ภาษี - ระบบถ่ายเทเงินเข้ากระเป๋าเจ้าของที่ดิน

    ภาษี - ระบบถ่ายเทเงินเข้ากระเป๋าเจ้าของที่ดิน
    สุธน หิญ suthon@clickta.com
    ไม่สงวนลิขสิทธิ์

    ระบบภาษีของแทบทุกประเทศเป็นระบบที่ถ่ายเทเงินจากทุกคนไปให้แก่ชนชั้นเจ้าของที่ดิน

    ลองคิดดู กิจกรรมของสังคมเอง เช่นการผลิตและแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าและบริการกัน และการบริหารบริการของรัฐ ซึ่งต้องใช้เงินจากภาษีทั้งหลาย ได้ไปทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น มีเทคโนโลยีสูงขึ้น ทำธุรกิจได้รวดเร็วขึ้น แล้วในที่สุดก็ไปเพิ่ม “ราคา/ค่าเช่าที่ดิน” เรื่องนี้ดำเนินมานานแล้ว ตั้งแต่ที่ดินยังไม่ค่อยมีราคา เพราะชุมชนยังมีขนาดเล็ก จนถึงปัจจุบันซึ่งชุมชนมีขนาดใหญ่ ประชากรหนาแน่น มีการคมนาคม และสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัย ราคา/ค่าเช่าที่ดินก็ยิ่งสูงขึ้น เจ้าของที่ดินเป็นผู้ได้ประโยชน์ไป . . . ตลอดมา

    ดังนั้น ภาษีอันดับแรกที่ควรเก็บก็คือ ภาษีที่ดิน

    ที่จริงนั้น ตามกฎธรรมชาติของสังคมมนุษย์ ค่าเช่าที่ดินต้องมี แพงบ้าง ถูกบ้าง มันแสดงถึงศักยภาพ มากบ้าง น้อยบ้าง ของที่ดินนั้นๆ ที่จะให้ประโยชน์ได้ และเมื่อหักค่าเช่าที่ดินออกแล้วยังทำให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนลงแรงในที่ดินต่างทำเลกันมีความเท่าเทียมกันด้วย เพียงแต่ค่าเช่านี้ควรเข้ารัฐมากกว่าปล่อยให้เข้ากระเป๋าเอกชน

    อีกประเภทหนึ่งของภาษีที่ดิน คือ ค่าภาคหลวงหรือภาษีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ (ที่ดินหมายรวมถึงทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนสิ่งแวดล้อมด้วย) ทั้งนี้ควรเก็บโดยคิดถึงการสูญเสียทรัพยากรไปชนิดที่เอากลับคืนมาได้ยากหรือไม่สามารถเอากลับคืนมาได้เลย ด้านสิ่งแวดล้อม ถ้าใครทำให้เกิดมลภาวะก็ควรเป็นผู้จ่ายสำหรับการแก้ไข ทั้งนี้ควรคิดเอากับผู้ผลิตรายใหญ่ โดยคำนึงไปถึงขั้นสุดท้ายที่ผลผลิตเสื่อมคุณภาพจนต้องทิ้งกลายเป็นขยะ ซึ่งอาจเป็นขยะพิษที่ยากแก่การทำลาย ค่าแก้ไขมลภาวะนี้แม้คิดเอากับผู้ผลิต แต่มันก็เป็นต้นทุนซึ่งในที่สุดผู้บริโภคก็ต้องรับภาระตามที่ควรเป็นอยู่แล้ว

    คนหนึ่งๆ อาจเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตทั้ง ๓ ปัจจัย คือ ที่ดิน แรงงาน ทุน (“การประกอบการ” รวมอยู่ใน “แรงงาน” ซึ่งแบ่งเป็น แรงสมอง และ แรงกาย) หรือปัจจัยเดียว หรือสองปัจจัยก็ได้ แต่ในการพิจารณาปัญหา เราจะต้องแยกปัจจัยเหล่านี้ออกดูเป็นแต่ละปัจจัยไป

