯ สาธารณสุข ยุติธรรม มหาดไทย กลาโหม ฯลฯ แก้ไขเมื่อ 18 เม.ย. 55 23:18:42 จากคุณ : dexsil (dexsil) เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 55 23:13:33

ความคิดเห็นที่ 30 พูดงี้เดี๋ยวก็ไม่มีคนไทยเรียนนิติหรอก อยากให้ประเทศเราถูกประเทศเพื่อนบ้านเล่นงานเหรอ จากคุณ : ไม่รู้ใครอ่ะ เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 01:36:49

ความคิดเห็นที่ 31 ขอให้ความเห็นเฉพาะบางข้อแล้วกัน 3.ส่วนใหญ่มักให้คำปรึกษาฟรี หรือแม้แต่ร่างเอกสารต่างๆฟรี!! 4.ประเทศไทยคนไม่นิยมใช้กฎหมาย และเห็นว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่อยากเป็นความ 5.Demand ในสายวิชาชีพน้อย เนื่องจากข้อ 4. 7.คนไทยมักมองอาชีพทนายว่าไม่มีเกียรติ นอกจากไม่รวยแล้ว ยังเห็นแก่ตัว!! ขอจับรวมกันหมดเลยแล้วกัน เพราะมันต่อเนื่องกัน  พอดีตอนนี้ทางบ้านกำลังต้องการทนาย เพราะดูท่าทางว่าต้องฟ้องแน่จึงจะได้รับการชดเชย (ฟ้องละเมิดเรียกค่าเสียหาย) ผมก็เห็นเขาเป็นเดือดเป็นร้อน หาทนายไม่ได้ ไปคุยกับใครถ้าไม่หวังเปอร์เซ็นต์(ซึ่งผิด) ก็บอกว่าเรื่องเล็กน้อยไม่รับทำคดีให้ อ้าวไหนว่าทนายมีเยอะ ทำไมไม่เห็นคนกระตือรือร้นอยากได้งาน หรือจริงๆแล้วกลัวต้องทำงานฟรี เพราะพอเขาตกลงกันได้ก็ลืมทนาย ฟังๆดูแล้วที่หาทนายไม่ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่ไว้ใจทนาย มองในทางลบเสียก่อนว่าจะเอาเปรียบ เรื่องที่เล่ากันก็มีแต่เรื่องโดนทนายเอาเปรียบทั้งนั้น เลยจะหาเฉพาะคนที่ไว้ใจได้ ได้รับการแนะนำ หรือบริการฟรี ส่วนผมมีตั๋วทนาย ไว้ใจได้ บริการฟรี ก็ไม่เคยว่าความ และไม่ว่างจะไปติดตามเรื่อง จากประสบการณ์ให้คำปรึกษาฟรีของผม ก็พบว่าคนที่จบนิติศาสตร์(จะเป็นทนายหรือไม่ก็ตาม)เห็นแก่ตัวจริงๆ กรณีที่ 1 จ้องจะแย่งที่ชาวบ้าน พ่อเป็นครูดีหน่อยไม่คิดจะเอา แต่ลูกจะเอาให้ได้ อ้างอายุความบุกรุก 3 เดือน เกิน 3 เดือนแล้วจะแย่งสิทธิ์ครอบครองให้ได้ เถียงอยู่นั่นแหละ 3 เดือนพาเพื่อนมาเถียงด้วย (ไม่รู้จบที่ไหนมา) ขู่ชาวบ้านจนชาวบ้านหัวหด ทั้งที่ตัวเองกั้นรั้วไปในที่เขา กรณีนี้ไม่ชอบทัศนคติที่เรียนกฎหมายมาเพื่อเอาเปรียบและขู่ตาสีตาสา กรณีที่ 2 และ 3 ก็ออกแนวขู่ตาสีตาสา แต่ก็พอรับได้ที่เพื่อผลประโยชน์ทางฝ่ายเขา เพียงแต่สิ่งที่เอามาขู่ฟังแล้วก็งงว่าเอามาจากไหน ทัศนคติทนายคือพูดยังไงก็ได้ อ้างกฎหมายยังไงก็ได้ เพื่อให้ฝ่ายตัวเองได้เปรียบ เพราะดูท่าทางแล้วชาวบ้านไม่รู้กฎหมาย ดังนั้นผมมักแนะนำว่าไปเรียนกฎหมายเถอะ เวลาเจอทนายแบบนี้จะได้สวนให้เต็มเหนี่ยว ไม่ใช่ตัวสั่นงันงก เผลอไปเซ็นต์อะไรเข้า จากได้เปรียบกลายเป็นเสียเปรียบได้ จากคุณ : vision เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 04:14:28

ความคิดเห็นที่ 32 เห็นมาตั้งแต่กระทู้นู้นแล้ว ไม่ใช่แค่นิติสักหน่อยที่แข่งขันสูง มันก็เป็นเหมือนๆกันทุกอาชีพนั่นแหละ สงสัยก็แต่ว่าหากันเจอหรือยังอาชีพที่สบายๆเงินดีๆ ไม่มีการแข่งขัน ไม่ต้องเก่งก็ทำได้สบายๆน่ะ ใครรู้ช่วยหลังไมค์มาทีครับ ผมลองเทียบกับสายผมนะ สายการเงิน 1.สอบโน่น สอบนี่ ตลอดชีวิต (จนตายยยยกันไปข้าง) ถ้าอยากรุ่งสายนี้เรียนปตรีสี่ปี เอาแค่CFAสามเลเวลสอบได้หมดก็สามปีอย่างเร็ว แต่คนสอบได้สามใบรวดทั้งโลกมีไม่ถึง10% โอเคยากไปป่าวงั้นสอบCISA ก็น้อยคนที่สอบรอบเดียวผ่าน ต้องแบ่งหมวดสอบก้ประมาณปีนึง เอาง่ายกว่านั้นหรอ ไปสอบไลเซนหุ้นกับตราสารอนุพันธ์มาสองใบ ง่ายไหมไม่รู้แต่บางคนสอบไปสิบกว่ารอบ ไม่ได้ นี่ว่ากันแบบพื้นฐานนะครับ ถ้าจะไปเป็นผู้จัดการกองทุนมีสอบเพิ่มอีก แล้วสอบพวกนี้ใบนึงไม่ใช่ถูกๆ มีไลเซนนะถูกสุดไม่กี่ร้อย ที่เหลือน่ะหลักพัน CFAสามรอบนี่เป็นแสน ไม่รวมค่าติว อ่านหนังสือกันเป็นปีๆ 2.ใบอนุญาต ใบประกาศนู่นนี่แค่เศษกระดาษ (เมื่อเทียบกับ วิชาชีพอื่นๆ) สายการเงินมีCISA CFAบางทีก็อัพค่าตัวไม่ได้ครับ บางแห่งต่อให้สอบได้ก็แค่หมายความว่ารับง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องส่งไปสอบอีก แต่เงินเดือนต่ำเตี้ยเรี่ยดินมีถมไป ขึ้นอยู่กับว่าทำตำแหน่งอะไร ถ้าทั่วไปก็รายได้น้อย ตำแหน่งสูงก็รายได้เยอะ แต่แน่นอนการแข่งขันสูงลิ่ว แถมคนจบบริหาร เศรษฐศาสตร์ทำได้หมดคนจบปีนึงๆมากกว่านิติกี่เท่าตัว 3.ส่วนใหญ่มักให้คำปรึกษาฟรี หรือแม้แต่ร่างเอกสารต่างๆฟรี!! อันนี้ไม่รู้คนอื่นจะเจอไหม แต่ผมก็เจอเวลาต้องจ่ายภาษี ลงทุน ก็มาถามฟรี!!! หุ้นตัวไหนดี ฟรี!!! หุ้นจะขึ้นจะลง ฟรี!!! 4.ประเทศไทยคนไม่นิยมใช้กฎหมาย และเห็นว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่อยากเป็นความ อันนี้ถ้าเทียบการลงทุนก็พอกัน คนไทยมีเฉียดๆ70ล้านคน มีบัญชีหุ้นอยู่สามแสน แต่เดี๋ยวก่อนบัญชีที่เทรดจริงๆที่active มีแค่ไม่กี่หมื่นนะคะ ประกันหรอมีแค่20%ของจำนวนประชากร แต่คนสายนี้ยังมองแง่ดีไง มองว่ามันโตได้ประกันบางประเทศ100%ของจำนวนประชากร แปลว่าเราโตได้อีก5เท่า บัญชีหุ้นมีน้อยแปลว่ามันยังขยายตัวได้อีกเยอะ นิติก็เถอะ ทุกวันนี้คนก้ฟ้องร้องกันง่ายขึ้นมาก ไหนจะมีสายพวกสิ่งแวดล้อมเพิ่มมาอีก ทำไมมองว่ามีน้อย ในอนาคตสายนี้สดใสจะตาย 5.Demand ในสายวิชาชีพน้อย เนื่องจากข้อ 4. ผมเห็นเด็กหลายคนที่เรียนบริหารกับเศรษฐศาสตรจบมาอยากเป็นนักวิเคราะห์ ไม่อยากให้รู้เลยว่าที่นึงๆเค้ารับกันแค่ไหน ลองไปดูตามเว็บสมัครงานนะครับ งานสายนี้คนจบมาเยอะมาก งานดีๆที่สมัครบางที่แข่งกันอัตราหนึ่งต่อหลายสิบ (ผมจำเว็บไม่ได้ แต่เคยเห็นบางที่แจ้งจำนวนผู้สมัคร"ผ่านเว็บ"ด้วย) 6.ที่บ้านต้องมีฐานะดี ถ้าจะมองแง่นั้นมันก็เหมือนกันหมดแหละ คนสายการเงินถ้าจบโทนอกได้ก็มีภาษีดีกว่าชาวบ้าน แล้วใครจะมีเงินเรียน เอาแค่ปโทในประเทศก็แพงกว่าหลักสูตรอื่นๆไปเท่าไหร่แ้ล้ว ถ้าอินเตอร์ก็แพงมากไปอีก ไปนอกที่ดีๆก็เป็นล้าน แต่ก็เห็นหลายคนขวนขวายหาทางไปเรียนกันได้ ทุกสายด้วย 7.คนไทยมักมองอาชีพทนายว่าไม่มีเกียรติ นอกจากไม่รวยแล้ว ยังเห็นแก่ตัว!! ๕๕๕ คนไทยมีกี่คนที่มองตัวแทนประกันว่าดี เสี่ยง ตื๊อ เห็นแก่ตัว เอาคนเป็นทนายกับตัวแทนขายประกันมาเทียบกัน คุณว่าสังคมมีทัศนคติไม่ดีกับใครมากกว่า? 8.เรียนมาก ความรู้เยอะ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ เข้าทำนอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" อาชีพการเงินดูแลเงินของลูกค้า บางทีเป็นร้อยๆล้าน แล้วกี่หมื่นกันที่ได้เข้ากระเป๋าตัวเอง? 9.คนมักจะคิดว่าคุณต้องรู้กฎหมายทุกอย่างที่มีบัญญัติขึ้นในประเทศนี้? คนมักจะคิดว่าคนสายการเงินมักจะรู้เสมอว่าตลาดมันจะไปทางไหน ซึ่งถ้ารู้จริงไม่ต้องมานั่งทำงานหรอกครับ เทรดอยู่บ้านดีกว่า ๕๕ คือผมไม่ได้ตั้งใจจะดิสเครดิตเจ้าของกระทู้นะครับ แต่ผมเห็นมาตั้งแต่กระทู้ต้นเรื่องแล้ว นิติไม่ดีแบบนั้นแบบนี้ ยังสงสัยว่าจขกทนั้นเรียนสายไหน เพราะบอกว่าเงินไม่ดีเรียนแล้วแบบนั้นแบบนี้ แต่ก็บอกว่าเรียนสายวิทย์ทำงานสายวิทย์ ผมคิดว่าสายไหนๆมันก็ต้องแข่งขันกันทั้งนั้น ไม่มีสายไหนที่คนไม่เก่ง ไม่สู้แล้วจะได้ดีหรอกครับ เว้นว่าทำงานที่บ้านตัวเอง (@_@) จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 05:00:15

