เลคเชอร์จากงานมีตติ้งชาวสีลมครั้งที่ ๑ ครับ :)

    สวัสดีครับ ผมตื่นแล้วครับ :) เพื่อนๆ สมาชิกได้ดูรูปภาพกันไปพอสมควรแล้ว ผมก็จะขออนุญาตนำเลคเชอร์ที่ได้จากในงาน (เท่าที่จดทัน) มาแบ่งปันให้กับผู้ที่ไม่ได้ไป และขอรบกวนท่านที่ไปร่วมงานช่วยกันเสริมส่วนที่ขาดหายไปด้วยนะครับ :)

    วิทยากรท่านแรก (ผมไม่แน่ใจว่าท่านชื่ออะไรครับ วานเพื่อนสมาชิกช่วยเสริมด้วยครับ) ได้พูดเรื่องเกี่ยวกับ e-business ว่ามันเป็นเรื่องของโลกเสมือนจริงที่ทุกวันนี้มีหลายๆ คนกำลังวิ่งเข้าหา แต่มีธุรกิจอีกชนิดหนึ่งที่น่าจับตามองก็คือการทำให้โลกเสมือนจริงและโลกจริงมาเจอกัน

    องค์ประกอบสำคัญที่จะนำโลกเสมือนจริง และโลกจริงมาพบกันมีสองส่วน คือ

    1. CRM ที่ท่านวิทยากรบอกว่าให้คิดถึง call center คือไม่ว่าจะมีการสั่งสินค้าผ่านทางสื่ออิเลคโทรนิคอย่างไรก็แล้วแต่ ยังไงเราก็ควรที่จะมีการพูดคุยกับลูกค้าเพื่อยืนยันกันอีกครั้ง และจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์เชิงลึกกับลูกค้าด้วย

    2. การนำสินค้าให้ถึงมือลูกค้า ก็แบ่งตัวสินค้าออกเป็นสองประเภท คือสินค้าที่เราต้องส่งให้ถึงมือลูกค้า กับสินค้าที่เราสามารถส่งให้ได้ทางอินเตอร์เน็ต (เช่นพวกทรัพย์สินทางปัญญาต่างๆ)

    ท่านว่าสองข้อนี้จะช่วยให้ e-business ประสบความสำเร็จได้

    ระหว่างนั้นพี่มือเก่ามีคำถามว่า หากมีคนสนใจจะทำธุรกิจของตัวเองแล้ว
    1. ควรจะมีทุนเท่าไหร่
    2. ธุรกิจอะไรเจ๋ง เอาแบบทำแล้วรวยแน่ๆ
    3. ทำอย่างไรให้ขายได้ (ให้ธุรกิจนั้นเวิร์คสุดๆ)

    พี่วิทยากรก็เลยเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง ว่ามีเด็กสองคนเป็นเพื่อนกัน คนหนึ่งพึ่งจบจากสถาบันราชภัฏคนหนึ่ง และมีฐานะครอบครัวไม่ดีนัก กับอีกคนจบจากสถาบันอุดมศึกษาอีกที่หนึ่ง แต่พื้นฐานทางครอบครัวของคนที่สองนี้อยู่ในขั้นดี

    เด็กคนแรกเดินไปถามป้าร้านขายข้าวมันไก่หน้าสถานศึกษาแห่งหนึ่งว่าเธอพึ่งเรียนจบมา แล้วเธอควรจะทำอะไรดี ป้าเจ้าของร้านก็ใจดีบอกให้เธอขายส้มตำที่หน้าร้านของป้า เธอจึงเริ่มโดยใช้ทุนน้อยๆ ขายข้าวเหนียวส้มตำอย่างเดียวก่อน แล้วก็ขายดีเพราะที่ร้านป้ามีแต่ข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่ พอมีส้มตำมาขายคนก็สั่งกินกัน วันหนึ่งก็ขายได้ประมาณ 50 -100 ครก

    เวลาผ่านไปเธอก็สามารถขยับขยาย ขายลาบเพิ่ม และเพิ่มตัวสินค้าขึ้นมาเรื่อยๆ ก็ยิ่งขายดีขึ้นเรื่อยๆ จนเปลี่ยนจากเพิงหน้าร้านป้า เป็นรถเข็น เช้าเข็นออกมาขาย เย็นเก็บร้านก็เข็นเข้าร้านป้า

    ต่อมามีร้านข้างๆ เขาประกาศให้เซ้ง เธอก็ไปติดต่อ เมื่อเซ้งได้แล้วเธอก็ตีกำแพงทะลุต่อกับร้านป้าที่มีอยู่สองห้องในตอนแรก ก็กลายเป็นร้านอาหารสามห้องยิ่งขายดีเข้าไปใหญ่

    ส่วนเด็กอีกคนหนึ่งขอเงินผู้ปกครองไปลงทุน แต่ท่านวิทยากรไม่เล่าต่อ โดยบอกว่า ตอนจบพวกเราคงรู้ๆ กันอยู่แล้ว

    วิทยากรท่านต่อมาได้พูดถึงเรื่อง ความคิด ท่านบอกว่าความคิดคือพลัง ส่วนปัญหาที่เราพบจะเป็นตัวบั่นทอนพลัง