    อาจมีผู้ค้านว่าคนอื่นทั้งหลายก็ได้รับประโยชน์จากกิจกรรมของสังคมและการบริหารบริการของรัฐ ทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น การประกอบอาชีพก็ได้รับผลตอบแทนมากขึ้น ถูกต้อง! แต่ . . . การประกอบอาชีพอื่นๆ ที่มิใช่การเป็นเจ้าของที่ดิน คือการต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่คนในสังคมด้วยกันอยู่แล้ว ส่วนของแถมที่เขาไม่ปรารถนาคือการต้องจ่ายค่าเช่าที่ดินสูงขึ้น

    แต่การได้ที่ดินมากเกินส่วนของเจ้าของที่ดินแต่ละคนกลับเป็นการบั่นทอนสิทธิในที่ดิน ซึ่งจำเป็นเสมอต่อการเป็นที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพของคนส่วนที่เหลือ “ที่ดินเป็นเงื่อนไขของชีวิต ขาดที่ดิน ชีวิตก็ดับ”

    การซื้อที่ดินมิใช่การลงทุนที่แท้จริง แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนมือผู้ถือสิทธิในสิ่งที่ไม่ได้เกิดจากการลงทุนลงแรงผลิต

    การที่แต่ละคนมาร่วมมือกัน แบ่งงานกันในสังคม ก่อผลผลิตและบริการ แล้วนำมาแลกเปลี่ยนขายซื้อกัน ทำให้มนุษย์สามารถมุ่งความสนใจไปฝึก-ศึกษาให้มีความชำนาญเฉพาะอย่าง (specialization) ทำให้เกิดความรู้สั่งสม ศิลปะวิทยาและอารยธรรมก้าวหน้า และเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสนองความต้องการแก่ทั้งตนเองและผู้อื่น ใครมีรายได้มากแสดงว่าเขามีประสิทธิภาพสูง จึงมีคนต้องการติดต่อซื้อขายด้วยมาก

    นี่เป็นการช่วยให้สำเร็จผลตามจุดประสงค์ของรัฐบาลอยู่แล้ว คือ “ความอยู่ดีกินดี” ของคนหมู่มากในสังคม

    (หลายคนกล่าวว่าพวกรายได้สูงมักใช้การผูกขาด การมีอำนาจเหนือตลาด ใช้เล่ห์เหลี่ยมทุจริต เรื่องนี้ราชการต้องรับภาระควบคุมแก้ไข แต่ไม่ควรแก้ด้วยการลงโทษเก็บภาษีคลุมไปหมดทุกคน)

    ความอยู่ดีกินดีย่อมหมายถึงการได้ซื้อสินค้าและบริการในราคาที่ไม่แพงด้วย คนเราทำงานผลิตก็เพื่อจะได้บริโภคกันทั้งนั้น ไม่วันนี้ก็วันหน้า อีกทั้งการใช้จ่ายเพื่อบริโภคก็เป็นการต่างคนต่างช่วยกันให้มีงานทำมีรายได้

    ดังนั้นจึงไม่ควรจะถูกขัดขวางเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่กลับจะต้องส่งเสริม ด้วยการ “ยกเว้นภาษี” ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้ ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีโรงเรือน อากรแสตมป์ ฯลฯ

    ปัจจุบันคนจนไร้ที่ดิน ต้องเสีย ๒ ต่อ คือ
    ๑. อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเสีย “ภาษีทางอ้อม” หรือ “ภาษีถอยหลัง” จำพวกภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีสินค้าเข้า (เสียมากเมื่อเทียบกับรายได้ เพราะได้มาเท่าไรก็อาจต้องจ่ายหมด ไม่มีเหลือเก็บ ซ้ำอาจต้องกู้)
    ๒. แล้วกลับต้องจ่ายค่าเช่าที่ดินเพิ่มขึ้นๆ อีกด้วยเนื่องจากภาษีที่ตนเองต้องจ่ายตามข้อ ๑. ถูกนำไปสร้างถนน ทำท่อระบายน้ำเสีย บริการสาธารณะต่างๆ จัดเจ้าพนักงานดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย ป้องกันอัคคีภัยอันตรายทั้งหลาย . . . ฯลฯ . . . ฯลฯ . . . ซึ่งไปทำให้ชุมชนมีความน่าอยู่ขึ้น ก็เลยทำให้ที่ดินมีราคาหรือค่าเช่าสูงขึ้นๆ (ซึ่งเป็นอย่างนี้มานานมากแล้ว)

