ความคิดเห็นที่ 1 ควรใช้วิธีใดแก้ไขปัญหาการว่างงาน - แก้ให้ทุเลาลงก็มีครับ ก็ดูไปว่า การว่างงานนั้น แรงงานที่ว่าง เป็นแรงงานระดับไหน ฝีมือ หรือป่าว ถ้าเป้นที่ระดับไหน ก็ส่งเสริม การลงทุนที่จะทำให้เกิด การจากงานในแบบนั้นๆ(นี่ระยะยาว) สำรวจในตลาดแรงงานว่างมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องส่วนไหน ที่สามารถรองรับ เข้าไปทำงานได้ ก็ผลักดันส่งเสริม ให้เข้าทำงานส่วนนั้นไป (ระยะสั้น) - ทางสุดท้ายก็ทำให้สังคม เป็นแบบสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ อะไรทำนองนี้(อันนี้ น่าจะแก้ได้ชัวร์) มีโอกาสไหมที่การว่างงานจะหมดไปจากสังคม -ไม่มีทางครับ (ในระบบทุนนิยม แบบนี้อ่ะนะ) เพราะว่า มันจะต้องมีแรงงานที่ว่างงานอย่างสมัครใจเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และ หากไม่มีคนว่างงานในสังคมเลย มันจะก่อผลกระทบ ต่อจากนั้นครับ เพราะเมื่อไม่มีแรงงานที่ว่าง เหลืออยู่เลย การขยายตัวทางเศรษฐกิจมันก็จะไม่ขยับครับ เพราะ เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ก็ต้องมีแรงงานมาขับเคลื่อนครับ แล้วก็ มันจะไปส่งผลกระทบต่อ อัตราค่าแรงงานครับ เพราะ เมื่อไม่มีแรงงานเหลือ นั่นก็หมายความว่าผู้ประกอบการ ไม่มีทางเลือก เพราะกลัวว่าจะไม่มีคนทำงานให้ ก็จะทำให้ค่าแรงพุ่งสูงขึ้น จากนั้น ก็จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น จากนั้น สินค้าก็ราคาสูงขึ้น ค่าครองชีพก็สูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อก็เพิ่มขึ้น...... โอยเยอะ อธิบายไม่ไหว สรุปเลยว่า มันเป็นไปไม่ได้ ^_^ จากคุณ : top (เด็กโข่ง) - [ 7 ธ.ค. 46 23:37:07 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คุณ top อธิบายได้ดีครับแต่อย่างไรก็ดีคำว่าการว่างงานเราต้องมาวิเคราะห์กันให้ดีนะครับ ถ้าเราเอาเศรษฐศาสตร์มาจับบางคนเราก็จะมองเป็นพวกว่างงานไปเลยเนื่องจากไม่มีผลผลิต ยกตัวอย่างเช่นพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผมว่างานของท่านทางจิตวิญญาณ ตรงนี้ในความเห็นผมนะคุณค่ามหาศาลเลยครับ เพราะท่านเหล่านี้เป็นพลังผลักดันให้คนเดินในทางที่ถูก สามารถเลี้ยงชีวิตได้โดยทำให้สังคมได้ประโยชน์ แต่ในทางตรงข้ามทางเศรษฐศาสตร์กลับนับว่าเป็นงานสำหรับกลุ่มที่เอานรกมาขู่เอาสวรรค์มาหลอก ขายไอ้โน่นไอ้นี่ ในความเห็นผมส่วนนี้ทางเศรษฐศาสตร์ถือว่ามีผลผลิตแล้วขายได้ราคาดีด้วย นี่ยกตัวอย่างเล่น ๆ นะครับ อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวผมนะครับ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : จากป๋า - [ 8 ธ.ค. 46 08:29:28 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าไม่เลือกงาน อัตราว่างงานน่าจะลดลงนะคะ จากคุณ : กุยแกตามหาโจโฉ - [ 8 ธ.ค. 46 19:01:10 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ดิฉันมองว่าการแก้ปัญหาการว่างงานต้องแก้ที่สาเหตุคือ ต้องพัฒนาเศรษฐกิจ ในภาค Real Sector โดยสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีการลงทุนในแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งต้องพัฒนาทั้งภาคการเงินและภาคผลผลิต ภาคการเงิน โดยการใช้นโยบายการเงินที่ยืดหยุ่น คือ - โดยการเพิ่มปริมาณเงินในระบบเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยกู้ได้มากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุน ซึ่งก็จะทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น แต่นโยบายนี้ควรใช้แค่ในระยะสั้นๆ - หรือลดปริมาณเงินถ้าในตลาดเงินมีการขยายตัวมากเกินไป เพราะจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น เกิดภาวะเงินเฟ้อ สินค้าราคาแพง แม้ว่าธุรกิจจะขายสินค้าแพงขึ้นทำให้มีรายได้สูงขึ้น แต่ก็ต้องจ่ายค่าแรงให้แรงงานสูงขึ้น ต้นทุนสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจลดการจ้างงานลง ดังจะเห็นได้จากวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมา ซึ่งเป็นภาวะฟองสบู่แตก หุ้นตกกราวรูด เนื่องจากตลาดการเงินขยายตัวมากเกินกว่าตลาดผล ผลิต ในตลาดมีแต่การเก็งกำไร ดึงราคาหุ้นให้สูงขึ้น แต่ผลผลิตไม่ได้สูงขึ้น ผลสุดท้ายฟองสบู่แตก ราคาหุ้นตกลงเหมือนตกเหว นักลงทุนก็เดือดร้อน กลายเป็นเหยื่ออันโอชะของระบบทุนนิยม ภาคผลผลิต โดยการให้เศรษฐกิจพัฒนาไปด้วยกลไกทางเศรษฐกิจ นั่นคือต้องมีการพัฒนาในแง่ความรู้ความสามารถของแรงงาน และพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งการพัฒนาทั้งแรงงานและเทคโนโลยี จะนำมาซึ่งการผลิตสินค้าที่มี Productivity มากขึ้น ซึ่งจะนำมาสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และจะเป็นการกระตุ้นให้เกิด Demand ได้ด้วยตัวมันเอง ซึ่งเมื่อมี Demand ธุรกิจก็ย่อมต้องการขยายการลงทุนและเพิ่มผลิตผลมากขึ้น การจ้างงานก็เพิ่มขึ้น ดังนั้นเมื่อการจ้างงานเพิ่มขึ้น ประชาชนก็จะมีรายได้มากขึ้น มีการใช้จ่ายมากขึ้น และธุรกิจก็มีการลงทุนมากขึ้น ในที่สุด GDP ก็จะขยายตัวมากขึ้น และนี่คือคำตอบคะ ว่าการแก้ไขปัญหาการว่างงานที่แท้จริง คือการเพิ่มการขยายตัวของ GDP ให้สูงขึ้น พูดเหมือนง่าย แต่ทำจริงๆนะยากมากกกกกก ที่คุณทักษิณบอกว่าอยากได้ซัก 8% ถ้าทำได้จริงก็คงเป็นบุญของประชาชน คนใช้แรงงานอย่างเราๆเนอะ เฮ้ออออ จากคุณ : candy perfume girl - [ 9 ธ.ค. 46 01:50:37 ]

ความคิดเห็นที่ 5 จากความเห็นที่ 4 การแก้ไขปัญหาการว่างงานที่แท้จริง คือการเพิ่มการขยายตัวของ GDP ให้สูงขึ้น ผมคิดว่าไม่จริงเสมอไปนะครับ จากสมการพื้นฐาน Y=C+I+G+(X-M) Y คือรายได้ประชาชาติ(GDP) อัตราการจ้างงานเป็นตัวแปรตามของการลงทุน(I)ขณะเดียวกันก็เป็นตัวแปรต้นของ C หรือ consumption ดังนั้นการจะทำให้การว่างงานลดลงก็ต้องเพิ่มการลงทุนหรือ I แต่ก็ใช่ว่าจะตอบคำถามได้หมด เพราะหากเรามองว่า การมีงานทำเป็น normal goods ซึ่งหมายความว่ายิ่งทำงานมากความพอใจยิ่งเพิ่มมาก การมองแบบนี้เป็นการมองเพียงด้านเดียว ต้องไม่ลืมไปว่าบางคนทำงานมากกลับมีความพอใจลดลง เพราะเขาให้ความสำคัญกับ การพักผ่อน (leisure) ดังนั้นการทำงานจึงเป็น inferior goods สำหรับเขา แต่เป็นกรณี คนที่รวยแล้ว มีอันจะกินแล้ว ซึ่งมิใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยทั่วไปคนเราจะพอใจกับการทำงานและรายได้จนถึงระดับหนึ่งซึ่งมากน้อยเป็นรายๆไป การแก้ปัญหาการว่างงานให้หมดไปจึงเป็นไปไม่ได้ในโลกของความเป็นจริง แต่การทำให้อัตราการว่างงานลดลงเป็นไปได้ แต่ระดับการว่างงานที่เหมาะสมเราไม่สามารถกำหมดได้เพราะ กลไกตลาด(กลไกราคา)จะเป็นตัวปรับให้เข้าสู่ดุลภาพเอง ถ้าระบบเศรษฐกิจของประเทศอำนวยให้เกิด Market failure มากขึ้นเท่าไรการปรับเข้าสู่ดุลยภาพย่อมจะช้าลง ดังนั้นการจะทำให้อัตราการว่างงานลดลง ซึ่งจะดูเป็นเป้าหมายที่สมเหตุสมผลกว่า เราสามารถจำแนก solutions ได้เป็น 2 ด้านกล่าวคือ 1. ด้าน Supply sideเราต้องมองมนุษย์เป็น Capital อย่างหนึ่งก่อน การจะเพิ่มมูลค่าของแรงงาน คำตอบคือการให้การศึกษา