ความคิดเห็นที่ 33 อันนี้ขอตอบแบบนิติมั่งละกัน แต่ว่าไม่ใช่ข้อมูลตัวเองนะครับ เป็นของเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆที่ผมรู้จัก แต่บอกก่อนว่าอ้างอิงถึงนิติทุกคนไม่ได้ เพราะว่าคนที่ผมรู้จักเกือบทั้งหมดจบมาจากสองสถาบันของรัฐชื่อดัง (จริงๆอ่านของกระทู้ต้นเรื่องก็งงๆนะทำไมบอกไม่ดี ผมอิจฉาคนเรียนนิติจะตาย) 1.สอบโน่น สอบนี่ ตลอดชีวิต (จนตายยยยกันไปข้าง) อันนี้มีทั้งจริงและไม่จริง เพื่อนหลายคนแน่นอนจบนิติมาก็ไปต่อเนติเลย แต่พวกจะทำที่ปรึกษาก้ไปต่อนอกไม่เรียนเน บางคนจนป่านนี้ยังไม่เรียนทั้งเนทั้งโท แต่ก็ได้ทำงานที่ดีๆเงินเดือนเห้นแล้วน้ำลายหกก็มี ผมว่าแล้วแต่สายงานมากกว่า บางคนไม่เห็นความจำเป็นก็ไม่สอบ เอาเท่าที่จำเป็นแล้วทำตรงนั้นให้ดีที่สุด 2.ใบอนุญาต ใบประกาศนู่นนี่แค่เศษกระดาษ (เมื่อเทียบกับ วิชาชีพอื่นๆ) อันนี้ผมก็งงนะ ก็ประกาศสายนิติแล้วคุณจะเอาไปทำอะไรล่ะ ขอแวบไปการเงินนิดนึงเพื่อนผมผ่านCFAไปสามเลเวล หมดค่าสอบไปเป็นแสน อ่านหนังสือไปสามสี่ปีกว่าจะได้มา ปรากฏไปทำงานสายความเสี่ยง คือสายการเงินแต่ดูด้านความเสี่ยง ไอ้ที่สอบมาแทบตายไม่ได้ใช้ ไม่ได้เงินเพิ่มใดๆทั้งสิ้นนะครับ!!! แต่ก็อย่างว่าถ้าไม่ได้ใช้บางทีก็ไม่รู้จะเอามาทำไม มีเพื่อนคนนึงอยากเป็นอาจารย์ก็ไม่เห็นว่าจะไปเรียนไปสอบเนติเลย จบมาก็ต่อโท ตอนนี้ไปต่อเมืองนอก มันก็เหมือนสายอื่นๆอยู่ดี 3.ส่วนใหญ่มักให้คำปรึกษาฟรี หรือแม้แต่ร่างเอกสารต่างๆฟรี!! คนส่วนใหญ่ก็ถามกันตามประสาหรือเปล่าครับ แบบอยากรู้อยากเห็น หรือให้ช่วยกันนิิดๆหน่อยๆ ถ้ารู้สึกว่าเกินไปก็ขอคิดเงินสิ ถ้าสนิทกันก็บอกเลี้ยงข้าวหรืออะไรก็ได้ เรื่องแบบนี้ถ้ารู้สึกว่าโดนเอาเปรียบ ถ้าไม่พูดคนถามก็ไม่รู้หรอก ผมว่ามันเป็นเรื่องของความมีน้ำใจในกรณีเล็กๆน้อยๆ แต่ถามากไปก็ต้องทำให้เค้ารู้ คนส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่าขอบเขตของการทำงานอยู่ตรงไหน เพื่อนผมทำงานออกแบบ ถ้างานเล็กๆน้อยๆก็วานทำฟรีๆ แต่ถ้าให้ออกแบบทางการก็จ่ายเงินไป ไม่ยากนี่ครับ ขึ้นอยู่กับว่ากล้าแสดงออกไหม 4.ประเทศไทยคนไม่นิยมใช้กฎหมาย และเห็นว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่อยากเป็นความ อันนี้ผมคิดว่าประเทศเรากำลังพัฒนาไปในทิศทางที่นิติเริ่มสำคัญมากนะ ผมยังเคยบอกรุ่นน้องเลย ถ้าชอบอ่านเรียนนิติก็ดี เดี๋ยวนี้ฟ้องหมอฟ้องอะไรกันให้วุ่น คนเริ่มรักษาสิทธิ์ตัวเองมากขึ้น เราอย่ามองแต่อดีตครับ แบบนั้นปู่บัฟบอกว่า "อย่าขับรถโดยมองแต่กระจกมองหลัง" เราต้องคาดการณ์ภาวะแวดล้อมไปข้างหน้าด้วย ดูกรณีเรียกร้องสิทธิ์ตามที่ต่างๆ สิ่งแวดล้อม หรือใช้วิธีการประเมินแบบทุนนิยม ทุกประเทศจะมีพัฒนาการคล้ายๆกัน เมื่อก่อนบ้านเราอาจล้าหลัง แต่ไปดูประเทศพัฒนาแล้วสิครับ อาชีพนิติรวยจะตาย ซึ่งในที่สุดบ้านเราก็ต้องเป็นแบบนั้นเช่นกัน 5.Demand ในสายวิชาชีพน้อย เนื่องจากข้อ 4. จริงๆถ้าไม่เลือกงานก็มีงานให้ทำแหละครับ ผมว่าสายนี้น่าอิจฉาจะตาย ใครไม่จบสายตรงมาหมดสิทธิ์แข่ง ลองไปดูสายอื่นสิครับ HR การเงิน การตลาด พวกนี้ไม่จำเป็นต้องจบตรงสายคู่แข่งมหาศาลเลย 6.ที่บ้านต้องมีฐานะดี ม่ายน้าเพื่อนหลายๆคนก็ฐานะธรรมดานี่แหละ แต่พวกนี้ขวนขวายมากเลย หาทุนเรียนต่อ ทำงานหาเงินเรียนต่อ พวกฐานะดีบางคนซะอีกเลือกงานบ้าง ทนงานหนักไม่ไหวบ้าง ผมว่าขึ้นอยู่กับทัศนคติแ้ล้วล่ะว่าจะเอาฐานะมาเป็นข้ออ้างหรือแรงกระตุ้น 7.คนไทยมักมองอาชีพทนายว่าไม่มีเกียรติ นอกจากไม่รวยแล้ว ยังเห็นแก่ตัว!! ผมคนนึงละที่มองว่าอาชีพนี้สุดยอดมากเลย คนจบนิตินี่เก่งมากทุกคน อึดทุกคน มีคนชมว่าผมเก่งไหวพริบดี พูดจาฉะฉาน ขอโทษครับ พอไปเจอเพื่อนนิตินี่ อายยยยยยยมาก จะพูดอะไรมันดักทางได้หมดเลย มันล้อมเราซะจนดิ้นไม่หลุด เห็นหลายคนแล้ว อันนี้ก็อยากทำให้เรียนนิติ อยากพูดกเ่ก่งๆบ้าง-_-" 8.เรียนมาก ความรู้เยอะ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ เข้าทำนอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" อูย รุ่นน้องผมที่ทำงานนี่สาตร์ททีผมสะอึกเลย จบปตรีเอง และถ้าเก็บเลเวลได้อีกทีนี้คิดค่าตัวรายชั่วโมงเลยนะนั่น เอาว่าใครบอกสายการเงินรายได้ดีมันก็มีแต่เป็นส่วนน้อยนะครับ ลองไปดูสายนิติในระดับเดียวกันสิ สายการเงินถ้าคุณจบโทนอกมาเงินเดือนอาจจะหมื่นกลางหรือปลายๆ ถ้ายูแบบท็อปๆเลยก็หกหลัก แต่นิติบริษัทข้ามชาตินี่เอาแค่งานเดียวเค้าคิดหกหลักแล้วนะครับ งานแบบฟอร์มทางกฏหมายง่ายๆก็เกือบๆหกหลักแหล่ว T^T พอดีสมัยทำงานธนาคารต่างชาติต้องติดต่อด้วย อิจฉาชะมัด 9.คนมักจะคิดว่าคุณต้องรู้กฎหมายทุกอย่างที่มีบัญญัติขึ้นในประเทศนี้? อาจจะเพราะรูมเมทเก่าผมเรียนนิติทำให้ผมรู้แฮะว่ามันมีหลายสาย --------------------------------------------------------------------------------------------------- แต่ว่ากว่าจะมีอะไรดีๆแบบนี้ไม่ใช่ว่าได้มาง่ายๆนะครับ เรียนกันรากงอกเลย ยกตัวอย่างถ้าคุณเรียนธรรมศาสตร์(สมัยผมนะ ไม่รู้เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปรึยัง) รูมเมทผมตื่นเช้าไปเรียน เสร็จสี่โมงเย็น อ่านหนังสือต่อที่ห้องสมุด กลับหอสองทุ่มอาบน้ำอาบท่า อ่านต่อจนเที่ยงคืนตีหนึ่ง "ทุกวัน" ย้ำ "ทุกวัน" และไม่ใช่แค่เมทผมนะ เพื่อนเค้าก็ด้วย ทุกคนอ่านกันเอาเป็นเอาตายเลยไม่ใช่แค่ช่วงสอบ แต่อ่านกันตั้งแต่เปิดเทอมเลยแหละ เพราะที่นี่สอบหนเดียวตอนปลายภาค ตกคือตกเลย และคะแนนก็เป็นเปอร์เซ็นต์ ต้องได้94หรือ96%หว่าถึงจะได้A ผมไม่แน่ใจว่าคนในสายนี้มหาลัยอื่นๆจะเรียนหนักแบบนี้ไหม แต่มันคงไม่ยุติธรรมถ้าคนที่เรียนๆเล่นๆจะได้ผลตอบแทนหรือมีอนาคตที่ดีแบบคนที่อ่านกันเอาเป็นเอาตาย เอาอีกคนละกันอันนี้เรียนราม จริงๆน่าจะรู้จักเยอะกว่านี้แต่ตอนนี้นึกไม่ออกจริงๆครับ คนนี้เรียนรามตั้งกะม4 คือเรียนแบบNon-Degreeสมัยนั้น สมัยนี้เรียกอะไรแล้วไม่รู้ จำไม่ได้ ตอนเพื่อนๆเอ็นท์กัน(แก่มะ?) คนนี้ไม่เอ็นท์ครับ แต่แกไปเรียนรามต่อ จบในสามปีครึ่งเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง(เจ๋งมะ) รวยไม่รวยไม่รู้ แต่ผมรู้ว่าเค้าเป็นลูกค้ารายใหญ่ของธนาคารข้ามชาติแห่งนึง สรุปผมก็เน้นอีกว่ามันขึ้นอยู่ที่คนจริงๆ สายการเงินที่ผมอยู่ก็มีคนรายได้ดีเวอร์ก็มีแต่อัตราส่วนที่น้อย ลองไปดูส่วนใหญ่สิ เข้าธนาคาร เป็นมาร์เก็ตติงรายได้จะเท่าไหร่เชียว นี่ไม่ต้องนับสายบริหารทั่วไปที่ทำแอดมินนะครับ สตาร์ทกันที่ไม่ถึงหมื่น หนักหน่อยก้ไม่กี่พัน แต่พวกตั้งใจเรียน เรียนหนัก เกรดออกมาดีๆ ผลตอบแทนก็สูงตามไปด้วย และเพราะแบบนี้มั้งผมถึงคิดว่ามันขึ้นอยู่กับตัวเรามากกว่าสายงาน ไม่งั้นคุณบัณฑิตจะรวยหรอครับ อาชีพวาทยากรเลยนะ แต่เค้ามีอุตสาหะพร้อมทั้งการวางแผนชีวิต จนไปได้ดิบได้ดี คนทั่วไปก็โอ้ว คนๆนี้โชคดีมั่งละ มีโอกาสมั่งล่ะ อัจฉริยะมั่งล่ะ แต่มีกี่คนที่สนใจความลำบาก หยาดเหงื่อทุกหยดที่เค้าแลกมาบ้าง??? แถมอีกนิด การเรียนนิติก็ควรจะมีการวางแผนเช่นกัน ครั้งหนึ่งเคยฟังบรรยายของดร.สุวรรณ วลัยเสถียร เรื่องการเรียนคงไม่ต้องพูดถึง แต่ท่านวางแผนดีมาก ท่านว่าทำอะไรเอาให้เก่ให้ได้1ใน5ของสายงานที่จะทำ อย่างท่านนี่ชำนาญด้านภาษีมากคิดว่า1ใน5ของประเทศได้ เพราะอะไร เพราะตอนที่ท่านจะเลือกเรียนนั้น แทบไม่มีใครสนใจกฏหมายทางด้านนี้เลย เป็นไงครับการวางแผนของท่าน เพื่อนผมก็ถามท่านว่า เค้าสนใจเรียนกฏหมายสิ่งแวดล้อม จะดีไหม ท่านก็ว่าดี ดีมากเพราะสายนี้คนยังสนใจน้อย แต่อนาคตคนจะสนใจสิ่งวดล้อมมากขึ้น การฟ้องร้องด้านนี้ก็จะมากตามไปด้วย ถ้าเรียนตอนนี้ก็น่าจะใช้ได้ทัน และเรียนเป็นคนแรกๆก็จะมีภาษีดีกว่า เพราะได้เริ่มได้ขยายการรู้จักในสายงานก่อน (นี่ผมหาคู่แข่งให้เพื่อนรึเปล่าเนีย?) จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 05:33:44

