ความคิดเห็นที่ 1 จากการเป็นที่ปรึกษาธุรกิจทั่วไป ธุรกิจที่ประสบภัย และ ธุรกิจที่กำลังจะเข้า AEC อยู่ ณ ตอนนี้.. ทำให้ผมพบว่า ธุรกิจของคนไทยส่วนใหญ่ ยังไม่มีความรู้ทางด้าน AEC อย่างแท้จริง เจ้าของธุรกิจที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ยังมีความรู้ทางด้าน AEC แบบ งูๆปลาๆ ไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่ ได้รับข้อมูลข่าวสารจากเพื่อนๆ หรือ จากการคุยกัน การเข้าสัมมนา แต่ยังไม่มีใครเข้าไปอธิบายให้เจ้าของธุรกิจต่างๆ ได้รับรู้ว่า AEC มีผลกระทบต่อธุรกิจของเขาทางด้านใดบ้าง? เช่น ธุรกิจทำเฟอร์นิเจอร์ที่ขายในประเทศไทย ใช้แรงงานคนพม่า เป็นแรงงานหลักในการดำเนินการ เจ้าของกิจการมองว่า การเปิด AEC จะทำให้เขาขายสินค้าออกต่างประเทศได้มากขึ้น... คำถามของผมคือ... 1. เจ้าของกิจการรู้หรือไม่ว่า การใช้อัตราภาษี 0 เพื่อการส่งออก มีข้อจำกัดอย่างไร 2. เจ้าของกิจการรู้หรือไม่ว่า ต้องดำเนินการเช่นใดถึงจะได้ส่งออกในอัตราภาษี 0% 3. แล้วสินค้าของเขาจะส่งออกไป เขาสามารถใช้อัตราภาษี 0 ได้จริงหรือไม่... 4. ต่างชาติจะเข้ามาขายสินค้าแข่งกับเขาหรือไม่... แล้วเขาจะรับมืออย่างไร? 5. พนักงานของเขาจะหาได้มากขึ้น เคยคิดเรื่องนี้หรือเปล่า... 6. พนักงานอื่นๆในการติดต่อต่างประเทศ จะหามาได้อย่างไร? 7. เจ้าของรู้จักตลาดของต่างประเทศ มากน้อยเพียงใด? สิ่งเหล่านี้ ทำให้ดูเหมือนว่า AEC มีความสำคัญต่อผู้ประกอบการหากเขาไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น... มันดูเหมือนเป็นหน้าที่ที่ต้องป้องกันให้กับ ธุรกิจที่ผมจะให้คำปรึกษา แต่ผมก็ไม่วายที่จะชี้ให้ เจ้าของกิจการ ได้มองเห็นอีกภาพหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน.. คือ เช่น... ผมจะถามว่า ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการที่จะถูกเอารัดเอาเปรียบ คุณจะป้องกันอย่างไร? แน่นอนว่า ต้องปรับปรุงองค์กรภายในเพื่อสามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายใหม่ๆ  .. คำตอบนี้ก็บ่งบอกให้เจ้าของกิจการเห็นอีกว่า การบุกของธุรกิจของคนไทย ก็จะโดนตอบโต้จากธุรกิจ ในต่างประเทศเช่นกัน และ แน่นอนว่า การที่ประเทศหนึ่งประเทศใด กำลังจะขาดดุลมากๆเกี่ยวกับการค้า การสร้างกำแพงเพื่อกีดกัน ก็ย่อมมีมากขึ้น ในรูปแบบใหม่ๆ หรือแค่ การตรวจสอบเอกสารผ่านทางที่ต้องการเอกสารให้ครบในทุกกระบวนการผลิต เพื่อให้แน่ใจว่า สินค้าอยู่ในกลุ่มอาเซียนจริงๆ จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น โดยเฉพาะช่วง 1-2 ปีแรก ที่แต่ละคนกำลังจะบุกออกไป... ย้อนกลับมาประเทศไทย เรากำลังรอให้เกิดเหตุการณ์ก่อนแล้วค่อยป้องกัน เราเปิดให้รูปแบบการดำเนินการของ AEC เข้าประเทศโดยตามหลักการ แต่สิ่งที่ธุรกิจจะต้องรับคือ ภาระต่างๆที่จะเกิดขึ้น ถ้าภาครัฐยังไม่มีแผนสำรองเพื่อสร้างกำแพงปกป้องบ้านบ้าง หรือ อย่างน้อยเป็นกำแพงเตี้ยๆ เพื่อให้คนเข้ามายังบ้านเราได้ช้าลง ปัญหาของ SME บ้านเรา จะหนักมากเพราะเพื่อนบ้านกำลังจ้องเข้ามาประเทศไทย เพื่อทำการค้าเหมือนที่เรากำลังจะเป็นกันอยู่... กว่าจะรู้ว่าเราเสียอะไร เราก็อาจจะไม่มีอะไรให้เสียเพิ่มก็ได้... จากคุณ : wbj เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 08:16:22

