ความคิดเห็นที่ 1 ผมไม่เห็นด้วยกับข้อ สองนะครับ โดยส่วนตัว ถ้าเกิดงานที่ทำมันไม่ใช่หรือไม่สามารถตอบโจทย์ต่อการเติบโตในอนาคตเราได้ ไม่ว่าจะ 1,2 เดือนหรือครึ่ง ปีก็ไม่น่าทำครับ ถ้าคุณอยากทำงานเทคนิคอล แต่เกิดไปได้งานเป็นเซล ถ้าคุณยอมทนทำไป1-2 ปี คุณก็แทบลืมความรู้ไม่สามารถกลับมาทำงานเทคนิคอลได้แล้ว ถ้าจะมาทำก็มาเริ่มใหม่ ช้ากว่าคนอื่น 2 ปี สำหรับ คนเริ่มงานใหม่ๆ ช้ากว่าเพื่อน 1-2 ปี ถือว่าเยอะมากนะครับ ยกเว้นจะเข้าๆ ออกๆ ปีละ 3-4 ครั้งก็อีกเรื่องหนึ่ง จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 11:45:04 A:203.120.141.50 X: TicketID:135624

ความคิดเห็นที่ 2 เห็นด้วยตาม คห 1 ครับ เพราะเคยโดน แต่ติดว่าต้องรับภาระที่บ้านกับเรียนโท จะออกเลยก็ไม่ได้ ก็ต้องหางานให้ไวที่สุด เพราะไม่อยากลืมประสบการณ์ที่เคยทำมา พอมาได้ที่ตรงกับตัวเอง เกือบลืมความรุ้ที่เคยมีไปเลย แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 55 11:52:38 จากคุณ : narmjaja เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 11:52:02

ความคิดเห็นที่ 3 #คห 1  ถ้าเพิ่งทำงานแค่ 2-3 ปีแรก แล้วแจงเหตุผลได้ ไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่ถ้าทำมาแล้ว 5-6 ปี แต่ยังย้ายงานบ่อยไม่หยุด หรือยังหาตัวเองไม่พบ อันนั้นจะเริ่มมีปัญหาแล้วครับ จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 11:52:19

ความคิดเห็นที่ 4 นอกจากการเตรียมตัวของผู้สมัครแล้ว ผู้สัมภาษณ์ก็ต้องเตรียมตัวเช่นเดียวกัน เพราะบางคนเหมือน hr เรียกให้มาช่วยคุยด้วย ก็มาไปอย่างนั้น ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลย รวมถึงคนนัดสัมภาษณ์ บางทีคนนัดกับคนที่จะคุย คนละคน สื่อสารไม่ดี ก็พลาดโอกาสดีๆ ไปทั้งสองฝ่าย เรื่องการถามข้อดีข้อเสีย ผมว่าบางทีมันก็เชยไปแล้ว 10 ปีที่แล้วก็ถามคำถามนี้ เป็นคำถามที่ผมว่าน่าเบื่อไป คือก็รู้ทั้งรู้ว่า การที่อยู่ดีๆ คนจะมาบอกข้อดีข้อเสียของตัวเอง นั้นมัน face เกือบทั้งหมดอยู่แล้ว เพราะคนตอบก็พยายามจะหาข้อเสียที่ดูไม่น่าเกียจจนเกินไปนัก และข้อดีที่ดูไม่เวอร์ จนเกินไป ไม่มีใครมาบอกว่าข้อเสียของดิฉันคือ มาทำงานสาย ขี้นินทา และเช่นกัน ไม่มีใครบอกข้อดีของตัวเองว่า ขยันสุดๆ มาทำงานเช้า ผู้สัมภาษณ์ที่ดีส่วนใหญ่จะศึกษา profile ของผู้สมัครมาพอสมควร โดนใจจริงๆ ถึงเรียกมาคุย และคุยตรงประเด็น ไม่ถามคำถามเชยๆ ที่มันเป็นเรื่องส่วนตัวมากจนเกินไป เน้นที่ตัวงานที่จะต้องเข้ามาทำ ไม่ดูถูกเงินเดือน และไม่อิจฉาเงินเดือนของผู้สมัคร บางคนถามว่าทำไมเงินเดือนสูงจัง ทั้งๆ ที่ผู้สมัครก็เขียนเงินเดือนเอาไว้อยู่แล้ว ให้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องเรียกมาคุย การ deal ก็จะจบง่ายไม่เยิ้นเย้อ บางที่คุยเช้า โทรมานัดเซ็นสัญญาบ่าย จากคุณ : Livito เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 11:52:30

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นด้วยกับ คห4 ค่ะ คนสัมภาษณ์บางคน ไม่เคยเตรียมตัวมา..ถือว่าเป็นตัวแทนที่ไม่ดีของบริษัท ที่สำคัญ ผู้สัมภาษณ์สมัยใหม่ เขาก็จะใช้จิตวิทยาที่ดีในการสัมภาษณ์ ไม่ดูถูกคนมาสมัครงาน ไม่ทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ ไม่ทำน้ำเสียงข่มคนมาสมัคร และควรให้เกียรติผู้มาสมัครด้วย ด้วยการแต่งกายที่ดีเช่นกัน เคยไปรับการสัมภาษณ์มา และตัดสินใจไม่ทำงานที่นั่นทันที เพราะคนสัมภาณษ์นี่แหละ ทำจุ๊ย ทำเบ่ง หน้าตาก็ดูไม่ได้ แถมแต่งกายดูไม่ดี เลยคิดเอาว่าองค์กรนี้คงไม่เหมาะกับเรา จากคุณ : Flair เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 12:15:27

ความคิดเห็นที่ 6 4. แนะนำตัวไม่ได้: การสัมภาษณ์ด่านแรกโดยมากผู้สัมภาษณ์จะให้แนะนำตัวก่อน อันนี้ถือเป็นโอกาสแรกในการทำให้บริษัทอยากจ้างเรา ถ้าแนะนำตัวแบบสั้นเกินไปหรือแนะนำตัวไม่ได้ เช่น บอกชื่อ นามสกุล ส่วนสูง น้ำหนัก พ่อชื่ออะไร แม่ชื่ออะไร ในงานที่ไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเหล่านี้ มันก็จะสะท้อนออกมาในเชิงที่ว่าผู้สัมภาษณ์ไม่มีเซ้นส์ในการทำงาน ซึ่งคนขาดความรู้ยังพัฒนาได้ แต่คนไม่มีเซ้นส์มันจะพัฒนายากกว่า 5. เล่าเรื่องข้อมูลที่เป็นความลับ/ให้ร้ายบริษัทก่อน: คุณทำไม่ดีกับบริษัทก่อนหน้าหมายความว่าคุณก็อาจจะทำไม่ดีกับบริษัทที่จะเข้างานใหม่ด้วยเช่นกัน 6. ไม่มีความเข้าใจในงานที่เคยทำ: ถ้าโดนถามว่าที่บริษัทก่อนหน้า หน้าที่งานทำอะไรบ้าง ซึ่งโดยมากคำถามแบบนี้ผู้ัสัมภาษณ์จะอยากรู้ว่าคุณเข้าใจในงานที่ทำแค่ไหน ถ้าตอบประเภทที่ว่า ก็ขายของค่ะ / ทำ marketing ครับ / เลขาค่ะ ถ้าตอบแบบนี้ผู้สัมภาษณ์จะเข้าใจว่า คุณทำงานในบริษัทก่อนหน้าแบบงงๆ คือไม่เข้าใจว่า พี่/นาย ต้องการอะไร แต่ให้ทำอะไรก็ทำตามไปเรื่อยๆ ไปทานข้าวก่อนครับ เดี๋ยวกลับมาต่อ ยินดีรับฟังความเห็นต่างครับ จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 12:17:18

ความคิดเห็นที่ 7 คห4 ตอบโดนใจครับ ผมก็เห็นด้วยว่าการถามข้อดีข้อเสีย เป็นคำถามที่เชยและไม่ได้วัดอะไร แต่ส่วนมาจะมากับตอน pattern การแนะนำตัวของผู้สัมภาษณ์ ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เอามาจากตำราไหนแต่มักจะมาพร้อมกับมัธยมปลายจบที่ไหนมา จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 12:22:14

ความคิดเห็นที่ 8 # คห5 เคยไปรับการสัมภาษณ์มา และตัดสินใจไม่ทำงานที่นั่นทันที เพราะคนสัมภาณษ์นี่แหละ ทำจุ๊ย ทำเบ่ง หน้าตาก็ดูไม่ได้ แถมแต่งกายดูไม่ดี เลยคิดเอาว่าองค์กรนี้คงไม่เหมาะกับเรา ******************* เพิ่งทราบว่าหน้าตาของผู้สัมภาษณ์มีผลต่อการเลือกงานของผู้ถูกสัมภาษณ์ยุคนี้ด้วย สงสัยต้องหา HR สวย/หล่อ ซะแล้ว :P จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 13:16:03

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่เห็นด้วยกับข้อ 2 ครับ เพราะประสบการณ์ส่วนตัวเปลี่ยนงานบ่อยเหมือนกัน เพราะคนเราต้องโตครับ และการเรียนรู้ของคนไม่เท่ากันบางคนเดือนเดียวเป็น บางคน 3 เดือน บางคน 1 ปี ผมเรียนรู้งานเดือนแรก เดือน 2 หาทางทำให้เร็วขึ้น เดือน 3 ลดเวลาทำงานไปครึ่งเดือน นั่งรอข้อมูลเบื่อ คนเก่าไม่ปล่อยงานทำไรไม่ได้ได้แต่รอ เข้าไปช่วยคนเก่าก็กลัวแย่งงาน ก็ว่าง ง่วง เบื่อ ก็ต้องหาที่ไปใหม่ จากคุณ : nubtong เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 13:22:03

ความคิดเห็นที่ 10 คห9 อย่างที่ตอบใน คห 3 ครับ ถ้าทำงานแค่ 2-3 ปีแรก ไม่มีปัญหาหรอกครับที่จะค้นหาตัวเอง แต่ถ้าอายุงานถึงจุดหนึ่งแล้ว ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ จะเริ่มหางานยากครับ เอาเข้าจริงปัญหาเรื่องการย้ายงานบ่อย นักวิชาการหลายสำนักเค้าบอกว่าเป็น Character ของเด็ก Gen Y ซึ่งบริษัทใหญ่ๆ  โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติจะปวดหัวมาก เพราะโดยระบบแล้วหัวหน้างานคนที่รับเด็กเข้ามาก็จะโดนประเมินผลในทางที่ไม่ดี ดังนั้นเค้าก็ต้องปกป้องตัวเองโดยการไม่รับคนในกลุ่มเสี่ยงนั่นแหละครับ แต่ก็นั่นแหละครับ ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนบุคคล และ ของกลุ่มบุคคลที่ทำงานจนมาถึงระดับเป็นผู้สัมภาษณ์คนเข้างานทั้งจากบริษัท Inter / Inter local / Local ที่เอามาแชร์ให้ทราบ ซึ่งผู้สัมภาษณ์ก็เหมือนผู้ถูกสัมภาษณ์นั่นแหละครับ ไม่อยากจะเสียเวลากับคน/องค์กรที่ไม่ใช่ จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 13:42:33

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าตามหัวข้อ 2 ก็ต้องสืบถามอยุ่แล้วค่ะ ว่าที่มาที่ไป ทำไมถึงออกจากงาน ตามลำดับ 1 2 3 แล้วจึงจะสามารถพิจารณาได้ว่า ผู้มาสัมภาษณ์งานคนนั้น ออกจากงานโดยสมเหตุผลหรือไม่ ^^ ไม่ได้ดูแต่โปรไฟล์แล้ว ตัดสินใจเองหรอกค่ะ ^^ จากคุณ : benefit เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 13:50:02

ความคิดเห็นที่ 12 เสริมอีกนิดนึงแล้วกันครับ ถ้าผู้สัมภาษณ์เปิดโอกาสให้ถามจงถามครับ เพราะคำถามที่ดีนอกจากจะเป็นคะแนนบวกให้ตัวผู้ถูกสัมภาษณ์แล้ว ยังเป็นการประเมินกันทั้ง 2 ฝ่ายด้วยว่าเราใช่กับคน/องค์กรนี้รึเปล่า ไม่ต้องเป็นคำถามโชว์ความสามารถจนเวอร์ก็ได้ จะถามแค่เรื่องทั่วๆ ไปเช่นแผนกนี้แบ่งงานแบบไหน ถ้าได้งานต้องทำส่วนไหนก็ได้ครับ นอกจากจะแสดงว่าคุณสนใจในงาน คุณยังได้รู้ว่าคนอยากเข้าไปทำที่นี่จริงๆ รึเปล่า จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 13:57:29

ความคิดเห็นที่ 13 ตามข้อ 2 เห็นด้วยกับจขกท ค่ะ ไม่ได้เป็น HR เป็นคนทำงานเนี่ยล่ะ ทุกครั้งที่ท้ออยากจะออกกับเค้าบ้าง ก็จะคิดเสมอว่า ที่นี่ก็มีข้อดีตั้งเยอะ ข้อเสียที่จะออกเพื่อหนีมัน ก็ไม่ได้การันตีว่าที่ต่อไปจะไม่มี แล้วยังไง ไม่ต้องย้ายงานไปเรื่อย ๆ เหรอ เพราะฉะนั้นอดทนไปดีกว่า มันดูไม่ดีใน resume ด้วย ถ้าไม่ใช่เรื่องแบบเจ้านายจงเกลียดจงชังกดขี่ข่มเหงไม่ได้โตชัวร์หรือว่าโดนคุกคามทางเพศหรืออะไรร้ายแรงแล้ว เราว่า การออกจากงานบ่อย ๆ มันก็วัดความอดทนคนได้ในระดับนึง น้องชายเราเพิ่งจบทำงานได้สองเดือน มาบอกพ่อแม่ว่าจะออก ทักท้วงยังไงก็ไม่ยอม จะออก เพราะว่าไม่ชอบหัวหน้า ห้ามไม่ได้ก็บอกแค่ว่า ก็ clean slate ไม่ต้องไปออกที่อื่นว่าเคยทำงานที่นี่มาสองเดือน บอกว่าจบใหม่ยังไม่เคยทำงานจะดีกว่า จากคุณ : PuppyPower เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 13:58:50

ความคิดเห็นที่ 14 ข้อ 3 มีคนทำจริง ๆ เหรอคะ O_O (ที่ไม่ได้สมัคร pretty แบบที่ จขกท ว่าไว้อะนะคะ) ไม่เคยสมัครงานผ่านเนตเสียด้วย วงการเราส่วนมากจะwalk in กันค่ะ รูปถ่ายสมัครงานถ้าไม่รูปนิสิต รูปชุดครุย ก็รูปใส่เสื้อเชิ้ตสูท ยิ้มพองาม ถ้าจขกทไม่มาแชร์นี่ไม่รู้เลยนะคะเนี่ย! แปลกใจมาก จากคุณ : PuppyPower เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 15:55:03

ความคิดเห็นที่ 15 บางครั้งการที่เด็ก Gen Y เปลี่ยนงานบ่อยอาจมีผลจากบริษัทเองด้วย จากประสบการณ์ ผมเป็นคนดูแลน้องฝึกงานด้านบัญชี น้องรู้ว่า บ.ให้เงินน้อย แต่ก็ทำเพราะผมสอนจนปิดงบได้ แต่ บ.ก็ไม่รับน้องไว้ ทำให้น้องต้องไปที่อื่น หรือบางทีฝึกงานจนทำได้ก็ไม่ปรับให้ผ่านโปร หรือผ่านโปรก็ให้ผลตอบแทนน้อยก็มี ซึ่งเข้าใจเด็ก ๆ แต่ก็บอกเสมอว่าเปลี่ยนงานบ่อยก็ไม่ดี แต่ผมมั่นใจในความสามารถและการศึกษาหาความรู้เสมออยู่แล้วจึงไม่กลัวที่จะเปลี่ยนงาน ซึ่งแล้วแต่บุคคลด้วยครับ จากคุณ : nubtong เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 16:06:23

ความคิดเห็นที่ 16 ที่ว่า เด็กGenY เปลี่ยนงานบ่อย มีส่วนจริงครับ แต่บริษัทต่างๆเคยพิจารณาหรือไม่ว่ามีความจริงใจให้เด็กGenใหม่ดีแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็น สวัสดิการต่างๆก็พยายามลดลงเรื่อยๆสำหรับพนักงานที่บรรจุใหม่ ตำแหน่งต่างๆทุกวันนี้ก็มีแต่งานที่เป็น Contract และ Outsource เต็มไปหมด เพื่อจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบกับความมั่นคงของพนักงาน และประหยัดค่าสวัสดิการและการเทรนนิ่งต่างๆ ซึ่งเด็กใน Gen เก่าก่อนๆ ไม่เคยได้ประสบพบเจอได้เยอะเท่ากับทุกวันนี้ จากคุณ : treser[*_-] เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 16:25:34

ความคิดเห็นที่ 17 #14 มีจริงๆ ครับ มีเยอะด้วย ส่วนมากจะเจอจาก Resume ที่ส่งผ่านมาจากเว็บสมัครงาน ถ้านับรวมพวกที่รูปถ่ายเป็นวิวด้วย (ไม่ใช่สีพื้น) ผมว่ามีถึง 10% ได้เลยครับ #15 ถ้าเป็นเด็กจบใหม่ ทำงานไม่เกิน 2-3 ปี และมีเหตุผลอธิบายได้ ผมเชื่อว่าไม่มีปัญหาหรอกครับ เพราะโดยมากบริษัททั่วไปยังไงเค้าก็ต้องถามเหตุผลก่อนว่าย้ายงานเพราะอะไร แต่ถ้าทำ 2-3 เดือนแล้วย้ายงานเพราะหาประสบการณ์ใหม่ๆ กลุ่มนี้ต่างหากครับที่เป็นปัญหา จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 16:30:14

ความคิดเห็นที่ 18 อยากรู้ว่าตอบคำถามแบบไหนถึงจะโดนใจคนถามเนอะ หลายคน หลายมุมมอง หลายความคิด  ที่ผู้รับการสัมภาษณ์ตอบ ๆ กันก็ไม่มีถูกมีผิดหรอกครับ แต่จะโดนใจคุณรึเปล่าเท่านั้นเอง  ถ้าตั้งสเป็คบุคลากรที่จะมาร่วมงานสูงมาก ก็ไปหาตามวัดวาดีมั้ยครับ จากคุณ : เอ (kanfire) เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 16:31:47

ความคิดเห็นที่ 19 บางคนโชว์พาวมากไปก็หาว่าเวอร์  ไม่โชว์พาวก็หาว่า ไม่สนใจในงานที่ทำ ต้องจับคอเสื้อถามกันตรง ๆ ดีมั้ยครับผมว่า จากคุณ : เอ (kanfire) เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 16:35:22

ความคิดเห็นที่ 20 #14 มีจิงๆค่ะ คอนเฟิร์ม เพิ่งเจอมาสดๆ น้องคนนึงแต่งตัวฮิปฮอปม๊ากกก *0* เป็นน้อง ผช ปลดกระดุมโชว์อกด้วยนะ 55 ใจนึงดูแล้วก็ขำนะ แต่อีกใจก็ว่ามันไม่เหมาะสมค่ะ จากคุณ : benefit เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 16:37:21

ความคิดเห็นที่ 21 #16 ผมเชื่อว่าหลายๆ บริษัทเป็นอย่างที่คุณพูดครับ แต่ก็ต้องยอมรับครับว่าบริษัทที่สวัสดิการดี หน้าที่การงานมั่นคงก็เจอปัญหาเด็กย้ายงานบ่อยเช่นกัน ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเด็กเองก็อยากแสวงหาความก้าวหน้าซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่บางครั้งการทำอะไรที่สุดโต่งเกินไปมันก็มีผลย้อนกลับมาถึงตัวเองเช่นกัน จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 16:38:39

ความคิดเห็นที่ 22 #18-19 มันไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับที่ถูกแน่นอนครับ ขึ้นกับสมัครตำแหน่งใด บริษัทไหน เหมือนอย่างที่ยกเรื่องถ้าสมัครพริตตี้แต่แต่งตัวทางการมากๆ ก็อาจจะไม่ได้งานเช่นกัน ในทางกลับกัน กระทู้นี้มุ่งนำเสนอในหัวข้อที่ว่าทำยังไงผิดแน่นอนมากกว่า ซึ่งข้อผิดพลาดพวกนี้เป็นข้อผิดพลาดที่เจอบ่อยๆ และไม่น่าพลาด ซึ่งต่อให้คุณทำตามก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะได้งาน เพราะมันไม่ได้ดูแค่นั้น แต่ถ้าคุณทำพลาดเรื่องพวกนี้โอกาสที่คุณจะตายน้ำตื้นก็สูง จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 16:49:15