ความคิดเห็นที่ 34 #31 ผมเคยลงเรียนนิติไปเบื้องต้นก็เพราะกลัวคนมาเอาเปรียบแบบนี้ล่ะครับ แต่เนื้อหาเยอะมาก เลยคิดว่าถ้ามีเรื่องปรึกษาเพื่อนเอาละกัน อิอิ มาเขียนเพิ่มอีกนิดเพราะมีหลายคนบอกรายได้หมอดี ไปเรียนหมอดีก่า พอดีมีเพื่อนเป็นหมอพอสมควร (บางท่านอาจจะงง คือผมเป็นพวกกิจกรรมเยอะ เจ๊าะแจ๊ะไปทั่ว ไหนจะเพื่อนมัธยมไปเรียนต่อมหาลัยคณะต่างๆก็รู้จักเพื่อนของเพื่อน เพื่อนที่มหาลัยก็มีเพื่อนมัธยมที่อยู่คณะต่างๆอีก ทำกิจกรรมอีกมันเลยหลากหลาย และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่นิยมบอกน้องๆว่าทำกิจกรรมเยอะๆ โลกเราจะได้กว้างขึ้นมากกว่าแค่มุมมองคนในคระเดียวกัน หรือมหาลัยเดียวกัน) ขอสั้นๆนะครับ เช้าแหล่ว เรียนหมอหรือทันตะนี่ไม่ใช่ง่ายๆนะครับ ก่อนอื่นสติปัญญาต้องถึงก่อน ไม่งั้นสอบเข้าไม่ได้ ถ้าเข้ามรัฐไม่ได้ก็ไปมรังสิตค่าเรียนเป็นล้าน จบออกมาก็ภาษีไม่ดีเท่ากับคนที่จบจากมรัฐเป็นแน่แท้ เวลาเรียนก็หกปีนะครับ หกปี บางคนบ่นเรียนหกปีจบมารายได้ไม่กี่หมื่น สู้ไปเรียนวิชาอื่นแล้วต่อโทเลยรายได้ก็แทบไม่ต่างกัน แถมเวลาเรียน คือผมนับถือหมอตรงนี้แหละ โดยเฉพาะหมอผู้หญิง เพราะต้องผ่าอาจารย์ใหญ่ จับตับ ปอด ไต กระเพาะ เซ่งจี๊ ไส้ใหญ้ ไส้น้อย(เล็ก)เอามาศึกษา ในห้องก็เหม็นน้ำยาดองศพ ไหนตอนอ่านหนังสือนี่มหาศาลมาก ภาษาต่างด้าวทั้งนั้นเลย แล้วพลาดไม่ได้ ต้องเปีะๆมาก มาตอบแบบตีขลุมไม่ได้เพราะทุกเรื่องหมายถึงชีวิต เรียนปีสี่ก็เริ่มขึ้นคลินิค(ทันตะ-สายแพทย์ไม่แน่ใจเท่าไหร่) งานหนักเพิ่มบานตะเกียง ไหนจะเรียนเวลาปกติ ทำแล็บที่คั่งค้างตอนกลางคืนอีก พอเริ่มขึ้นหวอดทีนี้เวลาว่างแทบไม่มีเลย ใครมีเพื่อนเป็นหมอลองไปนัดตอนพวกนี้ปี5-6สิ หาเวลาว่างตอนเย็นยากมาก เรียนจบอ้าวไปใช้ทุนอีกสามปี จะไปไหนดีไอ้ที่ใกล้กทมก็คนเลือกเยอะ ว่างๆหน่อยเงินดีมากก็นู่นสามจังหวัดชายแดนใต้ เมื่อวานมีเพื่อนโทรมาปรึกษาเรื่องออมเงิน แต่ปีนี้ไม่มีให้ออมนะคะ เพราะมาเรียนต่อเฉพาะทาง เงินเดือนเหลือ2หมื่น แต่เรียนสามปีนะคะ แล้วถ้าต่ออีกก็สองปีถึงจะจบแบบสายที่อยากทำจริงๆ เรียนกันแก่เลยแหละ หมอฟันก็เหมือนกัน จบแล้วไปใช้ทุนสามปี อยากต่อก็มาต่ออีกสองปี กว่าจะโปรก็เกือบสามสิบเช่นกัน เวลาช่วงวัยรุ่นนี่หายไปเยอะนะครับ แลกกับเงินที่มากกว่าหรือว่าเกียรติที่ได้รับ ถามอีกนิด บอกหมอได้รับเงินดีนั่นมันหมายถึงตอนเริ่มต้นนะครับ มาคิดต่อว่าคนที่ทำอาชีพหมอจริงๆใครบ้างรวยระดับประเทศ ไม่นับพวกที่ทำ"ธุรกิจ" อย่างเปิดคลินิคหรือพวกสถาบันเสริมความงามนะครับ อาชีพหมอรายได้ก็ไปตันอยู่ดีแหละ แลกเงินกับเวลา เทียบกับทนายดังๆสิครับ คิดเงินเป็นรายชั่วโมง ต่อชั่วโมงดีกว่าอาชีพแพทย์อีก โลกมันมีสองมุมเสมอ แต่ผมกลับมองว่าเราจะมองมันอย่างไร เราได้ข้อมูลทุกด้านหรือยัง เรามักจะมองด้านที่สดสวยของสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา และมองด้านแย่ๆที่เรากำลังเผชิญ เช่น หลายคนอยากเป็นนักวิเคราะห์(ชอบกันจริ๊ง) แต่มีใครรู้บ้างว่านักวิเคราะห์งานหนักแค่ไหน มีคนชอบคุณตัน คุณวิกรม แต่มีใครรู้บ้างว่ากว่าจะมาจุดนี้เค้าสองคนผ่านอะไรมาบ้าง เหมือนเวลาเล่นหุ้นแล้วขาดทุนนั่นแหละ บางคนโทษว่าหุ้นมันโหลยโท่ย แต่ไม่เคยตำหนิความผิดพลาดของตัวเอง หลายคนบอกว่าเล่นยังไงก็ขาดทุน แต่ไม่เคยคิดว่าถ้าทำตรงกันข้ามน่ะรวยเละเทะไปแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองละมั้ง??? (@_@) จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 05:51:36

ความคิดเห็นที่ 35 ถ้าคุณมองไปที่ตัวบุคคลว่า จขกท. มาบ่นไม่สู้งั้นงี้ คุณก็จะมองเห็นแต่ตัวบุคคล แต่สิ่งที่ผมมองเห็นคือเค้ามาแชร์ประสบการณ์ด้านไม่ดีซึ่งปกติแล้วก่อนเรียนนิติจะไม่ค่อยมีใครรู้ ซึ่งก็มีประโยชน์ต่อการตัดสินใจมากทีเดียว ส่วนจขกท. ชีวิตจริงจะไม่สู้ยังไงหรือล้มเหลวแค่ไหนมันเรื่องส่วนตัวของเค้านะผมว่า จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:45:19

