|
เจอกระทู้นี้แล้วทำให้ย้อนมองชีวิตตัวเอง .....
พ่อเราทำงานรัฐวิสาหกิจค่ะ ส่วนแม่เป็นช่างตัดเสื้อ
ตอนเด็กๆ จำได้ว่า พ่อกับแม่บอกเสมอว่าเราเป็นคนจน จะใช้เงินอะไรต้องระวัง
ขนมแยมโรล ..... แม่บอกว่า เป็นขนมคนรวย แม่ซื้อหางแยมโรลที่ร้านเบเกอรี่เค้าตัดขายเป็นถุงๆ ให้กินแทน
แอปเปิ้ล ..... เมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว หายากและราคาแพง แม่ซื้อส้มบางมดให้กินแทน โลละไม่กี่ตังค์
(สมัยนี้ส้มกลับแพง แอปเปิ้ลกลับถูกซะงั้น แม่เห็น แม่ยังขำๆ เลย ^^)
แต่เพราะพ่อทำงานรัฐวิสาหกิจเลยเบิกค่าเทอมได้ เราเลยได้เรียนโรงเรียนคอนแวนต์ เพราะไม่ต้องจ่ายค่าเทอมเอง
แต่จะใช้จ่ายอะไรก็ต้องเจียมตัว เพราะรู้ว่า บ้านเราไม่มีตังค์
..... พอขึ้นมัธยม แม่เริ่มขยับขยายทำธุรกิจรับเย็บเสื้อผ้าส่งออก มีลูกน้องเป็นสิบๆ ฐานะที่บ้านเริ่มดีขึ้น
พ่อกับแม่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องเรียนและสังคมของลูก ส่งเราเรียนจบในมหาวิทยาลัยเอกชนดีๆ
ใกล้เรียนจบ ช่วงฟองสบู่แตก ธุรกิจที่บ้านเริ่มมีปัญหา แม่โดนโกง สุดท้ายโรงงานเล็กๆ ของบ้านเราต้องปิดตัวลง
พร้อมกับหนี้สินจำนวนหนึ่ง แต่ที่บ้านก็ให้กำลังใจกันว่า เรากำลังจะเรียนจบแล้ว หมดห่วงแล้วล่ะ
..... เรียนจบป.ตรี ได้ 3 เดือน พ่อเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ..... นาทีนั้นช็อคโลกเลยค่ะ
ค่าใช้จ่ายภายในบ้านทุกสิ่งอย่างเราต้องรับผิดชอบเองพร้อมกับหนี้สินของที่บ้าน
หนี้สินที่พ่อกับแม่พยายามส่งเราเรียนให้ดีที่สุดเท่าที่พ่อกับแม่จะทำได้
เงินเดือนเด็กจบใหม่ 8,000 บาท กับภาระที่มีและด้วยอายุเพียง 20 ปี ณ ตอนนั้น .....
แม่เริ่มกลับมารับจ้างเย็บผ้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้ทำเป็นธุรกิจ เพราะไม่มีเงินลงทุนและไม่มีเรี่ยวแรง
เงินเกษียณของพ่อ เมื่อพ่อเสียชีวิตก็เอาไปใช้หนี้ของที่บ้าน
แต่ยังไม่หมด ยังติดอยู่ประมาณสี่แสน คือ ค่าผ่อนบ้านที่เราอยู่กับทางธนาคาร
ตอนนั้น คือ เข้าไปเจรจาประนอมหนี้กับแบงค์เลยค่ะ ว่าเราไม่มีพ่อแล้ว มีแต่เราที่เงินเดือน 8,000 บาท
ทางธนาคารปรับโครงสร้างหนี้ให้ผ่อนเดือนละ 3,000 บาท
บวกกับเงินที่แม่รับจ้างเย็บผ้าอีกนิดหน่อย และเราเองชอบงานฝีมือ หลังเลิกงานตอนกลางคืนนั่งร้อยกระเป๋าลูกปัด
แล้วฝากพี่ๆ ที่เป็นเซลล์ในบริษัทเอาไปขาย บางคืนนอนตี 1-2 เพราะมีออเดอร์กระเป๋า
จำได้ว่า เคยนั่งร้อยกระเป๋าทั้งน้ำตา แต่ก็ต้องอดทน ไม่ใช่เงินซื้อของฟุ่มเฟือยเลยซักนิด เสื้อผ้าแม่ตัดให้ใส่ตลอด
