|
ความคิดเห็นที่ 24
ยินดีครับถ้าหากคุณจะมาร่วมทานข้าวกัน เพราะยิ่งเยอะคนก็ยิ่งสนุกมากขึ้นในการพูดคุย
ความคิดเห็นที่ 25
เรื่องลิงค์นั้นก็ตามที่ผมบอกน่ะแหละครับ ว่ามันพูดยากว่าจะมีใครถูกหรือผิดจริงๆทั้งสองทาง ดังนั้นจึงได้บอกไปใน คห ก่อนหน้าว่ายากมากที่จะหาบทสรุปหรือการตกผลึกด้วยการคุยกันไม่กี่ คห
เรื่องทางเลือกของทั้งสองทางนั้น คุณก็รู้อย่างที่ผมรู้ว่าการจะตัดสินใจทำทางไหนมันก็ต้องมองหาจุดอ่อนของอีกทางว่ามันเสี่ยงมากหรือน้อยกว่าแค่ไหน ณ เวลานั้นๆ กับสถานการณ์นั้นๆ ส่วนเรื่องกินข้าวนั้น ผมแค่ชวนว่าถ้าหากไม่รังเกียจที่จะเป็นเพื่อนกันผมก็ยินดี เพราะหลายๆ คห ของคุณที่อธิบายเรื่องการบริหารของธุรกิจขนาดใหญ่มันก็น่าสนใจ อย่างเช่น ที่คุณได้อธิบายเรื่องไอเดียเริ่มแรกว่าทำไมถึงมีการคิดค่าแรงรายวัน ซึ่งหลายๆคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการเอาเปรียบของผู้บริหาร แต่หากคุณยังไม่สะดวกใจผมก็ไม่ว่าาอะไร เพราะคติของผมคือมีเพื่อนมากขึ้นหนึ่งคนย่อมดีกว่ามีศัตรูเพิ่มหนึ่งคน ส่วนที่คุณบอกว่าเข่นนั้น ผมขอพูดตามตรงว่าไม่มีประโยคไหนที่ผมตั้งใจพูดเข่นเลยครับ มีแต่ความจริงที่ประสบมาทั้งหมด (รวมถึงเรื่องตลับเมตรด้วย)
ส่วนองค์ความรู้ที่คุณต้องการทราบจากผมนั้นผมไม่แน่ใจว่าคุณต้องการรู้เรื่องอะไร ถ้าหากจะถามถึงหลักการผมก็จะตอบตามธรรมชาติของธุรกิจ
1. ขายให้ได้ราคายิ่งสูงยิ่งดี ขายให้ได้ยิ่งเยอะก็ยิ่งดี 2. ต้นทุนยิ่งถูกยิ่งดี 3. คุณภาพยิ่งสูงยิ่งดี
คงจะไม่มีใครเถียงว่าการทำธุรกิจหลักๆไม่ว่าเล็กหรือก็ไม่มีใครหนีสามสิ่งที่กล่าวมาได้ จะต่างกันตรงที่ว่าใครมีจุดแข็งหรือจุดอ่อนในข้อไหน แล้วนำมาผสมผสานให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตัวเอง ในองค์กรขนาดใหญ่ก็เป็นที่แน่นอนว่ามีเครื่องมือหลายอย่างให้เลือกใช้มากกว่าขนาดเล็ก
ส่วนวิธีการบริหารของผมในตอนนี้คือ ในเมื่อจุดอ่อนของผมคือทำปลานิลไม่อร่อย ก็ต้องผลักภาระการทำปลานิลไปให้คนอื่นทำ ส่วนตัวเองก็มาเอาดีในการทำปลากระพงแทน และหวังว่าสักวันจะมีปัญญาทำหูฉลามและปลามิอาจลืม (ประเทศที่พ่อตาผมอยู่ขายโลละ 7,000 บาท ตัวหนึ่งหนักประมาณ 6 โลขึ้น)