ความคิดเห็นที่ 36 ถึงจะยกข้อดีของนิติมามากยังไง ความจริงก็คือความจริงอยู่ดี ผมว่าปัญหามันเกิดจาก Supply มันเกิน Demand มามากและยังคงเกินต่อไปเรื่อยๆ เพราะคนจบนิติมันเยอะมาก กระแสนิยมคณะนี้ก็ดีมาก ในขณะที่ความต้องการของตลาด ในไทยแทบไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย แต่ถ้าเป็นในประเทศฝั่งตะวันตกมันจะเป็นอีกเรื่องนึงเลย อาชีพด้านกฎหมายนี่รวยมาก เพราะอะไรนิดอะไรหน่อยก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายกันแล้ว ในขณะที่บ้านเราอะไรนิดอะไรหน่อยก็หยวนๆไป วัฒนธรรมและความเจริญมันต่างกัน คนเรียนเยอะคู่แข่งเยอะ มันก็ต้องประสบความสำเร็จยากอยู่แล้ว อย่าไปมองว่าทัศนคติ ของจขกท. มันไม่ดี เรากำลังมองตลาดอาชีพอยู่ ไม่ใช่ในระดับบุคคล ไม่อย่างนั้นเรา ก็สามารถเอา เด็กล้างจานมาเปรียบเทียบกับหมอได้น่ะสิ ถ้าเด็กล้างจานทำงานวันละ 16 ชม. ก็จะประสบความสำเร็จมากกว่าหมอได้งั้นสิ เพราะทำงานหนักกว่า ทุ่มเทกว่า ลองเปรียบเทียบกับบัญชี บัญชีจบมามีงานทำตรงสายแน่นอน ในขณะที่นิติอาจจะไม่ แต่เรื่องปิรามิด มันเป็นในเกือบทุกอาชีพแหละ โดยเฉพาะอาชีพที่ไม่ได้คัดคนก่อน เข้าเรียน หรือมีการคัดเลือกน้อย จากคุณ : reality (Snowdust) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 09:46:10

ความคิดเห็นที่ 37 เห็นด้วยกับ จขกท. ผมว่าีที่ จขกท. พูดน่ะ ไม่ได้ผิดเลยสักนิด เพราะเขาพูดถึง scope ที่มันใหญ่ แบบทั้้งประเทศ เขาเว้นที่จะวิจารณ์ คณะนิติศาสตร์ใน ม.ดังๆ คล้ายๆ กับว่า ถ้าคุณเก่งขนาดจะเป็นหมอได้ คุณเป็นอะไรก็ได้นั่นแหละ แต่เพราะว่าคนมันจบเยอะไงครับ คิดอะไรมาก คะแนนเฉลี่ย O-net ของทั้งประเทศแค่ 20 คะแนนเอง สุดท้ายคนที่เก่งที่สุด จะประสบความสำเร็จอยู่ดี แต่บางที สาขานี้ อาจจะทำให้คนที่เก่ง เสียความรู้สึกครับ เพราะในบรรดา นศ.หมื่นคนนั้น มีคนเก่งมาก และเก่งมากๆ อยู่ด้วยครับ เข้าใจครับ ในสิ่งที่ จขกท.นำเสนอ จากคุณ : amnakim เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 11:40:39

ความคิดเห็นที่ 38 รู้อยู่แล้วว่าต้องสอบตลอดชีวิต ก็สอบครั้งเดียวให้ผ่านสิครับ มีความพยายามก็สอบได้ทุกสนาม ยากตรงไหน จากคุณ : เจ้าเด็ก เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 11:43:04

ความคิดเห็นที่ 40 แนะนำ เรียนมินิ MBA ต่อ จะรู้ว่า หาเงินได้อย่างไร จากความรู้ตัวเอง เชื่อว่า แค่ลงเรียน ก็น่าจะได้คอนเนคชั่นแล้วนะ จากคุณ : A.R.T. เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 19:20:16

ความคิดเห็นที่ 41 สนใจความคิดเห็นที่40 อยากรุว่ามินิMBAประมาณไหน ต่างจากMBA ปกติมั้ยค่ะ จากคุณ : เพลินวาน เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 22:09:25

ความคิดเห็นที่ 42 จขกท.นำเสนออีกด้านสำหรับเด็กใหม่ๆที่คิดจะเอาดีทางด้านนี้ก็ถูกต้องแล้วค่ะ เพราะระบบการแนะแนวให้เด็กที่จะเข้าสู่ระดับอุดมศึกษาบ้านเรามันห่วย ไม่ได้แนะนำคณะให้ตรงกับความชอบหรือจุดมุ่งหมายในการประกอบอาชีพ เน้นให้เด็กเอ็นท์ติดอย่างเดียว เพื่อเก็บสถิติของโรงเรียน (เดี๋ยวนี้เรียกแอดมิดชั่นใช่มั้ย) เพราะนี่คืออีกมุมมองที่อยากได้ก่อนเลือกคณะทั้งหลาย กว่าจะประสบความสำเร็จต้องเจออะไรบ้าง เส้นทางไม่ได้โสภาเหมือนตอนบอกว่า "หนูเลือกนิติเพราะหนูอยากเป็นผู้พิพากษาค่ะ" เราอ่านหัวข้อก็เข้าใจได้อย่างนั้นนะ เค้าแค่เตือน ทำไมต้องไปทับถมแดกดันจขกท.กันละ แม้มันจะเกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวของคนที่ยังไม่ได้อยู่บนยอดปิระมิด แต่มันก็คือโลกอีกด้านนึงไม่ใช่เหรอ จากคุณ : หมูหยี+หมูอ้วน เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 01:59:37

ความคิดเห็นที่ 43 นิติเปิดสอนตั้งแต่มหาวิทยาลัยดัง รัฐบาล เอกชน ยันราชภัฏ มีแทบทุกจังหวัด จังหวัดละกี่หัว จบทีเยอะแยะ เก่งมีกึ๋นก็รอด ไม่เก่งมีกี๋นก็โอเค แล้วที่ไม่มีกึ๋นอีกเยอะแยะ พ่อเราเป็นทนาย จบราม 8 ปี เกรด 2.33 ไม่ได้ภาษาอังกฤษ อายุ 50 แล้ว ไฟเริ่มมอด ปู่เราอยู่ภาคใต้เป็นกำนันโดนยิงตายตั้งแต่พ่อ 5 ขวบ (เป็นคนโต มีน้องอีก 4) พ่อจนมาก ไม่มีปัญญาต่อสู้คดีได้ จึงอยากเรียนนิติ พ่อจนมาก กินแต่น้ำก๊อก เอาน้ำลูบท้อง เรียนไม่เก่ง ลงแล้วลงอีก จน 8 ปี ตอนนี้รายได้ปานกลาง ประจำเอกชน 2 หมื่น งานนอกอีกประมาณ 1-3 หมื่นต่อเดือน ลูกตัว 2 ลูกเลี้ยงอีก 1 หาคนเดียว แม่เราไม่เลี้ยง แม่ใหม่ก็จบน้อย เงินน้อย ยิ่งช่วงไหนราชการปิด ยิ่งน่าเบื่อ เพราะติดต่องานไม่ได้ ต้องรอกันไป อยู่ได้เพราะงานจ้างต่างๆ ว่าความ รับปรึกษา เดินงานเอกสารราชการ เรียกว่าทำอะไรก็เป็นเงิน แล้วที่ทำงานแต่ไม่จ่ายก็เยอะ ขับรถเบนซ์หรูเพื่อมาต่อราคาก็มี เป็นหนี้พอประมาณ พอกินเบียร์ก็หายกลุ้ม ชีวิตไม่สวยสดงดงามดังฝันไว้ แต่ก็ยังมีทัศนคติที่ดีต่ออาชีพ เพราะพ่อบอกอยู่ตรงนี้ ทำงานอะไรก็ได้ หาเงินได้ทุกทาง มีรายรับทุกวัน (ในขณะที่รายจ่ายก็มีทุกวัน เลี้ยง 4 หา 1) จะทำราชการก็ไม่ได้ ไม่เก่ง สอบกี่ครั้งก็ไม่ผ่าน เริ่มงานราชการต้องเรียนรู้กันก่อน มาให้เงินเดือนเยอะๆ เลยไม่ได้ แต่พ่อมีภาระ พ่อมีลูก ปากท้องลูกจะมาอดสักวัน ก็ทำไม่ได้ (เรียนจบพ่อก็มีเรา) มีเวลาก็อ่านหนังสือตลอด เคยถามพ่อว่าทำไมไม่เป็นผู้พิพากษา ไม่เป็นนั่นเป็นนี่ ก็เพราะว่าพ่อไม่เก่ง สอบกี่ครั้งก็ไม่ได้ เอาแรงใจที่เหลืออยู่มาหาเงินให้ลูกดีกว่า ตอน ม.6 เราได้มีโอกาสเข้าค่ายเตรียมนิติของ ธรรมศาสตร์ มีอาชีพต่างๆ ที่เค้าจบนิติมาให้คำแนะนำมากมาย นั่นเป็นด้านที่ดี แต่ด้านที่ไม่โอเคล่ะ มีใครบอกเราได้บ้าง บางคนพบเห็นแต่สิ่งดีๆ แต่เคยมองมุมกลับบ้างไหม เพื่อนที่เข้าค่าย วาดฝันไว้สวยงาม หนูจะเป็นนักกฎหมายที่ดี เป็นผู้พิพากษาพิทักษ์คุณธรรม มีพี่คนนึงเข้ามาถาม บอกพ่อกำลังจะป่วยตาย ต้องใช้เงิน 5 ล้าน ถึงจะรอด แต่คุณมีเงินไม่ถึง ให้แลกกับปล่อยตัวนักโทษ ช่วยเหลือคดีจำเลยที่ทำผิด เพื่อแลกกับชีวิตพ่อคุณ คุณจะเลือกอะไร..... เอาคนประสบความสำเร็จมายกตัวเอง อันนี้ก็เห็นด้วยชื่นชม ลองเทียบกับคนจบทั้งประเทศไหม เอาความจริงเข้าว่ากันดีกว่า มันก็มีทั้งตัวบุคคล ปัจจัยอื่นๆ เยอะแยะที่ทำให้ได้งานที่ดี มีหลากหลายมุมให้เราได้รับรู้ จะมากรอกใส่หูแต่ด้านที่ดีด้านเดียวไม่ได้ ตอนนี้เราเรียนด้านการแพทย์ ขอเถียงสำหรับใครบอกว่าแพทย์สบาย ต้องโน่นต้องนี่ กว่าจะจบ เพราะถึงจะลำบากลำบนอย่างไร ก็ยังมีงาน ไม่เหมือนสายสังคม สายแพทย์ ป.ตรี ยังพอหากินได้ สายสังคมมี ป.ตรี ไปก็ยังตกงานกันเกลื่อน เงินจะกินข้าวยังไม่มี แพทย์จะเรียนหนักเรียนหนากว่ายังไงก็ยังมีเงินซื้อข้าวกิน ป.ตรีสายอื่น นั่งเป็นมนุษย์เงินเดือนกินเงินบริษัทกันไป ในเมืองตื่นแต่ ตีสี่ตีห้า นั่งออฟฟิศทำงานงกๆ เรียนด้านนี้จะลำบากลำบนยังไง ทำงานไปยังได้บุญ ได้ช่วยเหลือคนอื่นเทียบกับเงินแม้จะไม่คุ้ม แต่ยังมีเกียรติ มีคนนับหน้าถือตา บ่นอะไรยืดยาว ^^ จากคุณ : Aris_L เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 04:36:24

