ความคิดเห็นที่ 1 ถ้ารักงาน เพื่อนร่วมงานดี เงินเดือนที่ขึ้นดี ไม่ไกลบ้าน มีอนาคต ก็พอไหวนะท่าน แต่ไกด์ก็เข้าใจนะ การทำงาน 5 วันกับ 6 วัน ต่างกันเยอะ จากคุณ : ไกด์ไม่เก่า (ไกด์ไม่เก่า) เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 09:40:32

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณนะคะคุณไกด์ไม่เก่า แต่เงื่อนไขหลักที่เลือกบริษัทนี้คือ ทำงาน 5 วันค่ะ การทำงาน 6 วันนี่มันแทบจะไม่เหลือความบันเทิงอะไรในชีวิตเลยนะคะ อยากมีเวลาให้ครอบครัวค่ะ จะออกก้อเสียดายงานที่กำลังรุ่ง แต่ให้เสียสละความสุขในชีวิต ก้อคงทำไม่ได้ กลุ้มค่ะ จากคุณ : Auguri เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 09:46:23

ความคิดเห็นที่ 3 ก็ต้องต่อรองกับองค์กรครับ จริงการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ต้องได้รับการยินยอมจากลูกจ้างก่อนถึงจะทำได้ครับ แต่ปัยหาคือคนในบริษัทคุณไม่ยินยอมเยอะไหมละครับ แล้วนายจ้างมีเหตุผลอย่างไรถึงต้องทำงาน 6 วันละครับ เป็นผมจะต้องไปคุยถึงสาเหตุก่อนแล้วละ ถ้ามันสำคัญต่องค์กร ยังไงเค้าก็ต้องเปลี่ยน ก็อยู่ที่คุณแล้วละว่าจะทำยังไง แต่ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดถ้าคุณจะออกต้องได้รับเงินชดเชยเหมือนการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมนะครับ เพราะบริษัทเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างโดยลูกจ้างไม่ยินยอม แต่รอผู้รู้ท่านอื่น ๆ มาตอบเพิ่มเติมละกันครับอันนี้ผมไม่แน่ใจ แต่ผมคิดว่ามันเข้าเกณฑ์การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมนะครับถ้า จขกท ต้องลาออกโดยเหตุผลการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง จากคุณ : et009 เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 09:46:31

ความคิดเห็นที่ 4 การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว หากนายจ้างกำหนดเอาเพียงฝ่ายเดียว ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง โดยไม่เป็นธรรม เนื่องจากสภาพการจ้างลดลง การจัดการดังกล่าวในแง่กฎหมาย สามารถทำได้แต่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างทุกคน ผมเน้นคำว่าทุกคน หากสมมุติว่า ทั้งบริษัทมี 100 คน มีคนยอมทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์อยู่ 99 คน แต่อีก 1 คนไม่ยอม นายจ้างก็ไม่สามารถเปลี่ยนสภาพการจ้างนั้นได้ครับ ดังนั้น ในส่วนของการจัดการ ผมขอให้ทำความเข้าใจกับลูกจ้างให้ดี ชี้แจงกันให้เข้าใจว่าทำไมต้องดำเนินการเช่นนี้ และสื่งสำคัญที่อยากแนะนำคือ เราจะเอาอะไรจากเขาไป เราต้องให้เขากลับคืนด้วย ตามแนวคิด Give & Take พูดง่ายๆคือ เราไปเอาเวลาทุกวันเสาร์ของเขามา แล้วเราให้อะไรลูกจ้างกลับคืนไปบ้าง ต้องคำนึงจุดนี้ด้วยครับ จากคุณ : Chalk_HR เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 10:12:56