ความคิดเห็นที่ 2 พนักงานจะสนใจเรื่องปากท้องในปัจจุบัน มากกว่า ปากท้องในอนาคต นี้เป็นพฤติกรรมที่เหมือนๆกันของพนักงานทั่วไป ซึ่งจะมองว่า เจ้าของกิจการต้องให้เงินเดือน และ สวัสดิการต่างๆ เพิ่มมากขึ้น หรืออีกแง่หนึ่งคือ เขามักมองว่า "ให้แค่ไหนทำแค่นั้น" หรือ "ทำมากๆก็ได้เงินเท่าเดิม" หรือ "เพิ่มเงินให้ก่อนซิแล้วจะทำงานเพิ่ม" สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับ คนงานในปัจจุบันอยู่... การเรียกร้องเป็นสิ่งที่ไม่ผิด แต่ในสถานการณ์ AEC ที่จะมีแรงงานเข้ามาในไทยมากขึินอย่างอิสระ เขากำลังถูกคุกคามอย่างช้าๆ แล้ว ณ ตอนนี้เป็นช่วงที่เขาควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน หรือว่า ยังคงเรียกร้องเช่นเดิมอยู่... การเข้ามาของบุคคลต่างชาติ ซึ่งอาจจะมีความเชี่ยวชาญใกล้เคียงกัน แต่ความสามารถทางภาษามีมากกว่า ถ้าเงินเดือนเท่ากัน เจ้าของกิจการจะเลือกใครละ... มันก็น่าคิดอย่างมาก... ถามว่า แล้วพนักงานจะไปเรียนภาษาเพิ่ม จะได้แข่งกับคนใน ASEAN ได้ จะดีหรือไม่..? เรื่องนี้ก็มีคนมาถามบ่อยๆ ผมก็มักจะถามว่า ระหว่างคุณใช้เวลาเรียน 2 ปีที่เหลือ กับ คนที่พูดมานานนับสิบปี คุณจะสามารถพูดได้ดีเท่าเขา หรือใช้ภาษาได้ดีเท่าคนใช้ภาษานั้นๆ เป็นสิบๆปีได้หรือไม่ ? พนักงานส่วนใหญ่หลงทางไปเรียนภาษามากขึ้น ถ้าเจ้านายเป็นต่างชาติก็จะส่งผลดี แต่ถ้าเจ้านายของคุณเป็นคนไทย หรือ งานของคุณติดต่อกับคนไทยเป็นหลัก การปิดจุดอ่อนนี้ก็ไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ พนักงานควรปรับปรุงในงาน ความทุ่มเท และ ความสามารถของตนเองให้เพิ่มขึ้น เรามีจุดแข็งทางด้านภาษาไทยอยู่แล้ว เจ้านายคนไทยจะคุยกับคนต่างชาติรู้เรื่องมากกว่าคุยกับคนไทยด้วยกันหรือเปล่า โอกาสก็มี แต่เจ้านายบางคนภาษาก็ไม่แข็งแรงเช่นกัน ดังนั้น แต่ละกลุ่มบุคคล จึงต้องมององค์ประกอบของตนเองก่อน การ Motivate และ ชี้แจงให้กับระดับพนักงานให้ทราบถึงจุดนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีก็ต้องปล่อยให้ความคิดของเขาไว้ถ้าหากไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ผลที่จะเกิดกับพวกเขานี่ซิ ก็เป็นเรื่องใหญ่อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว จากคุณ : wbj เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 08:35:26

