|
เรียนตรงๆว่าผมเห็นกระทู้นี้ตั้งแต่เมื่อวานแต่ขอทำใจหนึ่งวันก่อนจะมาตอบ เพราะข้อมูลที่คุณจขกท.ให้มามันมีความเสียงและผิดหลักในการรทำธุรกิจหลายอย่างครับ
ขออนุญาตแนะนำในฐานะที่เคยเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงื่อนไขคล้ายๆกันแล้วพลาดมาแล้ว แต่ตอนนั้นผมอายุน้อยกว่าจึงยังพอจะปรับตัวเริ่มใหม่ได้
หลักในการทำธุรกิจของผมจากประสบการณ์ที่ได้รับมาจากความผิดพลาดครับ
- ต้องคิดวางแผนให้ใหญ่แต่เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ผมเชื่อว่าคุณคงต้องเคยได้ยินคำว่า Think Global, Act Local ความหมายมันคล้ายๆกันคือ การทำธุรกิจให้ตั้งเป้าหมายธุรกิจให้ใหญ่มองไปไกลๆในระยะยาวแต่ตอนเริ่มต้นลงมือต้องเริ่มต้นจากจุดเล็กๆลงจนถึงรายละเอียดในตอนเริ่มต้น
ผมเห็นคุณตั้งเงินลงทุนไว้สูงถึงห้าแสนบาทแต่วางเป้าหมายไว้แค่ guest house เล็กๆ 4-5 ห้อง คุณพอเห็นข้อขัดแย้งในหลักการนี้หรือไม่ครับ ถ้าเป็นผมลงทุนขนาดนี้จะตั้งเป้าทำรีสอร์ตขนาด 100 ล้าน ถ้าไม่ประสบความสำเร็จผมอาจจะเหลือรีสอร์ตขนาดแค่ 50 ล้านบาท ซึ่งจริงๆมันก็พอแล้ว แต่ถ้าต้ังเป้าหมายไว้แค่ guest house เล็กๆ 4-5 ห้อง ผมจะลงทุนแค่ 5 หมื่นถึง 1 แสนบาทก็พอ แต่จะใช้แรงและความสามารถทุ่มเทให้มากๆครับ
เหตุผลก็คือ เมื่อคุณรู้สึกว่าคุณมีเงินทุนเยอะและพร้อมจะเสีย คุณจะไม่ค่อยระมัดระวังในการลงทุนใช้จ่ายใดๆยกตัวอย่าง คนที่มีเงินห้าแสนกับมีเงินห้าหมื่นแล้วลงทุนทำเกสต์เฮาส์นขนาดเท่าๆกัน คนที่มีแค่เงินห้าหมื่นจะรอบคอบกว่าและใช้ความพยามยามอย่างเต็มที่มากกว่าและจะถูกบีบบังคับให้ใช้ศักยะภาพดึงความสามารถของตัวเองออกมาเต็มที่มากกว่า ขณะที่คนมีเงินห้าแสนจะใช้เงินจ่ายไปเรื่อยๆจนหมดเพราะคิดว่ายังมีทุนเหลือและในอนาคตคงจะได้กลับมา ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะพลาดหมดเงินก้อนนั้นไปเลย เพราะคนที่เขาอยากหาเงินจากคุณก็มีเยอะมากเช่นกันเขาก็จะใช้วิธีการต่างๆเพื่อให้คุณใช้จ่ายเงินนั้นจนหมดจนได้
ยกตัวอย่างครับ ผมเคยเริ่มทำธุรกิจใหม่แบบไม่รู้เรื่องคล้ายๆกันกับแบบจขกท. ผมตั้งงบลงทุนไว้ 1 ล้านบาท เมื่อเริ่มลงทุนก็จ่ายไปเรื่อยๆครับเป็นหมื่นหลักแสน ขาดทุนหลักแสนก็ยังไม่รู้สึกว่าเป็นไรคิดว่ายังมีเงินทุนเหลืออีกเยอะ (จริงๆแล้วผมมีทุนสำรองมากกว่านั้นอีก) แค่เพียงไม่กี่เดือนก็หมดไปหลานแสนบาทแบบขาดทุนไม่ได้อะไรเลย ผมจึงเริ่มคิดได้และจับหลักการนี้ได้ จึงนำเงินทุนที่มีเหลืออยู่ทั้งหมดไปใช้ปิดหนี้สินบ้านและรถทั้งหมดจนเหลือเงินแค่ไม่กี่หมื่นบาท แล้วผมก็เริ่มลงทุนทำธุรกิจใหม่แบบที่มีความรู้ความชำนาญและรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาว่ามีเงินทุนอยู่น้อยมาก ต้องใช้ความสามารถและความระมัดระวังรอบคอบอย่างมาก ผลก็คือธุรกิจสามารถทำกำไรจนได้เงินที่เสียไปนั้นกลับมาทั้งหมดจากเงินเริ่มต้นไม่กี่หมื่นบาทนั้นภายในไม่กี่เดือนและธุรกิจก็มั่นคงขึ้นมาก คงเคยได้ยินนะครับว่าคนฉลาดไม่ต้องใช้เงินก็สามารถทำธุรกิจได้ แต่คนที่มีเงินก็จะใช้เงินนั้นทำงานให้แทนโดยไม่ได้ใช้ความสามารถตัวเอง เพราะคิดว่ามีเงินก็ใช้จ้างผีโม่แป้งได้ ซึ่งก็ไม่ผิดถ้าคุณมีความรู้ความชำนาญและรอบคอบอย่างเพียงพอ