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณคุณ et009 ค่ะ บริษัทให้เหตุผลว่า กำลังขยายธุรกิจเลยให้ทำงานเพิ่มค่ะ แต่จริงๆไม่คิดว่าเป็นเพราเหตุผลนี้นะคะ ปี 54 บริษัทโดนฟ้องเพราะให้ทำงาน 8.00 -18.30 น.(9.5 ชม./วัน ไม่รวมเวลาพัก)เป็นเวลา 5 วัน จ-ศ (47.5 ชั่วโมง/สัปห์ดา) เนื่องจากกม.แรงงานกำหนดให้ทำงานได้ไม่เกิน 8 ชม.ต่อวัน หรือ 48 ชม.ต่อสัปดาห์ บริษัทจึงต้องปรับลดชั่วโมงการทำงานเป็น 8.00-17.00 น. ทำงาน จ-ศ เกือบทุกแผนก และ ทำงาน จ-ส อยู่ 1 แผนก บริษัทปรับเงินเดือนเพิ่มให้ 13%( เงินเดือนปัจจุบัน/30 วัน x 4 วันเสาร์) โดยให้พนง.เซ็นยินยอมเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างจาก 5 วันเป็น 6 วัน ซึ่งคนในแผนกยินยอมกันทุกคน ส่วนคนที่รับไม่ได้ก็ทำต่อไปจนหางานใหม่ได้และลาออกไปเอง ปีนี้บริษัทคงเห็นว่าพนง.ที่ทำงาน 5 วันยังไม่ครบ 48 ชม.ตามกฏหมายกำหนด จึงปรับเปลี่ยนให้ทำครบ 48 ชม./สัปดาห์ค่ะ จากคุณ : Auguri เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 10:13:45

ความคิดเห็นที่ 6 ก็ต้องไปถาม HR ล่ะครับ ว่าปรับแบบนี้ได้รับความยินยอมหรือยัง ถ้ายินยอม มีลายลักษณ์อักษรมั้ย หรือลองรวมตัวกันถามเพื่อนๆ ร่วมงานก็ได้ ว่ายินยอมกันหรือไม่ สมมุติว่าสัก 80% ที่ยินยอม คุณก็อาจต้องลองๆ หางานใหม่ดูก็ดีกว่า เพราะหากคุณยืนกรานไม่ยอม คุณคงอึดอัดใจแย่ จากคุณ : freestyler เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 10:19:32

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณคุณ Chalk_HR ค่ะ บริษัทปรับเงินเดือนให้ค่ะ แต่ไม่มีประโยชน์ เนื่องจากตามความเป็นจริงชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น ก็จำเป็นจะต้องได้รับค่าตอบแทนในส่วนนั้น และถ้าหากยินยอมที่จะรับเงื่อนไขการทำงาน 6 วันตั้งแต่แรก ก็คงจะเลือกบริษัทที่ทำงาน 6 วัน สิ่งที่หายไปในการทำงาน 6 วันมันมากมายมหาศาล แค่เวลาที่ให้ครอบครัวก็มีค่าเกินกว่าที่เงินจะซื้อได้แล้วค่ะ ไหนจะวันหยุดประจำที่ลดหายไป เช่น ถ้าตรงกับวันเสาร์ถึงจะได้หยุด ในขณะที่คนทั่วไปอาจจะได้ชดเชยในวันจันทร์ หรือต้องมาลาพักร้อนในวันเสาร์ ซึ่งลาพักร้อนก็มีแค่ 6 วัน ห้ามลาในวัน ศุกร์ จันทร์(ห้ามลาวันเสาร์ สำหรับคนที่ทำงานวันเสาร์ด้วยค่ะ)และวันที่ติดกับเทศกาล ทุกวันนี้ยอมรับกฏระเบียบพวกนี้ได้ เพราะรักในงานที่ทำ ยอมไม่ลา ไม่เที่ยวกับเพื่อนๆ กับครอบครัว งานกำลังไปได้สวย มาเจอเรื่องแบบนี้ หดหู่และท้อแท้มากๆค่ะ จากคุณ : Auguri เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 10:26:35