ความคิดเห็นที่ 44 ขอพูดอีกนิดนึง ในฐานะครูแนะแนว และครูคณิตศาสตร์ ในโรงเรียนมัธยมประจำตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่ง พวกคุณส่วนใหญ่ ผมเชื่อว่ามีไอคิวสูงพอสมควร เพราะอย่างน้อยคุณก็อ่านหนังสือออก ท่องสูตรคุณได้ สะกดคำภาษาอังกฤษรู้เรื่อง ซึ่งแต่ก่อนผมเข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นสิ่งปกติพื้นฐาน เช่นการไล่เดือนทั้งสิบสองของปี พวกคุณคิดว่าคุณอาจจะไม่เก่ง แต่เอาเข้าจริงๆ คุณทั้งหลายบนเวบไซต์มีความเก่งที่แฝงเอาไว้ และสามารถพัฒนาได้ คุณเชื่อแนวคิดบัวใต้ตม ของพระพุทธเจ้ามั๊ย พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า มีบัวอยู่เหล่าหนึ่ง เหล่าสุดท้าย ซึ่งไม่สามารถสอนได้ ผมเชื่อนะ เพราะการที่เราเรียนรู้ อันที่จริงมันเกิดจาก ยีนส์ การดูแลระหว่างตั้งครรภ์ การดูแลหลังคลอด และสิ่งแวดล้อม ยีนส์ก็ไม่ดี ท้องแล้วก็กินเหล้า คลอดแ้ล้วก็เลี้ยงบ้างไม่เลี้ยงบ้าง และสิ่งแวดล้อมไม่ต้องพูดถึง พวกท่านไม่ต้องสงสัยว่าทำไมคะแนน O-net ถึงได้ตกต่ำ เพราะคนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นเช่นนั้น อาจจะมองในแง่ร้ายสักหน่อย แต่ได้โปรดเชื่อผมเถิด เพราะแต่ก่อนผมก็เคยมีความคิดแบบพวกท่านนั่นแหละ กว่าจะเข้าเรื่อง บางครั้ง ประเทศไทยก็ไม่เหมาะที่จะเรียนให้จบ ป.ตรี กันทุกคน เท่านั้นเอง เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ทุกคน ที่มีใจรักในนิติศาสตร์ เรียนคณะนี้แล้วจะอยู่รอด สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น สิบเปอร์เซ็นต์ของประเทศ ที่ไม่ว่าจะเรียนอะไรก็ประสบความสำเร็จ แม้แต่จะเป็นช่างไม้ จากคุณ : amnakim เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 08:40:20

ความคิดเห็นที่ 45 ไม่เถียงเลยว่าสิ่งที่จขกทว่ามาคือความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมของวงการนิติศาสตร์ ซึ่งน่าจะเป็นแบบเดียวกันกับหลายๆสาขาวิชาชีพเช่นกัน แต่ที่ไม่เห็นด้วยอย่างมากคือวิธีการนำเสนอ และทัศนคติในการมองถึงความจริงนั้นมากกว่า อย่างที่หลายๆความเห็นข้างต้นว่ามา ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ และในโลกปลาใหญ่กินปลาเล็กใบนี้ คนที่พร้อมกว่า โอกาสมากกว่า ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าแน่นอน แต่ในเมื่อคนเราได้โอกาสมาไม่เท่ากัน มันก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะมานั่งร้องไห้ว่าอยากไปเกิดใหม่เป็นแบบนั้นแบบนี้ หรือว่าจะบริหารทรัพยากรและโอกาสที่ตัวเองมีอยู่อย่างไรให้มันเกิดประโยชน์สูงสุดจะดีกว่ากัน ตัวเราเองได้มีโอกาสเรียนนิติจากความต้องการของที่บ้าน ทั้งๆที่เราอยากไปเรียนนิเทศมากกว่า แต่สุดท้ายก็ดันติดนิติ ก็ต้องจำใจเรียนโดยที่บอกได้เลยว่า ไม่ชอบเลยยยยยยยยยยยยยย พอไม่ชอบ ก็เรียนไปง่อยๆ ตกแล้วตกอีก กว่าจะเรียนจบก็หกปี ในระหว่างเรียนก็เป็นที่รู้กันในคณะว่าไอคนนี้คือคนที่ตกกราวรูดตลอดเวลา... พอเรียนจบตรีมาด้วยเกรดไม่ถึงสาม ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร อยากจะไปเรียนต่อเมืองนอกแบบเพื่อนๆ ก็ไม่ตัง ก็คงต้องมาทำงานสายกฎหมายนี่ละ ได้งานแรกที่ law firm เล็กๆ ที่นึง เงินเดือนหมื่นสาม ดีใจฉี่แทบราดเพราะเจ้านายที่สัมภาษณ์บอกว่า ดูเป็นคนมีไหวพริบดี เรื่องเกรดไม่ใช่ปัญหา ถ้าสามารถเรียนรู้งานได้และรู้จักหาทางออกสำหรับปัญหา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการเป็นที่ปรึกษากฎหมายที่ดี ทำงานที่นี่ไปได้ปีนึง ทำสากกะเบือยันเรือรบจดทะเบียนบริษัท วีซ่า เวิคเพอมิท สัญญา BOI แปลเอกสาร ผัวเมียตีกัน ฯลฯ อยู่ๆเฟิมก็เจ๊ง แต่ก็โชคดีได้ไปเป็น in house ของบริษัทนึง และก็อยู่เรื่อยมาจนทุกวันนี้ ตอนนี้ทำงานมากกว่าเดิม เพราะทำตั้งแต่สากกะเบือของไทยยันเรือรบของเมืองนอก เงินเดือนไม่ได้ขี้เหร่อะไร (ในความคิดตัวเอง) ซื้อคอนโดได้ (ผ่อนไปเรื่อยๆ) ซื้อรถได้ (โชคดีจ่ายหมดแล้ว) จนถึงป่านนี้อายุจะแตะเลขสามแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เรียนโท... เล่ามาเหมือนจะโชว์ว่ากรูเก่ง แต่อยากจะบอกว่ากว่าจะถึงจุดนี้ไม่ง่ายเลย เคยท้อมามาก แต่ก็พยายามหาทางเลือกที่ดีที่สุดให้ตัวเอง เช่น รู้ว่าว่าความไม่เก่ง ก็มาดูสัญญาแทน โดยไม่คิดที่จะไปสอบเน เพราะรู้ว่าตัวเองไม่ไปสายนั้นแน่นอน รู้ว่าไม่ชอบอ่านหนังสือเยอะๆ (โดยเฉพาะตอนสอบ) ก็ใช้วิธีทำข้อสอบเก่าเยอะๆ ทดแทน (แต่ก็ยังต้องอ่านหนังสือเยอะมากอยู่ดี) และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องคิดพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ความทะเยอทะยานเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการนี้ ลองมองไปรอบๆ ตัวว่าเพื่อนๆ ที่จบมาด้วยกัน หรือจบมาก่อนหน้า หรือแม้กระทั่งพวกจบนอก ได้เน เค้าทำอะไรกันอยู่ ถ้าเราอยากมีชีวิตที่เหมือนเค้า หรือดีกว่าเค้า เราก็คงต้องหาจุดแข็งของตัวเอง พัฒนาให้ดี ไม่มีอะไรยากเกินพยายาม จากคุณ : luna(tic) เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 15:23:55

