|
มีประโยคหนึ่งที่เข้าหูผมมา และคอยเตือนสติผมอยู่บ่อยๆ แม้กระทั่งเร็วๆนี้ก็ยังมี คือ "เถ้าแก่กว่าจะตื่นลงมาทำงานก็จะเที่ยงละ อย่างนี้แหละถึงไปไม่รอด" ประโยคนี้ดังก้อง และ เตือนสติผมอยู่เสมอ... คือผมไม่ใช่คนขยันนะครับ ชอบทำทำอะไรให้มันจบๆไปเร็วๆ(แต่ต้องดีด้วย) พอมันถึงช่วงที่ต้องลุยมันก็ต้องลุย คนอื่นเค้ารอเราอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนงานที่เริ่มงานตั้งแต่เช้า ที่อาจจะต้องรอเราเข้าไปตรวจสอบผลงาน ลูกค้าที่เรานัดส่งงาน พ่อแม่ที่แก่ลงไปทุกๆวันที่รอดูเราประสบความสำเร็จ ในช่วงแรกที่เริ่มกิจการถึงแม้จะเหนื่อยเพราะว่ามันยังไม่เข้าที่ แต่จุดนี้แหละครับ คือจุดที่สำคัญที่สุด ที่เราต้องอยู่ตรงนั้น
ช่วงนั้นเป็นช่วงเถ้าแก่จริงๆครับ คือทุกอย่างมันต้องเป็นเรา ไม่ว่าจะซื้อของ สั่งของ ดูแล แก้ปัญหา แต่ผมว่า ตรงนั้นแหละครับ ที่ซื้อใจคนรอบข้างเราได้อย่างดีที่สุด
กลับเข้ามาต่อกันตรงเรื่องราวหลังเปิดกิจการวันแรก
เดือนแรกขาดทุนครับ ขาดทุนไป 31259.75 บาท ผมจดรายจ่ายทุกอย่าง รายรับทุกสตางค์ นำมาคำนวนทุกเดือนครับว่ากำไรต่อเดือนเท่าไหร่ ทำจนถึงปัจจุบันครับ มันทำให้ผมรู้ว่าเราไปจ่ายตรงไหนมาก เสียตรงไหนโดยเปล่าประโยชน์ ถ้าผมไม่มีบัญชีรายรับ รายจ่ายของบริษัทคงจะเจ๊งไปนานแล้วครับ.. ช่วงเดือนแรกเครียดครับ.. supplier ก็ไม่ให้ credit ลูกค้าก็ขอ credit
ไม่เคยจะต้องมีรายจ่ายเดือนละเป็นแสน เงินแสนมันเยอะมากนะครับ สำหรับผมตอนนั้น เขียนเช๊คไปล่วงหน้า 15 วันต้องหาเข้ามาจ่ายให้ได้ 20,000 บาท ตอนนั้นเงิน 500 ก็มีค่ามากๆ ประสบการณ์ตอนนั้นมันทำให้ผมกลับไปคิดไปต่างๆนา เช่นถ้าผมเริ่มที่ธุรกิจใหญ่กว่านี้ ลงเงินมากกว่านี้ ผมจะทนแรงกดดันต่อรายจ่ายที่มากกว่านี้แค่ไหนกัน โชคดีครับ ที่เริ่มเล็กๆ แค่คิดใหญ่ๆ พอเราเริ่มทนแรงกดดันไหว ค่อยก้าวไปอย่างมั่นคง
เดือนที่สองขาดทุนเหมือนเดิมครับ ขาดทุนไป 1904.50 บาท สถานะการณ์ดีขึ้น เริ่มจัดทุกอย่างให้เป็นระบบ ผมว่าการที่เราหัดคิดเป็นระบบเป็นขั้นตอน ทำให้งานยากกลายเป็นงานง่าย จากที่เคยต้องทำทุกอย่างก็กลายเป็นทำแค่บางอย่าง บวกกับประสบการณ์ที่คนงานแต่ละคนมี ทำให้งานออกไปไวขึ้น งานเสียน้อยลง .. ปัญหาเรื่องงานเรื่มดีขึ้น แต่ปัญหาเรื่องเงินไม่ได้ดีขึ้นเลยครับ
ผมขายกล้องถ่ายรูปที่แสนรัก เลนซ์ราคาแพงที่แสนหวง ขายหมดเลยครับ เอาเงินมาเข้าธนาคารไม่ให้เช็คเด้ง.. credit สำคัญมากครับในธุรกิจ มันทำให้เราน่าเชื่อถือ.. มีโทรไปบอก supplier ด้วยว่า อย่าเพิ่งเอาเช็คเข้า เพราะว่า เงินผมจะเข้าหลังจากวันนั้น 2-3 วัน.. คุยด้วยความนอบน้อม ทุกคนก็ให้ความช่วยเหลือ