    ผู้ได้ประโยชน์คือปัจเจกชนแต่ละคน แต่ละบริษัท ที่ได้ค่าเช่าหรือราคาที่ดินไป หรือแม้แต่เก็งกำไรเก็บกักที่ดินไว้ก่อน โดยไม่ต้องทำอะไร (หมายถึงเฉพาะที่ดิน ไม่รวมค่าเช่าห้องหรืออาคาร ซึ่งต้องคิดแยกจากที่ดิน การสร้างห้องหรืออาคารคือการลงทุนลงแรงผลิตเศรษฐทรัพย์ มีความสมควรที่จะได้รับผลตอบแทน)
    ทำให้ที่ดินมากมายถูกเก็งกำไรซื้อหาเก็บกักปิดกั้นไว้ ซึ่งใครๆ ที่พอมีเงินก็ทำกันทั่วไป เป็นการรวมหัวผูกขาดที่กว้างขวางที่สุดโดยไม่ต้องนัดหมาย คนจนก็ยิ่งลำบากมากขึ้นในการจะมีที่ดินเป็นของตนเอง และผู้คนต้องหาที่อยู่อาศัยกระจายห่างไกลจากชุมชนออกไป (leapfrogging) โดยไม่สมควร เลยต้องพึ่งพายานพาหนะสำหรับการขนส่งไปมาติดต่อกัน เสียเงินมากขึ้นไปอีก เสียเวลาเดินทางในการจราจรที่ติดขัดอัดแอ กลายเป็นคนเร่งร้อนและไม่มีเวลาให้ครอบครัว ครอบครัวแตกแยก

    เราอาจไม่ค่อยได้คิดกัน หรือคิดไม่ถึง ว่าถ้าไม่มีการเก็งกำไรเก็บกักที่ดิน ที่ดินจะมีมากมายเพียงพอสำหรับทุกคน

    รัฐจึงควรถ่ายเทภาษีที่เป็นภาระต่อการทำงานและการลงทุน กลับไปให้เป็นภาระต่อการถือครองที่ดินแทน (แต่ควรทำเป็นโครงการระยะยาว อาจเป็น ๒๐–๓๐ ปี ให้มีเวลาปรับตัวกันได้พอควร และถือเป็นการชดใช้ให้แก่เจ้าของที่ดินไปในตัว ซึ่งความจริงการเปลี่ยนแปลงภาษีไม่ได้มีการชดใช้กัน แต่การชดใช้ก็มีอยู่แล้ว โดยการยกเลิกหรือลดภาระภาษีจากการลงทุนลงแรง และการที่เมืองไทยจะน่าอยู่ขึ้น)

    ถึงแม้จะลดภาษีต่างๆ ไม่ได้หมด ยังจะต้องมีอยู่บ้าง เพื่อให้รัฐมีรายได้มากพอ ก็ยังดีกว่าไม่ลดเลย