ความคิดเห็นที่ 23 #20 เค้ามาสมัครตำแหน่ง Fashion Design รึเปล่าครับ :P จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 16:50:13

ความคิดเห็นที่ 24 #23 ตำแหน่งไอทีซัพพอร์ทค่ะ ประจำออฟฟิศด้วยนะ จากคุณ : benefit เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 17:03:27

ความคิดเห็นที่ 25 คห.4 น่าจะใช้ คำว่า fake แทน คำว่า face หรือเปล่าคะ เอหรือว่าดิฉันเข้าใจผิด ไม่ได้จับผิดนะคะ แต่เพื่อให้คนที่มาอ่านเข้าใจตรงกันน่ะค่ะ ความเห็นของคุณดีอยู่แล้วค่ะ จากคุณ : ปลาตะป๋อน เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 17:07:12

ความคิดเห็นที่ 26 5. เล่าเรื่องข้อมูลที่เป็นความลับ/ให้ร้ายบริษัทก่อน: คุณทำไม่ดีกับบริษัทก่อนหน้าหมายความว่าคุณก็อาจจะทำไม่ดีกับบริษัทที่จะเข้างานใหม่ด้วยเช่นกัน แล้วถ้าบริษัทเก่าเลวร้ายมากล่ะคะ พูดแบบไม่ดีก็ไม่ได้ จะพูดความจริงก็กระอักกระอ่วน พอพูดว่าอยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ ก็ว่าโกหกอีก fake ใส่อีก ทั้งขึ้นทั้งล่องเลย จากคุณ : Life is a large dream เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 17:10:13

ความคิดเห็นที่ 27 #24 สุดยอด น้องเค้ามั่นใจดีนะครับ :D #25 ผมว่าเค้าคงพิมพ์ผิดแบบไม่ตั้งใจครับ ผมก็ไม่กล้าทักกลัวจะหาว่า Discredit :) จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 17:10:51

ความคิดเห็นที่ 28 #26 ผมแนะนำให้ใช้คำว่ามีปัญหาเรื่องภายในบริษัทก่อน ขออนุญาตไม่เล่าได้มั๊ยคะ เพราะถือว่าเป็นเรื่องภายในองค์กร ถ้าเค้าอยากให้เล่าเองแล้วคุณเล่าคุณก็ไม่เสียแล้วครับ จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 17:13:37

ความคิดเห็นที่ 29 จริงผมว่า เรื่องบางเรื่องก่อนจะนัดสัมภาษณ์ น่าจะคุยกันทางโทรศัพท์ได้นะครับ เช่นเรื่องเงินเดือน เป็นเรื่อง ที่ HR ที่มีประสบการณ์ จะพูดถึงเป็นอย่างแรกที่คุยเลย ในกรณีที่ Candidate มี Expected Salary ที่สูงกว่าที่ควรให้ได้ HR เก่งๆจะถามก่อนเลยว่าเราให้ได้แค่นี้นะถ้าคุณได้งาน ถ้าไม่โอจะได้ไม่ีไปสัมภาษณ์ ซึง HR ที่ไม่ค่อยเก๋า มักจะตอบว่า ยังบอกไม่ได้คะ - - เจอบ่อย เรื่องเหตุผลที่เปลี่ยนงานนี่ ผมคิดว่า การที่ HR นี้ กับเด็กๆจะมีโอกาสสูงที่จะโดนโกหก เหตุผล ที่บอกไม่ได้สำหรับเรื่องนี้มีอยู่เยอะครับ ตรงข้าม ผมไม่คิดว่า HR จะได้อะไรจากคำถามนี้เท่าไหร่นัก ถ้าคิดว่าได้พวกไหวพริบอะไรงี้หล่ะก็ ผมว่าหาคำถามอื่นดีกว่า ผมคิดว่าเรื่องใครจะเข้าจะออกเร็วนั้น HR ไม่สามารถแก้ไขที่ตัวบุคคลได้ ควรจะหาคนที่เหมาะกับบริษัทและตำแหน่งตัวเองจะดีกว่า แน่นอนว่า HR อยากได้คนเก่งๆ แต่จ่ายเงินเดือนน้อยๆ ทั้งนี้ก็ควรจะดูบริษัทตัวเองด้วย ว่ามีความสามารถที่จะทำแบบนั้นได้รึเปล่า (ไม่ใช่ว่าทุกบริษัทจะหาคนแบบนั้นได้) เรื่องจุดอ่อนของตัวเองนี่ ผมว่าเป็นคำถามที่ไม่เหมาะที่จะใช้ถามใน วัฒนธรรมของคนไทยอย่างรุนแรง คนที่ใช้คำถามนี้น่าจะแปลมาจากของต่างประเทศมากกว่า สำหรับคนไทย คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตอบ โดยเฉพาะน้องๆจบใหม่ที่ยังไม่เคยทำงาน (โดยส่วนมากน้องไม่รุ้จะตอบอะไรก็จะลอกๆกันมา หรือไม่ก็ตอบอะไรที่เป็นจุดอ่อนแล้วไม่เกี่ยวกับงาน ) คำตอบส่วนมากที่ HR ได้คงจะไม่ใช่ความจริงถึงแม้จะเป็นคนทำงานมานานแล้วก็เถอะ แล้ว HR จะได้อะไรจากการตอบคำถามนี้ จากคุณ : ปอน เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 17:37:45 A:58.8.2.33 X: TicketID:279361

ความคิดเห็นที่ 30 #29 ประเด็นที่ผมอยากจะสื่อจริงๆ ในข้อ 1 คือเรื่องตอบเป็น Pattern มากกว่า แต่อาทิตย์ก่อนผมเพิ่งเจอคนเอาปริญญาปลอมมาสมัครงาน เลยรวบเป็นโกหกเรื่องเดียว ส่วนเรื่องคำถามว่าเปลี่ยนงานเพราะอะไร ผมว่ามันวัดอะไรได้หลายอย่างเลยนะครับ ไม่ใช่แค่วัดเรื่องไหวพริบ อยู่ที่ว่าคุณจะเข้าใจรึเปล่ามากกว่า เอาแค่คำตอบยอดฮิดของเด็ก พศ นี้ที่ว่าต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ก็วัดอะไรได้หลายอย่างแล้วครับ ส่วนใครเข้าออกเร็ว มันไม่ได้เกี่ยวกับเงินเดือนอย่างเดียวหรอกครับ ถ้าคุณอยู่ในวงการนี้นานพอคุณจะเข้าใจ :) จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 18:17:56

ความคิดเห็นที่ 31 กินมาม่าไปด้วย อ่านไปด้วย สบายใจ จากคุณ : ชื่อยาวยาวจะได้ดูเยอะเยอะ เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 18:19:12

ความคิดเห็นที่ 32 #31 ขอน้ำร้อนด้วยได้มั๊ยครับ :P จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 18:34:59

ความคิดเห็นที่ 33 จริง ๆ ผมมองว่าถ้าผู้สมัครรู้จักพินิจพิจารณาบริษัทให้ดี ว่าน่าจะร่วมงานได้ได้ดี ความเติบโตน่าจะโอเค คือทำการบ้านมาก่อนเยอะ ๆ จะตัดตัวเลือกการสมัครแบบเหวี่ยงแหออกไปได้เยอะ ไม่เสียเวลาในการสัมภาษณ์งานบ่อย ๆ ด้วยครับ หลาย ๆ ครั้งผู้สมัครมักจะตอบไม่ตรงประเด็น หรือเลี่ยงที่จะบอกว่าตัวเองทำไม่ได้ ทำไม่เป็น หรือหนักสุดคือโกหกว่าทำเป็น พอรับเข้ามาแล้วก็ทำไมได้เลยแบบนี้ก็แย่เหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 55 18:52:11 จากคุณ : Jump.Jr เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 18:51:55

ความคิดเห็นที่ 34 #33 จริงครับ ต่อให้โกหก จนผ่านสัมภาษณ์มาได้ สุดท้ายก็ไม่ผ่านโปรอยู่ดี เสียเวลากันทั้งฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 19:01:26

ความคิดเห็นที่ 35 มาอ่านมุมมองผู้สัมภาษณ์ เป็นประโยชน์เหมือนกัน แล้วน่าจะมากด้วย จริงๆ ไม่เห็นด้วยกับบางคำถาม แล้วก็วิธีการตัดสินคนในการสัมภาษณ์ แต่ก็คนสัมภาษณ์เขาคิดแบบนี้ ก็ไม่รู้จะแย้งทำไม เพราะถ้าเราไม่ใช่คนจ้าง ผู้สัมภาษณ์ แย้งไปก็เท่านั้น ยังไงก็ต้องฟังไว้ล่ะนะ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 20:25:24

ความคิดเห็นที่ 36 นั่นซิ แบบข้อ3มีจริงๆหน่ะหรอ แล้วคนทำเค้าคิดอะไรอยู่ จากคุณ : shimoho เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 20:44:06

ความคิดเห็นที่ 37 เท่าที่สัมภาษณ์มานะคะ คำถามแรก ช่วยแนะนำตัวเองด้วยค่ะ ก็จะได้คำตอบแบบว่า ชื่อะไร ชื่อเล่น มีพี่น้องกี่คน น้ำหนัก ส่วนสููง........แค่นั้นก็กลับบ้านไปนอนรอบริษัทอื่นเรียกได้เลยค่ะ สิ่งที่ต้องการในการแนะนำตัวสำหรับเรานะคะ ชื่ออะไร เรียนจบจากที่ไหน เกรดเท่าไร ทำงานที่ไหน ตำแหน่งอะไร รายละเอียดงานคร่าว ๆ และปัจจุบันทำงานอะไร มีหน้าที่รับชอบอะไร .....ถ้ามีคนพูดมาถึงส่วนนี้ได้ เราถึงจะยิงคำถามต่อไปค่ะว่า แล้วคิดว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาจะสามารถนำมาปรับใช้กับตำแหน่งที่สมัครได้อย่างไรคะ ถ้าตอบข้อนี้ได้ก็ผ่านไปกว่า 50% แล้วค่ะ จากคุณ : ราตรีนี้อีกยาวไกล เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 20:50:18

ความคิดเห็นที่ 38 Gen Y แล้วไงครับ เห็น HR หลายๆคนชอบบอกว่า Gen Y ทำงานไม่ทน ผมกลับคิดว่า Gen Y เขามีหัวคิดว่าศักยภาพของเขาควรจะได้เงินเท่าไร เรื่องเปลี่ยนงานบ่อย ผมว่าก็จัดอยู่ในพวกนั้นได้ครับ ไม่ขอบอกละกันว่ากี่ที่ แต่ทุกครั้งเงินจะขึ้น XX% เป็นเลข 2 หลักตลอด ถามว่าถ้าเจ๋งพอ เก่งพอ จะอยู่ที่เดิมถ้ามีที่ใหม่ที่ดีกว่า ลองคิดดูครับ เงินเพิ่มปีละ 5% กับ ย้ายงานทีนึงขึ้น 30% คุณจะเลือกแบบใหนครับ อีกเรื่องก็คือ ถามข้อดีข้อเสียครับ ผมว่า HR ที่ถามแบบนี้ก็เหมือนกับไม่ทำการบ้าน ไอ้คำถามพวกนี้มันเอาไว้เสกสรรปันแต่งเอาครับ หาความจริงไม่ได้หรอก แทนที่จะถามคำถามโบราณคร่ำครึแบบนั้น ผมแนะนำให้ถามเกี่ยวกับงานไปครับ ถามไปเลยมีปัญอย่างนี้ๆๆๆๆ คุณจะแก้ไขอย่างไง คำถามพวกนี้มันวัดได้ว่า Candidates มีความรู้ หรือ ทักษะในงานตัวเองมากแค่ใหน ถามแบบนี้ผมว่ามันได้เนื้อกว่ามานั่งถาม ข้อดีข้อเสีย บอกตามตรง ปญอ โค ตะ ระ สุดๆ ล่ะครับ จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 21:23:47

ความคิดเห็นที่ 39 ไม่นานมานี้มี HR ที่นึงโทรมาครับ บอกว่าไปเจอ CV ผมที่เคยไปใน job fair โทรมาถาม ไอ้นู้นทำได้มั้ย แล้วไอ้นิ่ล่ะ .................... แหม พี่ท่านถามซะ นิ่คงสนใจมากๆ เอาล่ะโว๊ย ยิ่งอยากได้เงินเพิ่มอีกอยู่พอดี นิ่ก็จะนัดเข้าไปคุย ผมจะเออออตกลงแล้วนะ ฉุกคิดขึ้นได้ ถามเงินเดือนก่อนดีมั้ย สิ่งได้กลับมาคือ >>> เงินเดือนตามโครงสร้างบริษัทค่ะ เวรรรรรรรรรรรร อีกล่ะ เงินเดือนตามโครงสร้าง ตรูจะรู้มั้ย บริษัทห้องแถว หรือ บริษัทข้ามชาติ ผมเลยบอกว่า คร่าวๆก็ได้ครับพี่ จะได้ไม่เสียเวลาทั้ง 2 ฝ่าย คุณพี่ตอบกลับมา ผมแทบช็อกครับ Budget ไม่เกิน 18K กระจอกชิบ แม่เจ้า เงินเดือนลดลงไป X เท่าเลยนะนั่น ผมเลยบอกปัดไปครับ นึกว่าจบ ยังมีตื้อ บอกว่าอยากให้ลองเข้าไปคุยกับ Manager ก่อน เหอ เหอ ระดับ Senior ยังได้แค่ 18K ผมเข้าไปไม่เป็น Director เลยเรอะ แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 55 21:53:35 จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 21:30:30

ความคิดเห็นที่ 40 จากข้อ2 ทำงานแป๊บเดียว เดือนสองเดือนเปลี่ยนงานบ่อยเนี่ย . มีประสบการณ์ทำงานที่แรกแล้วไม่มีความสุข ไม่ถึง2อาทิตย์ดีเริ่มมีความรู้สึกไม่อยากไปทำงาน ไมเกรนเริ่มมา หนักๆถึงกับน้ำตาไหลเวลานึงถึงหน้าเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน นั่งbtsไปทำงานร้องไห้สะอึกสะอื้นไป คล้ายจะเป็นโรคซึมเศร้าเข้าทุกที เลยลาออกมันเดือนแรกนัานแหละ . ถามคุณhr ถ้าจะให้อิฉันตอบว่าทำไมทำงานเดือนเดียวแล้วออก ระหว่าบอกความจริงว่าถ้าทำงานไปแล้วเครียดกินจนจะบ้าเอา กับโกหกว่าต้องการเปลี่ยนประสบการณ์ทำงาน . จะให้ตอบว่าอะไรดีคะ? จากคุณ : *+*ข น ม ผิ ง ข้ า ง เ ต า*+* เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 22:17:58

ความคิดเห็นที่ 41 ตอบ คห 40 ต้องโกหกปลิ้นปล้อนครับ เพราะส่วนใหญ่ HR มักจะโลกสวย Candidates ที่ด่าบริษัทเก่าคือ คนไม่ดี หัวสมองฝังใจไปแล้วว่า คนที่เปลี่ยนงานบ่อยคือไม่มีความอดทน อันนี้ก็ต้องทำใจนิดนึงครับ โกหกไปดีกว่าครับ HR เขาชอบมันมากกว่าความจริง จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 22:21:18

ความคิดเห็นที่ 42 ไม่เห็นด้วยกับข้อสองอย่างมาก จากประสบการณ์ตรง ตอนนี้ผมทำงานอยู่บริษัทหนึ่ง เงินเดือนเยอะพอสมควร งานไปได้ดี ดีขนาดเขาขอให้ผมเซ็นต์สัญญาว่าจะอยู่ต่ออย่างน้อยห้าปี ผมยังจะลาออกอยู่นี่ เนื่องจากงานมันไม่โดน ทั้งที่มันก็สบายดี อันที่จริงหมูสุดแล้วตั้งแต่ทำงานมา ...แต่มันไม่ท้าทายครับ อยู่มาได้ห้าหกเดือนมี head hunter โทรเข้ามาเยอะ เลยลองไปสัมภาษณ์ซะหน่อย ไปสามที่ เค้าสนใจผมทุกที่ สุดท้ายผมปฎิเสธไปสองที่ เพราะลักษณะงานไม่โดน กำลังรอคุยขั้นสุดท้ายกับที่ที่สาม ทั้งสามที่เป็นบริษัทใหญ่ สัมภาษณ์สองสามรอบ ก็ไม่เห็นเค้าติดใจเรื่องที่ผมทำบริษัทล่าสุดได้ไม่นาน ของอย่างนี้อยู่ที่เหตุผล อย่าด่วนสรุป จากคุณ : via iPad (Tiger Ton) เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 22:33:04

ความคิดเห็นที่ 43 ส่วนใหญ่เวลาโดนถามว่าทำไมเปลี่ยนงาน ก็ตอบเค้าไปค่ะ ว่าช่วงโปรเนี่ย มันช่วงเวลาดูซึ่งกันและกัน ถ้าเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ เราก็มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยน หรือหาใหม่ ตอบไปแบบนี้ก็ไม่ค่อยเห็นฝ่ายบุคคลจะว่านะคะ เพราะฉะนั้นก็เลยคิดว่าเรื่องเปลี่ยนงานเนี่ยไม่น่าจะเป็นเรื่องที่นำมาพิจารณาโดยให้น้ำหนักเยอะค่ะ แต่คหสต. คิดว่าการสัมภาษณ์งานใดๆก็ตาม มันก็ต้องมีปรุงแต่งบ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ที่สำคัญต้องจริงใจค่ะ จากคุณ : น้องเต้าหู้กับปาท่องโก๋ เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 23:02:02