    ท่านได้แบ่งความคิดออกเป็นสี่แบบ คือ
    1. ความคิดดี
    2. ความคิดไม่ดี
    3. ความคิดเฉยๆ
    4. ความคิดทั้งดี ทั้งไม่ดี (เบื่อๆ อยากๆ)

    โดยที่ความคิดแบบที่ 4 นั้น อันตรายที่สุด เพราะจะทำให้เราล้มเหลวมากที่สุด

    อย่างไรก็ดียังมีพลังของความคิดอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก คือ "พลังของจิตใต้สำนึก" และพลังนี้จะมีผลต่อตัวเรามากถึง 90-93% เลยทีเดียว

    ดังนั้นให้เรามีจิตใต้สำนึกที่คิดเป็นบวกเสมอ ให้เราคิดว่า "อุปสรรคคือความท้าทาย"

    และท่านได้ยกตัวอย่าง MOP (Mission Objective Policy) ของเจ้าของเครือสหพัฒน์ฯ คือ "จะมุ่งมั่นแก้ไข โดยไม่มีเงื่อนไข" ทั้งยังกล่าวเสริมอีกว่า ด้วยจิตใต้สำนึกที่เป็นบวกมากขนาดนี้ ทำให้กิจการที่กำลังแย่สามารถพื้นตัวขึ้นมาได้ภายในเวลาเพียงห้าเดือนเท่านั้น นอกจากนี้ท่านยังบอกอีกด้วยว่า ท่านเจ้าของเครือสหพัฒน์ได้ตัดคำ 5 คำทิ้งออกจากสารบบของตัวเอง ได้แก่ เบื่อ, เซ็ง, กลัว, เหนื่อย, ท้อ เมื่อตัดทิ้งได้แล้ว เราจะมีจิตใต้สำนึกที่เป็นบวกได้อย่างมาก

    นอกจากนี้ท่านยังได้เสริมเรื่อง CRM ด้วย คือ CRM จะมีสูตร 20 : 80 หมายถึง ลูกค้าหนึ่งร้อยคน จะมีประมาณ 20 คนที่ซื้อสินค้าของเราอยู่ 80% และอีก 80 คนที่ซื้อสินค้าของเราอยู่ 20% เพราะฉะนั้นเราต้องดูแลลูกค้า 20% แรกให้ดีที่สุด แล้วก็พยายามทำให้ลูกค้า 80% ที่เหลือซื้อสินค้าของเราเพิ่มขึ้นจาก 20% มาเป็น 80% ให้ได้

    ตลอดเวลาที่ท่านวิทยากรออกมาให้คำแนะนำ ผมนั่งฟังอย่างเพลิดเพลินและอึ้ง (จนถึงกับลืมจดบางส่วน ฮา..)

    หลังจากนั้นก็เป็นการเล่นเกม โดยแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มทำตลาดให้กับสินค้าสี่ชนิด ที่ไม่น่าเป็นไปได้ ว่าทำอย่างไรจึงจะขายสินค้าเหล่านี้ได้ โดยใช้พลังของ Positive thinking สินค้าที่ว่าคือ
    1. สเปร์ยกลิ่นขยะ
    2. เทปเพลงชุดผายลมรัก
    3. ยาสีฟันกลิ่นปลาร้า
    4. โทรศัพท์แปลภาษาหมา

    เมื่อจบเกมแล้ว คณะกรรมการก็ออกมาให้คะแนนและคำแนะนำ โดยที่คณะกรรมการทุกท่านมีความเห็นตรงกันว่า การขายนั้นแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
    1. ตัวสินค้า
    2. การนำเสนอสินค้า

    ทุกท่านกล่าวว่า ถ้าสินค้าดีมากๆ แต่นำเสนอไม่ดีนัก ก็ยังขายได้ หรือถ้าสินค้าไม่ดีนัก แต่นำเสนอขายดี ก็ขายได้เช่นกัน

    หัวใจของการประสบความสำเร็จในการขายคือ 1. สินค้าต้องเป็นจริงในตลาด (มีคุณภาพ) และ 2. ผู้นำเสนอจะต้องเชื่อในสินค้านั้น

    เท่าที่ผมจดมา และจำได้ตอนนี้มีอยู่เท่านี้ครับ (ถ้านึกอะไรได้อีกจะมาเสริมอีกครับ) รบกวนเพื่อนๆ พี่ๆ มาช่วยกันเสริมด้วยครับ ... ผมหวังว่าพวกเราจะสามัคคี และช่วยกันทำให้เศรษฐกิจของไทยดีขึ้น สมกับวัตถุประสงค์ของ
    โต๊ะสีลมนี้ครับ :)

    ผมขอขอบคุณวิทยากรทุกท่าน คณะกรรมการทุกคน สปอนเซอร์ในงาน และ pantip.com ที่ช่วยให้ผมได้เปิดหูเปิดตาเปิดใจมากขึ้นกว่าเดิมครับ :)

    จากคุณ : wmouth - [ 4 ส.ค. 46 08:08:09 ]