การให้การศึกษาเป็นหน้าที่ที่รัฐต้องจัดให้ประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ไม่ขอลงรายละเอียด เพราะจะออกนอกประเด็นจนเกินไป 2. ด้าน Demand side คือการมองในแง่ผู้ผลิต รัฐต้องทำให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยการกระตุ้นผ่านตัวแปร G หรือ รายจ่ายของรัฐบาล ดังนั้นการแก้ปัญหาการว่างงานจึงจะต้องกระทำทั้ง 2 ทาง อีกทั้งรัฐต้องทำให้ ความล้มเหลวของตลาด(Market failure)หมดไป เพื่อให้กลไกตลาดทำงานอย่างสมบูรณ์โดยผ่านกลไกราคาเพื่อปรับเข้าสู่จุดดุลยภาพในตลาดแรงงาน.... ที่กล่าวมาเป็นเพียงการวิเคราะห์อย่างง่ายๆ หากมีใครช่วยเพิ่มเติมหรือ แก้ไขจักเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จากคุณ : รักท่าพระจันทร์ - [ วันรัฐธรรมนูญ 00:40:48 A:203.113.33.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 แน่นอนคะ ปัญหาการว่างงานแก้ไขไม่ได้ทั้งหมดหรอกคะ แต่สิ่งที่จะช่วยแก้ไขคือการแก้ไขที่รากหญ้า นั่นคือต้องสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นวิธีการที่จะช่วยแก้ปัญหาการว่างงานได้ในระยะยาว ในความคิดเห็นของดิฉัน การแทรกแซงของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นการใช้นโยบายการคลังโดยการใช้จ่าย G หรือการใช้นโยบายทางการเงิน อาจช่วยแก้ไขได้ในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากการใช้นโยบายดังกล่าวจะก่อให้เกิดปัญหาภาวะเงินเฟ้อขึ้นเพราะจะไปเพิ่ม Aggregate Demand ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ในตลาดแรงงานจะมีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น (เพราะราคาสูงขึ้น บริษัทอยากผลิตมากขึ้น) แต่สุดท้ายบริษัทต้องเพิ่มค่าแรง ทำให้ ณ จุดดุลยภาพ การจ้างงานจะไม่เพิ่มขึ้น แต่ราคาจะสูงขึ้น ดิฉันมองว่ารัฐบาลควรมีบทบาทเพียงแค่ให้การสนับสนุนการลงทุนภายในประเทศ (ซึ่งอาจสนับสนุนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย เพื่อเพิ่มความต้องการแรงงานในท้องถิ่นมากขึ้น) และให้การสนับสนุนเช่น จัดตั้งศูนย์วิจัยหรือร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ให้ประเทศมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น หรือการเปิดอบรมพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และความสามารถสูงขึ้น ซึ่งเมื่อบุคลากรมีคุณภาพมากขึ้น ความต้องการในตลาดแรงงานก็จะสูงขึ้น การว่าจ้างก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งตรงนี้จะเป็นการพัฒนาอย่างแท้จริง เมื่อเศรษฐกิจภายในประเทศแข็งแกร่ง ปัญหาการว่างงานก็จะลดลงไปตามกลไกตลาดที่กล่าวมาข้างต้น จากคุณ : candy perfume girl - [ วันรัฐธรรมนูญ 03:19:20 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอเสริมอีกประเด็นนะครับ จากที่ได้กล่าวมาแล้วว่าในการแก้ปัญหาการว่างงานทำได้ 2 ทาง ในส่วนของด้าน Demand side ขอเพิ่มเติมว่า การใช้จ่ายของรัฐเป็นเพียงตัวกระตุ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งการกระตุ้นจะเกิดผลมากน้อย เราต้องดูที่ ตัวคูณรายจ่ายของรัฐบาล ว่ามีมากน้อยเพียงใด การดำเนินการของรัฐทั้งด้านนโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง จะเป็นการเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งย่อมจะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อไม่มากก็น้อยขึ้นอยู่กับภาวะทางเศรษฐกิจ แต่การดำรงภาวะเงินเฟ้ออ่อนๆ ก็เป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ปราถนาไม่ใช่เหรอครับ ในส่วนของการส่งเสริมการลงทุน