ความคิดเห็นที่ 44 สัมภาษย์งานมาพอควรเกือบ 200 คน สัมภาย์ทั้งคนจบใหม่ คนทำงานมา 2-5 ปี มากสุด  8 ปี แต่คนทำงานเกิน 10 ปีไม่เคยสัมภาษย์  ไม่เห็นด้วยหลายข้อ และงานที่ผมทำก็งานทั่วไป ไม่ได้แนวอาร์ตอะไร   1. ไม่ได้เห็นด้วยเลย เสริม เติม แต่ง โกหก มีบ้าง ผมไม่ได้เลือกเอา 100 % บริสุทธิผุดผ่อง  ผมจับโกหกคนสมัครได้บ่อยๆ แต่ไม่ได้ถืออะไรไว้มาก ใครไม่เคยโกหกบ้าง แต่บางอย่างเท่านั้นที่ไม่ยินยอม คือเรื่องเอกสาร เช่นวุฒิการศึกษา ประกาศนียบัตร และผู้สมัครเขียนไว้ว่างานอดิเรก ชอบร้องเพลง แต่ไม่กล้าร้องให้ฟัง อันนี้ไม่ยอม ยังไงต้องร้อง เป็นเป็ดหลงทางก็ได้ แต่ถ้าไม่ร้องเลยนี่ไม่รับครับ 2. ธรรมชาติครับคนจบใหม่ย้ายงานบ่อย แป็ปๆก็ไป มีส่วนน้อยที่จะอยู่นานตั้งแต่จบการศึกษา ยกเว้นงานราชการ  สรุปไม่ได้หรอกว่า ไม่สู้งานหนัก ต้องการงานสบาย เงินเดือนเยอะๆ ไม่มีความสารารถ คนมาสมัครงานกับผม เอ่ยชื่อบริษัทเดิมมาผมก็รู้แล้วว่าข้างในเป็นอย่างไร ที่ทำงานบางที่มันเกินแกงจริงๆ  วงการผมไม่กว้าง ใครเป็นใครรู้กันหมดแหละ 3.ตอนหลังเยอะขึ้นจริงๆ ไม่รู้น่ะส่วนตัวผมมองเป็นสีสรรค์ผ่านแล้วผ่านไป เอาว่าดูแล้วไม่ทุเรศ ลามก หรือเหมือนมิจฉาชีพ  ก็ใช้ได้ เอาว่าดูได้ก็แล้วกัน 4. แนะนำตัวไม่ได้:  ไม่เคยเจอน่ะ พูดคุยกันไปเรื่อย ผมสุภาพกับเขา เขาสุภาพกับเราก็จบ เหมือนสนทนากัน  บางคนเกร็งมาก คิ้วตาปากกระตุกก็ปลอบหน่อย เข้าใจว่าเครียดน่ะ   5. เล่าเรื่องข้อมูลที่เป็นความลับ/ให้ร้ายบริษัทก่อน: คุณทำไม่ดีกับบริษัทก่อนหน้าหมายความว่าคุณก็อาจจะทำไม่ดีกับบริษัทที่จะเข้างานใหม่ด้วยเช่นกัน   แหหหหมม  ถ้าบริษํทเดิมมันสมบูรณ์แบบทุกอย่าง จะมาสมัครกับผมทำไม  เห็นมั้ย มันต้องมีโกหกกันบ้างแหละ  ขอนี้คนสมัครงานโกหกกับผมเพียบ ที่ทำเงินเดิมดี  แต่อยากได้ประสบต์การณ์ใหม่ๆ เจอเยอะ  ผมก็รู้ครับว่าโกหก  แต่ผมจะรับคนเข้าทำงาน ผมก็รับไว้ครับ ถ้าอย่างอื่นตรงตามความต้องการของผม  แต่ถ้านินทาสุดโต่ง ผมไม่เอาไว้เหมือนกัน 6. ไม่มีความเข้าใจในงานที่เคยทำ: ไม่เคยเจอ  ถ้าคนจบใหม่ก็ถามที่เรียน คนมีประสบต์การณืเรื่องงานขาย เขาก็ตอบไปตามที่เคยทำ เห็นรู้เรื่อง เข้าใจทุกคน คนมีประสบต์การ์เรื่องงานวิศวกรรม เขาก็ตอบได้ทุกคน วิชาชีพ ไม่รู้ไม่ได้หรอก ความคิดเห็นที่ 5 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน เห็นด้วยกับ คห4 ค่ะ คนสัมภาษณ์บางคน ไม่เคยเตรียมตัวมา..ถือว่าเป็นตัวแทนที่ไม่ดีของบริษัท ที่สำคัญ ผู้สัมภาษณ์สมัยใหม่ เขาก็จะใช้จิตวิทยาที่ดีในการสัมภาษณ์ ไม่ดูถูกคนมาสมัครงาน ไม่ทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ ไม่ทำน้ำเสียงข่มคนมาสมัคร และควรให้เกียรติผู้มาสมัครด้วย ด้วยการแต่งกายที่ดีเช่นกัน เคยไปรับการสัมภาษณ์มา และตัดสินใจไม่ทำงานที่นั่นทันที เพราะคนสัมภาณษ์นี่แหละ ทำจุ๊ย ทำเบ่ง หน้าตาก็ดูไม่ได้ แถมแต่งกายดูไม่ดี เลยคิดเอาว่าองค์กรนี้คงไม่เหมาะกับเรา จากคุณ : Flair [FriendFlock] [Bloggang] เคยไปรับการสัมภาษณ์มา และตัดสินใจไม่ทำงานที่นั่นทันที เพราะคนสัมภาณษ์นี่แหละ ทำจุ๊ย ทำเบ่ง หน้าตาก็ดูไม่ได้ แถมแต่งกายดูไม่ดี เลยคิดเอาว่าองค์กรนี้คงไม่เหมาะกับเรา เห็นด้วยกับคุณ Flair อย่างมาก เมือวันหนึ่งผมมาทำหน้าที่สัมภาษย์คนเข้าทำงาน ผมไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้เลย  บอกตามตรง  สงสารน่ะ โดนอย่างงี้เข้าไป เพิ่งทราบว่าหน้าตาของผู้สัมภาษณ์มีผลต่อการเลือกงานของผู้ถูกสัมภาษณ์ยุคนี้ด้วย สงสัยต้องหา HR สวย/หล่อ ซะแล้ว : ใจกว้างครับ ไม่ได้หวังว่าต้องสวย หล่อ หรอก แต่คนสัมภาษย์บางคนก็ไม่พร้อมจริงๆ ไม่ได้รู้เรื่องเลย เคยเจอ ขี้หู ขึ้หา ขนจมูกอย่างเขอะๆ เสื้อผ้าดูไม่ได้  คือดูแล้วมันโทรมจริงๆๆ แล้วคนอย่างงี้แหละก็มาสัมภาษย์ผม สมัยตอนเริ่มหางานใหม่ๆ  ผมเจอแบบนี้ผมก็ไม่เอาครับ  แต่มันเป็นบทเรียนล้ำค่าสำหรับผมมาตลอด 10 กว่าปี คือ เป็นผู้สัมภาษย์ต้องดูดี ทุกครั้งก่อนสัมภาษย์ ทรงผม ขี้หู ขี้ปาก ขี้ฟัน ขี้จมูก กลิ่นปาก เสื้อผ้า ต้องเรียบร้อย ให้เกียรติผู้มาสมัครงาน เพราะเขาก็เหนื่อยกับการมาเหมือนกัน นอกเหนือจากความสุภาพในการสัมภาษย์งาน จากคุณ : golfturbo (golfturbo) เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 23:05:21

ความคิดเห็นที่ 45 ขอแชร์ความเห็นบ้างนะคะ จริง ๆ แล้วอยากให้ผู้ถูกสัมภาษณ์คิดว่า เราเอาความรู้ความสามารถมาแลกเงินเดือน ถ้าคิดแบบนี้มันจะสร้างความมั่นใจ ให้ตัวเองได้ มั่นใจที่จะตอบคำถาม ในขณะเดียวกันอยากให้ hrให้เกียรติเค้าด้วย ไม่มีใครอยากโดนดูถูก ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลค่ะ อันที่จริงถ้าต้องการดูไหวพริบปฎิภาน hr ก็ต้องมีเช่นเดียวกัน gen y เราว่ามีข้อดีเยอะนะ ถ้าบริษัทดีต่อเค้า สวัสดิการดี งานโดนใจจะเป็นgen ไหนก็ไม่อยากออก สมัยก่อนเคยไปสัมภาษณ์ hr ถามเราว่าคุณไม่มีประสบการณ์  ในการทำงานเลยทำไมถึงกล้ามาสมัครงานที่นี่คำตอบที่ทำให้เราได้งานและได้เป็นหัวหน้าจนถึงทุกวันนี้ เราตอบว่า ถ้าคุณไม่รับดิฉันเข้าทำงานแล้วดิฉันจะมีประสบการณ์ได้ไง มารู้ทีหลังว่าคนที่สัมภาษณ์เป็นเจ้าของบริษัท (เป็นบริษัทเล็ก ๆ) จากคุณ : บัวเทียน เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 23:37:18 A:110.49.249.77 X: TicketID:362485

ความคิดเห็นที่ 46 ถูกใจคุณ mbell ค่ะ ถึงจะแรงไปนิดนึง แต่คำว่าโลกสวยนี่โดนค่ะ จากคุณ : บัวเทียน เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 23:50:22 A:110.49.249.77 X: TicketID:362485

ความคิดเห็นที่ 47 มายืนยันเรื่องข้อ 3 ครับ มีจริง ๆ ครับ บางคนแฟชั่นสุดฤทธิ์ ซึ่งบางทีมันก็ดู ok สำหรับบางตำแหน่ง แต่บางตำแหน่งก็เกินไป ส่วนตัวผมเอง ที่ผมเจอบ่อย ๆ เ้วลานั่งดู resume ของผู้สมัครน่ะนะครับ ก็คือ การที่ผู้สมัครไม่อ่านคุณสมบัติของผุ้สมัครที่ต้องการให้หมดครับ เช่น - ตำแหน่งนี้ต้องการผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงก็กดสมัครเข้ามา... - ตำแหน่งนี้ต้องการผู้มีประสบการณ์อย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป แต่น้องจบใหม่ก็กดสมัครเข้ามา - ตำแหน่งนี้ต้องการผู้สมัครที่เคยทำงานในเรื่อง บลา ๆ ๆ มาก่อนเท่านั้น คนที่ไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อนก็สมัครเข้ามา... บางคนนี่ ไม่อ่านอะไรเลยครับ เห็นบริษัทนี้เปิดกี่ตำแหน่ง พี่แกกดสมัครมาหมดเลย ผมเคยเจอคนนึง ตอนนั้นผมเป็น HR Executive ดูแลด้าน recruit เนี่ยแหละ ผมมีตำแหน่งเปิดในบริษัท 21 ตำแหน่ง ตั้งกะ ช่างไฟฟ้าในอาคาร จนกระทั่งถึง MD จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจครับ candidate คนนี้กดสมัครมันทั้ง 21 ตำแหน่งเลยครับ ไม่ดูกันเลยทีเดียวว่าแต่ละตำแหน่งทำอะไรบ้าง ผมล่ะดีใจอยู่ดี ๆ มีเมลเข้ามาทีเดียว 21 เมล เปิดดูปุ้บเฮ้ย นี่มันคนเดียวกันหมดเลยนี่หว่า... เรื่องการย้ายงานบ่อย ๆ ผมเองก็เปลี่ยนงานแทบทุกปีครับ มีปัจจุบันนี่แหละอยุ่นานหน่อย ผมว่ามันไม่แปลกนะครับที่จะมีการเปลี่ยนงานบ่อย ๆ แต่เหตุผลประเภท อยากได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ทั้ง ๆ ที่ทำงานที่เดิมได้ 3 เดือน ผมว่าก็ไม่ไหวมั้งครับ ok คุณอาจจะบอกว่ามันไม่ใช่ ชั้นไม่ชอบ ชั้นมีสิทธิ์เปลี่ยน ก็ถูกครับ ไม่ผิด แต่ HR ก็มีสิทธิ์เลือกครับ recruit อย่างผมก็ขี้เกียจหาตำแหน่งนี้ซ้ำ ๆ กันทุก ๆ 3 เดือนเหมือนกันแหละครับ เรื่องเงินเดือน สำหรับคนที่มีประสบการณ์สูง แล้วเรียกเงินเดือนพอสมควรกับประสบการณ์ของตัวเองก็ ok ครับ ทำได้อย่างที่ปากว่าก็เอาไปครับ HR ก็จะสบายใจ ไม่เหนื่อย ไม่ต้องโดนด่า แต่บางคนไม่ใช่ครับ ทำอย่างที่ปากว่าไม่ได้ ถามโน่นนี่นั่นที่เกี่ยวข้องกับงานที่เคยทำมาก็ตอบอะไรไม่ได้ อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ บอกว่าจำไม่ได้ ไม่รู้ ลืมไปแล้ว มันก็ไม่ใช่เหตุผลมั้งครับ คุณจะลืมงานที่คุณเคยทำมาได้จริง ๆ เหรอ? แล้วยังมีหน้ามาเรียกเงินเดือนสุดแพงอีก วันก่อนได้สัมภาษณ์น้องจบใหม่คนนึงครับ จบมาใหม่กิ๊กเลย กดสมัครเข้ามาด้วยไม่เขียนเงินเดือนที่คาดหวังมา ไอ้เราก้เห็นว่าเอ้อ ตำแหน่งนี้เราเปิดรับเด็กจบใหม่ได้นี่นะ เรียกมาคุยดูละกัน ก็เลยเรียกมา ถามอะไรไปคุณน้องตอบไม่ได้เลยซักข้อ เอาแต่ตอบว่า ไม่ทราบครับ, ไม่รู้ครับ, ไม่เคยเรียนครับ, ลืมไปแล้วครับ, จำไม่ได้ครับ ฯลฯ เอาง่าย ๆ เถอะครับ แค่วิธีในการฆ่าไวรัสในเครื่องคอมฯ ยังตอบผมไม่ได้เลย ผมเลยถามว่า อยากได้เงินเดือนเท่าไหร่ เพราะในใบสมัครที่กรอกมาบอกขอ 20K ใช่ครับ อ่านไม่ผิด "สองหมื่นบาท" OMG!!! อยากได้ 20K แต่ตอบอะไรไม่ได้ ถ้าผมจ้างน้องคนนี้ด้วยเงินเท่านี้ ผมคงต้องเอาเงินเดือนตัวเองไปจ่ายแทนแหงม ๆ สุดท้ายผมเลยถามน้องเขาไปว่า น้องมีดีอะไรพี่ถึงต้องจ่ายเงินจ้าง 20K ครับ? น้องเขาตอบอย่างมั่นใจว่า ผมสามารถทำงานได้มากกว่าที่พี่ต้องการแน่นอนครับ...เอ่อม...คุณน้องครับ คำถามตูคุณน้องยังตอบไม่ได้เลยครับ ฆ่าไวรัสคอมฯ ยังไงคุณน้องยังไม่รู้เลยครับ จะให้คุณพี่จ้าง 20k คุณพี่ไปหางานใหม่ดีกว่าครับ ผมทำ Recruit มาหลายปีครับ ทั้งในตำแหน่งของบริษัท และ Recruitment Agency เจอมาเยอะครับ candidate แบบหลากหลายรูปแบบสุด ๆ ทั้ง Fake resume, ใส่เงินเดือนเท็จ, โกหกหน้าด้าน ๆ โดนจับได้แต่ก็ยังไม่รู้ตัวก็มี หนักสุด ๆ คือเอา Transcript ของแฟนมาส่งแทนของตัวเอง ดีนะผมเปิดไปดูเพราะนึกไม่ออกว่าจะถามอะไร เห็นชื่อไม่ใช่ ผู้สมัครเป็น ญ แต่ Transcript เป็นชาย ซะงั้น คุณเธอเห็นรีบขอโทษใหญ่ แต่ก่อนที่จะถามเรื่องนี้ก็ถามไปก่อนว่า จบอะไรมาครับ คุณเธอตอบได้ซะด้วย แหม่ เตรียมตัวมาดีจริง ๆ เลยหลอกถามชื่ออาจารย์ท่านนึงซึ่งไม่ได้สอนคณะนั้น คุณเธอตอบได้เป็นวรรคเป็นเวรอีกตะหาก เลยรู้ว่าโกหก... เชื่อเถอะครับ recruit มืออาชีำพหลายคนก็อยากให้ Candidate ที่มาสัมภาษณ์ทุกคนผ่าน ได้งานที่ดีกว่าเดิมทำ (โดยเฉพาะ Recruitment Agency) แต่คุณ ๆ candidate ทั้งหลายก็ช่วยเขาหน่อยเถอะครับ สมัครงานให้ตรง อ่านคุณสมบัติที่ต้องการนิดนึงไม่ใช่กระหน่ำสมัครน่ะนะครับ เรื่องคำถามข้อดีข้อเสีย ผมว่ามันก็ไม่ได้เลวร้าย หรือ โบราณ มากไปนะครับ ผมเคยไปสัมภาษณ์หลายแห่ง ผู้สัมภาษณ์ระดับ Director ก็ยังถามคำถามนี้ ผมมองว่ามันบอกได้หลายอย่างครับ อย่างเช่น ตัวผู้สมัครคนนั้นเข้าใจตัวเองหรือไม่? รู้หรือไม่ว่าตนเองต้องปรับปรุงในเรื่องอะไร หรือ มีจุดดีจุดเด่นอะไรบ้าง ผมคิดว่าคนเราน่ะนะครับ ก่อนที่จะไปทำอะไรนั้นต้องเข้าใจและรู้จักตัวเองให้ถ่องแท้ซะก่อนครับ สำหรับผมเองเวลาเจอคำถามแบบนี้ผมก็ตอบตรง ๆ ครับ ไม่เห็นจำเป็นต้องโกหกไปซะหน่อย แต่อันไหนที่มันเลวร้ายมาก ๆ ก็ข้าม ๆ มันไปเถอะครับ แล้วก็อย่าทำ เรื่องด่าบริษัทเดิม - ผมเฉย ๆ นะแต่ถ้ามันเลวร้ายมาก ผมก็จะโทรกลับไปสอบถามบริษัทเดิมว่า candidate คนนั้นสมัยที่ยังอยู้กับที่นั่นเป็นไงบ้างล ทำงานดีไหม? เคยมีเรื่องมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ก็ประมาณนี้แหละครับ   ตำตอบที่ผมเจอบ่อย ๆ เวลาสัมภาษณ์ ก็เช่น ผมรู้สึกอิ่มตัวกับงานที่นั่นแล้วครับ (ทั้ง ๆ ที่ทำงานมา 3 เดือน) ผมอาจจะเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานมากไปก็ได้ ผมเป็น Recruit มาเกือบ 10 ปี ผมยังรู้สึกว่า งานสายนี้ยังมีอะไรให้ผมเรียนรู้อีกเยอะ ผมตื่นเต้นทุกครั้งเวลาไปสัมภาษณ์แล้วเจอผู้สัมภาษณ์ถามคำถามที่คิดไม่ถึงออกมา สำหรับผม ผมคิดว่าคนที่คิดว่าตัวเองอิ่มตัวกับงานที่ทำอยู่นั่น เป็นคนที่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ไม่ต้องการที่จะเรียนรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว ซึ่งผมจะไม่ต้องการครับ จากคุณ : chang_kung เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 00:09:30

ความคิดเห็นที่ 48 มีแต่คนเก่งๆ มีความรู้มาตอบทั้งนั้นเลยครับ กระทู้นี้ดีจริงๆ ทัศนคติของคน มันมีค่ามากนะครับ ยิ่งถ้าเราได้เรียนรู้ ได้สัมผัสจากคนอื่นๆ บางจุดเล็กๆของทัศนคติเหล่านี้ จะปลดล็อคทัศนคติของเราให้กว้างขึ้น ทำให้เราพัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดดและประสบความสำเร็จใจชีวิต ไม่ใช่คิดดักดานแบบเดิมยังไงก็ยังงั้น ไม่เปิดรับฟังคนอื่น กระทู้นี้เป็นตัวอย่างที่ดีในการแชร์ประสบการณ์กัน โดยเฉพาะรูปแบบประสบการณ์การ Recruit ซึ่งเป็นเนื้องานที่วัดทัศนคติกันโดยตรง คุณภาพของคนมาจากจิตใต้สำนึกที่ดี ที่ผ่านทัศนคติออกมาเป็นความรู้โดยฝังในสมองแล้วลงมือทำจนพาไปถึงการนำเสนออย่างชาญฉลาด นี่แหละคนที่ีประสบความสำเร็จในชีวิต จากคุณ : sillygang เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 00:38:02