ความคิดเห็นที่ 46 สำหรับความเห็นของจขกท เราขอพูดถึงเป็นข้อๆ ตามนี้ 1.สอบโน่น สอบนี่ ตลอดชีวิต (จนตายยยยกันไปข้าง) เรียน ป.ตรี 4 ปี ต้องสอบใบอนุญาตว่าความอีก (1 ปี อย่างเร็ว ถ้าสอบผ่านตลอด) เนติบัณฑิต (1 ปี อย่างเร็ว ส่วนมากจะไม่ได้ทำงาน, 2 ปี อย่างเร็ว สำหรับพวกทำงานไปด้วย) กรณีจะสอบผู้ช่วยก็ต้องทำงานราชการมา 2 ปี หรือ เป็นทนายความว่าความกี่คดี บลาๆๆ...เสร็จแล้วต้องสอบท่าน อัยการ ซึ่งไม่ได้มีสอบทุกปี และรับน้อยมากๆ ส่วนมากการสอบช่วงนี้ คนที่มีงานทำจะลาออกกันมาอ่านอย่างเดียว เพระาเนื้อหาเข้มข้นมาก ----- ไม่อยากได้ก็ไม่ต้องสอบ ใครไปห้ามอะไร? อ่านดูเหมือนจขกทจะพุ่งเป้าไปที่ต้องว่าความ หรือไปเป็นอัยการ ผู้พิพากษาเท่านั้น คนไม่มีตั๋วก็ทำงานอย่างอื่นได้เยอะแยะ เช่น ทำสัญญา จดทะเบียนที่ดิน ทำเรื่องวีซ่า เวิคเพอมิท ฯลฯ ตัวเราเองจบมาปุ๊บทำงานปั๊บ แล้วก็ค่อยๆ สอบตั๋วไปด้วย (4 รอบกว่าจะผ่าน) น้องที่ทำงานคนนึงทำงานมาสามปีละ จนป่านนี้ยังไม่มีตั๋วเลย ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร ---------------------------------- 2.ใบอนุญาต ใบประกาศนู่นนี่แค่เศษกระดาษ (เมื่อเทียบกับ วิชาชีพอื่นๆ) ใบอนุญาต ไม่ว่าจะเป็นตั๋วทนาย หรือเนฯ แทบไม่มี value ในสายตาเอกชนเหมือนกับวิชาชีพ (ตาม ป.รัษฎากรณ์) เช่น วิศวกร, นักบัญชี ฯลฯ ซึ่งวิชาชีพเหล่านี้ถ้าีมีใบอนุญาตวิชาชีพ ก็สามารถทำเงินได้เยอะ ไม่ว่าจะเป็น ผู้สอบบัญชี หรือ วิศวกรผู้ควบคุมเป็นต้น ส่วน ทนาย กระจอกมาก!! ว่าความได้ ก็ได้เงินเล็กๆน้อยๆ แค่พอประทังชีพเท่านั้น หรือทำงาน In-House เค้าก็ไม่ได้ปรับเงินเพิ่มได้หากคุณมี เนฯ ตั๋ว ----- ที่บอกว่าผู้สอบบัญชี หรือวิศวะควบคุมงาน ถ้ามีใบอนุญาตจะทำเงินได้เยอะแยะ แต่ทนายว่าความได้เงินน้อย อันนี้คงแล้วแต่คน เคยฝึกงานที่แรกเป็นสำนักงานทนายห้องแถว เช่น สุชาติและเพื่อน (ชื่อสมมติ) พี่ทนายบอกว่า เป็นทนายน่ะไม่จนหรอกถ้ารู้จักบริหาร บางคดีเงินน้อย บางคดีเงินเยอะ เราก็ต้องทำให้เป็นให้หมด มีตั๋วติดไว้ยังไงซะก็ไม่ต้องขอใครกิน งานเราทำแค่ไหนก็ได้แค่นั้น ต่อมาได้ดีลงานกับสำนักงานกฎหมายอื่นๆ บางที่คิดเป็นรายชั่วโมง ทนายว่าความนี่รวยกว่าพวกไม่ได้ว่าความอีก ถ้าขี้เกียจมาก ก็รับเซ็นเอกสารจดทะเบียนบริษัทก็ได้ ได้ตังนิดๆหน่อยๆ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ (แค่เซ็นแกร๊กเดียว 2 วินาทีเสร็จ) หรือถ้าขยันหน่อย เดี๋ยวนี้เค้ามีหลักสูตร Notarial Services (สำหรับคนมีตั๋วแล้วเท่านั้น) ให้ไปสมัครซะ คุณจะสามารถรับรองลายมือชื่อ สำเนาเอกสาร และเอกสารอื่นๆอีกล้านแปดอย่างได้ หนึ่งลายเซ็นของคุณ (ที่ใช้เวลา 2 วิ) ก็จะมีค่าเป็นหลักพันหรืออาจจะหลักหมื่นบาท   ---------------------------------- 3.ส่วนใหญ่มักให้คำปรึกษาฟรี หรือแม้แต่ร่างเอกสารต่างๆฟรี!! ----- ไม่อยากทำฟรีก็ไม่ต้องทำ เค้าเอามีดมาจ่อคอคุณหรือไง? การที่คุณเป็นคนไม่กล้าที่จะบอกปฏิเสธไม่ได้แปลว่ามันเป็นปัญหาในวงการนิติศาสตร์เลย ---------------------------------- 4.ประเทศไทยคนไม่นิยมใช้กฎหมาย และเห็นว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่อยากเป็นความ ----- แล้วในโลกนี้มีใครอยากเป็นความ? แต่คดีความมันก็ต้องเกิดขึ้นทุกวัน และต่อให้คนไม่อยากใช้กฎหมาย แต่พอเป็นตัวความเองก็ต้องวิ่งโร่มาหาทนายอยู่ดี ทางออกอื่นเช่นการใช้เส้นสายก็มี ก็แล้วแต่เค้าจะเลือกใช้ ก็เหมือนคนเป็นมะเร็ง คุณจะเลือกไปหาหมอ ผ่าตัด ทำคีโม หรือกินน้ำใบบัวบกอยู่บ้าน มันก็แค่เป็นทางเลือกของคนป่วย ไม่ได้แปลว่าหมอจะตกงานไปเลยซะเมื่อไหร่ ---------------------------------- 5.Demand ในสายวิชาชีพน้อย เนื่องจากข้อ 4. ----- ถูก ฉะนั้นกรุณาพัฒนาตัวเองให้ดี และไปต่อสู้ให้ได้ แต่ก็อย่างที่บอก ถ้าคุณมีตั๋วแล้ว คุณไม่ต้องสนใจไปเป็นลูกจ้างคนอื่นก็ได้ ทำ freelance รับงานเองเลยก็ได้นิ 6.ที่บ้านต้องมีฐานะดี ----- ไม่เห็นเกี่ยว ฐานะดีทำให้มีโอกาสเพิ่มขึ้น แต่ถ้าคนมันตั้งใจซะอย่างอะไรก็ทำได้ ทำงาน + เรียนโท เวลานอนสี่ชั่วโมงต่อวันก็ทำกันมาตั้งเยอะ หรือคนไม่จบโท ไม่มีเน (แบบเรา) ก็หาทางทำอย่างอื่นไปก็ได้ อย่างที่บอก สายนิติศาสตร์ไม่ได้มีแค่การว่าความ อัยการ ผู้พิพากษา ---------------------------------- 7.คนไทยมักมองอาชีพทนายว่าไม่มีเกียรติ นอกจากไม่รวยแล้ว ยังเห็นแก่ตัว!! ----- ถ้าเราไม่ได้เป็นแบบนั้น เราจะไปสนใจอะไร เป็นนายกก็โดนด่า เป็นฝ่ายค้านก็โดนด่า ถ้ามัวแต่ไปนั่งร้องไห้ตามลมปากคนอื่นก็ไม่ต้องทำอะไรกินพอดี ---------------------------------- 8.เรียนมาก ความรู้เยอะ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ เข้าทำนอง "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" ----- แล้วแต่คน อ่านที่อธิบายข้างต้นจะเห็นว่าข้อนี้ไม่จริงเลย ---------------------------------- 9.คนมักจะคิดว่าคุณต้องรู้กฎหมายทุกอย่างที่มีบัญญัติขึ้นในประเทศนี้? ----- ในบางครั้งเราเจอถึง “และประเทศอื่น” ด้วย แต่ก็อธิบายให้เค้าเข้าใจได้ ไม่เคยเป็นปัญหา ---------------------------------- ทั้งหมดนี้ เราไม่อยากจะคิดว่าจขกทคือคนที่ไม่ประสบความสำเร็จแล้วมานั่งร้องไห้โทษลมฟ้า แต่อาจเป็นว่าจขกทยังเด็กมาก ยังไม่มีประสบการณ์มากพอในสายกฎหมาย และยังไม่มีจุดยืนที่แข็งพอ เราขอให้ท่านสู้ต่อไป และอยากขอร้องท่านว่า จะบ่นจะอะไรก็เอาแต่พองาม อย่าให้ถึงขั้น misguide คนอื่นด้วยความไม่รู้ของเราเลย จากคุณ : luna(tic) เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 16:28:19

