ความคิดเห็นที่ 1 บางครั้งการตัดสินใจ อาจจะมาจากเหตุผลปัจจัยภายนอก (ที่ไม่ได้พิจารณาให้รอบคอบ) หรือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น  ความผิดพลาดของผลงานอาจเกิดขึ้นได้  หลายๆคนหลายๆองค์กรถึงได้มีการปรับเปลี่ยนแผนงานอยู่เสมอ  การปล่อยให้ผลงานออกมาไม่ดี  มีผลต่อผู้บริหารแน่นอน ความเห็นเล็กน้อย....จากคนไม่รู้จริงครับ แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 46 09:25:39 จากคุณ : กำนันสิงห์ - [ 3 ส.ค. 46 09:11:48 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ..................................................... จากคุณ : muk_22 - [ 3 ส.ค. 46 09:25:26 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มีผู้ใหญ่ที่นับถือเเนะนำว่า ในชีวิตนี้ถ้ามี"โยนิโสนมสิการ"เเล้ว จะประสบความสุข ความสำเร็จ(ที่ไม่ได้หมายถึงเงินทองอย่างเดียว) เเล้วท่านก็อธิบายว่า"โยนิโสนมสิการ"หมายถึง ทุกครั้งที่เราคิด ขอให้เราคิดถูก ตัดสินใจถูกทุกครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปผมก็ได้คิดว่า ชีวิตบางคนตกต่ำ เพราะตัดสินใจผิดพลาดในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต เป็นส่วนใหญ่ จากคุณ : who is it - [ 3 ส.ค. 46 15:07:30 A:203.113.38.11 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ความผิดพลาดและความศูนย์เสียส่วนใหญ่ ที่มักเกิดขึ้นอย่างไม่น่าเกิด และเกิดจาก การที่เราไม่ทราบถึงศักยภาพของตนเองอย่างแท้จริง ประเมิณสูงไป แล้วไปไม่ถึงทำให้พลาด ประเมิณต่ำไปทำให้ ใช้ศักยภาพ ได้ไม่เต็มที่ ผมขอมองต่างมุม นิดนึงว่า ตัวกระตุ้นเนี่ย เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งและมีผลต่อการตัดสินใจสำหรับคนส่วนใหญ่ ถึงมีสุภาสิต ว่า.... คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบ บัณฑิต บันฑิต พาไปหาผล จากคุณ : MESMERIC - [ 4 ส.ค. 46 20:02:04 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อืม มม ..ขออนุญาตคิดด้วยคนนะครับ ความผิดพลาดน่าจะเกิดขึ้นจนเป็นปรกติวิสัย เพื่อให้ได้ศึกษาแก้ไข ตลอดเวลา ประพฤติที่คล้อยตามสิ่งกระตุ้น หากเพียงรู้สึกตัวว่า แสร้งคล้อยเพื่อรอดูบางอย่าง ก็ทำให้ได้เรียนรู้ไปกับสถานการณ์บางอย่าง แต่! เรารู้เท่าทัน ควบคุมได้ อาจจะสามารถเพิ่มเติมปัญญาบ้าง การยืนนอกกรอบ หนักแน่น กล้าคิด ควรทำให้บ่อยที่สุด แต่ไม่ควรมีความเชื่อ(กรอบ) กล้าตัดสินใจบนความกดดันจากความเชื่อเดิม ๆ ก็เป็นปกติวิสัยของความแผก..ต่าง สุดท้ายคงต้อง เตรียมการสำแดงประพฤติตามความคิดด้วยตนเองล่วงหน้าไว้เลย .. ด้วยความเคารพคุณมือเก่า (คนอุบล) ครับ จากคุณ : blackcoco - [ 5 ส.