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณคุณ freestyler ค่ะ พนง.99% ในแผนกเลยค่ะที่ยินยอม เพราะพวกเค้าเป็นพนง.เก่าที่อายุมากแล้ว(40 ขึ้นไป) ทำงานมานาน ไม่มีปากไม่มีเสียง จบไม่สูง เป็นพนง.ระดับไม่สูงนัก หางานใหม่ยาก ยอมรับสภาพไป ส่วนพนง.ใหม่ที่เพิ่งเข้ามา บริษัทให้เซ็นสัญญาทำงาน 6 วันอยู่แล้ว ตัดปัญหาไปได้ แต่เราซึ่งเป็น พนง.กลางเก่า กลางใหม่ ทำงานมาเกือบ 2 ปี อายุ 30 ต้นๆ จริงๆเนื้องานเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับแผนกที่โดนปรับมาเป็น 6 วันเท่าไหร่ มีห้องส่วนตัว ทำงานแยกกันอย่างชัดเจน แต่ชื่อไปอยู่ในแผนกนั้น ณ เวลานี้มีเพียง 2 แผนกเท่านั้นที่ปรับมาทำ 6 วันค่ะ ในบริษัทยังมีแผนกอื่นๆเช่น บัญชี ดีไซเนอร์ ไอที เอ็กพอร์ต..ฯลฯที่ยังคงทำงาน 5 วัน แต่ในอนาคตอาจจะถูกปรับเป็น 6 วันรึเปล่าก็ไม่รู้นะคะ จากคุณ : Auguri เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 10:35:26

ความคิดเห็นที่ 9 13% น้อยไปครับ อย่างของผมเมื่อก่อนก็มีบังคับทำ 6 วันช่วงนึงตอนลงสาขา เงินเดือน+20% แต่ของผมเป็น 5+1 1ที่เพิ่มมาคือทำงานวันหยุด แต่พอทำไปทำมา ไอ้ 20% นี่มันตัวทรมาณมาก จะหยุดยาวก็ไม่ได้ ลาวันเสาร์ก็ไม่ได้(เพราะเป็นวันหยุดอยู่แล้ว) สุขภาพจิตป่วยหลังจากเห็นเพื่อนโพสเฟซบุคว่า"วันศุกร์แล้วว้อย!!!" จริงๆ 20% คือเท่าทุนนะถ้าเทียบกับค่าจ้างหารเดือน แต่ถ้าเทียบมูลค่าทางใจถือว่าน้อยมาก ถ้าได้ซัก 30% ค่อยน่าสน อาจจะทำใจได้ เพราะผมเคยทิ้ง 20% ราวๆ 8 พันไว้นอนเล่นกลิ้งไปมาที่ห้องวันเสาร์มาแล้ว จากคุณ : ผมเสียโสดให้หญิงร้าย เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:31:31

ความคิดเห็นที่ 10 คิดเหมือนคุณ ผมเสียโสดให้หญิงร้าย เลยค่ะ 13% ได้เพิ่มมา 6 พันกว่าบาท แต่เทียบกันสิ่งทมี่เสียไป ไม่คุ้มเลยแม้แต่น้อย เสียใจนะคะ ที่ต้องมีจุดจบแบบนี้ จากคุณ : Auguri เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:48:42

ความคิดเห็นที่ 11 13% ผมว่าไม่คุ้ม แต่ถ้าคุณยืนกรานไม่เอาแน่ๆ คุณก็อึดอัด แต่บริษัทก็ต้องให้คุณเอาให้ได้ จากที่อ่านมาคุณเหลือตัวเลือก 1. ยอมทำวันเสาร์ ได้อยู่ทำงานที่เดิม โอกาสรุ่งเท่าเดิม เสียเวลาให้ครอบครัว 2. ยืนยันสัญญาเดิม(รอเขาไล่ออก) ได้ทำงานอยู่ที่เดิม โอกาสรุ่งน้อยลง มีเวลาให้ครอบครัวเท่าเดิม 3. ลาออกแล้วหางานใหม่ ไม่ได้อยู่ที่เดิม โอกาสรุ่งไม่รู้ มีเวลาให้ครอบครัวเท่าเดิมหรือมากขึ้น จากคุณ : ซื่อสัตย์ มั่นคง เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 12:48:26