ความคิดเห็นที่ 49 เอาส่วนตัวนะครับ เคยสัมภาษณ์แบบ ไม่มี FAKE เลยเพราะเคยคิดว่าถ้าแค่เจอหน้ากันครั้งแรกก็โกหกกันซะแล้ว ทำงานไปมันจะเชื่อใจกันได้ยังไง (สัมภาษณ์เป็นกลุ่มทีละ 3 คน) คำถาม: ทำไมคุณถึงสมัครบริษัทเราครับ A: เพราะดิฉันชอบสินค้าบริษัทนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ โตมาด้วยกัน รู้สึกว่าอยากทำมาตั้งนานแล้วค่ะ (แต่คำถามต่อมาว่าตอนนี้ใช้สินค้ายี่ห้ออะไรอยู่ ดันเป็นคนล่ะยี่ห้อซะงั้น ฮา) B: เพราะคิดว่าที่นี่เป็นบริษัทใหญ่ คงจะให้เงินเดือน สวัสดิการ ความก้าวหน้าดีครับ ผม : ต้องขอบอกตรงๆว่าผมไม่ได้สมัครที่นี่ที่เดียว แต่ผมคัดเลือกบริษัทกับตำแหน่งที่สมัครว่าต้องตรงกับเงื่อนไขที่ผมต้องการ(จริงๆจะมีลงรายละเอียดแต่ละไว้ละกัน) ผลคือ... ไม่ผ่าน สัมภาษณ์แบบนี้ประมาณ 3-4 ที่ครับเงียบหมดเลย  คิดในใจ อืม สงสัยบริษัทจะชอบคำตอบแบบ"ตีโจษย์แตก"ซะมากกว่า มีสัมภาษณ์อีกสองที่ บ ฝรั่งที่ ญี่ปุ่นที่เลยจัดเต็มไปเลยครับ เน้นตอบถูกใจคนถามเป็นหลัก จริงเท็จมากน้อยยังไงอีกเรื่อง สไตล์การตอบคือ บฝรั่ง : มั่นใจในความสามารถตัวเองสุดๆ ไฟแรงหวังก้าวหน้า สนใจเรื่องงานและผลตอบแทนเป็นหลัก บญี่ปุ่น : โชว์ความสามารถที่เป็นลักษณะของ FACT เท่านั้น(เช่น สอบได้ใบโน่นใบนี่มา เรียนภาษามากี่ปี บลาๆๆ) ไม่แสดงความมั่นใจมากเกินไป แต่แสดงความตั้งใจอยากเรียนรู้อยากทำงาน สนใจเนื้องานมากกว่าเงินเดือน มีมารยาท ขี้เกรงใจ ปรากฎว่าผ่านหมดครับ ผมเลยขอสรุปง่ายๆว่า จะสัมภาษณ์ผ่านไม่ผ่านมันขึ้นกับว่าคุณตอบ"ตีโจษย์แตก"รึเปล่ามากกว่าครับ พูดสั้นๆคือ "พูดถูกใจคนถาม = ผ่าน, ไม่ถูกใจคนถาม = ตก" แค่นั้นแหละครับ จริงเท็จมากน้อยแค่ไหนนี่มันอีกเรื่องหนึ่ง ---------------------------- ปล คำถามเรื่องข้อดีข้อเสีย เค้าไม่ได้ถามเพราะอยากรู้ข้อดี-เสียของคุณจริงๆหรอกครับ แต่เค้าอยากรู้ว่าคุณสามารถบอกข้อดี-เสียของคุณได้รึเปล่าต่างหาก ดังนั้นพวกที่ตอบ - ผมมีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสียเลย > พวกมั่นใจตัวเองเกินเหตุ (บางงานก็ดี แต่บางงานก็เหมือนพวกอวดเก่ง หลงตัวเอง และมักมีนิสัยไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่นแถมด้วย) - ผมตอบไม่ได้ (ไม่มีการเตรียมตัวมาสัมภาษณ์หรือไม่รู้จักตัวเองเลยหรือไม่สามารถวิเคราะห์ได้กระทั่งเรื่องใกล้ตัว) - คำตอบตามสูตรเป๊ะๆเช่นข้อเสียคือ ผมเป็นคนทำงานจริงจังเกินไป ผมเป็นคนมุ่งหวังความก้าวหน้าสูง ผมเป็นคนทำงานละเอียดเกินไป แล้วจบแค่นั้นไม่มียกตัวอย่างหรืออธิบายเพิ่มต่อ = ลอกคัมภีร์มาเห็นๆ (ควรจะเตรียมตัวคำตอบที่เป็นของคุณเองมามากกว่าถึงมันจะซ้ำในหัวข้อแต่เราสามารถอธิบายหรือยกตัวอย่างเพิ่มให้เป็นคำตอบของเราเองได้ครับ + อย่าลืมบอกด้วยว่าเราปรับปรุงแก้ไขอย่างไร ) จะถูกประเมินต่ำครับ(แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะตกกับแค่นี้นะ เค้าจะดูรวมๆ ถ้าเป็นบ ฝรั่งจะใช้การพิจารณาส่วนตัวแต่ถ้าเป็น บญี่ปุ่น เค้าจะมีเกณฑ์ให้เป็นคะแนนในแต่ละด้านเลยครับ เห็นมาแล้ว) แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 55 02:37:49 แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 55 02:36:41 จากคุณ : Greaty O-U!! เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 02:34:26

ความคิดเห็นที่ 50 เด๋วนี้ถ้าให้บอกจุดเด่นตัวเองก็จะบอกว่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมีดีอะไร เกรดก็ได้น้อย(2.0) แต่ผมคิดว่าเป็นคนง่ายๆ ซื่อๆ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ข้อเสีย ผมชอบนอนดึก ตื่นสาย เพราะผมชอบดูสารคดี TPBS มิติโลกหลังเที่ยงคืนมา 00.30-01.30 มีฉายทุกวัน หลังๆมานี้ผมก็เบื่อคำถามเดิมๆเวลาสัมภาษณ์้เหมือนกัน คือถ้าสัมภาษณ์กับ Hr จริงๆมันก็น่าเบื่อเพราะจะถามสเตปเดิมๆ ไม่รู้เนื้่องานที่ผมจะทำหรือเคยทำมาเลยไม่ได้ถามส่วนนั้น แต่เห็นด้วยเรื่องการแต่งกายนะ คือไปสัมภาษณ์มาเยอะ เจอผู้ชายบางคนแต่งตัวเหมือนไปเที่ยวกลางคืน กางเกงยีนส์ รองเท้าไนกี้อันใหญ่สีแดง ย้อมผมทองบ้างล่ะ สำหรับผมเนี่ยการแต่งกายให้สุภาพถูกกาลเทศะเป็นเรื่องสำคัญมากของการสมัครงาน ส่วนผมก็ถูกถามเรื่องทำไมย้ายงานบ่อยก็คงเป็นเรื่องของ Contact นี่แหละครับ เค้าเข้าใจครับไม่ใช่ไม่อดทนงานแต่ที่เก่าจะยื่นสัญญาให้แค่เดือนสองเดือนตลอด -*- ดีนะเก็บใบต่อสัญญา 2 เดือนไว้เป็นหลักฐาน จากคุณ : โดราลิบ เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 03:03:27

ความคิดเห็นที่ 51 ผมคิดนะว่าถ้าบางครั้งเรารู้ตัวว่าเรื่องเกรดไม่ดี เราก็น่าจะแสดงออกด้วยการพูดความจริง ไม่ต้องพูดให้ดูดีหรอก แต่พูดให้รู้สึกว่าเราพูดเรื่องจริง ซึ่งบางทีเค้าอาจจะไม่ได้ต้องการคนที่ทำงานเป็นเลยมาทำ แต่เค้าอาจจะมองหาคนทำงานใหม่ที่จะมาร่วมกันทำงานอย่างไม่มีปัญหา จากคุณ : โดราลิบ เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 03:11:04

ความคิดเห็นที่ 52 อ้อ ที่สำคัญเลิกเถอะครับข้อสอบจิตวิทยาหรือประเภทให้นั่งสอบรอสัมภาษณ์ทั้งวันทั้งคืน นัดมาทีละคนดีกว่า จากคุณ : โดราลิบ เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 03:18:52

ความคิดเห็นที่ 53 ไปสัมภาษณ์งานที่นึง HR  :  กรุณาบอกข้อดี  ข้อเสียของคุณให้ฟังหน่อยค่ะ ME  :  ห๊ะ(คิดในใจ) HR  :  คุณคิดว่าทำไมบริษัทเราถึงควรจะรับคุณเข้าทำงานคะ ME  :  เหยดโด๊ โคอาล่ามาช(คิดในใจ) HR  :  คุณคิดว่าคุณจะสามารถทำอะไรให้บริษัทเราได้บ้างคะ ME  :  -___-" HR  :  ทำไมถึงเรียกเงินเดือนสูงขนาดนี้คะ ME  :  -*-" คำถามพวกนี้ใช้อะไรในการวัดคำตอบกันหนอ  สำหรับผมสรุป  สุดแล้วแต่ดวงว่าจะเจอ HR หรือ  คนสัมภาษณ์ เป็นคนแบบไหน   เจอดีๆมาก็มี  แต่ที่......มันก็เย๊อะนะ ผมไม่เคยเหมาว่า  HR  เหมือนกันทุกคน  แต่ก็ไม่อยากให้  HR  เหมาว่าเด็ก GEN Y  เหมือนกันทุกคน  ทุกคนล้วนมีเหตุผลดูเป็นคนๆไปดีกว่า  ถ้าแค่เปลี่ยนงานบ่อยแล้วมองว่า  ไม่สู้ ไม่ทน  ฉาบฉวย  ผมก็คงมองว่า  HR  ที่คิดแบบนี้  คร่ำครึ หัวโบราณ ไม่ทันโลก เห็นแก่ตัวเอง ดูถูกคนอื่น   บางคนก็ชอบให้ตอบแบบโลกสวย บางคนก็ชอบให้ตอบแบบความจริง ปัญหาคือผ๊มจะไปตรัสรู้ได้ไงล่ะว่า  HR  ที่กำลังสัมภาษณ์อยู่เนี่ย  เป็นคนประเภทไหน จากคุณ : แมงปอซ่า เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 03:31:47

ความคิดเห็นที่ 54 คคห. 53   ปัญหาคือผ๊มจะไปตรัสรู้ได้ไงล่ะว่า  HR  ที่กำลังสัมภาษณ์อยู่เนี่ย  เป็นคนประเภทไหน โดนใจครับ  ^^ จากคุณ : Zenmaster_T เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 05:31:21

ความคิดเห็นที่ 55 ผมคิดว่า ชีวิตเป็นของเราครับ แต่โลกไม่ใช่ของเรา ไม่มีทางรู้ใจคนได้ทั้งหมดหรอกครับ ทำได้ขนาดนั้นก็เป็นหมอดูไปได้แล้ว แนวทางคือ เตรียมตัวให้ดีที่สุด+ เป็นตัวของตัวเองในระดับหนึ่ง+ เป็นคนที่สังคมต้องการในระดับหนึ่ง ครับ HR บางที่ก็โอเค บางที่ก็ควรปรับปรุง คนสมัครงานเอง บางคนก็โอเค บางคนก็ควรปรับปรุง สู้ๆ ๆ ครับ ห้องสีลมที่รัก ชีวิตคือการเดินทางไกล จากคุณ : mix_more เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 08:22:29

ความคิดเห็นที่ 56 ผมทำงานมา3 ที่ในอดีต แต่ละที่ก็เรียกว่าระดับโอเคมีชื่อเสียงแบบคนรู้จักหมด เชื่อมั้ยทุกที่ผมได้งาน ผมไม่เคยได้งาน ผมไม่ต้องผ่าน Hr เลย อาจจะโชคดี ได้คุยตรงกับหัวหน้างาน รองกรรมการธนาคาร  ผู้อำนวยการ โดยตรง  ว่าไปก็แปลกเวลาคุยกับคนที่เป็นหัวหน้างานเราโดยตรง คุยัแล้ว สนุกครับ เพราะเราคุยกันเรื่อง งาน เรื่องมุมมอง การแก้ไขปัญหา  ทำไมเรามองต่างกัน วิธีแก้ไขแบบไหนจะโอเค  การนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุน  จะว่าไปผมเบื่อการสัมภาษณ์ กับ Hr มาก ถามคำถามบางทีก็ไร้สาระ ปัญญาอ่อนจริงๆ และที่สำคัญ เราสื่อสารไอเดียการทำงานให้เค้าไม่ได้ เค้าไม่รู้เรื่องงานของเรา โลกสวยไปวันๆ จากคุณ : +--NPV--+ เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 08:28:47

ความคิดเห็นที่ 57 ขอแชร์ประสบการณ์นะคะ เป็น HR มา 5 ปี บ.เีกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ ตำแหน่งงานที่รับบ่อยๆจะเป็น sale / engineer / product specialist  มี ส่วนออฟฟิศบ้าง แต่ไม่บ่อยเท่าไร ลักษณะการสัมภาษณ์งานก็แตกต่างไปแต่ละตำแหน่งงาน บางตำแหน่งงานจะมีลักษณะการถามพิเศษ เช่น - ตำแหน่งเซลล์ บางทีจะให้ เล่าเรื่อง ดีใจ เสียใจ .. สงสัยไหมว่า เพราะอะไร .. เซลล์ที่บริษัท ฯ ต้องคุยกับลูกค้าที่ไม่ได้มานั่งคุยกับ เซลล์ เป็นกิจจะลักษณะ ลค. ต้องทำงานไปด้วย คุยไปด้วย เซลล์คนนั้นต้องมีทักษะการคุยคนเดียว 55 ออกแนว ต้องพูดคนเดียวได้ และ ดูน่าสนใจ (นี่คือหนึ่งในคำถามที่นำมาพิจารณา) - ตำแหน่งงานด้าน Service เช่น วิศวกร และ โปรดักซ์   ด้วยเขตพื้นที่ที่กว้างขวาง ของประเทศไทย ทำให้แต่ละเขตพื้นที่ของวิศวกร และ โปรดักซ์ ต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา และ ด้วย ทางบริษัท ฯ ต้อง Contact กับ โรงพยาบาลเป็นหลัก การบริการด้านการเซอร์วิสต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย .. .... การถามคำถาม น้องที่มาสมัครงานตำแหน่งนี้ จะถามว่า เคยทำงานเหนื่อยที่สุดคืออะไร เคยทำหรือเปล่า และต้องเดินทางเยอะๆ ทำได้ไหม บางที ข้าวไม่ได้กิน ตรงเวลา เพราะงานและคนไข้ต้องมาก่อน ... รวมๆ คือ อดทน แก้ไขปัญหาได้  และ มีเซอร์วิสมายด์ ค่ะ ^^ - การกรอกใบสมัคร .. สำคัญสำหรับบริษัท ฯ เรานะ เพราะมีแบบฟอร์มให้ทำหลายอย่าง ในแต่ละแผนก ถ้ากรอกเอกสารสมัครงานยังไม่่ครบ ..แล้วจะกรอกแบบฟอร์มที่ให้ทำงานจริงๆได้หมดหรือเปล่า .. ซึ่งมันจะมีผลทำให้การทำงานล่าช้าและผิดพลาดได้ - การตอบคำถามข้อดีข้อเสีย .. บริษัท ฯ เราถามนะ ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าน้องบางคนตอบตรง .. ทำให้เรารู้เลยว่าเค้าเป็นคนอย่างไร เหมาะกับตำแหน่งงานที่เปิดรับหรือเปล่า ........... ตัวอย่าง ข้อดีข้อเสีย ............ ตำแหน่งงาน ด้านเซอร์วิส .. มีน้องคนนึงตอบมาว่า .. ผมไม่ชอบทำงานคนเดียว ซึ่งไม่เหมาะกับบริษัท ฯ เราแน่นอน แต่ก็คุยกับน้องเค้าเลยค่ะว่า .. งานที่บริษัท ฯ เป็นอย่างไร และให้ลองกลับไปคิดดู และโทรกลับมาบอกว่าชอบไหม และยังสนใจทำหรือเปล่า ตำแหน่งเซลล์ บางคนบอกว่า เป็นคนยิ้มแย้มแ่จ่มใน เข้ากับคนอื่นได้ง่าย พูดเก่ง ... พอลองให้พูดจิงๆ นิ่งเลยค่ะ ..พอให้เล่าสิ่งที่ประทับใจในชีิวิต .. ฟังแล้วเรียบบบบบ .. ไม่มีชีวิตชีวา ไม่น่าสนใจเลย .. แต่ก็แนะนำน้องเค้าไปนะคะว่า ถ้าหนูอยากเป็นเซลล์ ต้องเพิ่มเติมอะไร ..  (ซึ่งมีหลายจุดถ้าให้เล่ายาวแน่ๆ) ... ความจริงมีอยากเล่าอีกเยอะนะคะ .. แต่เดี๋ยวจะยาวไป  มีอะไรผิดพลาดแนะนำได้นะคะ  HR รุ่นพี่ทั้งหลาย ^^ จากคุณ : benefit เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 09:05:38

ความคิดเห็นที่ 58 พอดีเมื่อวานพึ่งจะไปสัมภาษณ์งานมา ก็อยากแชร์ในส่วนของข้อ 2 เพราะเราก็โดนติมาเหมือนกัน แต่ของเราส่วนใหญ่เป็นเพราะบริษัทปิดตัว คือ ประมาณว่าเข้าทำงานที่ไหนบริษัทเค้าเจ๊งหมด อะไรทำนองนั้น อย่างเราทำงานที่แรก ทำไปเกือบสองปี บริษัทก็ดันจะปิดตัว พนักงานบริษัทต่างก็ระส่ำระสายรีบหางานใหม่กันทั่วหน้า โชคดีเราหางานใหม่ได้ทันเวลา พอทำที่ใหม่ได้ไม่นาน บ.เก่าก็ปิดตัวจริง ๆ รอดตายแบบหวุดหวิด.... มาอยู่ที่ใหม่คิดว่าจะดี ดันถูกเพื่อนร่วมงานใส่ร้าย เจ้านายก็ดันหูเบาเชื่อ เพราะเพื่อนร่วมงานคนนี้ทำงานที่นั่นมาร่วมสิบปีแล้ว แต่เราพึ่งเข้าไปทำไม่นาน ถึงกับขู่จะเอาเราเข้าคุก เราก็เลยท้าให้ไปเอาตำรวจมาเลย ถ้าเราไม่ได้ทำผิดเราขอแจ้งความกลับข้อหาแจ้งความเท็จ พอเราเคลียร์ตัวเองได้  ไม่เคยได้รับคำขอโทษ เจ้านายได้แต่ทำหน้าจ๋อย ๆ เราโมโหเลยลาออก เพราะถ้าอยู่ต่อก็ไม่ทราบว่าจะถูกใส่ร้ายอะไรอีก ไม่มีหลักประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เลยทำได้แค่สามเดือน ซึ่งเวลาที่คนสัมภาษณ์ถามว่าทำไมทำแค่ 3 เดือน ถึงออก มันก็เลือกยากนะ ระหว่างเล่าความจริง กับ โกหกให้บริษัทดูดี ถ้าเล่าความจริงไป จะโดนหาว่าเป็นคนหัวแข็ง หรือ แรง รึเปล่า ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ใช่คนผิด เพียงแค่โชคร้าย... พอได้งานใหม่ ทำได้ปีกว่า หุ้นส่วนก็ดันทะเลาะกันเองอีก เพราะมีหุ้นส่วน 4 คน แต่ทำงานจริง ๆ แค่คนเดียว ไอ้คนทำงานก็รู้สึกว่า อีก 3 คนเอาเปรียบ เพราะตัวเองเล่นไปทำงานประจำกันซะหมด สุดท้ายก็เลยวงแตก แยกย้ายกันไปคนละทาง แต่ลูกจ้างอย่างเราสิ เคว้ง..... อีกที่นึง เราไปสมัครตำแหน่งประชาสัมพันธ์อย่างเดียว พอไปทำจริง ๆ ดันให้เป็น เลขานุการ กับ การตลาด ด้วย เราก็บอกไปตามตรงแต่แรกแล้ว ว่าเราทำไม่ไหวหรอก เราไม่ใช่ซุปเปอร์แมน เค้าก็บอกให้ทำไปก่อน เดี๋ยวจะหาคนมาช่วย ก็รอจนเกือบ 3 เดือน ก็ไม่มีวี่แววว่าเค้าจะรับคนเพิ่ม เราเลยเข้าไปถามตรง ๆ ว่าตกลงเอายังไง เพราะเราก็ทำไม่ไหวอ่ะ วันหยุดก็ไม่เคยได้หยุด ทำงานเจ็ดวัน แต่ได้เงินเดือนตำแหน่งเดียว ไม่ไหวเหมือนกันนะ เจ้าของบริษัทก็ไม่สนใจ พูดประมาณว่า ทำได้ก็อยู่ ทำไม่ได้ก็ออก แล้วใครจะทำล่ะคะ อีกที่นึงแสบยิ่งกว่า... โกงเงินค่าคอมมิชชั่น โกงค่าโอทีมั่วไปหมด พนักงานโดนกันถ้วนหน้า เข้า ๆ ออก ๆ เป็นว่าเล่น ไม่พอใจใครก็ชี้หน้าไล่ออก ตะเพิดเหมือนหมูเหมือนหมา เราจึงคิดว่าบางครั้งการที่คน ๆ นึง จำเป็นต้องเปลี่ยนงานบ่อย ๆ มันก็ไม่ได้เป็นความเต็มใจของลูกจ้างเลย เพราะคนทุกคนก็ต้องการความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตเป็นหลักอยู่แล้ว ถ้าลูกจ้างได้เจอบริษัทดี ๆ มีความมั่นคง มีสวัสดิการดี มีความก้าวหน้า ใครจะโง่ไม่อยากอยู่นาน ๆ น่าจะมีเว็บที่ทำแบ็คลิสต์บริษัทบ้างนะ ให้ลูกจ้างเข้าไปเล่าพฤติกรรมของนายจ้างหรือบริษัทโดยละเอียด และถือว่าไม่เป็นการผิดกฏหมาย หรือ หมิ่นประมาท แต่เป็นการคุ้มครองสวัสดิภาพของพนักงาน ลูกจ้าง เวลาเราไปสัมภาษณ์จะได้บอกผู้สัมภาษณ์ได้ว่า อ๋อ...เคยทำอยู่บริษัทที่ติดแบล็กลิสต์น่ะค่ะ เข้าไปเช็คในเว็บได้เลย ให้คนสัมภาษณ์เข้าไปอ่านเอง ว่าบริษัทนี้มีพฤติกรรมแย่ ๆ อย่างไร ส่วนใครที่กำลังหางานก็จะได้เข้าไปสกรีนก่อน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปสมัครน่ะค่ะ บางครั้งการที่เราจะบอกกับผู้สัมภาษณ์ไปตรง ๆ ว่าความจริงเป็นอย่างไร มันก็เหมือนกับน้ำท่วมปากเหมือนกันค่ะ  ต้องคิดให้เยอะ ๆ เลย ว่าเค้าจะมองว่าเราเป็นพนักงานที่ไม่ดีหรือเปล่า เอาบริษัทมาประจาน ทั้ง ๆ ที่เราก็ซวยจริง อะไรจริง เฮ้ออออออออ !!!! จากคุณ : แม่โอ๋เรนเจอร์ เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 09:22:03