ค. 46 16:37:25 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คำสอนก่อนลาสิกขา... เมื่อต้นปี 2534 ผมได้มีโอกาส "บวช" ที่วัดเบญจมบพิตร โดยมีพระอุปัชฌาคือ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรในขณะนั้น ผมได้ใช้ชีวิตเป็น "พระ" อยู่นานพอสมควร และจนกระทั่งถึงกำหนดวันที่จะต้องลาสิกขา เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง ผมก็ได้รับโอวาท คำสอนก่อนลาสิกขา ว่า ... " ไม่มีการกระทำใด ที่เราจะต้องรู้สึกเสียใจในภายหลัง มากเท่ากับการกระทำในขณะที่ ไร้สติ" นับจากวันที่ผมลาสิกขามาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านเวลามาแล้วกว่า 12 ปี ผมก็ยังนำคำสอนก่อนลาสิกขานี้มาใช้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าบางครั้งก็เคยหลุดคำสอน ปล่อยให้อารมณ์เหนือสติ แต่ผมก็พยามระลึกถึงคำสอนนี้อยู่เสมอๆ ยามที่รู้สึกกำลังทุกข์ กำลังเครียด ทุกๆ ครั้ง เช้านี้ผมแวะมาอ่านกระทู้นี้ และมีความเห็นว่า ถ้าหากเราจะยึดเอากระทู้นี้ มานำเสนอแนวคิด "ธรรมะสำหรับนักบริหาร" ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีนะครับ ไหนๆ ก็เข้ามาต่อกระทู้นี้แล้ว ผมก็ขอถือโอกาสเล่าให้เพื่อนๆ ฟังถึงแนวคิดด้าน "ธรรมมะของคุณมือเก่า (เมืองอุบล)" ด้วยนะครับ 1. ผมเคยเห็นคุณ มือเก่า (เมืองอุบล) ไปสั่งผลิตเทปธรรมะหลวงปู่ชา มาวางไว้ตรงเครื่องคิดเงินในร้านเซเว่นทุกสาขาในอุบล แล้วเขียนป้ายเล็กๆ ว่าใครสนใจ อยากได้ เชิญหยิบฟรี พร้อมกับเขียนข้อความเล็กๆ ต่อท้ายว่า หรือถ้าสนใจบริจาคก็แล้วแต่จะสะดวกให้หยอดในตู้เอง โดยไม่จำกัดจำนวนเงิน ตอนนั้นผมรู้สึกชื่นชมแนวคิดนี้มากๆ เพราะไม่มีใครกล้าหยิบฟรีเลยสักคน <<< ชมอีกแล้วครับ ไม่ถือนะครับ >>> 2. ในคราวเดียวกันนั้น ที่ผมเดินทางไปอุบล คุณมือเก่า (เมืองอุบล) ยังบอกอีกว่า พนักงานใหม่ในเซเว่นอุบลทุกคน ก่อนจะเริ่มทำงาน จะต้องส่งไปอบรมพุทธศาสนา และฝึกกายฝึกใจ ฝึกสมาชิก กันที่วัดหลวงปู่ชา ก่อนทุกคน พร้อมทั้งต้องดื่มน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ (เรียกกันว่าน้ำร่วมสาบาน) แล้วให้ทุกคนกล่าวว่า จะขยันขันแข็ง ไม่โกง ไม่ทุจริต ผมฟังดูแล้วก็รู้สึกปลื้มมากๆ <<< ปลื้มอีกแล้วนะครับ >>> จากคุณ : อาจารย์เกรียงไกร - [ 6 ส.ค. 46 09:00:04 A:203.118.123.186 X:203.118.123.186 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมก็เคยคิดเหมือนกันครับ ว่าเมื่อผมตั้งบริษัทของตัวเอง ผมจะส่งเจ้าหน้าที่ทุกคนไปฝึกปฏิบัติธรรมก่อน อย่างน้อยๆ ก็ต้องห้าวัน ถ้าหากเจ้าหน้าที่ท่านใดไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ก็ให้ไปฝึกเหมือนกัน แต่อาจจะไม่ต้องสวดมนต์ คือฝึกให้ยืน เดิน นั่ง นอนอย่างมีสติ การฝึกวิปัสสนานับว่าเป็นการฝึกที่ดีมากครับ ทุกวันนี้ผมพยายามปฏิบัติวิปัสสนาลืมตา คือพยายามมีสติในขณะทำงานอยู่เหมือนกันครับ ... เคยไปติดต่อบริษัทหนึ่ง ขณะนั่งคอยผู้จัดการที่โต๊ะ ผมเห็น screen saver ที่จอคอมพิวเตอร์ของพี่ผู้จัดการเป็นตัวหนังสือลอยไปลอยมา เขียนไว้ว่า "ลมหายใจ" พอพี่เขามาก็เลยซักถามและได้ความว่าพี่เขาพยายามฝึก อาณาปานสติ อยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน :) บางทีก็ไม่น่าเชื่อนะครับ ว่ายังมีคนที่พยายามปฏิบัติอยู่เสมอๆ ด้วยเช่นเดียวกัน :) จากคุณ : wmouth - [ 6 ส.ค. 46 18:25:47 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คห.5 คุณ Blackcoco ลมปราณแตก จากคุณ : Mister_Earth - [ 7 ส.ค. 46 09:43:25 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ปัจจัยภายนอกจะมีอิทธิพลสูงหากเราไม่รู้จักตัวเองดีพอและไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนคือความต้องการของตัวเอง จากคุณ : คนรู้มาก - [ 8 ส.ค. 46 22:40:34 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขออนุญาตออกความคิดเห็นด้วย...... ไม่ว่าปัจจัยภายใน หรือ ปัจจัยภายนอก ล้วนมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของเรา ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าจะให้ปัจจัยที่มากระทบ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงไร นี่เป็นความเห็นส่วนตัว...... ขออนุญาตนำคำพระมากล่าวสักหน่อย.... ตัวเราเองต่างหาก.. ที่จะสามารถควบคุมจิตใจของเราให้ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านั้นมากระทบกับตัวเรา และก่อให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นมาหรือไม่ ผู้ที่ฝึกจิตดีแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวต่อปัจจัยภายใน และ ปัจจัยภายนอก จะดำรงตนตามความคิดที่กลั่นกรองมาดีแล้ว อย่างไรก็ตาม บทสรุปคือ เราหลาย ๆ คน ยังไม่สามารถทำได้ตามคำพระ.......นั่นหมายถึงเราก็ยังต้องหวั่นไหวไปกับปัจจัยภายใน และภายนอก ถ้าปัจจัยภายนอกไม่มีผล การทำโฆษณาก็ไม่มีความหมาย ส่วนปัจจัยภายในหลายอย่างเกิดขึ้นเพราะการรับรู้เอาสิ่งที่ดี และไม่ดี จากภายนอกเข้าไป จากคุณ : นาโน - [ 9 ส.ค. 46 00:00:41 A:203.170.141.197 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 ลองแวะเข้ามาเพราะเห็นว่ามีผู้รู้เยอะ เรารู้ไม่มากจึงอยากเรียนรู้จากท่านเหล่านี้ อย่างกระทู้เรื่องปัจจัยภายในเป็นผู้กำหนด..เราเองก็คิดนะว่าจิตใต้สำนึกของเรานี่แหละที่บงการให้เราอยากทำโน่นทำนี่ โดยเรารู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง..แต่บางครั้งเราก็คิดว่าปัจจัยภายนอกเองก็มีส่วนกำหนดให้เราทำโน่นทำนี่ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ..โดยรวมแล้วเราจึง(คิดเอาเองนะ)ว่าทั้ง 2 ปัจจัยต่างมีผลต่อการกระทำของเราทั้งสิ้น และขึ้นอยู่กับช่วงเวลานั้น ๆว่าปัจจัยใดแรงกว่า..แต่ที่แน่ ๆ ประเด็นหลักมันอยู่ที่ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม จะมีสิ่งกำหนด สิ่งเร้า สิ่งที่มากระตุ้นความต้องหรือไม่ก็แล้วแต่.. ถ้าเรามีสติ นึกรู้อยู่เสมอ..โอกาสพลาดก็ยากที่จะเกิด หรือถึงจะมีปัญหาบ้าง เราก็ย่อมสามารถแก้ไขได้โดยง่าย ..ค่อยเว้าแม่นบ่.. จากคุณ : สุขนิยม - [ 11 ส.ค. 46 12:02:54 A:203.156.9.232 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 การเข้าใจหลักนี้จะมีผลอย่างยิ่งต่อการทำงานหรือดำรงชีวิต เพราะเราจะมีอิสระจากสิ่งรอบข้าง การกระทำสิ่งใดเราจะมีความมั่นใจในตนเองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเราเป็นคนทำไม่ใช่เพราะเหตุผลของสิ่งรอบข้างเลย.......แน่นอนครับมีบางเรื่องเพราะสิ่งรอบข้างเรา ต้อง ทำ เช่นไปซื้อก๋วยเตี๋ยว ให้คุณแม่ แต่เราเห็นว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นสิ่งดีใช่ไม๊ครับ...และเราก็ภูมิใจในสิ่งที่เราทำด้วย..... แต่หลายๆครั้งที่เราทำในสิ่งไม่ดีเช่นไปกินเหล้า เที่ยวกลางคืน เรามักจะอ้างว่า เราทำเพื่อสังคม เพราะเพื่อน ทั้งๆที่ถึงเพื่อนมาชวนแต่เราไม่ไปก็ได้ใช่ไม๊ครับ..... ในองค์กรในธุรกิจเช่นกัน มีปัจจัยภายนอกมากมายมากระตุ้นให้เราอยากทำโน่นทำนี่ แต่การตัดสินใจทำหรือไม่ทำนั้น ในองค์กรหรือตัวเราเท่านั้นที่ตัดสินใจว่า ทำหรือไม่ทำ...??? ทฤษฎีนี้ที่ผมเอามาฝากเพราะเชื่อว่า..ถ้าเราเข้าใจอย่างถ่องแท้...เราจะมีอิสระในการตัดสินใจ เกิดความมั่นใจว่า ทุกสิ่งที่เราทำเพราะเราเป็นผู้ตัดสินใจ ถ้ามันดีต่อตัวเรา ต่อคนอื่น เราตั้งใจทำเพราะเราเห็นว่ามันดี..... แต่ถ้าสิ่งไหนไม่ดีต่อตนเองและผู้อื่นเราไปทำทำไม เพราะคนที่ตัดสินใจว่า ทำหรือไม่ทำอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น คนอื่นมาจับมือเราทำได้ไหม?? จับปากเราพูดได้ไหม?? เราต่างหากที่ทำแล้วมักหาข้ออ้าง ซึ่งนั้นคือ คำแก้ตัวเพื่อให้เราสบายใจ หรือ ไม่ผิดต่างหาก....... อย่างไรก็ตาม ผมเรียนด้วยความเคารพว่า ท่านอาจไม่เชื่อผมก็ได้ เพียงแต่ ผมเห็นว่า เป็นปรัชญาที่น่าสนใจก็เลยเอามาฝากครับ.................. จากคุณ : มือเก่า (คนอุบล) - [ 11 ส.ค. 46 18:46:40 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ปัจจัยภายนอกเปลี่ยนแปลงได้เสมอๆ แต่ปัจจัยภายในควบคุมได้... ตัวกระตุ้นไม่เที่ยงแท้ ตามทันได้ยาก ตัวชี้ขาดจึงต้องเข้มแข็งและมั่นคงจึงจะสามารถตอบโต้ตัวกระตุ้นได้อย่างเหมาะสม จากคุณ : may I joy with you - [ 12 ส.ค. 46 17:34:10 A:203.147.0.42 X:203.147.13.42 ]