ความคิดเห็นที่ 12 ตอนนี้   ถ้า เป็นไปได้               จกขท  ควรจะดู กระแส ของพนักงานส่วนใหญ่  ว่าจะเอาอย่างไร กัน               ถ้าในองค์กร มี สหภาพแรงงาน อยู่   ก็คงจะช่วย ในการตั้งกลุ่มเจรจาได้               แต่ถ้าไม่มี   ก็ต้องพยายามปรับตัวเองให้เข้ากับกระแสของพนักงานส่วนใหญ่ นะครับ              เพราะเท่าที่ดู   บริษัท  ก็ไม่ได้เอาเปรียบพนักงานนะครับ  เพราะเขาให้เราทำงานเพิ่ม  เขาก็จ่ายเงินเดือนให้เราเพิ่ม  แถม ถ้าหากเรามี ชั่วโมงล่วงเวลา   เราก็ได้ค่าเงิน ล่วงเวลาเพิ่ม  เพียงแต่  ชั่วโมงความเป็นส่วนตัวของเราจะหายไปเท่านั้น เพื่อแลกกับเงินที่เขาจะให้             คิดว่า น่าจะไม่มีปัญหานะครับ    แต่ถ้า จขกท   ยอมรับความจริง กับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ในขณะที่พนักงานคนอื่นพอใจ   เราไปแข็งข้อกับเขา   เรา ก็อยู่ลำบากแล้วครับ   ก็คงต้องตัดสินใจลาออก สถานเดียว ครับ   ถ้าจะไปหวังเงินชดเชย คงยากครับ   เพราะก่อนที่บริษัทจะตัดสินใจให้พนักงานทำงานเพิ่ม    เขาคงปรึกษานักกฏหมายเรียบร้อยแล้ว  เขาถึงตัดสินใจ เลือกทำครับ จากคุณ : รุ่งโรจน์ทวีคูณ (รุ่งโรจน์ทวีคูณ) เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 12:59:16

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้ายึดตามสภาพการจ้างเดิมละคะ ในแง่กฎหมาย หากลูกจ้างไม่ยินยอมให้เปลี่ยนสภาพการจ้างงาน นายจ้างย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงใช่มั้ยคะ ทีนี้ถ้าตกลงกันไม่ได้โดยที่นายจ้างเป็นฝ่ายผิดสัญญาจ้างก่อน ทำไมถึงต้องลาออกโดยไม่ได้รับค่าชดเชยคะ จากคุณ : Auguri เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 13:05:50

ความคิดเห็นที่ 14 ผมสงสัยตรงนี้นะครับ อยากทราบเป็นข้อมูลครับ ปี 54 บริษัทโดนฟ้องเพราะให้ทำงาน 8.00 -18.30 น.(9.5 ชม./วัน ไม่รวมเวลาพัก)เป็นเวลา 5 วัน จ-ศ (47.5 ชั่วโมง/สัปห์ดา)   ---->  มันก็ไม่เกิน 48 ชม.ต่อสัปดาห์ไม่ใช่เหรอครับ ? ใครรู้รบกวนตอบทีนะครับ อยากได้เป็นข้อมูลความรู้ จากคุณ : puieang เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 13:18:16

ความคิดเห็นที่ 15 ตอบความเห็นที่ 14 เพราะว่า 8.00 -18.30 เท่ากับว่าทำงานวันละ 9.5 ชม. ซึ่งขัดต่อมาตรา 23 ที่ให้ทำงานไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมงสำหรับงานปรกติไงครับ  กรณีนี้ผมคาดว่านายจ้างให้ทำงานวันละ 9.5 ชม. โดยไม่ได้รับค่าทำงานล่วงเวลาสำหรับ 1.5 ชั่วโมงนั้น จึงเท่ากับว่าขัดต่อกฎหมายแรงงาน กฎหมายมีการกำหนดจำนวนชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ และต่อวันในมาตราเดียวกันครับ จากคุณ : Chalk_HR เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 13:35:02