ความคิดเห็นที่ 59 ทำความเข้าใจนิดนึงนะครับ ผมคิดว่า HR ก็ไม่ใช่เป้นคนปัญญาอ่อนอะไรนะ แต่ผลงานของ HR ก็คือ การได้คนที่มีคุณภาพที่สุด โดยจ่ายค่าจ้างต่ำที่สุด ซึ่งมันขัดกับแนวทางการรับคนของหัวหน้างานหรือ Manager ที่ต้องการคนที่คุณภาพ ส่วนจะจ้างเท่าไหร่ก็แล้วแต่องค์กร ถ้า HR Recruit คนมาได้มันก็เป็นผลงานของเค้าครับ เค้าจึงต้องพยายามคัดคนที่มีคุณภาพ สร้างปัญหาให้น้อย การสัมภาษณ์โดยถามพูดคุยกับหัวหน้างานหรือ manager อาจจะไม่มีการวัดทัศนคติที่ชัดเจนเพียงพอ จึงต้องให้ hr recruit มาช่วยทำให้ หัวหน้างานหรือ manager ตาสว่างขึ้น ส่วน hr มืออาชีพ ก็จะศึกษาและเข้าใจธรรมชาติของ ฟิลด์งานแต่ละงานในองค์กร ว่าธรรมชาติคนตำแหน่งนี้ แผนกนี้ ต้องการคนแบบไหน จากนั้นจึงปรับเปลี่ยนคำถามให้เป้นคำถามเชิงวัดทัศนคติที่เหมาะกับ ตำแหน่งนั้นๆ เพื่อช่วยขยายมุมมองให้กับ manager อีกทีครับ ในทางกลับกัน hr ที่ไม่ได้เรื่อง ก็จะเป็นคนที่ไม่ใส่ใจกับงานแผนกอื่นๆเลยว่าแต่ละคนแต่ละแผนก เค้ามีธรรมชาติการทำงานอย่างไร ให้ทำข้อสอบแบบไหนก็แบบนั้น resume เห็น expected salary แล้วจ่ายให้เค้าไม่ไหวก็ยังเรียกมา เผื่อเค้าจะเปลี่ยนใจ ฯลฯ ผมไม่เซ็ง HR เลยนะถ้าเค้าเป็นมืออาชีพมากพอ เพราะผมก็พร้อมจะแสดงทัศนคติของผมให้เค้าเห็นเช่นกัน จากคุณ : sillygang เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 10:36:16

ความคิดเห็นที่ 60 น่าตลก คนที่มั่นใจว่าตัวเองเก่ง ดูถูก HR สบประมาท วัฒนธรรมองค์กร ต่อให้เก่งแค่ไหน แต่เข้ากับทีม เข้ากับเพื่อน ร่วมงานไม่ได้ จะจ้างมาเพื่อ ? แล้วเบื่อพวกเด็กจบใหม่ที่ว่า .. ถ้าไม่มีโอกาสได้ทำงาน จะรู้ได้ไงว่า ทำได้ดีหรือไม่ดี บริษัท ที่เค้าลงทุนขนาดนั้น แย่งชิงแก่งขันกันแบบพลาดไม่ได้ เค้าอยากได้นายพรานฝีมือดี จะเอาเด็กยกน้ำมาทำไม ... ถ้า แสดง ให้ HR เห็นไม่ได้ว่า เจ๋งแค่ไหน อย่าเสียค่ารถมาเลยดีกว่าครับ ขอแนะนำ จากคุณ : oommy เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 11:08:26

ความคิดเห็นที่ 61 เรื่องมันมีอยู่ว่าเราเปลี่ยนงานบ่อยมากในเวลา 2 ปีที่จบมา ที่ทำงานปัจจุบันเป็นที่ที่ 7 และแทบไม่เคยทำอาชีพซ้ำกันเลย ประเด็นเรื่อง Gen Y เปลี่ยนงานบ่อยเราก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่านะคะ แต่เพื่อนเราส่วนใหญ่ ก็เปลี่ยนงานกันมาแล้วทั้งนั้น ในเอกเรา 23 คน มีที่ยังทำงาานที่เดิมตั้งแต่จบแค่ 2 คนเองมั้ง เหตุผลส่วนใหญ่ที่เราเปลี่ยนงานไม่ใช่เพราะอยากได้ประสบการณ์ใหม่ๆ หรอกค่ะ แต่เป็นเพราะบริษัทเดิมตอบโจทย์เราไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องงานหนักงานเบานะคะ งานหนักเราไม่กลัวหรอกสนุกดี มีอะไรให้เรียนรู้เยอะแยะ แต่ถ้ามันเลยเถิดจนถึงขั้นว่ารู้สึกโดนเอาเปรียบมันก็ไม่ไหว ปัญหาภายในองค์กรมันมีอยู่แล้ว ถ้าที่เดิมดีเราจะลาออกมาทำไม แต่เราไม่เคยตอบว่าเราออกมาเพราะต้องการประสบการณ์ใหม่ๆ นะ รวมทั้งไม่เคยตอบแบบให้ร้ายองค์กรเดิมด้วย ทุกคนมีสิทธิ์เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง บริษัทเรียกแคนดิเดทได้หลายคน เราเองก็มีสิทธิ์เลือกบริษัทที่เราจะทำงานด้วย ถ้าลองทำแล้วระบบไม่โอเค ตอบโจทย์ไม่ได้ ก็ลาออก ก็แค่นั้นเิอง เราสัมภาษณ์งานมาเยอะมาก ได้บ้างไม่ได้บ้าง คำถามซ้ำซากน่าเบื่อก็เจอมาเยอะทั้งมีข้อดีข้อเสียอะไร ทำไมเลือกสมัครงานนี้ แต่คำถามที่เราเกลียดที่สุดคือให้แนะนำตัวเองหน่อย เราว่ามันน่าเบื่อมากกกกกก บางทีเจอแบบนี้เราจะบอกแค่ชื่อ จบมาจากไหน ทำงานที่ไหนมาบ้าง แค่นั้น เพราะทุกอย่างมันก็อยู่ในเรซูเม่มาถามอะไรที่มันทำให้เรารู้จักกันจริงๆ ดีกว่า เรื่องของเนื้องาน การแก้ปัญหาอะไรก็ว่าไป จากคุณ : ภิญวา เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 11:08:37

ความคิดเห็นที่ 62 #61 ถ้าเป็นบ.เรานะ การที่ให้ ผู้สมัครงานแนะนำตัว สำคัญนะสำหรับบางตำแหน่งงาน ยิ่งตำแหน่งงานที่ออกไปพบลูกค้าข้างนอกบริษัท ฯ เพราะอะไร ... เพราะว่า การที่คุณออกไปข้างนอกเพื่อพบลูกค้านอกบริษัท ฯ คุณเป็นหน้าตาของบริษัท ฯ นะคะ แนะนำตัวไม่ได้ .. จะแนะนำสินค้า หรือ ผลิตภัณฑ์ ของบริษัท ฯ ได้อย่างไร ถามว่าคโบชัวร์ของสินค้ามีไหม .. ตอบว่า มี คุณจะแค่เดินเอาโบชัวร์สินค้าไปวางไว้ ให้ลูกค้าอ่านเอง โดยที่คุณไม่อธิบายข้อดี ข้อเด่น หรือหลบเลี่ยงจุดอ่อนของผลิตภํณฑ์ ทำไมต้องเลือกสินค้าบริษัทฯคุณ ทำไมลูกค้าต้องซื้อของคุณ ทั้งๆที่ บริษัทฯ อื่นๆเค้าก็ขายกัน ตั้งเยอะแยะ ถือว่าคุณไม่ผ่านการสัมภาษณ์ตำแหน่งนี้ค่ะ  .... ตำแหน่งอื่นๆ มีบ้างนะคะ แล้วแต่องค์กร ว่ามีการสื่อสารผ่านแผนกกันอย่างไร ก็ต้องนำมาทดสอบผู้มาสมัครงานค่ะ ว่าสามารถตอบโจทย์ ของแผนกนั้นได้หรือเปล่า ^^ เราคิดเเบบนี้นะ ถูกผิดยังไง แนะนำได้นะคะ ... อยากให้คนมาสมคัร ได้งาน และผู้สัมภาษณ์ ได้คน ค่ะ จากคุณ : benefit เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 11:49:49

ความคิดเห็นที่ 63 ผมขอเข้ามาตอบอีกรอบ เห็นมีการแลกเปลี่ยนกันสนุกดี เรื่องการเปลี่ยนงานบ่อย ผมคิดว่าเด็กรุ่นนี้ มีทางเลือกเยอะขึ้นนะ แล้วส่วนใหญ่มั่นใจในความสามารถตัวเอง ผมยังไม่เคยเปลี่ยนงานเลยเกือบสองปี เพิ่งอยากเปลี่ยนงานครั้งแรก เพราะรู้สึกว่ากำลังโดนบริษัทเอาเปรียบ ไปสัมภาษณ์ก็เจอคำถามทำไมถึงเปลี่ยนงานแทบทุกที่ เคสผมนี่มีแนวโน้มชอบเปลี่ยนงานมากเลยเหรอครับ ผมลองคุยกับเพื่อนๆบางคนนี่เปลี่ยนมาแล้ว 7-8 ที่ชิวๆ บางที่ทำแค่ 15 วันก็มี แต่มันจะไม่เขียนลงไปในCV บางทีก็อยู่ๆจะไม่ไปมันก็โทรไปบอกเลย ผมไม่ไปแล้วครับแล้วก็ไม่ไปอีกเลยก็มี ไม่บอกล่วงหน้าอะไรทั้งสิ้น เรื่องการสัมภาษณ์ ผมเป็นคนไม่โกหกอยู่แล้ว ใน CV นี่ของจริงทุกอย่างครับ ไม่มีเมคไม่มีเฟคหรือแต่งเติม แม้แต่รูปถ่าย HRยังชมว่าเป็นผู้สมัครที่ตัวจริงกับรูปถ่ายเหมือนกันที่สุดแล้วตั้งแต่เค้าเรียกมาดูหนังหน้า 55 ตอนสัมภาษณ์ก็เป็นคนตรงๆ ตอบคำถามตรงๆ แต่ส่วนใหญ่HRโลกสวยจะไม่ค่อยชอบคับ เค้าชอบคนโม้เก่งๆ เคยไปสมัครบริษัทเล็ก ซึ่งจริงๆผมอยากทำงานกับเค้ามาก แต่เค้าถามคำถามสิ้นคิดปิดท้ายมาว่า "คุณชอบทำงานกับบริษัทใหญ่หรือบริษัทเล็ก" ผมก็ตอบเลี่ยงๆไปว่าบริษัทเล็กก็ชอบคับ เพราะอบอุ่นดี แต่ถ้าตอบความจริงก็ต้องชอบทำงานบริษัทใหญ่มากกว่า ถามจริงมีใครคนไหนชอบทำงานบริษัทเล็กจริงๆบ้าง จะให้โกหกผมไม่ใช่ผม แม้ผมจะอยากได้งานนี้มากแค่ไหนก็ตาม ผมจะไม่โกหกเด็ดขาด เอาเรื่องนี้ไปบอกเพื่อน เพื่อนก็หาว่าโง่ แม่ก็ด่า หาว่าทำไมไม่ตอบเอาใจนายจ้าง ทุกวันนี้เงียบหายไปเลยคับ ทั้งๆที่ประสบการณ์ก็ตรง เกรดก็โอ หน้าตาจัดว่าดีพอได้ พรีเซ้นเก่ง ความสามารถคิดว่าแน่ ภาษาก็สื่อสารได้ แต่มิน่าล่ะ ผมไปมาสิบกว่าที่แล้วยังไม่ได้งานเลย ผมคิดว่าผมอาจต้องโกหกบ้างถ้าอยากมีที่ยืนบนโลกนี้คับ แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 55 13:32:33 จากคุณ : treser[*_-] เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 12:42:55

ความคิดเห็นที่ 64 1. การให้ผู้สมัครงานแนะนำตัว ก็เหมือนเป็นการ สรุปว่าตัวเองมีดีอะไร เหมือนเอาสินค้าไปขายครับ จู่ๆ มีสินค้ามาวางไว้บนชั้น แต่ไม่มีพนักงานขายมาอธิบายว่ามันดียังไงๆ ก็ไม่มีใครซื้อ เว้นเสียแต่ว่า คุณเป็นสินค้าชั้นยอด มีแต่คนประมูลกันเพื่อให้ได้มา (ก็คือ candidate ระดับสูงๆ ที่ recruite มักโทรไปเรียกตัว เพื่อซื้อกันว่างั้นแหละ) ดังนั้น การแนะนำตัว คือคุณต้องทำการบ้านครับ ประเภทบอกอายุ วันเดือนปีเกิด ชื่อจริงชื่อเล่น บ้านอยู่ที่ไหน..... ก็ธรรมดาไปครับ 2. การเปลี่ยนงานบ่อย HR  แค่ต้องการดูแนวโน้มว่า candidate มีสิทธิ์จะเปลี่ยนงานอีกมั้ย หากรับมา นายจ้างลำบากใจนะครับ รับพนักงานที ทำงานได้ไม่ทันไร ก็เปลี่ยน ที่ คุณ จขกท. เน้นว่าเด็ก Gen Y เพราะเด็กรุ่นใหม่ จะมีพลังและค่อนข้างเลือกงานที่คิดว่าคุ้ม ชอบ เงินดี และสบาย เมื่อเข้ามาทำงาน ก็อยากได้วัฒนธรรมที่ยืดหยุ่น เฮฮา ฯลฯ ก็เลยเปลี่ยนงานบ่อย เพื่อหาสิ่งที่ตนชอบให้เจอ 3. บอกข้อดี/ข้อเสีย ก็เหมือนข้อ 1. ครับ ที่อยากให้ candidate ลองบอก เสนอขายดู เพราะ Pattern คำถามนี้ มันก็มีบอกข้อสอบกันอยู่เรื่อยไป ประเด็นคือ เมื่อบอกข้อดีข้อเสียแล้ว HR ก็คงถามต่อแหละ ว่า ยังไงเหรอ ไหนอธิบายมาซิ เช่น บอกว่า ข้อดีคือ นู๋เป็นตรงต่อเวลามากค่ะ ข้อเสียคือ นู๋หงุดหงิดมาก เมื่องานไม่ได้ตรงตามเวลา แต่ประเด็นคือ นู๋ candidate คนนั้น มาสัมภาษณ์งานสายครับ  -_-"  ดังนั้น ก็รู้เลยว่า นู๋คนนี้ลอกการบ้านเค้ามา 4. HR บางคนก็กวนทีนผู้ส้มภาษณ์ ขี้เก๊กใส่ แต่อยากบอกว่า มันเป็นการทดสอบอย่างหนึ่งครับ เพราะจะได้รู้ว่า เมื่อรับมาทำงาน เจอภาวะกดดัน กวนทีนกัน จะกระโดดชกปากกันมั้ย งานนี้พลาดกันเยอะครับ candidate หลายคนเจอ HR กวนๆ ใส่แบบสุด ก็พาลเดินออกจากห้องไปเลย อยากจะบอกว่าการทำงานจริง เจอหนักกว่านี้อีกครับ แต่เราจะเดินออกก็ไม่ได้ ดังนั้น อยากให้ผู้หางาน สู้ๆ นะครับ ตอนสัมภาษณ์งาน จะโกหกยังไงก็ได้ แต่ต้องเนียนสุดๆ เมื่อรับเข้าทำงานแล้วก็พิสูจน์กันอีกทีครับ อ้อ ข้อ 5. อันนี้แถมครับ ส่วนตัวผม ที่คิดว่าไม่ควรเอาเรื่องไม่ดีของที่ทำงานเก่ามาเล่าให้ฟัง เพราะบางที HR เองพอฟังเรื่องไม่ดีจากที่เก่าของคุณ HR ก็คงคิดในใจ "ที่นี่ก็เป็นเหมือนกันแหละ" ยกตัวอย่างนะครับ เจอ candidate คนนึง เขียนว่า เหตุที่ออกจากที่เก่า เพราะหัวหน้ายืมเงินเอาไปเล่นบอลบ่อยๆ ผมก็คิดในใจเลย ((แย่ล่ะ เพราะหัวหน้า line manager ที่นี่ก็เป็นแบบนี้แหละ)) จากคุณ : freestyler เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 12:54:55

ความคิดเห็นที่ 65 ความคิดเห็นที่ 60 ถ้าอยากได้นายพรานฝีมือดี แล้วทำไมไม่ลองทำคำถามแบบที่ผู้รับสัมภาษณ์ตอบออนไลน์ไว้ก่อนเรียกล่ะครับ จะได้เห็นคำตอบคร่าวๆว่าควรเรียกหรือไม่ควรเรียกมาสัมภาษณ์ดี เพราะว่าผู้รับสัมภาษณ์ก็ไม่ได้อยากเสียเวลาไปกับ HR ห่วยๆ ส่วน HR ก็คงไม่อยากเสียเวลากับผู้สัมภาษณ์ที่เป็นแค่เด็กยกน้ำไม่ใช่เหรอ หรือไม่งั้นคุณก็ลองโทรสัมภาษณ์ก่อนคร่าวๆก็ได้นี่ ดูว่าการตอบรับเป็นยังไง แต่หวังว่าคงจะพอคิดเป็นนะว่าการโทรไปแบบกระทันหันก็ควรจะถามผู้รับสัมภาษณ์ก่อนว่าพร้อมตอบคำถามหรือไม่ เพราะเห็นมาหลายที่แล้ว ที่ HR ห่วยๆเล่นยิงคำถามแบบไม่ให้คนรับสัมภาษณ์ตั้งตัว และบางทีผู้รับสัมภาษณ์อาจจะอยู่ต่อหน้าเจ้านายอยู่ก็ได้ แล้วใครมันจะไปกล้าตอบล่ะครับ จะให้แนะนำไหมว่า HR ที่เก่งๆเค้าทำกันยังไง เค้าก็จะถามว่าพร้อมสัมภาษณ์หรือไม่ ถ้าไม่ เมื่อไหร่จะพร้อม เมื่อพร้อมแล้วเวลาประมาณนี้ โทรกลับหาผม นาย.... ที่เบอร์นี้นะครับ แบบนี้มันก็ Win Win กันสองฝ่ายไม่ใช่เหรอ จากคุณ : ธุลีดาว เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 13:34:02

ความคิดเห็นที่ 66 #60 ก็ไม่ต้องจ้างไงครับ ในเมื่อ Candidate ดูถูก HR และ HR ก็ดูถูก Candidate ว่าความสามารถไม่ถึง ก็คงร่วมงานกันไม่ได้ ก็จบที่แยกทางกันไปไม่ต้องร่วมงานกัน ก็แฟร์แล้วนี่ครับ ผมมองว่าอะไรก็ตามที่เป็นข้อตำหนิติติงมันเอาไปพัฒนาองค์กรและตัวเองได้ทั้งหมดครับ ไม่ว่าจะคำวิจารณ์ที่ HR มอบให้ Candidate ที่ไม่ผ่าน หรือคำวิจารณ์ที่ Candidate มีต่อ HR เรื่องแบบนี้มันควรจะจบที่แค่ไม่มีโอกาสร่วมงานกันครับ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปให้ความสำคัญกับเรื่องที่ว่าไม่ได้ร่วมงานกันเพราะ "HR ไม่ยอมรับ Candidate" หรือ "Candidate ไม่ยอมรับ HR" แล้วเอามาเป็นอารมณ์ถือแพ้ถือชนะถือศักดิ์ศรีกันว่าใครเป็นคนเตะใคร ผมว่ามันไม่มีสาระและดูไม่ค่อยเป็นมืออาชีพครับ จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 13:40:44