ไม่เที่ยว ไม่ช้อปปิ้ง ชีวิตตอนนั้นสุดๆ เลย จนผ่านไปสองปี เพื่อน รุ่นพี่ที่เรียนด้วยกันแนะนำให้ทำงานที่ใหม่
เงินเดือนมากกว่าที่เดิมสองเท่า ชีวิตเริ่มดีขึ้น แต่เราก็ยังคงทำงานพิเศษเหมือนเดิม
คราวนี้ไม่ได้ขายกระเป๋าลูกปัดแล้วค่ะ ทำคุกกี้ ทำเค้กขาย เพราะแถวออฟฟิศช่วงกลางวันมี่ตลาดนัด
เราก็เลยทำขนมช่วงกลางคืนหลังเลิกงาน แล้วหิ้วใส่ถุง พอพักกลางวันก็ไปเช่าที่เล็กๆ ไม่กี่สิบบาทขายขนมเค้ก
ด้วยความชอบส่วนตัวด้วย ได้ตังค์ด้วย ก็เลยสนุก ข้าวปลามื้อเที่ยงไม่ได้กิน หุ่นดีเชียวตอนนั้น ^^
พอมีตังค์เก็บ คราวนี้เรียนต่อ ป.โท ด้วยเงินตัวเองค่ะ กัดฟัน อดทนไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนเรียนจบ
คราวนี้ได้งานใหม่ เงินเดือนประมาณ 25,000 บาท เลยให้แม่หยุดเย็บผ้า เพราะสายตาแม่ไม่ดีและเริ่มปวดหลัง
จำได้ว่า พอให้แม่หยุดเย็บผ้า เราให้เงินเดือนแม่เดือนละ 10,000 บาทเป็นเงินส่วนตัวของแม่
ส่วนภาระหนี้สินของที่บ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าของใช้ในบ้าน ค่าซื้อกับข้าว เรายังรับผิดชอบเหมือนเดิม
..... จากประสบการณ์การทำงาน และวุฒิ ป.โท ที่เรามี รวมถึงคอนเนคชั่น สังคมเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน
สุดท้าย เราขยับมาเป็นผู้จัดการด้วยอายุไม่ถึง 30 ปี และรับงานฟรีแลนซ์ทางด้านบัญชี เพราะจบมาทางนี้
เงินเดือนเพิ่ม เลยเพิ่มเงินเดือนใหม้แม่ด้วยค่ะ ทุกวันนี้ให้แม่เดือนละ 20,000 บาทเป็นระบบเหมาจ่าย
คือ แม่รับผิดชอบเรื่องของใช้ในบ้านและค่าอาหาร ส่วนเราเคลียร์หนี้บ้านแม่กับธนาคารหมดแล้ว
และเก็บเงินซื้อรถเล็กๆ เป็นของตัวเองไม่มีภาระหนี้สินแล้ว .....
สถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ..... แม่แฮปปี้ มีความสุขดี ส่วนตัวเราเองก็กำลังเรียนต่อ ป.เอก
พร้อมกับสร้างหนี้มาอีกก้อนใหญ่ๆ คือ ซื้อบ้านเป็นของตัวเอง เหลือส่งธนาคารอีกประมาณสามล้านบาท
..... หนี้เก่าเคลียร์หมด และมีหนี้ใหม่เพิ่มขึ้น แต่สินทรัพย์ก็เพิ่มขึ้นด้วย
สิบกว่าปีที่ผ่านมา ..... เดินผ่านอะไรมาเยอะเลยค่ะ ซึ่งเราก็คิดว่า เราภูมิใจกับทุกสิ่งที่เราผ่านมาได้
วางแผนในอนาคตไว้ว่า ถ้าเราเคลียร์หนี้บ้านของเราหมดแล้ว ก็คงเรียนจบ ป.เอกแล้ว
น่าจะใช้ชีวิตพอเพียง ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก น่าจะทำงานแบบพอมีพอกิน
และถ่ายทอดความรู้หรือทำประโยชน์ต่อสังคมให้ได้มากกว่านี้ ..... ที่คิดเอาไว้เป็นแบบนี้นะคะ ^^
จากคุณ |
:
chicken demon
|
เขียนเมื่อ |
:
1 ก.ค. 55 20:20:19
|
|
|
|
|