- หลักการที่สอง การทำธุรกิจต้องเริ่มจากก้าวที่สองไม่ใช่นับหนึ่งใหม่ ต้องเริ่มจากความเชี่ยวชาญชำนาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เหนือกว่าคนอื่นและเป็นที่ต้องการของตลาดด้วย เพราะการที่คุณเริ่มทำธุรกิจไม่ว่าเร็วหรือช้าคุณก็ต้องมีคู่แข่งและคุณต้องมีอะไรที่ได้เปรียบเหนือกว่าคู่แข่งคุณถึงจะประสบความสำเร็จ พอมองเห็นภาพไหมครับ คุณเริ่มต้นจะทำเกสต์เฮาสต์คุณมีอะไรเหนือกว่าคนที่ทำเกสต์เฮาสต์เจ้าอื่นบ้าง ถ้าคุณมีแค่เงินทุนซึ่งคนอื่นก็มี แต่คู่แข่งคุณอาจจะเหนือกว่าคุณในหลายด้านเช่น เขามีต้นทุนที่ดินต่ำกว่า เขามีเครือข่ายในธุรกิจเดียวกัน เขามีความชำนาญมาก่อน เขามีชื่อเสียงมานาน ฯลฯ แต่ถ้าคุณมีความได้เปรียบด้านอื่นที่เหนือกว่าคู่แข่งเช่น คุณรู้วิธีที่สามารถโปรโมตเกสเฮาส์ของคุณไปยังกลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศได้โดยตรงตามเว็บไซต์หรือชุมชนในต่างประเทศต่างๆ หรือคุณมีคอนเน็คชั่นในสื่อการท่องเที่ยวต่างๆให้ช่วยสนับสนุนพูดถึงธุรกิจของคุณได้ อันนี้จึงจะน่าสนใจและถือเป็นจุดแข็งของคุณที่เหนือกว่าคนอื่นครับ คงต้องลองพิจารณาดูว่าทำได้หรือเป็นไปได้หรือไม่
ด้วยเหตุผลนี้ ผมและหลายๆคนจึงคิดว่าด้วยความสามารถและประสบการณ์ในด้านภาษาของคุณ(ซึ่งเหนือกว่าคนอื่นแน่ๆ) คุณลองเอาจุดเด่นนี้ไปพิจารณาทำธุรกิจที่ใกล้เคียงของเดิม หรือต่อยอดไปจากเดิม ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นงานเดิมๆที่คุณเบื่อแล้วก็ได้ ลองพิจารณาดูครับ ว่ามีความเป็นไปได้ในด้านใดบ้าง
- หลักการข้อที่สาม การทำธุรกิจต้องเป็นงานที่คุณชอบและพร้อมทุ่มเทให้มากกว่าปกติโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ซึ่งเข้ากับหลัก ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ซึ่งสิ่งที่คุณชอบทำนั้นนั้นต้องเป็นสิ่งที่มีคนต้องการหรือมีตลาดด้วย ซึ่งหลักการนี้ก็จะทำให้คุณมีความได้เปรียบเหนือกว่าคู่แข่งเพราะคุณทุ่มเทมากกว่าจนรู้และชำนาญเชี่ยวชาญมากกว่าครับ และคุณจะสามารถทำงานได้นานๆอย่างมีความสุขโดยไม่รู้สึกว่ากำลังทำงานอยู่เลย คงเคยเห็นนะครับคนที่ทำงานที่ตัวเองรักในวันนึงมากกว่า 12-18 ชั่วโมงอย่างมีความสุขโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ซึ่งจากข้อมูลที่คุณให้มา คุณก็ไม่ได้แจ้งเลยว่าคุณชอบทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องภาษาหรือเกสต์เฮาสต์ อันนี้คงต้องเป็นเรื่องที่คุณต้องไปพิจารณามาจากตัวเองครับ
เขียนมายาวแล้วเอาแค่หลักการสามข้อนี้ก่อนแล้วกันครับ เหตุที่ผมอยากตอบเรื่องนี้ยาวๆเพราะผมเคยมีความคิดคล้ายๆกันกับจขกท.แต่ผมได้รับประสบการณ์ที่ทำให้เปลี่ยนความคิดจนผ่านความผิดพลาดมาได้และผมอายุยังไม่มากยังพอจะตั้งหลักแก้ไขใหม่ได้ ขณะที่ผมเคยเห็นเคสคล้ายๆกับคุณจขกท.ที่เป็นคนอายุมากแล้วแต่ไปลงทุนในธุรกิจใหม่ที่ไม่ชำนาญ โดยลงทุนไปเยอะมากแล้วพลาด จนกระทั่งทุกวันนี้ผมก็ยังไม่เห็นเขาฟื้นขึ้นมาเลย ซึ่งผมก็ไม่อยากให้คุณจขกท.พลาดไปแบบนั้นครับ
แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 55 21:08:28
จากคุณ |
:
<SportivO>
|
เขียนเมื่อ |
:
2 มิ.ย. 55 20:59:16
|
|
|
|
|