ความคิดเห็นที่ 67 อยากให้HRเปลี่ยนทัศนคติ ทำยังไงจะจับผิด ข้อเสียมีอะไรบ้าง เป็น ไอ้คนนี้มีอะไรที่บริษัทต้องการไหม เพราะMDอยากได้คนที่เหมาะกับงานนั้น ไม่ใช่คาแรกเตอร์อื่นไม่เหมาะ หรือHRคิดว่าไม่ชอบ ก็จะไม่เอา ตัวอย่าง คนทำกราฟฟิค งานPortfolio ควรจำเป็นสิ่งที่ค้นหา ไม่ใช่เกรดเฉลี่ย หรือการเปลี่ยนงาน ไม่รวมถึง พวกProfile Resumeดีพร้อม แต่บุคลิกไม่ใช่เซลล์ขายเลย แต่โดยตำแหน่งต้องการนักขายเก่งๆ ดันไปรับมาเป็นนักขายซะงั้น หรือต้องการฝ่ายIT แต่ไม่รับเพราะมันพูดไม่เก่งเลย ดูงงๆ แต่Profileบอกชัดว่ามันเก่ง จากคุณ : ยิ้มไว้เมื่อหุ้นลง เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 13:44:48

ความคิดเห็นที่ 68 ความคิดเห็นที่ 64 แอบไม่เห็นด้วยในข้อ 4 น่ะครับ เพราะว่าบางที HR ที่ขี้เก๊กและชอบกวนโอ๊ยตามสันดาลไม่ดีของตัวเอง แต่กลับหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่าเอาไว้ทดสอบเนี่ยมันเป็นข้ออ้างที่ค่อนข้างไร้เหตุผล คนหลายๆคนรวมทั้งผมก็จะตัดสินใจว่าควรจะทนกับอะไรและไม่ควรทนกับอะไร อย่างตอนเป็นเซล ถ้าเจอลูกค้าวีนใส่แบบค่อนข้างไร้เหตุผล แต่ลูกค้าดันเป็นลูกค้าชั้นดี รายใหญ่ ซื้อเยอะ กำไรงาม ยังไงก็ทนจนถึงที่สุด ก้มกราบงามๆจนลูกค้าใจเย็นแล้วค่อยคุยเหตุผลกันก็ได้ เพราะหน้าที่เซลอย่างนึงคือไว้รองรับอารมณ์ลูกค้าอยู่แล้ว (แม้จะไม่ได้มีระบุใน JD ก็ตาม) แต่ในทางกลับกัน HR ก็คือฝ่ายที่ต้องจัดหาบุคคลเข้ามาทำงานพร้อมทั้งอำนวยความสะดวกให้พนักงานได้พัฒนาฝีมือขึ้น มันก็เลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทนการกวนเส้นของ HR เพราะ HR ต้องอำนวยความสะดวกให้พนักงาน ไม่ใช่พนักงานต้องไปรองรับอารมณ์ HR แต่ถ้าหากการกวนเส้นมาจากหัวหน้างานในอนาคตที่จะทำการตัดสินใจว่าจะรับเราเป็นลูกน้องหรือไม่นั้น ถ้าหากมาจากสันดาล ผู้สมัครก็จะได้ตัดสินใจได้ง่ายว่าควรมาเป็นลูกน้องดีหรือไม่ หรืออย่างน้อยถ้าจะเป็นแค่การทดสอบผู้สมัครก็อาจจะได้พิจารณาว่าในเคสเลวร้ายสุดๆ จะสามารถรองรับอารมณ์หัวหน้าแบบนี้ได้หรือไม่ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นโลกนี้ก็อยู่ในปี 2012 แล้ว ไอ้วิธีทดสอบคร่ำครึ หลายๆอย่างก็น่าจะลดๆลงได้แล้วนะครับ เพราะทำงานบริษัทเดียวกันก็แปลว่าเป็นฝ่ายเดียวกัน แล้วจะมาหาเรื่องกันเองทำไม มันควรจะร่วมมือ พูดจาภาษาคนกันดีๆ มากกว่า จากคุณ : ธุลีดาว เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 13:49:12

ความคิดเห็นที่ 69 สุดท้ายก็เอาคนเก่งแต่ราคาถูก แล้วหลอกล่อสารพัดว่าจะปรับเงินให้มีสวัสดิการเทพ ฯลฯ จากคุณ : กบกินกะลา เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 14:06:01

ความคิดเห็นที่ 70 คห.50 ต้องการพิมพ์ว่า Contract ใช่ป่าวคับ ผมก็งง งง อะไรหว่า contact อิอิ ขออภัยที่ท้วงนะคับ แต่แอบงงอ่ะคับ ผมชอบ คห.ของคุณนะ ดูจริงใจดี อิอิ จากคุณ : treser[*_-] เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 14:07:07

ความคิดเห็นที่ 71 เอ  จะกลายเป็นกระทู้ ผู้สมัคร ปะทะ HR หรือเปล่าเนี้ย แหะๆ จากคุณ : narmjaja เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 14:33:49

ความคิดเห็นที่ 72 เคยเจอคำถามข้อ 2 เหมือนกันค่ะ ถามว่าทำไมทำงานที่ล่ะปี มันแสดงว่าคนสัมภาษณ์ไม่เตรียมตัวไม่อ่าน CV เรามาเลย ก็เห็นๆอยู่ พ.ศ. ที่จบตรีกับเรียนโทมันต่อกันนะเฟ่ย อ่านมั้งเถอะค่ะ สัมภาษณ์เราไปกด tablet ไป ต้องพูดซ้ำสองรอบ >"< จากคุณ : ล่องลอยในความฝัน เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 21:25:40

ความคิดเห็นที่ 73 เสริม   ผมคิดว่า HR มีหน้าที่ประกาศรับสมัคร  คัดกรองใบสมัครเบื้องต้น  ตรวจสอบเอกสาร ต่อรองเงินเดือนตามที่รับมอบหมาย แต่เรื่องที่จะให้ HR สัมภาษย์คนแล้วรับเข้าทำงานเลย  โดยไม่ผ่านแผนกที่จะไปเข้าทำงานนี่ไม่ได้หรอก นึกออกมั้ย ให้ HR สัมภาษย์คนทำงานฝ่ายขาย แต่ขณะเดียวกัน HR ก็ไม่เคยออกไปขายของอะไรเลย   ให้ HR สัมภาษย์วิศวกร  แต่ HR ไม่ได้ทำงานวิศวกรsale / engineer / product ถ้าตัวอย่างสุดโต่งให้ HR สัมภาษย์หมอ  แบบนี้ HR จะรู้เรื่องทางเทคนิคมั้ย อันนี้ต้องหมอด้วยกันเขาสัมภาษย์แล้วตัดสินออกมา สัมภาษย์มา 200 กว่าคน  เบื้องต้น HR คัดใบสมัครมาให้สัมภาษย์ และนัดวัน แต่ไม่ได้มีส่วนในการตัดสินอะไร  คนที่ตัดสินใจจริงคือผู้สัมภาย์ด้วยกัน คือคนในแผนกที่ต้องการคนนั่นแหละ  อย่างของผมก็มีกันอยู่ 3-4 คน มานั่งคุยกันว่าจะเลือกรับคนไหน   พอรับแล้วก็ให้ HR เรียกเข้ามาดำเนินงานด้านเอกสาร แค่นั้นจริงๆที่ HR ทำ   บริษัทที่ผมทำงานก็ธรรมดาทั่วๆไป งานก็งานทั่่วไป  คนเป็นด้วยกันมาสัมภาษย์  มันถึงจะรู้ว่าทำงานด้วยกันรอดมั้ย  แต่แปลกใจอยู่เหมือนกัน ใน Silom นี้ HR เป็นผู้ตัดสินชะตากรรม หลายๆอย่าง  ทั้งที่ HR ก็ไม่เคยทำเนื้องานนั้น จากคุณ : golfturbo (golfturbo) เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 21:55:44

ความคิดเห็นที่ 74 1.ตกตั้งแต่ profile คือไม่ภูมิใจในตัวเองเลย ว่าทำอะไรได้แค่ไหนอย่างไรบ้าง มาโล่งๆ ไม่มีอะไรสะดุดตาเลย(เนื้องานนะ) 2.profile ไม่ อัพเดท เช่นมี งานตัวอย่าง แต่มันกดดูอะไรไม่ได้สักอย่าง ก็ไม่รู้จะดูอะไร 3.เก่งเกินไป คือพวกที่รู้ทุกเรื่อง แต่ทำไม่เป็นสักเรื่อง 4.เรื่องโกหก หรือเก่งแต่โม้ ยังไงก็จับได้ครับ เพราะว่าถ้าเก่งจริง เวลาคุยกันภาษเหนือมนุษย์ จะรู้เลยว่ายังคุยกันรู้เรื่องอยู่มั้ย จากคุณ : ออกกำลัง เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 22:05:43

ความคิดเห็นที่ 75 แอบเห็นด้วยกับ คห.73 เบาๆ จากประสบการณ์สัมภาษณ์งาน 20 กว่าที่ได้ตั้งแต่จบมา ตั้งแต่บริษัทห้องแถวพนักงานสิบคน จนถึงบริษัทข้ามชาติระดับโลกใหญ่มากๆพนักงานมากกว่าแสนคน เท่าที่สังเกตบริษัทใหญ่ของไทยและญี่ปุ่นส่วนใหญ่ต้องผ่านด่านอรหันต์hrให้ได้ก่อนคับ ถึงจะมีสิทธิ์ได้ไปต่อ ไปพบกับบอสได้ครับ แต่บริษัทใหญ่ระดับโลกหลายแห่งเท่าที่ไปสัมภาษณ์มาผมได้ไปเจอกับบอสเลยครับ รอบเดียวจบรู้ผลเลยได้ไม่ได้ Hrไม่มีหน้าที่ในการสัมภาษณ์เลยครับ ทำได้แค่หาผู้สมัครไปให้สัมภาษณ์และเตรียมเรื่องการtestต่างๆเท่านั้นคับ จากประสบการณ์ส่วนตัวอันน้อยนิดนะคับแชร์ประสบการณ์ ไม่รู้แบบไหนดีกว่ากัน แต่คิดว่ามีทั้งข้อดีข้อเสียคับ แต่ผมชอบแบบที่สองมากกว่า เพราะบางที่hrไม่รู้ดีเทลหรือเข้าใจฟิลล์ของเรามากเท่าคนในวงการเดียวกันหรอกครับ บางทีก็อาจจับโม้ไม่ได้ แต่คนฟิลล์เดียวกันจะมองรู้ทันทีว่าไอ้นี่คือตัวจริงหรือป่าว เพราะหลายๆที่ผมก็จอดแค่ด่านแรกเนี่ยแหละคับ ทำให้บอสไม่มีโอกาสได้เจอผม และผมก็ไม่มีโอกาสในการพิชิตบอสได้เลยคับ และงานแรกที่ผมได้งานหลังจากสัมภาษณ์มาเยอะเจ็บมาเยอะ คือบริษัทใหญ่มากของไทยแห่งหนึ่งคับ ผมได้สัมภาษณ์รอบเดียวกับบอสผมโดยตรงเลยคับ แล้วเย็นนั้นก็แจ้งว่ารับผมเลย แถมเพิ่มเงินเดือนให้ผมมากว่าที่ผมexpectลงไปด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 55 22:56:38 แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 55 22:47:44 แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 55 22:45:59 แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 55 22:38:28 แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 55 22:37:18 จากคุณ : treser[*_-] เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 22:32:07

ความคิดเห็นที่ 76 #50 ใช่ครับ ติดคำนี้ใช้ผิดประจำเพราะชอบหนังเรื่อง contact มากๆ เขียนคำนี้ผิดบ่อยจริงๆและใช้บ่อยด้วย =.= แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 55 23:30:15 จากคุณ : โดราลิบ เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 23:29:41

ความคิดเห็นที่ 77 #73 เสริมอีกทีแล้วกันครับ ที่บอกว่า แต่แปลกใจอยู่เหมือนกัน ใน Silom นี้ HR เป็นผู้ตัดสินชะตากรรม หลายๆอย่าง  ทั้งที่ HR ก็ไม่เคยทำเนื้องานนั้น จากคุณ : golfturbo (golfturbo) --------- ที่เกิดการบ่นใน Silom เนี่ยเพราะว่า hr ก้าวก่ายงานมากเกินไปในการสัมภาษณ์ครับ จบใหม่เนี่ย ควรจะมี hr ครับ ประสบการณ์ทำงาน สอง สามที่ ควรจะมี hr อันนี้โอเค เหมาะสม ไม่เป็นไร แต่ถ้าแบบ ประสบการณ์ 6 ปีขึ้นไปแบบนี้ แทบจะเรียกได้ว่า ดูโปรไฟล์ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องไปนั่งในห้องเพื่อสัมภาษณ์ซ้ำก็ได้ (หรือแค่โทรคุยสัก 3-5 นาีทีก็ได้)   มันหงุดหงิด สำหรับคนที่มีประสบการณ์แล้ว แล้วยังต้องมาเจอเทสบ้าเทสบออีก บางครั้งเทสได้ 0 แต่อาจจะทำงานเข้ากับหัวหน้าได้ดี ทำงานเป็นก็ได้ ก็วันๆ ก.รูไม่ได้ทำข้อสอบเทสพวกนั้นทุกวันนี่หว่า - -" ข้อสอบเทสก็เหมาะสำหรับการ recruit คนในปริมาณมากๆ เพื่อคัดกรองซ้ำก่อนเข้าสัมภาษณ์ แต่ปัญหานี้ก็แก้ได้ ก็แค่ Recruiter พยายามฟันธงโปรไฟล์ของ candidate ให้ได้ จะได้ไม่ต้องเรียกมาเยอะ เอาเฉพาะคนที่โดนจริงๆเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง recruiter ทำแบบนี้ไม่ได้เสมอไปเพราะ คนพวกนี้ "ราคาค่าจ้างแพงมากครับ" ก็เลยต้องมีการกระจายให้มีคนมาสมัครเยอะขึ้น , แจ้ง requirement ให้ยืดหยุ่น คนจะได้แห่เข้ามาสมัคร แล้วแทนที่จะได้คนที่มีฝีมือดี ก็โดนขวางด้วยระบบวัดทัศนคติ จาก hr ที่ไม่เป็นมืออาชีพ คนห้องนี้ถึงได้บ่นกันมากไงครับ จริงๆผมว่าคนที่เล่นห้องนี้ส่วนใหญ่ (ส่วนใหญ่นะ) เป็นพนักงานที่มีทัศนคติ ได้เปรียบกว่าคนทำงานทั่วไปที่ไม่เล่นเว็บบอร์ดอยู่เหมือนกันครับ เราต้องเข้าใจธรรมชาติของ hr ครับโดยเฉพาะ recruiter "ผลงานของเค้าคือเอาคนเข้าองค์กรที่มีคุณภาพที่สุด แต่จ่ายค่าจ้างให้น้อยที่สุด"  พวกเราถึงได้หงุดหงิดกับ hr กันมากมายนี่แหละครับ พูดภาษาชาวบ้านจากที่ผมพิมพ์มายาวยืดก็คือ "เมิงจะเก่งแค่ไหน ก.รูจะล้อมคอกเมิ.งให้ไม่เก่งๆๆๆๆ จะได้มีช่องทางในการกดเงินเดือนให้น้อยๆ" เมื่อเค้าทำได้สำเร็จ คนก็มีอยู่ในองค์กรไว้แก้ปัญหา เงินก็จ่ายน้อย ผลงานชัดๆครับ จากคุณ : sillygang เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 23:51:27

ความคิดเห็นที่ 78 ไปสัมภาษณ์มาล่าสุดแถวลาดกระบัง โทรมาเรียกไปสัมภาษณ์วันรุ่งขึ้นทันที เราก็ไม่ได้เตรียมตัวเพราะยังวุ่นวายอยู่ที่ รพ. แต่หลักฐานพร้อมก็ลุยเลยครับ ตอนคุยกับคนนัดสัมภาษณ์ก็โอเคมากๆ ถามอะไรมา ตอบได้หมด เล่าทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องเรียน เรื่องงานที่เก่า เกือบชั่วโมง ต้องการหัวหน้าแบบไหน บลาๆ เหมือนคุยกันเองอะครับ ก็ยิ้ม หัวเราะ ตลอดช่วงเวลาที่สัมภาษณ์ หลังจากที่สัมภาษณ์เสร็จเข้าอยากให้คุยกับผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่มาบ่าย เราก็โอเคเดียวแต่เนื่องจากติดนัดที่ รพ. เลยขอจัดการที่ รพ.ก่อน ทาง HR ก็โอเคบอกว่าถ้าเสร็จแล้วโทรหาพี่เลยนะ เชื่อไหมครับพอทำธุระเสร็จขับรถไปอีก 30 กว่าโล เพื่อไปนั่งให้ Manager ทำหน้าแบบดูถูก ถามแบบวิชาการเหมือนเราจบใหม่ เรื่องงานไม่ได้ถามอะไรเลย ประวัิติการทำงานก็ไม่ถาม ดูเกรด ดูวิชา แล้วทำหน้าแบบว่าเซงๆ อะไรประมาณนี้ ก็ทำใจตั้งแต่ขับรถออกจาก รง. ละว่าไม่รอดแน่ๆ มานั่งให้เขาทำหน้าดูถูกซะอย่างงั้น เซงตัวเองกันเลยทีเดียว จากคุณ : Sotuska เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 55 00:50:14

ความคิดเห็นที่ 79 แปลกดีนะครับ ผมเองก็เป็น Recruit และ บางครั้งก็กลายเป็นผู้ถูกสัมภาษณ์ด้วย ผมเองก็มีประสบการณ์ทำงานมาในระดับหนึ่ง เวลาไปสัมภาษณ์ที่ไหนผมยังต้องนั่งทำ Test ของเขาอยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทข้ามชาติ หรือ ไทยแท้ ๆ ไม่ว่าตำแหน่งที่ผมสมัครจะเป็นตำแหน่งระดับไหนก็แล้วแต่นะครับ กระทั่งสมัครตำแหน่ง Manager ก็ยังต้องไปนั่งทำเทส บางครั้งผมก็รู้สึกว่า ไอ้เทสที่นั่งทำอยู่เนี่ย มันเกี่ยวกะตูมั้ยเนี่ย ผมสมัคร HR นะ ให้ผมทำเรื่อง Marketing, บวกเลข, ตรรกศาสตร์ อะไรพวกนี้อยู่นั่น แต่ผมก็ทำนะเพราะมันไม่ได้ยากเย็นอะไร หรือครั้งนึง เป็นบริษัทสายเรือใหญ่สุดในโลก ผมเจอข้อสอบตรรกกะ + attitude test 60 ข้อมั้ง เป็นภาษาอังกฤษ และ ให้ทำให้เสร็จภายในเวลา 20 นาที...แค่อ่านตูก็หมดเวลาแล้ววุ้ย แต่ก็ทำแต่โดยดี เคยแม้กระทั่งผมไปสมัคร HR แต่ Operator ให้ข้อสอบ Marketing มานั่งทำซะงั้น เล่นถามผมว่า บริษัทนี้มีส่วนแบ่งการตลาดเท่าไหร่...ผมอ่านแล้วก็อึ้ง ๆ ตูจะรู้มั้ยฟะ...อะไรทำนองนี้แหละครับ ดังนั้น ผมว่านะครับ ไอ้พวกเทสทั้งหลายเนี่ย ทำ ๆ ไปเถอะครับ มันไม่ได้ยากเย็น ไม่ได้ลำบาก ไอ้การที่คิดว่า ข้อสอบเหล่านี้เสียเวลา หาประโยชน์ไม่ได้ ไม่รู้จะทำไปทำไม ดูถูกกันชัด ๆ คุณแน่ใจหรือเปล่าว่า มันเป็นอย่างที่คุณคิดจริง ๆ บางคนมีความสามารถ มีประสบการณ์ในการทำงาน นะครับ แต่ Attitude Test ออกมาได้ต่ำมาก ไม่รู้ว่าไม่ตั้งใจทำ หรือกาส่ง ๆ โดยไ่ม่ได้อ่าน มันก็บอกได้หลายอย่างครับ หรือ บางคนเทสออกมาแล้ว ตกข้อสอบทางด้าน Logic ก็อาจจะแสดงว่าเขาไม่มีกระบวนการคิดที่ดีพอ แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาอาจจะช่วยเขาไว้ได้ในระดับนึง อะไรแบบนี้แหละครับ พวกเรา HR Recruit เนี่ยครับ บางคนก็อาจจะเป็นคนที่มีหน้าที่ Screen, โทรนัด แล้วส่งต่อให้ Line Manager ตำแหน่งนั้น ๆ สัมภาษณ์ต่อไป ซึ่งมันก็มีคนที่ไม่เข้าใจตัวองค์กร, ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตำแหน่งที่เขาหาอยู่ หรือ อาจจะไม่เข้าใจเนื้อหางานในเชิงลึกอย่างดีพอ แต่ HR Recruit เนี่ยครับ มีบทบาทหน้าที่สำคัญต่อองค์กร เช่น เรื่องเงินเดือน, เรื่องเอกสารก่อนที่จะทำสัญญาจ้าง เช่นพวกตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงาน เอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้่อง หรือ แม้แต่สัญญาจ้าง มันแล้วแต่บริษัทไหนจะตั้งหรือกำหนดบทบาทหน้าที่ของ Recruit ว่าต้องทำถึงระดับไหนบ้างน่ะนะครับ อย่างผมเอง ผมต้องทำตั้งแต่ Screen ใบสมัคร จนกระทั่งทำสัญญาจ้างพนักงานกันเลยทีเดียว ในบางตำแหน่ง ผมสามารถตัดสินใจจ้างได้เองเลยด้วยซ้ำ ในบริษัทบางแห่ง แผนกอื่นจะจ้างพนักงานยังต้องโทรถาม HR เลยครับว่า candidate ขอเงินเดือนขนาดนี้มา พอจะจ้างได้ไหม? HR ไม่ใช้ผู้ตัดสินชะตาครับ แต่เป็นผู้กำหนดกรอบ กฎเกณฑ์ และ ระเบียบขององค์กร เพื่อเสนอแนวทางนั้นให้กับผู้มีอำนาจ และ พยายามทำให้องค์กรเดินไปในทางระเีบียบที่ถูกกำหนดขึ้นโดยผู้มีอำนาจที่นั้นครับ จากคุณ : chang_kung เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 55 08:49:25