ความคิดเห็นที่ 47 มุมมองของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มุมมองของเจ้าของกระทู้ก็เกิดจากสิ่งที่เจ้าของกระทู้คิดและเคยเจอ สำหรับผม ฝ่ายกฏหมายที่บริษัท สำคัญมากๆๆ ครับ เพราะภาษากฏหมายคนธรรมดาอ่าน และทำความเข้าใจได้ยาก ที่สำคัญเงินดีมากมาย แต่ภาษาต้องดีด้วยนะครับ จากคุณ : เขียนบน Net Book (mahnoitammada) เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 23:02:57

ความคิดเห็นที่ 48 ผมไม่ได้เรียนสายนี้นะ เหมือนคนนอกที่เข้ามาอ่านนะคับ อ่านแล้วผมเข้าใจว่า เด็กนิติ ต้องเก่งมากสุดๆ  คือแค่ปานกลาง กับเก่ง ยังไม่พอที่จะประสบความสำเร็จได้ อาจจะเพราะพื้นที่สำหรับให้คนประสบความสำเร็จอาจน้อย เมื่อเทียบกับเด็กนิติทั้งหมด แต่คณะอื่นๆ เอาอย่างสายวิทย์แพทย์ละกัน ในบางคณะ เรียนปานกลาง เก่ง เก่งมากที่สุด  มีโอกาสประสบความเร็จได้มากๆ เกือบจะเท่ากัน และความยากในการเรียนทั้งสองคณะนี้ ต้นทุนที่ใช้เรียน ก็ต่างกันไม่มากราวฟ้ากับเหว จึงเป็นที่มาของกระทู้นี้ใช่มั้ยครับ เข้าใจถูกมั้ย? จากคุณ : Jackcozy เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 02:38:47

ความคิดเห็นที่ 49 อาจารย์เคยบอกไว้ตอนสมัยเรียนปี1 ประมาณว่า นิติ เป็นสายอาชีพที่ต้องการคนเก่ง และดี ไม่ใช่ดีอย่างเดียว หรือเก่งอย่างเดียว เพราะสายสังคมเป็นสายที่ทำงานด้านการปกครอง อำนวยความยุติธรรมในสังคม ถ้าให้คนไม่เก่งมาจัดการ ขึ้นมามีอำนาจเหนือคนอื่น ประเทศจะเป็นอย่างไรต่อไป .. คนที่เก่งกว่าเรามีเยอะ และไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนดีน้อยกว่าเรา เขาก็เหนื่อย ต้องพยายามกันทุกคน เชื่อเสมอว่าคนที่พ่ายแพ้ในสายพานการผลิตของสายนี้ ควรจะพิจารณาตัวเองมากกว่าโทษระบบ หรือโทษผู้อื่น ว่ามีโอกาสมากกว่า หรือระบบเอื้อให้ผู้อื่นมากกว่า เขาต้องการแค่ไหน .. เรามีแค่ไหน  ถ้าเรามีมากพอ มีหรือจะไม่มีที่ให้เราอยู่ แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 55 16:59:41 จากคุณ : เจ็บแล้วจำคือคน !!! เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 03:05:02

ความคิดเห็นที่ 50 ชื่อกระทู้ก็บอกอยู่ อยากเห็นมุมดีๆก็ไปหากระทู้ เหตุผลที่ควรเรียนซิ จากคุณ : arsarn เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 06:48:50

ความคิดเห็นที่ 51 สายแพทย์เขาคัดแต่คนเก่งปานกลางถึงเก่งมาก เข้าไปเรียนตั้งแต่ต้นแล้ว ส่วนสายนิติรับเหมาหมด   สุดท้ายจบออกมามีทั้งเก่งไม่เก่งคละเคล้ากันไป สำหรับคนไม่เก่งทางเลือกในชีวิตก็น้อยกว่าเป็นธรรมดา จากคุณ : praphrut608 เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 21:17:57

ความคิดเห็นที่ 52 ไม่รุ้สิ ถ้าทำงานร....แล้วไม่ได้นอก เหนื่อย และหนัก... เพราะทุกวันนี้ รู้เพราะว่าส่วนมาก จ่ายนอก เร็ว จากคุณ : เข้ามาครองโลก เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 21:20:55

ความคิดเห็นที่ 53 ข้อ 5 เรื่อง demand demand จะน้อยก็ไม่แปลกครับ เพราะบริษัทส่วนใหญ่เป็น SME และส่วนใหญ่ที่ตั้งบริษัท เพื่อทำธุรกิจ ไม่ได้ตั้งเพื่อค้าความ เรื่องการทำธุรกรรม ส่วนใหญ่ก็พื้น ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนขนาดจำเป็นต้องมีทนายความหรือนิติกร ดังนั้นก็จ้างมาเฉพาะงานซะมากกว่า จากคุณ : MAX เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 21:41:43

ความคิดเห็นที่ 54 เพิ่งลงเรียนนิติศาสตร์ ปีนี้ค่ะ อย่าลดจำนวนการเปิดสอนเลยค่ะ คนที่อยากรู้จะได้มีโอกาสเรียน อย่างข้าพเจ้าไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์ และ นิติศาสตร์ ตั้งแต่ต้น เพราะระบบเอ็นท์ทร๊านสมัยนั้น ให้เราได้เรียนตามลำดับคะแนนที่เลือกไว้ แต่มาวันนึงที่งานหลักของเราเริ่มอยู่ตัว เราก็มาหาอะไรที่เราอยากรู้อยากเรียน สวัสดีค่ะ รุ่นพี่ ทุกท่าน ^ ^ จากคุณ : PeenNum เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 00:05:51