ความคิดเห็นที่ 16 ตอบคุณ puieang ค่ะ หลายๆคน(รวมทั้งตัวดิฉันเอง)อาจจะไม่ทราบมาก่อนว่า กม.กำหนดให้ทำงานได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมง(ไม่รวมเวลาพัก)ต่อ 1 วันค่ะ ถึงแม้ว่าเมื่อนับรวม 1 สัปห์ดาแล้ว ชั่วโมงการทำงานจะไม่ครบ 48 ชั่วโมงก็ตาม "หลังจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มีสถานประกอบการจำนวนหนึ่งที่ต้องการทำงานต่อวันเกินกว่า 8 ชั่วโมง แต่เมื่อรวมต่อสัปดาห์แล้วไม่เกิน 48 ชั่วโมง เช่น ในงานบริการ นายจ้างต้องการกำหนดให้ลูกจ้างทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 9 ชั่วโมง ถือว่าขัดต่อมาตรา 23 เพราะแม้ว่าจะมีเวลาทำงานปกติต่อสัปดาห์ไม่เกิน 48 ชั่วโมงก็ตาม แต่การทำงานต่อวันเกินกว่า 8 ชั่วโมงไม่ได้  " credit : http://www.hrdharmniti.com/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2551.html จากคุณ : Auguri เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 13:35:09

ความคิดเห็นที่ 17 ผมก็ทำงาน จ-ศ ครับ ของเอกชน ถ้าบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มวันทำงานแบบนี้ เป็นผมก็หางานใหม่ครับ จากคุณ : โลกสีน้ำเงินเข้ม เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 13:35:21

ความคิดเห็นที่ 18 ไม่ว่ายังไงเรื่องนี้ก็คงจบด้วยการออกค่ะ แต่ออกแบบไหน ยังไง เมื่อไหร่เท่านั้นเอง ที่มาโพสถามเพราะอยากแน่ใจในเรื่องข้อกฏหมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างค่ะ ว่าเราไม่ยินยอมรับเงื่อนไขใหม่ได้มั้ย เราจะมาทำงาน 5 วันตามสัญญาจ้างเดิมโดยที่ไม่ยอมเซ็นรับเงื่อนไขใหม่ได้หรือไม่ เวลาที่เค้าบอกก็กระชั้นชิดมากไปค่ะ บอกจันทร์ให้ทำเสาร์เลย ถ้าหากมีธุระวันเสาร์ หรือวางแผนทำกิจกรรมในวันเสาร์ไว้แล้วจะทำยังไง ถึงครั้งนี้จะคุยกัน ตกลงกันได้ แตในใจเค้าคงไม่เอ็นดูเราเหมือนเดิมแล้ว เงินเดือนคงไม่ขึ้น โบนัสคงไม่มี และสุดท้ายเมื่อเค้าปรับทั้งองค์กร เราก้อคงไม่รอดอยู่ดีๆ  อยู่ไปก็คงอึดอัดค่ะ ทัศนคติของผู้บริหารเป็นแบบนี้ การทำงานไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต วันนึงเมื่อรู้สึกว่าชีวิตไม่มั่นคง ทัศนคติไม่ตรงกัน เราก็คงต้องไปค่ะ แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 55 14:47:54 จากคุณ : Auguri เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 14:47:00

ความคิดเห็นที่ 19 ผมแนะนนำว่า จขกท ไปปรึกษาแรงงานพื้นที่ที่บริษัทตั้งอยู่ก็ได้ครับ เพราะผมก็คิดเหมือนคุณ Chalk_HR บริษัทไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนสภาพการจ้างถ้าพนักงานไม่ยินยอม เพราะมันผิดกฎหมายแรงงานชัด ๆ แม้ว่าคุณคนเดียวจะไม่เห็นด้วยมันก็จบแล้วครับ ดังนั้นไปคุยกับแรงงานพื้นที่เลย จากคุณ : et009 เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 14:50:52

ความคิดเห็นที่ 20 ในเมืองไทยเวลาเราจะ มีกรณีใดๆก็ตามหลังออกจากงานแล้ว เหมือนเราผิดซะเองเลยนะครับ - -" เหมือนโดนหายหัวไว้ โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆที่ประกอบกิจการเหมือนๆกัน เพราะพนักงานๆจะหมุนเวียนๆกันอยุ่แบบนี้แหละครับ จากคุณ : โลกสีน้ำเงินเข้ม เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 15:25:39

ความคิดเห็นที่ 21 หางานใหม่ครับ จากคุณ : credor เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 15:49:49