ความคิดเห็นที่ 3 F5 รออ่านต่ออยู่นะครับ จากคุณ : oดินสอน้อยo เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 11:33:32

ความคิดเห็นที่ 4 อยากรู้ด้วยคนค่ะ จากคุณ : พลอย (Super_VIP) เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 13:05:09

ความคิดเห็นที่ 5 AEC เกี่ยวกับเศรษฐกิจ แต่นี่มันเป็นเรื่อง ความมั่นคงของชาติ เรามองการเปิด AEC กันอย่างสวยหรู โดยคิดว่า เราจะสามารถเปิดตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น สินค้าของเราจะมีฐานลูกค้ามากขึ้น การผลิตของเราจะดีขึ้น เราจะใช้จุดแข็งของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อส่งสินค้าไปยังกลุ่มอื่นๆได้มากขึ้น เราจะได้พนักงานคุณภาพมากขึ้น... สิงคโปร์มองว่า คนรวยของเขาจะซื้อที่ดินในประเทศต่างๆได้มากยิ่งขึ้น การขยายธุรกิจโดยการเป็น แหล่งติดต่อการค้า โดยใช้ทรัพยากรของประเทศใน ASEAN จะง่ายและสดวกยิ่งขึ้น แน่นอนว่า ซื้อมาขายไป ไม่ต้องทำสินค้าแต่ก็ได้กำไร..  (แล้วประเทศไทย ก็จะเป็นจุดหนึ่งของการเข้ามาของคนสิงคโปร์) ประเทศที่ชอบประกาศศาสนาประจำชาติของตน นี่เป็นโอกาสในการเข้าไปเผยแผ่ศาสนา เพราะ คนของเขาสามารถออกมาทำงาน และ แพร่พันธ์ ได้อย่างเสรีมากยิ่งขึ้น.. (ภาคใต้ของเราก็จะระส่ำมากกว่านี้หรือเปล่า ?) สินค้าที่มีความอ่อนไหว ได้กำหนดให้มีภาษีนำเข้าในประเทศ 0-5% แต่ละประเทศก็กำหนดสินค้าหลักของเขาไว้ แล้วประเทศไทย ปกป้องสินค้าอะไร ลองไปหาดูนะครับ มันก็ดูแปลกๆในสายตานักธุรกิจ แต่จริงๆ มันก็อาจจะดีก็ได้ การกำหนดภาษี 0% ไม่ได้ให้กับทุกสินค้า นะครับอย่าเข้าใจผิด แต่ไทยเราใจดีครับ ด้วยความคิดว่าตัวเองเป็นพี่ใหญ่ใน ASEAN หรือเพราะกลัวเสียหน้าหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ AEC มีการวางโครงการคมนาคมเชื่อมระหว่างประเทศ แต่ว่าเส้นทางประกาศว่าสร้างเสร็จ ถ้าคนไปดูจริงๆ จะเห็นว่า มีหลายเส้นทาง หลายกิโลเมตร ในประเทศเพื่อนบ้าน ยังเป็นดินลูกรัง ขับรถขนส่งมีความอันตรายอย่างสูง ถามภาครัฐบาลทหารดู เขาบอกว่า "เป็นความมั่นคงของประเทศฯ"  แล้ว AEC คือภาพจริงๆ หรือ ภาพหลอกกันแน่ละเนี่ย.. จากคุณ : wbj เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 20:50:00

ความคิดเห็นที่ 6 ต่อ ๆๆ จากคุณ : kuddle เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 05:55:28