ผมเห็นด้วยกัย คคหที่5 ว่ารัฐต้องส่งเสริม แต่การส่งเสริมต้องดูด้วยว่าอุตสาหกรรมนั้นเรามี ความในเปรียบในด้านทรัพยากร(Comparative advantage) เนื่องจากที่ผ่านมารัฐเคยส่งเสริมอุตสาหกรรมผิดประเภทมาแล้ว ซึ่งก่อให้เกิดตุ้นทุนมากมาย และไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ลำพังจะยึดเอาการผลิตเพิ่มทดแทนการนำเข้า(Import substitution)ย่อมไม่ใช่นโยบายที่ดีเสมอไป อาจดีในช่วงแรกๆ แต่หลังจากนั้นรัฐต้องเน้นการส่งเสิมการส่งออก( Export promotion) อีกทั้งรัฐต้องเลือกประเภทอุตสาหกรรมในการส่งเสริม ซึ่งถ้าโจทย์อยู่ที่ต้องการลดการว่างงาน นัฐควรนมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่เป็น labor intensive ไม่ใช่ Capital intensive ซึ่งแน่นอนว่าเป็นไปได้ยากเพราะ กระบวนการ Globalization ได้ให้ความสำคัญและยกย่องการใช้เทคโนโลยี ดังที่ได้เห็นการไล่กวดทางเศรษฐกิจในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย เห็นด้วยกับคุณ candy perfume girl ที่เราต้องกระตุ้นที่ real sector ดังที่ท่านนายกทักษิณ ได้ทำอยู่ในขณะนี้ แม้จะผิดจุด และสิ้นเปลืองไปบ้าง แต่ถ้าไม่เริ่มทำก็คงไม่มีใครทำ แต่การกระตุ้นที่ real sector หรือ Grass root นั้นเราต้องทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนั้นผมเห็นว่าการศึกษาจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาการว่างงาน รัฐต้องจัดให้มีการบริการทางการศึกษาที่ประชาชนทุกระดับ สามารถเข้าถึงได้ ด้วยตุ้นทุนที่ต่ำที่สุด ผมมองว่าในปัจจุบันรัฐให้การสนับสนุนมากเกินไป เพราะเงินสนับสนุนส่วนใหม่ตกไปสู่ คนชั้นกลาง-บน --รัฐควรสนับสนุนเฉพาะคนเก่งกับคนจน เท่านั้น( อ่านจากบทความของ ศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์) และถ่ายโอนส่วนเกินทางเศรษฐกิจกลับให้ผู้ด้อยโอกาสให้ได้ อีกทั้งรัฐต้องทำให้ Market failure ลดลงไป โดยสาเหตุหลักมาจากความไม่สมมาตราทางข่าวสาร(Assymatric information)เพื่อให้การเจรจาต่อรองค่าจ้างเป็นธรรมมากขึ้น ป.ล. ในการวัดความเป็นอยู่ของ real sector ผมคิดว่าควรวัดโดยดูจาก Gini coeffient ซึ่งอธิบายการกระจายรายได้ที่ดีกว่าค่า GDP @^_^@ จากคุณ : รักท่าพระจันทร์ - [ วันรัฐธรรมนูญ 12:49:10 A:203.113.32.11 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 ลดปัญหาการว่างงาน(ได้แค่ลด) โดยการสร้างงาน สร้างงานโดยการศึกษา (ผมไม่รู้...ผมคนบ้า) จากคุณ : mr_toy - [ 11 ธ.ค. 46 23:24:18 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ที่พูดถึงการว่างงาน ก็เพราะกรอบความคิดแบบพึ่งพาคนอื่น คนที่ unemployed ทั้งหลายจึงกลายเป็นคนว่างงาน แต่หากสามารถเปลี่ยนกรอบความคิดเป็นแบบพึ่งพาตนเองแล้ว เชื่อว่า ปัญหาการว่างงานจะลดลงมาก หากไม่มีใครจ้าง ก็จ้างตัวเอง self employed ได้ ริเริ่มธุรกิจขึ้นมาเอง สร้างกรอบความคิดของการพึ่งพาตัวเอง เลือกทางเดินของตัวเอง เราเป็นลูกจ้างของที่นี่ ไม่ใช่เพื่ออาศัยที่ว่าบริษัทมั่นคงและเกาะไปเรือ่ย ๆ แต่เราเลือกที่จะทำงานที่นี่เพราะเราชอบงานแบบนี้ และเราจะใช้ความสามารถของเราเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของเรา เราเลือกที่จะทำงานอิสระ ก็เพราะเรามีวัตถุประสงค์ของเรา เราเลือกจะบวชเป็นพระ เลือกที่จะทำบ้างหยุดบ้าง หรือ อะไรก็แล้วแต่ หากยึดแนวคิดแบบพึ่งพาตัวเอง ก็จะสามารถก้าวต่อไปได้อย่างพอเพียง ผมเชืออย่างนี้หน่ะครับ แหะแหะ จากคุณ : OutOfMyMind - [ 12 ธ.ค. 46 16:52:18 ]