ความคิดเห็นที่ 22 ลาออกคราวนี้ว่าจะเปลี่ยนประเภทธุรกิจไปเลยค่ะ ธุรกิจ Textiles & Garment นี่ ทำมา 2 ที่ 8 ปี เอาเปรียบลูกจ้างโดยการสร้างกฏประหลาดๆทุกที่ คงเพราะส่วนใหญ่รูปแบบการบริหารเป็นแบบครอบครัว เจ้าของคนเดียว อยากคิด อยากทำอะไรก็ได้ บริหารแบบระบบเถ้าแก่ ไม่แคร์ทรัพยากรบุคคล ที่เก่าเคยโดนลดเงินเดือนดื้อๆ 5,000 บาท เพราะบอกว่าไม่อยากให้เครียด ที่ปัจจุบันห้ามออกไปกินข้าวนอกออฟฟิศ ถ้าเอาข้าวมาเองห้ามใช้โรงอาหารและห้ามเอาอาหารข้างนอกมากินที่โรงอาหาร โรงอาหารมีร้านค้า 1 ร้าน กับข้าวรสชาติแย่ คุณภาพแย่ ห้ามลาติดวันหยุด ห้ามลาวันศุกร์ วันจันทร์ วันเสาร์ ข้อห้ามเยอะมากๆ ห้ามทำผม แต่งตัวสีฉูดฉาด ห้ามใส่รองเท้าแตะในออฟฟิศ ห้ามรับโทรศัพท์ส่วนตัว ให้คุยได้ในเวลาพักเท่านั้น...ห้ามฯลฯ แต่ก็ยอมอดทนปรับตัวเข้ากับกฏนักเรียนประจำ เพราะมีความสุขกับงาน เจ้านายเอ็นดู แต่มาวันนี้ก็คงต้องทำใจค่ะ จากคุณ : Auguri เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 16:14:42

ความคิดเห็นที่ 23 บริษัทนี้ สมองไหลแน่ๆครับ จากคุณ : mail-th เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 17:04:39

ความคิดเห็นที่ 24 เราทำวันเสาร์อยู่ จะเอข้ามาบอกว่าวันเสาร์เอาทุกสิ่งไปหมดเลย กิจกรรมที่เคยทำทุกวันหยุดหายไปหมด พอวันอาทิตย์ตื่นสาย เวลาคุณจะหายไปหมดเลย ถ้าต้องซักรีดผ้าเอง จบกันเลยวันอาทิตย์ของคุณ ตอนนี้จะหางานใหม่เพราะที่ทำงานปัจจุบันทำวันเสาร์นี่แหละค่ะ จะหาเวลาไปสมัครงานยังยากเลย โอ๊ยยยยยยย จะบ้าตาย ทำไมไม่ทำจันทร์ขศุกร์กันให้หมดนะ จะได้ไม่มีเจ้านายที่ชอบเอาเปรียบลูกน้องแบบนี้ จากคุณ : หว๊าน...หวาน เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 17:24:48

ความคิดเห็นที่ 25 คุณบอกว่า 99% ของทั้งบริษัทฯ ยินยอม ดังนั้น ทางแก้ปัญหา คือคุณควรหางานใหม่ครับ ต่อให้คุณไปร้องแรงงานพื้นที่ แล้วทำให้นายจ้างไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างได้ แน่นอนว่าคุณจะมีปัญหากับนายจ้าง และสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการลาออก เว้นเสียแต่หาพวกพ้องเจ๋งๆ ตัว key man ในบริษัทฯ เอาสักแค่ 30% ไปเรียกร้องก็ยังพอสู้กันไหวหน่อย จากคุณ : freestyler เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 18:13:33

ความคิดเห็นที่ 26 มีใครจะว่าอะไรไหม ความรุ้สึกของผมการทำงาน 6 วัน หยุด วันอาทิตย์วันเดียว มันเหมือนชีวิตนี้ขาดความเป้นส่วนตัวไปเกือบ 80 เปอร์เซฺ็นต์ อารมณ์เหมือนเป้นหนุ่มสาวโรงงานเลย - -" จากคุณ : โลกสีน้ำเงินเข้ม เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 21:52:12