ความคิดเห็นที่ 80 พูดแต่ความจริง เอาความสามารถที่มีออกมาโชว์ แค่นี้คงไม่ลำบากยากเย็นมากนัก จากคุณ : nottp เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 55 09:01:40

ความคิดเห็นที่ 81 HRบริษัทผม ชอบดูเกรด ถ้าคนไหนต่ำกว่า2.5 ผจกHRจะถามเลยว่า ทำไมโง่........................ จากคุณ : ขนมจีนแม่แต๋วอร่อยมาก เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 55 09:42:10

ความคิดเห็นที่ 82 ไม่ค่อย อิน กับ HR เท่าไหร่ แต่สำหรับผม การเปลี่ยนงานคือการหาสิ่งที่ดีกว่าให้ชีวิต ทั้งรายได้ สวัสดิการ ความมั่นคง ถ้าเค้าถามว่าทำไมเปลี่ยนงานบ่อยก็ตอบตามจริงในเชิงบวก เข้าไว้ ถ้าไม่ได้ก็ทำที่เดิมไปชิวๆ แต่ได้ที่ใหม่ก็จบ !!! จากคุณ : ไม่ใช่คน Gen Y (queer) เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 55 10:06:11

ความคิดเห็นที่ 83 ร้อนตัวนิดหน่อย ขอเพิ่มแล้วกันนะครับ เรื่องที่ทำเทส ผมไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีนะ แต่แค่บอกว่า คนที่เค้าหงุดหงิดกับ hr recruit ก็เพราะเค้าอยากคุยกับหัวหน้างานของเค้าโดยเร็ว ถ้าถูกใจก้ทำงานร่วมกัน เค้าคิดแค่นี้ก็จบ แต่ hr มาตีกรอบนู่นนี่นั่นต่างๆให้เค้า ทำให้เค้าหงุดหงิดวิธีการของ hr นั่นก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งของการหงุดหงิด hr นี่แหละครับ ผมคิดแทนคนอื่นที่เค้าหงุดหงิดอยู่ ว่าทำไมเค้าถึงหงุดหงิด hr นะ ส่วนตัวผมเองเฉยๆกับเทสครับ จากคุณ : sillygang เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 55 12:51:35

ความคิดเห็นที่ 84 2. ทำงานไม่ถึงปีแล้วออกจากงานเก่า/ย้ายงานบ่อย/ออกจากงานเก่าเพราะต้องการหาประสบการณ์ ------ สงสัยว่าถ้าพนักงานลาออกจากที่เดิม เพราะเจอปัญหาเจ้านายลามก หัวงู  เวลาไปสมัครที่ใหม่แล้วเจอ HR ถามว่าทำไมออกจากที่เดิม คุณๆ HR~ ทั้งหลายจะยอมรับได้ไหมหากผู้สมัครคนนี้จะเล่าตามความจริง และผู้สมัครคนนี้จะถูก HR หมายหัวไว้หรือเปล่าว่าใส่ร้ายบริษัทเดิม ------- แค่สงสัยนะ จากคุณ : สโนว์ไวท์แทะมะขวิดแล้วสลบ เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 55 13:56:23

ความคิดเห็นที่ 85 ตอนจบใหม่ ๆ สมัครตัวแทนฝ่ายขาย บริษัทแรก ตอนเรียนในมหาลัยมีเพื่อนสนิทกี่คน ผมตอบไม่มี (ไม่ผ่าน เพื่อนมาบอกทีหลัง มาสมัครตัวแทนฝ่ายขาย ไม่รู้จัก ไม่มีเพื่อนสนิทซักคนจะทำได้ตำแหน่งนี้ไม่ได้ มนุษยสัมพันธ์ไม่สัมพันธ์กับตำแหน่ง บริษัทที่ 2 ลูกไก่กินน้ำวันละกี่ลิตร หรือ กี่ ซี ซี ผมตอบว่า จำไม่ได้ครับ (จบมาได้ไงวะ ? กรรมการสัมภาษณ์อุทาน ) สุดท้ายไม่รับ สุดท้าย ผมก็ไม่ได้ทำงานบริษัทมาจนถึงเดี๋ยวนี้ จากคุณ : ครูตู้ (ครูตู้) เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 55 14:18:01

ความคิดเห็นที่ 86 ผมเองก็เคยเจอหลายคนไม่ยอมทำเทสครับ ตอนสัมภาษณ์ผมก็เลยเอาคำถามในเทสนันแหละถาม ผลปรากฎว่า candidate ตอบไม่ได้ครับ...ถึงได้รู้ที่ไม่ยอมทำ เพราะเขาตอบไม่ได้นี่เอง...เหอ ๆ จากคุณ : chang_kung เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 55 17:09:32

ความคิดเห็นที่ 87 ถ้ามองโดยรวมทั้งผู้สมัครและผู้สัีมภาษณ์ก็มีทั้งดีและไม่ดีเช่นกัน ใครเจอมาแบบไหนก็จะฝังใจไปแบบนั้น ต่างคนต่างความคิดนะคะ ถ้าแต่ละฝ่ายทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ให้เกียรติกันและกัน ใจเขาใจเรา แบบนี้ได้ก็คงดีนะคะ จากคุณ : minimezz เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 55 20:14:36

ความคิดเห็นที่ 88 เป็น HR จำเป็นครับ #67 "ตัวอย่าง คนทำกราฟฟิค งานPortfolio ควรจำเป็นสิ่งที่ค้นหา ไม่ใช่เกรดเฉลี่ย หรือการเปลี่ยนงาน ............... หรือต้องการฝ่ายIT แต่ไม่รับเพราะมันพูดไม่เก่งเลย ดูงงๆ แต่Profileบอกชัดว่ามันเก่ง" ถ้าจบใหม่ก็ดูเกรดเฉลี่ยครับ เพราะมันแสดงถึงความรับผิดชอบในชีวิต ไม่ใช่ว่า ฉันไม่ชอบ ฉันก็จะไม่ทำ เกรดเลยออกมาน้อย หรือถ้าเปลี่ยนงานปล่อย ๆ งานที่รับมากยังไม่เสร็จดีจะออกซะแล้ว 2 เรื่องนี้ บริษัทที่รับเข้าไปทำงานเดือดร้อนครับ หรือฝ่าย IT ถ้าอย่างเป็น support / programmer(บริษัทเล็ก-กลาง) ก็ต้องคุยอยู่แล้ว  เก่งแต่คุยไม่รู้เรื่อง เรื่องง่าย ๆ ก็กลายเป็นเรื่องยากได้ และถ้าต้อง support ลูกค้าก็เรื่องใหญ่เลยครับ *********************** เรื่องเปลี่ยนงาน เคยเจอคนหนึ่งอายุงาน 15 ปีไง แต่เปลี่ยนงานมาแล้ว 40 ที่ได้ ผมเจอ ก็ขอผ่านแหละครับ จากคุณ : MAX เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 11:29:15

ความคิดเห็นที่ 89 ไม่ได้เข้ามาอ่านหลายวัน ตกใจมากที่ได้เป็นกระทู้แนะนำ และมีคนอภิปรายเยอะขนาดนี้ โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าทั้งบริษัท และ ผู้สมัครมีสิทธิ์เลือกทั้งคู่ ผ่านกระบวนการสัมภาษณ์ ถ้าบริษัทสัมภาษณ์แล้วไม่ชอบเค้าก็มีสิทธิ์ไม่รับ แม้ว่าคุณจะเชื่อว่าคุณมีดีมากกว่านั้น ซึ่งถ้าเป็นผม ผมมีดีอะไรผมก็คงทำให้เค้ารู้ตั้งแต่สัมภาษณ์ ผู้สมัครก็มีสิทธิ์เลือกบริษัทเช่นกัน เพราะในกระบวนการสัมภาษณ์คุณมีสิทธิ์ได้เจอนายโดยตรงในอนาคต หรือบางครั้งก็เป็นนายใหญ่ของบริษัทเลย ถ้าคุณสัมภาษณ์ในตำแหน่งสูง ถ้าคุณคิดว่าไม่ได้อยากได้คนแบบนั้นเป็นหัวหน้าคุณ คุณก็มีสิทธิ์ปฏิเสธ ดังนั้นถ้าคุณโดนดูถูกดูแคลนคุณก็ไม่เห็นต้องสนใจอะไรถ้าคุณเป็นผู้มีทางเลือก ก็แค่ไปทำที่อื่นแทน เจตนาของกระทู้นี้ก็แค่เสนอแนะวิธีขั้นต้นให้ผู้สมัคร "ไม่ตกม้าตาย" ในเรื่องง่ายๆ อย่างเรื่องย้ายงานบ่อย หรืองานที่ก่อนหน้ามีปัญหา หลายๆ คนก็เลือกที่จะไม่เขียนลงใน CV หรือ Resume เท่านั้นปัญหาก็จบแล้ว แต่ถ้าหากว่าคุณไม่เคยทำที่ไหนเกิน 3 เดือนเลยมาเป็นปีแล้ว สิ่งนี้แหละที่จะทำให้คุณหางานยากเพราะการกระทำของคุณเอง ปล ผมเชื่อว่า HR ที่มีประสบการณ์มากพอ ดูออกนะว่าผู้สมัครคนไหนแกล้งทำตัวโลกสวย และในบางสถานการณ์การทำตัวโลกสวยเกินไปก็เป็นเหตุให้ไม่ได้งานเหมือนกัน จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 12:46:12

ความคิดเห็นที่ 90 คคห.84  ขอใช้สิทธิ์อภิปรายขอคำแนะนำเจ้าคะ จขกท จากคุณ : สโนว์ไวท์แทะมะขวิดแล้วสลบ เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 13:14:03

ความคิดเห็นที่ 91 บริษัทดิฉันใช้วิธีเดียวกันกับ #73 ค่ะ คือ HR เป็นแค่ผู้คัดกรอง ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือตัดสินใจเลือกผู้ถูกสัมภาษณ์ เพียงแต่จะให้ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะกับผู้จัดการ/หัวหน้างาน ฝ่ายนั้นๆ (ที่กำลังรับสมัครงานอยู่) ที่ได้ทำการสัมภาษณ์ร่วมกัน ส่วนผลสรุปขึ้นกับความเป็นเอกฉันท์ของผู้จัดการ หัวหน้างาน นั้นๆค่ะ จากคุณ : Rainbow Obsidian เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 15:00:38

ความคิดเห็นที่ 92 ขอเสริมอีกอย่างนะค่ะ สำหรับดิฉัน คห ส่วนตัว บริษัทไหนที่รับพนักงานแล้วเขียนว่า เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าเท่านั่้นเท่านี้ อันนี้คห ส่วนตัวคิดว่าวัดไม่ได้ทั้งหมด เวลาสัมภาษณ์น้อง ดิฉันแทบไม่ได้สนใจเกรดของน้องเลยแม้แต่นิด เกรดดีหรือไม่ดี ไม่สามารถวัดอะไรได้ทั้งหมดว่า น้องจะเป็นคนที่ทำงานได้ดี เข้ากับผู้อื่นได้ มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่เหมาะสม ที่เหมาะกับงานหรือไม่ การเข้าไปทำงานก็เหมือนกับการซื้อหวยแหละคะ ได้ที่ที่เหมาะกับเราก็โชคดีไป ส่วนใครที่ได้แบบตรงกันข้าม ก็มีสองทางอะค่ะ ทนทำไป หรือไม่ก็อยู่แล้วออก เท่านี้จริงๆ ไม่มีที่ไหนที่ดีที่สุด มีแค่ที่ที่ แย่มาก หรือแย่น้อย เท่านั้น จากคุณ : punro937 เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 21:59:38

ความคิดเห็นที่ 93 ขอโทษค่ะโพสผิดกระทู้ แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 55 22:31:38 จากคุณ : Dear My Fay เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 22:08:17

ความคิดเห็นที่ 94 ตอนนี้ก็กำลังรับสมัคร หาคนทำกราฟฟิค กับ ธุรการ มาเจอกระทู้นี้พอดี เลยอ่าน ๆ เก็บประสบการณ์ ว่าจะทำไงดีกับคนที่จะมาสมัคร แต่มีเรื่องมาเล่า เวลาไปติดต่องานตาม ออฟฟิศต่าง ๆ แล้วมีคนสมัครงาน ที่แรก ประมาณบ่ายสามโมงเย็น ผมนั่งรอพบเจ้าหน้าที่อยู่ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ ของ บริษัทแห่งหนึ่ง มีผู้หญิงหน้าตาดี แต่งตัวดี เดินเข้ามา เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เอ่ยปากถาม ด้วยน้ำเสียงหวาน มาติดต่อใครค่ะ  คนที่เดินเข้ามาตอบทันที ดิฉันมาสมัครงานค่ะ  แค่นั้นแหละ ประชาสัมพันธ์ เสียงหวาน เปลี่ยนไปเป็นอีกคน "นี่คุณ" คุณมาสมัครงานกันตอนกี่โมงเนี่ย คุณมาเอาป่านนี้ แล้วใครเค้าจะรอคุณหล่ะค๊ะ กลับไปก่อนนะค๊ะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ พรุ่งนี้ ก่อน 9 โมงเช้า! น้ำเสียงแบบ ดูถูกสุด ๆ   คนที่มาสมัครงาน แต่งตัวดี หน้าตาดี ตอนนี้ หน้าเสียเลย เดินดุ่ม ๆ ออกไป ผมว่าเค้าคงไม่กล้ามาสมัครอีกแล้วหล่ะมั็งครับ ที่ที่สอง ระหว่างนั่งรอพบ เจ้าหน้าที่ บริเวณส่วนประชาสัมพันธ์ มีโทรศัพท์มาสอบถาม ประชาสัมพันธ์รับสาย แล้วได้ยินประมาณว่า คุณจะมาสมัครงานแต่มาไม่ถูก เหรอค๊ะ ทำไมไม่ดูแผนที่ในเวปไซด์ของ บริษัท เราหล่ะค๊ะ ยังไม่พอถามเสียงในสายถามต่ออีกว่า ต้องเตรียมเอกสารอะไรมาบ้าง ประชาสัมพันธ์ ตอบทันที "นี่คุณ" คุณไม่ได้อ่านเลยเหรอค๊ะ ว่าเค้าบอกให้เตรียมอะไรมาบ้าง ทีหลัง ควรอ่านรายละเอียดให้ครบถ้วนก่อน หลังจากวางสาย ประชาสัมพันธ์ ก็นั่งเม้าส์กับเพื่อน ต่อ ประมาณว่า เด็กพวกนี้ ไม่รู้จักเตรียมอะไรเลย โทรมาถามแบบนี้กันทั้งวัน แล้วก็ทั้งวันจริง ๆ เพราะระหว่างที่นั่ง ก็มีคนโทรมาถามแบบนี้เยอะมาก ประชาสัมพันธ์ เค้าก็ตอบแบบ เหียก ๆ กลับไปทุกสาย จากคุณ : EAK099 เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 00:17:33

ความคิดเห็นที่ 95 บอกตามตรงผมไม่ชอบบริษัทที่ตีความคำตอบตามตำรา ใช้ pattern เดียวตัดสินว่าคนที่ตอบแบบนี้แปลว่าเป็นคนแบบนี้แบบนั้น แล้วตัดสินว่าผ่านไม่ผ่าน ถ้าผมเป็นเจ้าของกิจการแล้ว HR ผมคัดด้วย pattern แบบนี้เนี่ยผมว่าก็ไม่ได้คนที่ต้องการจริงๆมาง่ายๆหรอก  โดยเฉพาะข้อ 1 ถ้ามันเป็นจริงทำไมถึงเกิดเหตุแบบความคิดเห็นที่ 34 ได้ล่ะ ได้เห็นได้ฟังประสบการณ์สัมภาษณ์งานมาจากหลายๆคนจนหลังๆผมชักรู้สึกแล้วว่ามันไม่ใช่คุยแต่มันก็การมาอวดไม่ก็มาเถียงกัน  (เถียงจริงๆนะ ในความหมายที่ว่าทำให้ตัวเองข่มอีกฝ่ายให้ได้) ยังดีที่ชีวิตนี้เจอแบบเจ้าของมาคุยเองมากกว่าผ่าน HR ปล. ขอถาม ความคิดเห็นที่ 44 คุณ golfturbo หน่อยครับว่าเรื่องความสามรถพิเศษอย่างในกรณีที่ยกตัวอย่างนั้นมันตัดสินคนตอบยังไงได้บ้างเหรอครับ (อันนี้ถามจริงๆนะครับ ไม่ได้ประชด) คือผมสงสัยว่าถ้าความสามารถพิเศษไม่เกี่ยวกับงานจะต้องตัดทิ้งแบบนั้นเลยเหรอ จากคุณ : พระจันทร์กับฉันและตู้เย็น เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 10:03:49

ความคิดเห็นที่ 96 ------ สงสัยว่าถ้าพนักงานลาออกจากที่เดิม เพราะเจอปัญหาเจ้านายลามก หัวงู  เวลาไปสมัครที่ใหม่แล้วเจอ HR ถามว่าทำไมออกจากที่เดิม คุณๆ HR~ ทั้งหลายจะยอมรับได้ไหมหากผู้สมัครคนนี้จะเล่าตามความจริง และผู้สมัครคนนี้จะถูก HR หมายหัวไว้หรือเปล่าว่าใส่ร้ายบริษัทเดิม ------- แค่สงสัยนะ จากคุณ : สโนว์ไวท์แทะมะขวิดแล้วสลบ ********************************* Sexual Harassment เป็นเหตุผลที่รับได้อยู่แล้วครับถ้าคุณเป็นผู้ถูกกระทำโดยตรง เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์อาจจะสนใจคือคุณแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไงมากกว่า เช่น แจ้งความ แจ้งหัวหน้า HR แจ้งนายใหญ่ แต่ในทางกลับกันสิ่งที่ผมเคยเจอผู้สมัครเล่าเรื่องทำนองนี้ให้ฟังประมาณว่า ไม่ชอบบริษัทเก่า เพราะบริษัทเก่ามั่วกันมากมาย ผู้จัดการมีเมียอยู่แล้วก็ยังเอาเลขาเป็นเมียน้อย  รุ่นพี่ผู้หญิงเอาตัวเข้าแลกเพื่อขอเลื่อนขั้น บลาๆๆ โดยส่วนตัวผมว่ามันเยอะไป และเป็นเรื่องของคนอื่น ซึ่งบางครั้งก็แค่เป็นข่าวลือที่ไม่ใช่เรื่องจริง จึงไม่เห็นความจำเป็นใดๆ ที่ต้องพูดทำลายชื่อเสียงบริษัทเดิมให้ผู้สัมภาษณ์ฟัง จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 10:06:58

ความคิดเห็นที่ 97 มาสายค่ะ ไม่ผ่านแน่ๆ จากคุณ : ฉันรักและดูแลตัวเอง เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 11:00:57

ความคิดเห็นที่ 98 เห็นด้วยกับข้อ1ข้อเดียว ที่เหลือไม่เห็นจะเกี่ยว ส่วนไอ้ข้อดี/ข้อเสียของตัวเองนั้น สมัยนี้เค้าไม่ถามกันแล้ว เพราะถามไปไม่มีใครบอกข้อเสียของตัวเอง (คำถามมันเชย) สมัยนี้เค้าต้องถามว่า "คุณคิดยังไงกับบริษัทเรา" ส่วนรูป ไม่เกี่ยวเลยซักนิด เพราะคง ไม่มีใครบ้าเอารูปถ่ายสมัครงานมาชูสองนิ้ว แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 11:35:39 จากคุณ : SAIMไท เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 11:26:54