    ผลดี – (ภาษีทั้งหลายเก็บจากสิ่งใด ก็มีผลทำให้สิ่งนั้นแพงขึ้น แต่ภาษีที่ดินมีผลตรงข้าม)
    ๑. การเลิก/ลดภาษีเช่นนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมาก ซึ่งดีกว่าแบบของสหรัฐฯ ที่ทำมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ทำได้เพียงชั่วคราว มิฉะนั้นรัฐบาลจะเป็นหนี้มหาศาล เพราะไม่ได้เก็บภาษีที่ดินแบบที่ผมเสนอมาชดเชย ซึ่งภาษีที่ดินก็เป็นอีกแรงหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ลองคิดด้วยว่า ถ้าไม่เลิก/ลดภาษี ผลก็คือตรงข้ามกับการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือเปล่า?)
    ๒. คำว่า “มนุษย์เกิดมาเท่าเทียมกัน” เป็นจริงมากขึ้น เพราะภาษีที่ดินแบบนี้ทำให้ทุกคนดุจเป็นเจ้าของที่ดินเสมอภาคกัน
    ๓. ราคา/ค่าเช่าที่ดินจะลด เพราะที่ดินจะไม่ถูกเก็งกำไรเก็บกักปิดกั้นไว้ แต่จะเปิดออกเพื่อหาประโยชน์ให้คุ้มภาษีที่ดิน การว่างงานจะลด ค่าแรงจะเพิ่ม ผลตอบแทนต่อการใช้ทุนก็เพิ่ม
    ๔. ซ้ำแรงงานและทุนไม่ต้องเสียภาษีทางตรงจำพวกภาษีเงินได้ หรือเสียน้อย จึงมีรายได้สุทธิเพิ่ม
    ๕. สินค้าจะมีราคาถูก เพราะการลดภาษีทางอ้อมจำพวกภาษีมูลค่าเพิ่ม อากรสรรพสามิต และอากรขาเข้า ความสามารถแข่งขันกับต่างประเทศจะสูงขึ้นด้วย และต่างชาติจะนิยมมาเที่ยวไทย แบบฮ่องกง สิงคโปร์
    ๖. เกิดความคล่องตัวในการย้ายถิ่นฐาน เพราะทั้งที่ดินและบ้านจะมีราคา/ค่าเช่าถูกลง และหาได้ง่ายขึ้น ที่ดินในเมืองจะได้รับการใช้ประโยชน์มากขึ้น มีบ้าน แฟลต คอนโดให้เช่ามากขึ้น ค่าเช่าต่ำลง ปัญหาการเดินทางเช้าเข้าเมืองเย็นกลับออกนอกเมืองที่ติดขัดอัดแอเสียเวลามากจะบรรเทาลง ปัญหาแหล่งเสื่อมโทรมหรือชุมชนแออัดในเมืองจะบรรเทาลงเช่นเดียวกัน
    ๗. กรณีพิพาทขัดแย้งแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดินจะลดลงมากโดยอัตโนมัติ

    คนจำนวนมากเกรงว่าการเก็บภาษีที่ดินแทนภาษีอื่นๆ จะทำให้ตนและครอบครัวเดือดร้อน ขอให้คิดให้จริงจัง ท่านจะไม่ต้องจ่ายภาษีอื่นที่เคยจ่าย ท่านและสมาชิกทั้งครอบครัวเคยต้องเสีย ”ภาษีเงินได้” รวมกันแล้วทั้งปีเท่าไร แล้วยังภาษีทางอ้อมปัจจุบันซึ่งผู้ค้าบวกเข้าในราคาสินค้า รวมทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ๗% (ยามปกติจะเก็บ ๑๐%) ลองรวมดูทั้งปีเถิด!

    การเสนอให้เก็บภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สิน หรือเก็บภาษีเงินได้ในอัตราก้าวหน้ายิ่งขึ้น (ที่คนจำนวนมากอยากให้ทำ) ก็เช่นเดียวกัน เป็นการทำลายล้างซึ่งกันและกัน คือถ่วงรั้งกำลังใจทำงาน หรือคือลดความต้องการที่จะร่วมมือกันและแบ่งงานกัน และลดโอกาสในความอยู่ดีกินดีและการก้าวหน้าของศิลปะวิทยาและอารยธรรม

    แต่มรดกและทรัพย์สินส่วนหนึ่งคือ “ที่ดิน” หรือไม่ก็ต้องอาศัยตั้งอยู่บนที่ดิน ถ้าเราเก็บภาษีที่ดินเสมือนที่ดินเป็นของรัฐหรือประชาชน นั่นจะเป็นการลดความแตกต่างในรายได้และฐานะมากแล้ว

