 |
เห็นด้วยอีกเสียงครับ ..เพราะเวลาเหลือน้อยจริง ๆ ภาคสังคมต้องลุยกันเองแล้ว (จากสถานการณ์รวม ๆ)
การพัฒนาหรือปฏิรูปทางเศรษฐศาสตร์ของประเทศเพื่อนบ้านรั้วติดกันกับเรา จะทำให้ "แรงงานต่างด้าว" ลดลงอย่างแน่นอนครับ ..กิจการไหนที่พึ่งพาพวกเค้าเยอะ กระทบแน่นอน ..สินค้า Made in Thailand ราคาจะต้องสูงขึ้น เรียกร้องต้องการแรงงานแบบ Multiple Skills จากในประเทศมากขึ้น
แรงงานไร้ฝีมือ ตั้งแต่ระดับออฟฟิซ ไปจนถึงโรงงานผลิต..จะต้องถูกคัดกรองออก -คุณมีแต่วุฒิฯ มาเรียกค่าตอบแทนไม่ได้- (มีค่านิยมบางแบบ ที่อยากได้ค่าแรงเพิ่มใช้วิธีไปเรียนเอาวุฒิฯ ที่สูงขึ้น ..แต่ทักษะฝีมือ และทักษะปฏิบัติการไม่กระเตื้องตาม เพราะนิยมทางสายสามัญเยอะเกินไป) สถาบันการศึกษาจากนี้จะต้องเปิดรับภาคธุรกิจเป็นภาคีมากขึ้น เพื่อทำหลักสูตร "Industry Training" เข้าสังกัดเองโดยตรง (อยากได้ลูกจ้างที่มีทักษะและองค์ความรู้ใดๆ บ้าง ..ฝึกเอง-ร่วมประเมิน-ออกวุฒิฯ ) ส่วนนี้จริงๆ ทำได้แล้วเป็นทางการตั้งแต่ภาคการศึกษานี้ ..กิจการใดสนใจลองสอบถามจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาดูเลยครับ
อยากให้เป็นกระแส ก็ต้องเริ่มสร้างกันเองครับ
การทำ Industry Training จริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับบ้านเราเลย เราจะเห็นในสาย "แพทย์และพยาบาล" อย่างทาง "มหิดล" ..ที่มีโรงพยาบาลในสังกัดตรง ๆ หลายแห่ง เพราะเป็นสายงานที่ต้องมีทั้งหลักวิชาและทักษะปฏิบัติที่สูงมากโดยธรรมชาติ ..ฝึึกเอง-ร่วมประเมิน-ออกวุฒิฯ <<< นั่นละครับ.. ["อุตสาหการ" สาขาใด ๆ ก็ตาม สามารถทำเช่นนี้ได้เช่นกัน เพื่อให้ได้บุคลากรที่มีหลักวิชา+ทักษะฝีมือที่สูง ..เพียงพอกับสาขาอาชีพ หรือพอดีเฉพาะองค์กร ๆ ไปก็ได้]
--------------------------------------------------------------------------
อีกเรื่องที่สำคัญที่สุดคือความรู้-ความเข้าใจเกี่ยวกับบริบทของ "ทรัพย์สินทางปัญญา" ในระดับสาธารณะ ..โดยเบื้องต้น ต้อง "เลิก" ที่จะมาสาธยายเหมือนจะไปทำข้อสอบว่ามันมีอะไรบ้าง?
#### แต่ต้องให้สังคมเข้าใจว่า.. "มันคืออะไรอยู่บ้าง?" ที่รายล้อมอยู่รอบตัว ####
>> มันคือ "งาน" ที่ทุกคนคิดว่าต้องออกไปทำกันอยู่ทุกวันนั่นเองครับ ..ไม่ว่าจะเป็นงานผลิต, งานบริการ ฯลฯ โดยเฉพาะงานเอกสารของ Office (รับเงินเดือนไม่ได้จ่ายค่าหมึกกับกระดาษนะครับ เค้าจ่ายค่างานที่อยู่บนกระดาษ) ..ทั้งหมดเรียกว่าทรัพย์สินทางปัญญาลักษณะ "Industrial Property". ซึ่งโดยบริบทขององค์กร แต่ละส่วนก็จะครอบคลุมไปเองทั้งในด้าน สิทธิบัตร-เครื่องหมายการค้า-ลิขสิทธิ์..
>> สำหรับนักเรียน/นักศึกษา ..มันคือ "งาน-การบ้าน-รายงาน-วาทะในห้องที่มีพยานหรือหลักฐานบันทึก-วิทยานิพนธ์" ของการไปโรงเรียนทุกวัน.. วุฒิบัตรทางการศึกษา คือเอกสารยืนยันทักษะทั้งหมดของคุณจากสถาบันที่ถูกกฏหมาย (ถ้าทำงานวิจัยโดยใช้ทุนของมหาวิทยาลัยในขณะที่ัยังมีสถานะเป็นนักเรียน/นักศึกษา โดยมากเราจะได้เครดิต และงานตกเป็นทรัพย์สินของสถาบัน ..เพราะสถาบันการศึกษาก็เป็นองค์กรธุรกิจประเภทหนึ่ง เข้าลักษณะ Industrial Property).
..ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินรูปแบบหนึ่ง จึงสามารถมีมูลค่าทางการตลาดได้ นี่เป็นหลักสากลทั่วไปของการที่ใช้วุฒิฯ เป็นฐานประเมินค่าตอบแทน (มูลค่าแห่ง Good Will ของสถาบันมีผลพอสมควร) การสมัครเข้าทำงานจึงสามารถที่จะมี 2 อย่างที่สามารถใช้เป็นปัจจัยเพื่อพิจารณาได้
1.วุฒิบัตรทางการศึกษา (ที่จริง ๆ ทราบกันดีว่าใช้ประกันด้านทักษะของบุคคลจริง ๆ ได้ไม่สมบูรณ์ ..จึงต้องทดสอบงานเพิ่มเติม) 2.ตัวอย่างผลงาน (บางองค์กรในหลายประเทศเลือกจะพิจารณาข้อนี้ข้อเดียวก็มีอยู่มาก ..ซึ่งมักให้มีการทดสอบงานเพื่อผลเชิงประจักษ์)
--------------------------------------------------------------------------
ซึ่งที่กล่าวมานั้น คือ บริบทภาคสังคมเชิงการศึกษา ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ กระบวนทัศน์ "CREATIVE ECONOMY" ..ภาคทั่วไป (ไม่นับว่า ตอนนี้ด้าน Homeschool ในไทยสามารถจัดได้แล้วด้วยซ้ำไป และประเมินได้จริงแล้วด้วย) ซึ่งถ้าเราทำท่าว่าไม่เข้าใจและไม่ใช้.. ..เราก็ต้องสู้อย่างลำบากกับประเทศต่าง ๆ ที่เค้าใช้อยู่ ซึ่งไม่เพียงเฉพาะในประเทศกลุ่ม AEC ด้วยกัน ..แต่จากทั่วโลก
เกาหลีใต้ กับ จีน ..โตเร็วเหมือนฉีดเสตียรอยด์ ใช้ CREATIVE ECONOMY ในการออกแบบผังเมือง, โครงสร้างขนส่งมวลชนขนาดใหญ่, การจัดการอุตสาหกรรมการเกษตร, สื่อสารมวลชน, ศิลปะ-วัฒนธรรม ฯลฯ และแน่นอนในภาคการศึกษา
เราต้องสร้างความเข้าใจชุดใหม่ที่เหมาะสมให้กับทั้งสังคมครับ ..2 ปีครึ่ง ..ทันมั้ย?
จากคุณ |
:
CEO..ประชุมหลายที่..เก็บกดครับ (PASSION_WARFARE)
|
เขียนเมื่อ |
:
24 พ.ค. 55 14:53:25
|
|
|
|
 |