ความคิดเห็นที่ 99 ขอกลับมาเล่าเรื่องขำๆ ที่ได้คุยกับ Hr อีกทีครับ นั่งอ่านแล้วนึกถึง 2 เคส ที่ไม่ได้งาน ที่แรก เป็น บริษัท Leasing เจ้าใหญ่ของรถญี่ปุ่นขายดีที่สุดในประเทศ เผอิญที่นี่ ผมได้คุยกับหัวหน้างานก่อนคุยกับ HR เนื่องจากว่า HR มีธุระด่วน ซึ่งหัวหน้างาน เค้ารับผมแน่นอน  แต่ว่า HR ไม่เอา HR:  สมมติ นะครับ หากว่าเรารับคุณเข้าทำงานแล้ว ในอนาคต มีบริษัทอื่น มาเสนองานให้คุณเงินเดือนสูงกว่าที่นี่ หลายเท่าตัว คุณจะไปมั้ย ผม(โหมด โลกสวย): ที่นี เป็นบริษัทระดับท็อป สวัสดิการดี และงานที่ผมสมัคร ก็เป็นงานในด้านการเงินที่ผมอยากเรียนรู้เพิ่มเติม เสริมประสบการณ์ ครับ ที่สำคัญ ใกล้บ้านผมมาก สะดวกในการเดินทาง ในระยะ 3-5 ปี ผมคงไม่ไปไหน  Hr: อืม แล้วอย่างนี้แสดงว่า ก็จะไปในอนาคตสิ คุณไม่มีความรักในองค์กร หรือคิดว่าที่จะเติบโตไปกับองค์กรนี้หรือ ผม (โหมด ชักจะตอบตรงละ)  ในเรื่องงาน ผมคงต้องดู career path ด้วยครับเพราะว่าในระยะเวลานั้น อายุเริ่มเติบโตขึ้น ก็อยากได้ความมั่นคง การงานที่เติบโตขึ้น คงไม่เป็นแบบทำงานเหมือน Admin ไปตลอด 10-20 ปี หากเป็นอย่างนั้น ผมอาจจะเป็นต้นไม้ที่ตายในองค์กร ซึ่งผมคงไม่ยอมก็ต้องหาความท้าทาย ใหม่ๆไป HR : สรุปว่า หากที่อื่นเสนอเงินเดือนให้เยอะเป็นหลายเท่าคุณก็จะไปใช่มั้ย ผม (โหมด กวนตีน)   คุณ HR ครับ  หากเป็นคุณๆ จะไปหรือเปล่า คุณอายุก็ประมาณ 50 แล้ว แน่นอน ภาระครอบครัว ลูก การใช้จ่ายก็เยอะขึ้น หากมีที่อื่นหรือ Head hunter มาเสนองานให้คุณเป็นเงินเดือนหลายเท่า คุณจะไปหรือเปล่าครับ HR : ผมถามคุณ ผม   การสัมภาษณ์งานคือการแลกเปลี่ยนทัศนคติ ครับ ผมก็แค่อยากได้คำตอบจากคุณ เพราะผมก็ตอบไปแล้ว นิครับว่าทัศนคติในการจะเปล่ยนงานเป็นยังไง คราวนี้ ผมอยากรู้จากคุณ HR บ้างครับถือว่าแลกเปลี่ยนกัน   สรุปไม่ได้ เพราะว่า HR หาว่าผมกวนตีนเค้า จริงๆ ยังมีหลายคำถามแบบเค้าถามเครียดๆ แต่ผมตอบไปยิ้มไป ชิวๆ  ที่ผมรู้ เพราะว่าคนที่เป็นหัวหน้างานเค้ามาสัมภาษณ์พร้อมผู้ช่วยเค้า ผุ้ช่วยเค้าดันเป็นลูกพี่ลูกน้อง กับ รุ่นน้องสนิทผมที่มหาลัย เค้ามาเล่าให้ฟังทีหลังว่า หัวหน้างานชอบผมมากเพราะว่าคุยเรื่องงานไอเดียดี มีวิธีการจัดการปัญหานอกกรอบ  แต่ว่าองค์กร ญี่ปุ่นนี้ การได้งานขึ้นกับ Hr 555  อีกที่นึก ธนาคารแห่งนึง ระดับ 1ใน 5 ของประเทศ  ตอนนั้ันน้ำมันเริ่มจะราคา 20-25 บาทแล้ว HR  สมมติว่า น้ำมัน ราคา 40-50  คุณคิดว่ารถจะหายติดมั้ย  ผม   รถติดเหมือนเดิมครับ   HR   ทำไมละ ผม   ต่อให้น้ำมันจะแพง แต่ผมเชื่อว่า ยังติด เพราะในกทม ระบบขนส่งไม่ดี การเดินทางโดยรถเมล์ไม่สะดวก  (เผอิญตอนนั้นมีข่าว คนตกรถเมล์ตาย เพราะรถเมล์ซิ่ง) และ่ ระดับมนุษย์เงินเดือนผมเชื่อว่า พอจะจ่ายค่าน้ำมันขับรถได้เพื่อความสะดวกในการเดินทางได้ โดยไปยอมลดค่าใช้จ่ายด้านอื่นแทนก่อน แต่หากน้ำมันแพงในระยะเวลานาน ก็อาจจะลดการขับรถลง แต่ยังไงรถก็ติดอยู่ดีเพราะว่ากทม รถเยอะกว่า ถนน Hr   (สรุปแกฟันธงว่ารถไม่ติดแน่) มันต้องไม่ติดสิ ทำไมคุณถึงว่ามันจะติด ผม    งั้นผมถามหน่อยสิครับ ทางคุณ HR ถึงคิดว่าทำไมรถไม่ติดละครับลองแลกเปลี่ยนความเห็นกันดู HR   เงียบ ผม   ตอนสมัยม ปลายเรียนสายวิทย์ หรือ สายศิลป์ครับ HR   คนนึงเรียนวิทย์ คนนึงเรียนศิลป์ ผม   วิชาวิทยาศาสตร์ หากเราสงสัยอะไร เราต้องตั้งสมมติฐาน คราวนี้เรื่องน้ำมันแพงรถติด       เมื่อตั้งสมติฐาน เราก็ต้องหาเหตุผล ติดตาม วิเคราะห์สรุปใช่มั้ยครับ       ผมก็ตั้ังสมติฐานแล้วว่า รถจะยังคงติดอยู ตามเหตุผลที่ให้ ซึ่งต่อจากนี้คงต้องติดตามวิเคราะห์      หากมันยังติดก็แสดงว่า สมมติฐานผมถูก ก้อาจใช้เป็นข้อสรุปหรือว่าต้องเพิ่มเติมก็ว่ากันไป แต่หากว่าผิด ผมก็ต้องไปแก้ไขสมมติฐาน ติดตาม สรุปให้ได้ใหม่      แต่หากว่ายืนยันว่าไม่ติด ก็ต้องให้สมมติฐานกับผม  HR  เงียบ  สรุปไม่ได้งานครับ เจอโลกสวย  ไม่ผ่านตั้งแต่ด่านแรก 555 และตอนนี้น้ำมันก็ 40-50 บาทแล้วรถก็ติดวายป่วง เหมือนเดิม      ไปได้งานกับธนาคาร ระดับ 1ใน 3 โดยได้คุยกับ รองกรรมการธนาคารโดยตรง ผมอาจจะตรงๆครับ แต่ทำงานก็เต็มที่ เอาผลงาน  แต่ยอมรับว่าเวลาเจอ Hr แล้วค่อนข้างเบื่อหน่ยเพราะอยู่ในกรอบ คิด เก่าๆ  คุณกำลังทำงานกับคน GEN y GEn z คุณต้องปรับตัวเข้้าหาด้วยครับ ไม่ใช่ว่า ให้คนยุคนี้ปรับตัวเข้า้หาคุณอย่างเดี่ยว แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 11:48:16 จากคุณ : +--NPV--+ เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 11:44:53

ความคิดเห็นที่ 100 #98 ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะมีคนบ้าเอารูปชู 2 นิ้วมาสมัครเหมือนกัน ข้อมูลของผู้สมัครผมเอามาเผยแพร่ไม่ได้ แต่ถ้าคุณอยากเห็นจริงๆ ว่ามีเยอะแค่ไหน ลองไปสมัครเว็บสมัครงานในฐานะบริษัทดูสิครับ (เสียเงินนะ) แล้วคุณก็จะได้เห็นเอง :D #99 การปรับตัวเข้าหากันเป็นสิ่งที่ถูกครับ แต่บางครั้งเราก็ต้องมีแก่นที่ต้องรักษาไว้ ไม่ใช่ทำตัวเป็นของเหลวไหลไปตามกระแสของการเวลาทั้งหมด การที่แก่นของ 2 สิ่งไม่สามารถเข้ากันได้ ก็แปลว่ามันไม่ได้ถูกสร้างเพื่อให้เป็นสิ่งคู่กัน ให้เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนเรื่องทำสีผม ครั้งหนึ่งเคยเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในการสมัครงาน แต่สมัยนี้ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้เพราะเกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย แต่ในทางกลับกันคนที่เจาะจมูก และลิ้น ทำผมทรงโมฮอร์ค ไปสัมภาษณ์งานก็คงไม่สามารถสมัครตำแหน่งผู้จัดการธนาคารได้ไม่ว่าเค้าจะเป็นคนเก่งแค่ไหน ที่เค้าไม่ผ่านไม่ได้เป็นเพราะธนาคารโลกสวย หรือว่ามีแนวคิดเก่าคร่ำครึ แต่เป็นเพราะแก่นความเป็นตัวตนของเค้ากับธนาคารคงไปด้วยกันไม่ได้ อธิบายอย่างนี้น่าจะเห็นภาพได้ไม่ยากนะครับ จากคุณ : น้ำค้างในยามเช้า เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 12:57:11

ความคิดเห็นที่ 101 สำหรับสายงานผม(ออกแบบ)นะ ผมให้ข้อแรกข้อเดียว ข้อ 2 ผมว่างานสมัยนี้ที่เอาเปรียบลูกจ้างมีเยอะ การทนอยู่ผมไม่ถือว่าอดทน แต่ผมถือว่าคนแบบนี้ไม่รู้จักรักษาสิทธิ์ของตัวเอง ยอมให้คนอื่นเอาเปรียบ ถ้าเรามั่นใจในความสามารถของตัวเอง เราต้องเป็นคนเลือกงาน ส่นข้อ 3 นี่ สายนี้ ถ่ายรูปยิ่งแนวเจ้านายยิ่งชอบ เค้าถือว่า มีดีไซน์ ยกเว้นออฟฟิศใหญ่ๆที่เจ้านายค่อนข้างมีอายุนะ 55+ จากคุณ : cheeint เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 16:24:02

ความคิดเห็นที่ 102 @ความเห็น 100 การปรับตัวมันก็ต้องปรับสองฝ่ายครับ การยกตัวอย่างของคุณ ว่าผมโมฮอก เจาะลิ้น อย่างนี้ก็เกินไปครับ แต่เท่าที่ผมอ่านมา คุณยังค่อนข้างเป็น HR หัวเก่า อยู่ครับ การตั้งกระทู้ของคุณ เหมือนเป็นกรอบเก่าๆ ที่คร่ำครึครับ  ที่ผมจะบอกคือว่าตอนนี้ คุณน่าจะเจอคน GEN Y GEN Z ในตลาดแรงงานเยอะมาก พวกแรงๆ ก็ปล่อยไปเถอะครับ แต่ว่าพวกที่เป็นตัวของตั้วเอง มีความคิด แต่เท่าที่ผมเจอผมว่าความคิดเค้ากล้านอกกรอบ การแก้ไขปัญหา นี่เก่งกว่ารุ่นเก่าครับ แต่ติดกับ กรอบความคิดแบบเดิมๆของคนอายุมาก ทำให้ไม่สามารถแสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่ นั่นจะเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมเค้าย้ายงานบ่อย จะว่าไปผมก็เป็นหนึ่งในนั้นซะด้วยสิ แต่ผมโชคดีว่าการสัมภาษณ์เจอคนที่ถามงาน ถามไอเดีย มากกว่าถามในกรอบความคิดแบบครำ่ครึ แล้วก็มาบอกว่าคัดคนให้เหมาะกับองค์กร อย่างที่สุดท้ายนี่ หัวหน้ารับผมเข้ามา ผลตอบแทนคือรางวัล ที่ได้จากชนะเลิศจาก ตลท 2ปีติดปีแรกได้แค่ชมเชยเพราะมาทำช่วงกลางการประเมินไปแล้ว เพราะผมบอกหัวหน้าว่า หากผมทำ รูปแบบเดิมๆ ผมขอเปลี่ยน ผมขอให้ใช้ไอเดียผม หากว่า ห่วย ผิดพลาด ผมพร้อมรับผิดชอบ เอง โชคดีหัวหน้าเปิดให้เต็มที่ ซึ่งเรื่องนี้ไปถาม Hr เค้าคงไม่กล้าหรอกครับ หากhr ยังยึดกับกรอบเก่าๆ ไม่ปรับให้ยืดหยุ่น อีกไม่นาน บริษัทก็จะล้มครับ เพราะคนรุ่นใหม่ จะไม่ได้ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนเยอะเหมือนแต่ก่อน แต่พยายามทำงานของตนเอง มากกว่า คุณต้องอลุ่มอร่วยมากกว่าเดิม  จริงๆผมก็ Gen Y นะ 55  จะว่าไป ผมเคย comment MD ในที่ประชุมว่า พูดจาไม่ให้เกียรติ คน ดูถูก พนักงาน พูดจาหยาบคาย ผมถามคุณหน่อยสิ หากเป็นคุณ โดน คุณจะยังไง   แต่เด็ก GEN Y Gen Z เค้าคงว่ากลับไปครับว่าพูดจาให้ดีหน่อย พวกสุดโต่ง ก็คงมีปากแตกไปข้าง แต่HR อย่างคุณอาจจะบอกว่า เด็กก้าวร้าว ไม่เคารพผุ้ใหญ่แทนหรือเปล่า เรื่องรูปถ่าย ชูสองนิ้ว แอบแบ๋ว จะว่าไปตอนผมออกจากที่สุดท้าย ผมขอหัวหน้าว่า ผมขอหาคนมาให้นะ ก็เจอเรื่องรูปชูสองนิ้ว แอ๊บ เยอะ จะว่าไปเป็นในรุ่นใหม่เยอะจริง เคยลองมาเรียกมาคุยด้วย ถามเหตุผลว่าทำไมต้องถ่ายแบบนี้   เค้าบอกว่ารู้ว่าไม่เป็นทางการ แต่ต้องการให้สะดุดในการเห็น Resume ผมก็ว่าจริงซะด้วย เพราะผมต้องเรียกมาคุยก่อนเลย เวลาสัมภาษณ์ ผมชอบถาม Case ว่าคุณเจอคุณจะทำยังไง มีไอเดียเสนอยังไงมากกว่า หากติดแต่รูปภาพ ผมอาจจะหาคนที่ทำงานได้  คุณว่า คุณสะดุดพวกรูปพวกนี้แล้วจะเรียกมาคุย หรือว่าจะทิ้งResume ลงถังขยะครับ อีกคำถามคำ จากความเห็นผม@ 99 หากคุณเป็นคนสัมภาษณ์ผม 2 เคส   คุณจะให้ผมผ่านด่านไปคุยกับผุ้บริหาร หรือว่าไม่สนใจผมครับ เคสแรก หัวหน้างาน เอา แต่ HR ไม่เอา เคสสอง จะให้ผมผ่านด่านไปคุยกับหัวหน้างานหรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 18:23:27 แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 17:42:18 จากคุณ : +--NPV--+ เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 17:36:52

ความคิดเห็นที่ 103 เราได้งานเพราะ โทอิก อะจ่ะ จากคุณ : hydrophobia เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 18:08:48

ความคิดเห็นที่ 104 #94 เราก็เห็นด้วยนะ walk-in นี่ เคยไปเฉพาะบ.ที่เค้าประกาศเปิดให้ walk-in interview แต่ จนท ประชาสัมพันธ์ก็ไม่ควรไปไล่เค้าแบบนั้น เค้าก็คนเนอะ ก็รับไว้แล้วจะติดต่อเรียกสัมภาษณ์อีกที ก็ได้ อีกที่ เราว่าเขาก็ทำถูกล่ะ ไปสมัครงานต้องทำการบ้านมาก่อน มันไม่ใช่เรื่องยากเลยเนอะ แล้ว hr เขาก็ชอบพวกที่เตรียมตัวมาดีด้วย แต่ก็ควรพูดดีๆแหละ จากคุณ : pastelcolor (pastelcolor) เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 21:49:28

ความคิดเห็นที่ 105 มาทักทายเสี่ยโย จากคุณ : จิ้งจอกสาวฝึกหัด เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 14:11:05

ความคิดเห็นที่ 106 ผมคงเป็น HR ที่แปลกๆ หรือเปล่าไม่รู้นะครับ ถ้าคนไหนผมสนใจผมจะติดต่อกลับสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ก่อนเบื้อง ต้น ถ้าจะโอเค ผมจะถามว่ามี skype ไหม ถ้ามีจะได้ไม่เสียเวลาเดินทางเราจะสัมภาษณ์คุณทาง skype เขาเข้ามาสัมภาษณ์ย่อมมีความหวัง พอเราบอกว่า "แล้วทางเราจะติดต่อไป" เขาก็รู้แล้วแหละว่า เขาต้องผิดหวังแล้ว ยังเสียค่ารถ ค่าน้ำมัน จิปาถะ บ้างคนไม่ดูคุณสมบัติในใบสัมครให้ดีก่อนก็เรียกเขามาพอเจอหน้าเดินมาสะกิดเราบอกว่าคนนี้ตูไม่เอาอะ คิดในใจแล้ว เรียกเขาทำความรู้จักบิดา...สูหรอ? เจ็บใครแทนเพราะเคยเป็นนักถูกสัมภาษณ์มาก่อน มาให้กำลังใจครับ น้อง Gen Y ผมก็ Gen Y แก่ๆคนนึง อีกไม่นานผมอาจจะถูกสัมภาษณ์อีกเหมือนกัน อิอิ จากคุณ : maskru เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 19:07:00

ความคิดเห็นที่ 107 การสัมภาษณ์งานครั้งแรก ทำให้ท้อแท้ใจมาก เพราะสมัครไปหลายที่ มีบีริษัทนี้ที่เรียกที่เดียว เตรียมตัวแบบไม่ได้หลับได้นอนเลย ทั้งฝึกภาษาอังกฤษ บุคลิก ประวัติบริษัท นัด 10 โมงครึ่งไปถึง 8 โมงครึ่ง ก็เข้าไปรายงานตัวว่ามาถึงก่อนเพราะไม่นึกว่ารถจะติด พี่แผนกต้อนรับดีมาก บอกไปหาไรกินก่อนก็ได้ เสร็จแล้วก็มานั่งรอคนสัมภาษณ์เป็นหัวหน้างานเลย ตอน 11 โมง ระหว่างรอก็ทบทวน ตรวจสอบตัวเอง พอได้เรียกไปสัมภาษณ์ปุ๊ป หัวหน้างานที่มาสัมภาษณ์มองประวัติ พลิกไปพลิกมาและพูดว่า "ผมต้องขอโทษด้วย แต่ผมไม่สามารถรับคุณเข้าทำงานได้ คุณเพิ่งจบใหม่ ยังไม่มีประสบการณ์ และอีกอย่างพนักงานที่นี่ เขาจบจากเมืองนอกทั้งนั้นนะ ไม่ก็เคยใช้ชีวิตที่เมืองนอกมาก่อน" อึ้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ก็ที่ประกาศไว้บอกว่าไม่มีประสบการณ์ก็ได้อ่ะ   แล้วภาษาอังกฤษ รู้ได้ไง สัมภาษณ์ยังไม่ได้สัมภาษณ์เลย ถามให้เราแนะนำตัวไม่มี คือเรามั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษนะว่าพูดได้ แต่มาตัดโอกาสกันเลย เพราะเราไม่ได้จบนอก ตอนนี้ยังท้อแท้ใจอยู่เลย แก้ไขเมื่อ 17 มิ.ย. 55 11:50:11 จากคุณ : Yimlamun เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 11:49:09