ผมถือว่าผมโชคดีมากๆ ที่ผ่านช่วงนั้นไปได้.. ตอนนี้ไม่ว่าใครที่ทำงานร่วมกับผม ถ้าเค้าต้องการเงินและดูเป็นคนดี ผมก็ช่วยครับ เงินน้อยมีค่าจริง
หลังจากผ่านไปอีก 10 เดือน กำไรผมก็แตะ 5 หมื่นบาทเป็นครั้งแรก (แล้วมันก็ลงมา แกว่งไป แกว่งมา) ผมมีคนงาน และ พนักงานใน office เพิ่มขึ้นรวมประมาณ 12 คน
หลักการในปีแรกในการทำงานของผม ก็คือ ดูแลทุกอย่างให้ได้มากที่สุด ด้วยตัวเอง เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะกำไรหรือขาดทุน... การสร้างรายจ่ายเพิ่มพนักงานเพียง 1 คน ก็คือกำไรลดไปเยอะมาก ผมใช้เวลาดึกๆ คิดบริหาร แบ่งงานให้เป็นแผนก ทำงานให้เป็นระบบ สร้างเอกสารภายในเอาไว้สื่อสารกันระหว่างแผนก
ช่วงแรกทำงานเหมือนผมคลุกโคลนเลยก็ว่าได้ หลายๆคนเปิดกิจการมาแบบต้องมาหาลูกค้าดาบหน้า ผมเปิดมาพร้อมกับ demand ที่มากพอให้ผมตั้งตัวได้ ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน แต่ผมคิดว่าความเสี่ยงมันต่ำมากหากเราทำได้
ผมเก็บเงินได้ประมาณ 150,000 บาท หลังจากหักค่าหลายๆอย่างเพื่อให้ที่ทำงานน่าอยู่ขึ้น และหลังจากเปิดมา 1 ปีผมขยายกำลังการผลิตขึ้นเป็นสองเท่า สร้างกำไรได้เดือนหนึ่งเกือบ 100,000 บาท.. ระหว่างทางมีปัญหามากมาย ผมก็แก้ไปทีละเปราะ เอาความอ่อนน้อมถ่อมตนเข้าสู้ ให้ความเคารพทุกคนที่อยู่รอบข้าง.. ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หรือคนงาน ผมลงทุนเพิ่มอีก ขยายกำลังการผลิตหวังจะได้กำไร 150,000 บาทต่อเดือน... แต่โลกมันไม่ได้สวยอย่างที่คิดเสมอไปครับ งานมันไม่ได้มีไม่รู้จบ.. มันมีขาขึ้นและขาลงเป็นธรรมดา...
คราวหน้าผมจะมาเล่าเหตุการณ์ ที่ทำให้ผมต้องมองหาช่องทางใหม่ๆ หลักการบางอย่างที่ง่ายๆแต่ทำให้ธุรกิจผมก้าวกระโดด เหตุการณ์ที่ต้องยอมเสียอะไรบางอย่าง เปลี่ยนจากอะไรเดิมๆ จนทำให้ผมพบช่องทางที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น และสุดท้ายพาผมทะลุเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ไปไกลมากกครับ
ขอตัวไปทำงานต่อ.. พอดีวันนี้มีงานเร่งเข้ามา ต้องรีบทำให้จบ ลูกน้องทำกันอยู่ ช่วงแรกผมคลุกโคลน ตอนนี้ผมคลุกฝุ่นเท่านั้นครับ มีคนลุยโคลนแทนแล้ว ต้องขอบคุณคนรอบข้างเราทุกคน ไปก่อนละครับ ต้องขึ้นไปให้กำลังใจครับ :D
แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 55 00:29:34
แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 55 00:26:46
แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 55 00:25:37
จากคุณ |
:
Sinewy
|
เขียนเมื่อ |
:
วันลอยกระทง 55 00:23:12
|
|
|
|
|