Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
[ทุน] กับการเริ่มต้นที่ธุรกิจไม่เท่ากันแต่เป้าหมายเราเหมือนกัน ติดต่อทีมงาน

หลังจากกระทู้แรก ได้รับเสียงตอบรับดี
และมีหลังไมล์มามากมายยย หลายๆคนชอบและสนใจที่จะทำธุรกิจ
หลายๆคนชอบแต่คิดว่ายังไม่พร้อม หลายๆคนชอบ และ พร้อมแต่กลัวว่าไม่มีทุน
ดังนั้น คำถามของหลายๆคนคือ "ทุนมีเท่าไหร่ถึงจะพอ"
คำตอบคือ "มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ แต่จริงๆแล้วไม่มีเลยก็ยังทำธุรกิจได้"
เพราะความต่างของทุนก็คือความต่างของขนาดธุรกิจเท่านั้นเอง
มันไม่ใช้สิ่งที่ใช้ วัดความสำเร็จซักนิด
หลายๆคนที่อ่านบทความแรกของผมน่าจะคุ้นๆว่า
ช่วงที่ผมจบใหม่ผมค้นหาตัวเองอยู่ 2 ปี
ผมได้นำเข้า ของแต่งรถ  ซึ้งเจ้ง (จะเล่าอีกทีในบทความ
หุ่นส่วน) และสุดท้ายได้ผันตัวเองเป็น นายหน้าอสังหา
ช่วงที่ผมเป็นนายหน้าอสังหานั้นผมได้ พยายามขาย ตึกที่สีลม
การขายนั้นยากเย็นแสนเข็น ขายอยู่ 1 ปี ขายไม่ออก
และขณะนั้นเองผมได้รู้จักกับเพื่อนกลุ่มใหม่ๆ
กลุ่มเจ้าของกิจการ โดนการที่ผมเข้าไปตีสนิดเพราะ
ต้องการขายทรัพย์ของผม แต่นานเข้าสิ่งที่ผมได้จากคนกลุ่มนี้กลุ่ม
กลับไม่ใช้ขายของ กลับได้สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ "ทัศนคติ"
ผมขอเอาเรื่องราวของ คน 3 คน ในกลุ่มนี้มาเล่าให้ฟัง
เพราะคน 3 คนนี้มี ทุนชีวิตที่แตกต่างกัน แต่คน 3 คนนี้
ได้มานั่งทานกาแฟ ในฐานะที่เท่าเทียมกัน ทุกอาทิตย์

คนแรก นายถัง นายถังเป็นคนที่โชคดีที่สุดในกลุ่มเป็นคนที่ ทุนชีวิตมากสุด
จบนอก ความรู้เยอะ ที่บ้านมีกิจการใหญ่โต แต่ก็ลูกหลานเยอะมาก
นายถังจบมาก็ได้เข้าทำงานกับที่บ้าน แต่นายถังเป็นลูกของ น้องคนเล็ก
ของตระกูล และเป็นคนที่เก่งมาก พี่ใหญ่หลายคนได้บีบนายถัง จนต้องออกจากกิจการที่บ้าน
ขณะนั้นนายถังมีเงินเก็บหลักล้าน แต่ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงวิกฦตเศษฐกิจ นายถัง
ก็ได้ขอกู้เงินจากที่บ้านอีก รวมเป็นทุนเริ่มต้นที่ 10 ล้าน เค้าไปซื้อบ้านและที่ดิน
ที่หลุดหรือขายในภาวะจำยอมในราคาต่ำมากๆหลายปีผ่านไป
เศษฐกิจดีขึ้น เค้าขายออกไปในราคา 3-5 เท่าแล้วเค้าก็เอาเงินทั้งหมดนี้มาลงทุนสร้าง
ตึกปล่อยเช่า จนทุกวันนี้เค้าก็เก็บค่าเช่าตึกเค้าเอง มีชีวิตอยู่สบายๆ

คนที่สอง นายหมิง คนนี้เป็นคนที่มีฐานะปานกลาง จบ ม ปลาย
พอจบแล้วก็ไปเป็น เซลขายของ ก็มีเงินเดือนนิดหน่อยพอกินพอใช้
มีเงินสะสมนิดหน่อย นายหมิงคนนี้เป็นคนขยัน ใฝ่รู้ เค้ารู้ทุกอย่างที่เค้าขาย
จนถึงวิธีการผลิต จนวันหนึ่งนายหมิ่งก็เอาเงินเก็บหลัก แสนที่เค้ามี
ซื้อเครื่องจักร 1 เครื่องซื้อวัถุดิบมาผลิตเอง และเค้าก็เอาไปขายให้คนที่
เค้าเคยขายในราคาถูกลง จนวันหนึ่ง นายหมิงก็เห็นว่าความสามารถของ
บริษัทเค้านายจะมีมากกว่านี้เค้าจึงได้ ขอกู้เงินจากเพื่อนสนิด
เพิ่มจำนวนเครื่องจักร พัฒนาคุณภาพ จนทุกวันนี้คนๆขายสินค้าที่เค้าผลิต
ให้ยุโรป แบรนดังระดับโลก

