 |
"วีนาชิน" ที่มีแรงงานอยู่ในสังกัดมากกว่า 60,000 คน ดูแลกิจการต่อเรือและท่าเรือ 28 แห่งทั่วประเทศ แตกธุรกิจของตนเองออกไปมากมายเกือบ 300 ยูนิต ตั้งแต่กิจการผลิตจักรยานยนต์ไปจนถึงกิจการโรงแรม ด้วยเงินกู้ 1,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2007
ทุกอย่างดูเหมือนน่าพอใจ วีนาชิน กำลังพยายามก้าวตามรอยเท้าของ "คองโกลโมเรต" ที่ประสบความสำเร็จมหาศาลของเกาหลีใต้ได้-อย่างน้อยก็ในรูปแบบแล้ว
ผู้ผลักดันเรื่องนี้อย่างสุดตัว ไม่ใช่ใคร นายกรัฐมนตรี เหวียน เติน สุง นั่นเอง
แต่พอถึงปี 2010 ทางการตรวจสอบพบว่า วีนาชิน มีปัญหา บัญชีของบริษัทผ่านการตกแต่ง เพื่อซุกซ่อนหนี้มหาศาลเอาไว้ รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่แห่งนี้เกือบล้มทั้งยืนเพราะหนี้สินมหาศาล 4,400 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเกือบ 5 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีของประเทศ
วีนาชิน "เบี้ยวหนี้" 400 ล้านดอลลาร์ ที่กู้ยืมมาจาก เครดิตสวิส จนกลายเป็นปัญหาต่อเนื่อง เหวียน เติน สุง ถูกกดดันหนักจนต้องประกาศขออภัยกลางสภา หลังผ่านการ "วิพากษ์" ยาวนานและเจ็บปวด
สุดท้าย "แพะรับบาป" ก็ถูกค้นหาจนพบ ผู้บริหาร 8 คน ถูกจับกุมและตัดสินลงโทษหนักเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่ตัวปัญหาจริงๆ กลับถูกกวาดซุกไว้ใต้พรม!
แทนที่จะตระหนักว่า "ระบบและโครงสร้าง" กำลังมีปัญหา รัฐบาลเวียดนามยังเดินหน้าต่อไปกับหลายๆ อย่างที่ถูกปั้นแต่งขึ้นอย่างครึ่งๆ กลางๆ ของตนเอง
คำถามที่สำคัญในเวลานี้ก็คือ แล้วเวียดนามแตกต่างอย่างไรกับจีน? ทำไมเล่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงสามารถต่อยอดความรุ่งเรืองได้ทศวรรษแล้วทศวรรษเล่า?
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ว่า เกิดอะไรขึ้นในเวียดนาม แต่อยู่ที่ว่า มีอะไรบ้าง "ไม่ได้เกิดขึ้น" ในเวียดนาม
ข้อเท็จจริงก็คือ การปฏิรูปเศรษฐกิจในเวียดนาม ยังคง "สุกๆ ดิบๆ"
แม้จะเปิดเสรี แต่การแข่งขันที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการแข่งขันบนพื้นฐานที่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง ที่น่าสนใจก็คือ ในขณะที่จีนให้ความสำคัญกับนักธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกชนจากต่างประเทศ แลกเปลี่ยนและเรียนรู้จุดด้อยจุดแข็งซึ่งกันและกัน พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
โดยเฉพาะประดา "อีลิท" ทั้งหลายยังหวาดระแวงจนถึงระดับ "พารานอยด์" กับนักลงทุนต่างชาติ
ในขณะที่จีนพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้เกิดการแข่งขันขึ้นในตลาดของตนเอง โอบรับเอานักธุรกิจเอกชนเข้ามาร่วมในกระบวนการปฏิรูปเศรษฐกิจ ปรับปรุงธรรมาภิบาลภาครัฐและเอกชนให้ดีขึ้น แปรรูปรัฐวิสาหกิจมากกว่า 90,000 แห่ง รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 1998-2005
เวียดนามยังคงมะงุมมะงาหราอยู่กับการควานหาวิธีการปรับแก้เศรษฐกิจของตนเองว่าจะทำได้อย่างไร โดยไม่จำเป็นต้องปล่อยวางอำนาจในทางการเมือง
อำนาจที่ไม่ว่าอย่างไร พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามไม่มีวันยอมละวางเป็นอันขาด
จากคุณ |
:
Anemone2526
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ก.ค. 55 08:32:55
|
|
|
|
 |