    การเก็บภาษีที่ดินแบบของ Henry George ที่ผมเสนอนี้ไม่ต้องมาคิดว่าถ้าใครมีที่ดินมากหรือปล่อยรกร้างจะเก็บ “ภาษีอัตราก้าวหน้า” หรือยึดหรือบังคับเช่าหรือซื้อจากเจ้าของมาจัดสรร ซึ่งในกรณีเจ้าของที่ดินเป็น “บริษัท” ใหญ่น้อยแตกต่างกันมากมายหลายบริษัท และซ้ำซ้อนกับฐานะเจ้าของที่ดินของหุ้นส่วนแต่ละคนด้วย คงจะเป็นปัญหาที่ต้องออกกฎเกณฑ์กันละเอียดทีเดียว อาจถึงกับเป็นไปไม่ได้ และยังเป็นการยากแก่การตรวจสอบทั้งโดยภาครัฐเองและภาคประชาชน กลายเป็นช่องทางทำมาหากินของข้าราชการและนักการเมือง หน่วยงานราชการก็ต้องขยายใหญ่โตขึ้น แต่ภาษีที่จะได้จะไม่มากเท่าแบบของ Henry George และไม่ได้แก้ “ปัญหาขั้นฐานราก” ด้านการมี/ไม่มีที่ดิน หรือมีมากน้อยดีเลวผิดกัน ซึ่งคือความไม่เท่าเทียมกันของคนทั้งประเทศ

    หมายเหตุ
    ความคิดของ Henry George นี้ Karl Marx เรียกว่า ที่มั่นด่านสุดท้ายหรือการต่อสู้ดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของลัทธินายทุน (Capitalism’s Last Ditch) แต่พวกทุนนิยมจำนวนมากกลับเรียกว่าเป็น “สังคมนิยม” ส่วน Henry George เองกล่าวไว้ในคำนำของหนังสือ Progress and Poverty ว่าสิ่งที่ท่านได้พยายามกระทำนั้นถือว่าก่อให้เกิดความสอดคล้องต้องกันระหว่างอุดมคติของฝ่ายเสรีนิยมในเรื่อง "เสรีภาพ" และ "ปัจเจกนิยม" (Individualism) กับจุดประสงค์ของฝ่ายสังคมนิยมในเรื่อง "ความยุติธรรม" ทางเศรษฐกิจ "เป็นการเชื่อมสัจจะตามความคิดของสำนัก Smith และ Ricardo กับสัจจะตามความคิดของสำนัก Proudhon และ Lassalle ให้รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"

    จาก www.marxists.org/archive/marx/works/1881/letters/81_06_20.htm Karl Marx เขียนจดหมายตอบ Friedrich Adolph Sorge เมื่อ ๒๐ มิ.ย.๒๔๒๔ วิจารณ์ว่า “Henry George เป็นคนล้าหลังอย่างสิ้นเชิง . . . . คำสอนหลักของเขา [Henry George] คือทุกสิ่งจะเรียบร้อยถ้ามีการจ่ายค่าเช่าที่ดินให้แก่รัฐ ท่าน [Sorge] จะเห็นได้ว่าการจ่ายค่าเช่าที่ดินแบบนี้มีอยู่แล้วในบรรดามาตรการ ‘ช่วงเปลี่ยนผ่าน’ ที่เขียนไว้ใน The Communist Manifesto . . . . ”

    ดูเพิ่มเติมได้จาก
    askhenry.com
    www.geocities.com/RainForest/3046/
    www.foldvary.net
    cepa.newschool.edu/het/ ในส่วนที่เกี่ยวกับ Henry George และหนังสือ Progress and Poverty ของท่านที่เขียนไว้ ๑๒๔ ปีแล้ว ซึ่งอ่านได้ที่ www.schalkenbach.org/library/george.henry/ppcont.html (ภาคไทย คือ ความก้าวหน้ากับความยากจน ซึ่งคุณกฤตณบวรอนุเคราะห์นำขึ้นเว็บที่ www.thai.net/econ_buu/suthon).

    จากคุณ : สุธน หิญ - [ 19 ธ.ค. 46 22:40:28 ]