คนที่สาม
นายชิง เค้าเป็นคนที่โชคร้ายสุด วัยรุ่นก็เกเร โดนไล่ออกตั้งแต่ ม3
หลังจากนั้นก็หนีออกจากบ้านมาใช้ชีวิตเหลวแหลก รับจ้างทำโน้นทำนี้
หาเช้ากินค่ำ ชีวิตไร้แก่นสาร จนวันหนึ่งเค้าค้นพบการหาเงินเร็ว...
พนันบอล...เร็วมาก แรกๆเค้าหาเงินได้เป็นล้าน ชีวิตสุขสบาย
แต่การพนันไม่เคยให้ใครยืมเงินนานๆ ไม่นานหลังจากนั้นเค้าก็เสียบอล
จนติดหนี้โต๊ะ 10 ล้าน!!  วันๆหนีเอาชีวิตรอด จนที่บ้านทนไม่ไหว
เอาเงินเก็บ เอาบ้านมาค้ำคืนหนี้ให้ ณ วันนั้นนายชิงได้สัญญาว่าจะคืนให้ทุก
บาท หลังจากวันนั้นนายชิงก้ได้เริ่มต้นธุรกิจเล็กๆแถวประตูน้ำ
ช่วงตั้งตัว มีทุนแค่หลักหมื่น มีหนี้หลักล้าน นอนวันละ 4-5 ชั่วโมงตื่นมาทำ
งานขายของ ซื้อวัถุดิบจากจีน(โดยแฟนเค้าพาไปจีนแล้วสอนวิธีซื้อ)
แล้วเอามาผลิตเองขายเอง 2 คนกับแฟน2ปีผ่านไป ธุรกิจดีขึ้นเริ่มมีเงิน
เก็บก็ขยายกิจการ เพิ่มผลการผลิต สั่งของมากขึ้น และพยายามมากขึ้น
จนผ่านไปอีก 2 ปี เริ่มมีเงินเก็บหลักล้านเค้าก็เอาส่วนหนึ่งไปคืนที่บ้าน ไถ่
บ้านที่ติดจำนอง และนำไปขยายกิจการ
จน วันนี้เค้ากำลังสร้างตึกมูลค่าโครงการเฉียด ร้อยล้าน

ทุกวันนี้ 3 คนนี้อยู่สบายแบบไม่ต้องทำงาน
และทั้งสามคนอายุพึ่งจะ 40
คนทั้ง 3 คนเป็นพี่ให้คำปรึกษาผมเสมอ และแต่ละคนก็มีมุมมองที่ต่างกัน
ในการประสบความสำเร็จ ทั้ง 3 คนมีดีในแบบฉบับของตนเอง
ทั้ง 3 คนมีความฝันที่ไม่เหมิอนกัน

นายถังได้สอนผมว่า อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ เอาความรู้ที่เรียนมาประยุกใช้ให้
มากที่สุด มองธุรกิจให้ขาด  ทำธุรกิจต้องมองภาพให้ใหญ่

นายหมิง สอนผมว่า ธุรกิจจะใหญ่ได้เราต้องเป็นมืออาชีพ เราอยากจะก้าว
ข้ามคู่แข่งเราต้องเก่งกว่าคู่แข่ง เราต้องรู้มากกว่าคู่แข่ง
เราต้องพยายามมากกว่าคนอื่น เราต้องทำสิ่งที่คู่แข่งทำไม่ได้

นายชิง สอนผมว่า ผมมีทุกอย่างที่คนที่ประสบความสำเร็จมีครบแล้ว
เพราะขนาดคนที่การศึกษาน้อยๆแบบเค้ายังทำได้ เรียนเยอะแบบเรา
นี้มีเกินด้วยซ้ำ แล้วเมื่อไหร่จะเริ่มลงมือทำ เค้ารอเราอยู่นะ

หลังจากนั้นไม่นานผมมีโอกาสเอา ทรัพย์ไปเสนอให้ลูกค้าที่ คริสตันพาค
ผมเหลือเงินตอนนั้น 20 บาท ไม่มีแม้เงินพอขึ้นทางด่วน (ยืมรถพ่อมาขับ)
พอไปถึงน้ำมันหมด ทิ้งรถไว้ ขณะเดินออกจากรถผมบอกตัวเองว่า
ถ้าวันนี้ขายไม่ได้ ก็เดินกลับบ้าน.....

สรุปวันนั้นผมขายตึกที่สีลมได้ครับ เงินก้อนแรกหลังจาก จบมา
ใช้เวลาขายตึกอันแรกไป 1 ปีกว่าๆ ถัดไปอีก 1 อาทิตย์ ขายคอนโดที่สาธร
ได้อีก ขายให้ชาวอาฟริกาที่ขายจีเวลลี่ที่ สี่พระญา
(การต่อรอง ดุเดือดไม่แพ้ต่อรองกับคนจีนเลยครับ ยังตรึงตราใจถึงทุกวันนี้)

บทความนี้ขอสรุปสั้นๆเลยครับ

คนทุนดี ใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์

คนทุนน้อย ใช้ความพยายาม ขยัน ให้เป็นประโยชน์

ต่างคนต่างมีดี ปลายทางของพวกเรานักธุรกิจคือที่แห่งเดียวกัน คือ "ความสำเร็จ"

จากคุณ : Live In the Moment
เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 11:53:57




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com