ความคิดเห็นที่ 27 อิจฉาคนทำงาน 5 วันมาก 555 ผมทำงาน 6 วันครึ่งมา 20 กว่าปีแล้ว 555 จากคุณ : สายน้ำ...ไม่ไหลกลับ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 09:17:13 A:101.78.11.206 X: TicketID:365179

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณทุกท่านนะคะที่กรุณามาตอบคำถาม ได้ความรู้ดีมากๆเลยค่ะ อัพเดทสถานการณ์เช้านี้นะคะ คือ ไดเร็คเตอร์โทรมาบอกว่า นายผู้หญิง(เจ้าของบริษัท)ให้ HR โทรมาเตือนพี่ไดเร็คเตอร์ว่าเราไม่เกี่ยว เรารีพอร์ตนายผู้ชาย(สามีของนายผู้หญิงเป็นเจ้าของบริษัทอีกท่านนึง) จะทำอะไรกับเราต้องไปถามเจ้านายผู้ชายก่อน ไม่ใช่ทำโดยพละการ พี่ไดเร็คเตอร์เลยให้เราไปถามเจ้านายผู้ชายว่าต้องมาทำวันเสาร์มั้ย แต่คิดว่าจะไม่ถามนะคะ อาจจะหาเวลาคุย บอกจุดยืนไปว่ายังไงก็ไม่ทำวันเสาร์แน่ๆ เพราะเมื่อปีก่อนที่ปรับชั่วโมงการทำงานใหม่ ที่แผนกแรกโดนทำวันเสาร์ เจ้านายออกคำสั่งมาว่า เราทำแค่ 5 วันเหมือนเดิม เป็นคนเดียวในแผนกที่มาทำแค่ 5 วัน(จริงๆแค่ชื่อนะคะที่อยู่ในแผนกนั้น เราเป็นคนสั่งงานแผนกนั้นอีกทีค่ะ ดังนั้นงานเราจะต้องเสร็จก่อนเพื่อที่แผนกนั้นจะทำต่อได้) ครั้งนี้มีอีกแผนกที่โดนปรับมาทำ 6 วัน ไม่ใช่ทั้งบริษัทนะคะที่ต้องทำ 6 วัน ยังมีอีกหลายแผนกที่ทำ 5 วันอยู่ แต่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเปลี่ยนเป็น 6 วันทั้งบริษัทมั้ย ถึงเวลานั้นก็ค่อยว่ากันอีกทีค่ะ อย่างน้อยความรู้ในกระทู้นี้ เอาไปใช้ในเวลานั้นก็ยังทัน เมื่อ 2-3 เดือนก่อนพี่ไดเร็คเตอร์เค้ามาขอให้เราไปรับตำแหน่ง manager ของแผนกที่เพิ่งโดนปรับมาทำ 6 วัน  เราปฏิเสธไปเพราะรู้ว่าอนาคตต้องทำ 6 วันนี่แหละค่ะ จากคุณ : Auguri เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 09:27:36

