ความคิดเห็นที่ 3
ไม่ได้เป็นคนทำงานตรงนี้ เหมือนกัน รอให้คนที่ทำมาทำวิธีคิดให้ดูแล้วกัน ตามที่ตัวเองเข้าใจและเจอมาก็คือเป็นการประเมินยอดขายล่วงหน้า อย่างที่ความคิดเห็น 1 และ 2 บอก โดยดูจากข้อมูลในอดีตมาคิดว่ายอดขายในอนาคตควรจะเป็นเท่าไหร่ ในช่วงนี้ที่ผ่านมา มีโปรโมชั่นทำให้เพิ่มยอดขายอย่างไร เช่นโฆษณาสินค้า, ให้ส่วนลดแก่ลูกค้า, ให้คอมมิชชั่นเพิ่มแก่เซลล์,บริษัทคู่แข่งออกนโยบายต่อสู้ แล้วยอดขายเพิ่มขึ้นลดลงเท่าไหร่ สินค้าบางตัวยอดขายก็เป็น seasonal ยอดไม่คงที่ในแต่ละเดือน แต่มีช่วงขึ้นลงในช่วงเดิมทุกปี Sale Forecast ครอบคลุมทุกอย่างที่พูดมา เลยค่อนข้างยากที่จะทำและการคาดการณ์ก็ไม่แน่นอน อาจจะมีการคลาดเคลื่อนได้
การทำ Sale Forecast เพื่อให้ผู้บริหารตัดสินใจว่าจะเลือกดำเนินนโยบายการตลาดแบบไหน ที่ได้ผลดีที่สุด เช่น การโฆษณาและการให้ส่วนลดแก่ลูกค้า ทำให้ยอดขายสูงขึ้นมาก แต่ยอดค่าใช้จ่ายก็สูงทำให้กำไรได้ไม่มากเท่าที่คิด แต่การให้คอมฯแก่เซลล์ ทำให้ยอดขายสูงขึ้นไม่มาก แต่ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าสองวิธีแรก เมื่อคิดแล้วกำไรได้มากกว่า Sale Forecast จึงอิงกับงบกำไรขาดทุน เพื่อช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจ
ในเรื่องของการช่วยการทำงานในบริษัท ถ้าทำ Sale Forecast ได้ถูกต้อง จะมีผลดีอย่างมาก ยิ่งถ้าบริษัทที่มี lead time ในการสั่งผลิต สั่งซื้อนาน ๆ การเก็บสต็อค เช่นการเก็บสต็อค เราเก็บสต็อคแบบหาค่าเฉลี่ยยอดขายทั้งปี มาเก็บสต็อคสินค้า วัตถุดิบที่ใช้ในบริษัท ถ้าสินค้าขายได้เป็น season ช่วงที่ยอดขาย Low ก็มีจะการเก็บสต็อคเยอะเกินไป และมีการผลิตสินค้าออกมาเยอะเกินความต้องการของลูกค้า ในขณะเดียวกัน ถ้ายอดขายสูง การเก็บสต็อคและการผลิตแบบเฉลี่ยจากยอดขายทั้งปี จะทำให้สินค้าขาดสต็อค วัตถุดิบสั่งมาไม่ทันผลิต ทำให้ผลประกอบการแย่ตามไปด้วย
ดังนั้น Sale Forecast ถ้าใช้ดี ๆ จะเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพใช้ฟาดฟันคู่แข่งได้ดี แต่ถ้าประเมินการผิด อาวุธตัวนี้กลับมาปักอกตัวเองแน่นอน
จากคุณ :
kazama
- [
27 ต.ค. 46 15:25:55
]
|
|
|