ในเรื่องที่คุณปรามาสว่า องค์กรขนาดเล็กไม่รู้จักการบริหารนั้น คุณพูดเหมือนเหมารวมทั้งหมด ผมจึงค้านไงครับว่าหลายๆที่มันก็มีแต่คุณแค่ไม่รู้ว่ามันมีก็เท่านั้น เพราะเรื่องนี้ผมก็เคยคุยกับเพื่อนผมคนหนึ่งที่ทำงานให้กับองค์กรระดับแสนล้าน (รถยนต์แบรนด์หนึ่ง) เป็นหน่วยพัฒนา Sup เช่นกัน ช่วงแรกๆเพื่อนผมก็พูดอย่างที่คุณพูดนั่นแหละ แต่พอเพื่อนผมสัมผัสกับพวกซัพนานขึ้นมันก็เข้าใจมากขึ้นว่าทำไมซัพหลายแห่งจึงไม่ได้ทำอย่างที่บริษัทแม่อยากให้ทำ ทำให้หลายๆครั้งก็มาพบกันตรงกลางในเรื่องของการบริหาร
ส่วนเรื่องโรงทอเสื่อที่เลิกไปนั้น ก็อย่างที่บอกไปแล้วง่ายๆว่า ความสามารถกับความรับผิดชอบของคนมันต่างกันจริงๆ ไอ้เรื่องตลับเมตรที่ให้ไปนั้น เป็นคุณจะคิดหรือครับว่าคนจบ ม 6 จะไม่รู้ว่าด้านไหน นิ้ว ด้านไหน ซม (ถ้ามีเวลาคุณลองมาแถวบ้านเกิดผมดูสักหน่อยสิครับแล้วจะได้รู้ว่าคุณภาพของบุคลากรมันหาดีๆยากมาก) และอย่างที่บอกไปว่าแม้แต่ ซม กับ นิ้ว ยังไม่รู้ว่าด้านไหน ก็ถือว่าเป็นปลานิลที่เหมาะกับราคาของตัวเองแล้วนี่ครับ เพราะงานคุมเครื่องตอนนั้นแทบไม่ต้องใช้สมองมาก แค่ดูแลให้มันรันไปอัตโนมัติ แต่หากในตอนนั้นผมหาคนที่ดูได้เหมือนไต้หวัน 18,000 ก็จ่ายได้ เพราะคิดแล้วมันก็ยังถูกว่าจ้างค่าแรงขั้นต่ำ 6 คน (4500 * 6 = 27,000) แต่ปัญหาตอนนั้นคือมันไม่มีไงครับ และที่เลิกกิจการตัวนั้นไปก็ไม่ได้เกิดปัญหาจากสายการผลิต แต่มันเป็นจุดอ่อนของตัวสินค้าเองและตลาดก็เลิกนิยมไปเอง (หมดวงจรชีวิตของสินค้า)
ส่วนในเรื่องที่คุณบอกว่าเชื่อว่ามีคนเข้ามาอ่านจึงยังพิมพ์ตอบโต้กับผม ผมกลับคิดว่ากระทู้มันตกไปเยอะแล้วจึงไม่คิดว่าจะมีคนอื่นเข้ามาอ่านอีก จึงชวนไปคุยเล่นนอกรอบไงครับ และอีกอย่างตอนนี้ผมไม่ได้ทำธุรกิจอะไรที่จะต้องใช้ปลานิลมาทำอาหาร ทำให้ไม่มีตัวโมเดลมาพูดคุย
เอาอย่างงี้ละกัน ผมก็เข้ามาอ่านสีลมบ่อยๆอยู่แล้ว เรามาดูกันว่ามีใครมาตั้งกระทู้น่าสนใจ แล้วเราก็เข้าไปถกกันใจกระทู้เหล่านั้นกันต่อละกัน เพื่อที่จะได้ให้คนอื่นได้อ่านด้วย
ส่วนงานที่คุณทำอยู่ขอถามหน่อยสิว่าทำเกี่ยวกับอะไร ถ้าไม่สะดวกจะบอกหน้าเว็ป ก็หลังไมค์มาก็ได้ครับ เพราะผมจะได้มีไอเดียคร่าวๆในการพูดคุยกับคุณ ส่วนงานของผมตอนนี้ที่ทำอยู่ก็อย่างที่บอก ไปว่าทำเทรด โดยมีตลาดหลักคือประเทศพม่า ส่วนในไทยก็มีสินค้าอยู่ตัวเดียวที่ทำอยู่
แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 55 11:43:30
จากคุณ |
:
ธุลีดาว
|
เขียนเมื่อ |
:
13 พ.ค. 55 11:42:32
|
|
|
|
|