ความคิดเห็นที่ 29 ตอบคุณ  freestyler นะคะ 99% ของทั้งแผนกค่ะ เราชื่ออยู่ในแผนกนั้น แต่ทำงานจริงรีพอร์ตเจ้านายคนละคน เราเป็นคนสั่งงาน รับงานจากเจ้านาย(เจ้านายผู้ชายเป็นสามีของเจ้านายผู้หญิง)โดยตรง มาสั่งงานและควบคุมให้แผนกนั้นทำตามกำหนดอีกทีค่ะ งานในส่วนนี้จะเป็นส่วน marketing strategy ค่ะ งานนี้มีเรากับเจ้านายผู้ชาย 2 คนที่ทำ ไม่มีแผนกเป็นของตัวเอง เพราะมีเราคนเดียว ขึ้นตรงกับผู้บริหารเลย ชื่อเราเลยยังอยู่แผนกเก่า ส่วนคนในแผนกนั้นจะรีพอร์ตเจ้านายอีกคน(เจ้านายผู้หญิงซึ่งมีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารทรัพยากรบุคคลทั้งหมด) คิดว่าถ้าโดนปรับมาทำ 6 วันทั้งบริษัท ถึงเวลานั้น คงจะมีพรรคพวกที่ไม่เห็นด้วยมากกว่านี้ค่ะ แต่นี่ทำอยู่ 2 แผนก หัวอ่อนๆ คนเก่าๆทั้งนั้น คงไม่มีใครอยากแข็งขืนแล้วตกงานหรอกค่ะ แรงงานไทยรู้กฏหมายที่ปกป้องตัวเองน้อยจริงๆ เรามีชีวิตอยู่กับความกลัวมาตลอด กลัวว่าดื้อดึงแล้วจะมีปัญหา กลัวว่าฟ้องบริษัทแล้วจะกลายเป็นคนเลว กลัวจะโดน blacklist กลัวการเป็นคดีความ...ฯลฯ ทุกคนเลยเลือกที่จะไม่ปกป้องสิทธิของตัวเองตามกฏหมายดีกว่า ยอมให้เรื่องมันจบๆไป ทนไม่ได้ก็ลาออกจะได้ไม่เสียประวัติ จากคุณ : Auguri เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 09:42:56

ความคิดเห็นที่ 30 เขาถึงได้บอกไงครับว่า ศาสตร์ของงานบริหารงานบุคคลนั้น มันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในเวลาเดียวกัน การบริหารงานบุคคล ถึงแม้มีเรื่องของข้อกฎหมายก็จริง แต่อย่าลืมว่าเราทำงานกับคน ดังนั้นเรื่องจิตวิทยาสำคัญที่สุดและผมมักเน้นเรื่องนี้กับเหล่ารุ่นน้องหรือคนที่ผมได้มีโอกาสแชร์ความรู้ด้วยกันว่า เราทำงานกับคน เราจะเปลี่ยนคน เปลี่ยนความคิดคน สิ่งแรกที่เราต้องทำคือ...."การเข้าใจคน" เราจะเข้าใจคนได้อย่างไร จริงๆแล้วสำหรับผมเรื่องนี้ง่ายมาก คือการเอาตนเองไปนั่งแทนใจพนักงาน เราจะได้ทราบว่า เขาจะคิดอย่างไร เขาต้องการอะไร เมื่อเราทราบความคิดความรู้สึกของพนักงานแล้ว เราจึงสามารถวางแผนต่อไปได้ว่าจะจัดการอย่างไร สิ่งไหนที่พนักงานอยากได้ สิ่งไหนที่เราให้ได้เพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้เป็นศิลปะ หากนายจ้างคิดแต่ว่า ฉันมีกำลังมีอำนาจ และจัดการทุกอย่างอย่างที่ฉันต้องการโดยไม่คำนึงถึงคนในองค์กร ผมพูดได้คำเดียวว่าองค์กรเหล่านั้นมีแต่ล้มกับล้มครับ จากคุณ : Chalk_HR เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 11:20:37

ความคิดเห็นที่ 31 อยากเจอ HR แบบคุณ Chalk_HR จังเลยค่ะ HR ของทั้ง 2 บริษัทที่เจอมา ส่วนใหญ่จะเป็น HR ที่ทำตามเจ้านายทั้งนั้น เจ้านายหรือเจ้าของเค้าทั้ง 2 ที่ที่เจอ เค้าอาจจะเก่งในเรื่องการบริหารธุรกิจนะคะ แต่เรื่องบริหารงานบุคคลนี่ เค้าไม่มีจิตวิทยาใดๆทั้งสิ้นค่ะ ถ้าเจอ HR ในแนวทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง พนักงานก็ลำบากค่ะ ซึ่งในความเป็นจริงก็มักจะเป็นอย่างนั้นซะด้วย เคยเจอ HR ที่พยายามเข้าใจพนง.อยู่บ้างประปราย แต่ก็ไม่มีใครอยู่ได้นานพอที่จะพึ่งได้สักคน เพราะไม่ว่าจะยังไงคนที่จ่ายเงิน คนที่เป็นเจ้าของย่อมมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจ จากคุณ : Auguri เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 55 11:59:31