ความคิดเห็นที่ 1 ผมว่ามันได้นะครับ แต่ว่ายังไม่ใช่นาทีนี้ คือหนึ่งเลย คือทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ยังกระจุกอยู่ ถัดมาก็เป็นประเด็นเรื่อง การจัดส่ง การชำระสินค้า ที่ยังลำบากอยู่ ทั้งเรื่องการตัดบัตรเครดิต หรือการชำระเงินผ่านแบงค์ต้องเดินไปที่ตู้ เพราะระบบการชำระเงินออนไลน์ยังเ็้ป็นของใหม่ อีกอย่างก็ยังเป็นความไว้วางใจฝั่งผู้ซื้อ ที่ยังรู้สึกว่าการซื้อของแบบเจอของจริงๆ มันสะดวกใจกว่า มีคนถามผมว่าขายของออนไลน์ไปได้มั้ย ผมก้ตอบว่าไปได้ ถ้าคุณไม่ไปคาดหวังกันมากและยังไม่ถอดใจไปซะก่อน เพราะมันยังมีกำลังซื้อที่มองไม่เห็น จากคุณ : jetboat - [ 17 พ.ค. 47 13:32:31 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ในอเมริกาเองธุรกิจแนวนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จ เว็บไซต์ใหญ่ๆอย่าง eBay ก็ยังแค่พอไปได้ บางทีต้องยอมรับว่า ความสบายใจที่ได้จับของมันยัง เอาชนะความขี้เกียจของคนได้อยู่ครับ จากคุณ : Ace striker - [ 17 พ.ค. 47 14:38:12 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ส่วนตัว เป็นกระแสที่องค์กรต้องทำ แม้ว่าจะไม่มีการขาย ก็ต้องทำเพื่อหน้าตา และภาพลักษณ์ คิดว่าคงขายไม่ได้ดีเท่าที่ควร ต้องออกสู่ตลาดโลก จึงจะอยู่ได้ จากคุณ : ลุงหยก - [ 17 พ.ค. 47 16:58:15 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ที่ขายดีและเป็น E-commerce เห็นจะเป็น CD ลามกอ่ะ ตรงจุดดี คือ เป็นของที่แค่ดูเผินๆก็พอเลือกได้ ไม่อายคนเวลาซื้อ ส่งถึงที่ แล้วก็ถูกกว่าไปซื้อข้างนอก หากคุณสามารถทำได้ตามนี้ก็จะประสบความสำเร็จ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 47 18:09:21 จากคุณ : แค่ความเห็นของเราอ่ะ (@-อมยิ้มแก้มตุ่ย-@) - [ 17 พ.ค. 47 18:08:49 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ก็เคยซื้อแต่หนังสืออ่ะนะ อย่างอื่นยังไม่เคยซื้อเลย E-commerce บ้านเรา ยังต้องคอยเช็คข้อมูลกันอยู่ การจัดส่งสินค้าก็ล่าช้า ยังไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ถ้ามองจากตัวเอง เวลาอยากได้อะไรก็จะ Search หาจาก net ก่อน สืบราคา ข้อมูล อ่านกระทู้ที่เค้าคุยกันเกี่ยวกับสินค้านั้นๆ แล้วค่อยตามไปซื้อที่ร้าน บริษัทที่มี web site น่าจะได้เปรียบตรงการสื่อข้อมูลไปถึงลูกค้า แต่ web จำเป็นต้อง update และต้องแลดูน่าเชื่อถือด้วย แต่คิดว่าบริษัทห้างร้านควรจะมี web นะ อย่างเวลาคุณแจกโบชัวร์ นามบัตร ไม่มีชื่อ web แล้วจะหาข้อมูลสินค้าคุณได้จากที่ตรงไหน web มันง่าย หรือว่าจะไปลงโฆษณาแพงๆ จากคุณ : แค่อีกความเห็น - [ 17 พ.ค. 47 18:47:16 A:10.15.51.70 X:169.210.29.56 ]

ความคิดเห็นที่ 6 หลายหนที่มีคนพูดถึงความรุ่งเรืองของ E-Commerce แบมมักมีความเห็นแย้ง อาจเป็นความรู้สึกส่วนตัวมากๆ และก็ อาจเป็นคนไร้วิสัยทัศน์มากๆ 55555 แต่แบมก็คิดอย่างนั้นจริงๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องเหมาะหรือไม่เหมาะกับความพร้อมของประเทศไทย ที่ยังไม่มีกฎหมายที่วิ่งทันเทคโนโลยี มันไม่ใช่แค่เรื่องการที่ลูกค้าขาดความเชื่อมั่นในการชำระค่าสินค้าและบริการทางอินเตอร์เน็ต แต่มันคือเรื่อง การเกิดคำถามในใจแบม เป็นคำถามที่ถามง่ายๆ เหมือนคำถามที่แบมมักถามหลายๆ คน เมื่อคิดจะทำธุรกิจ E-Commerce แต่จนแล้วจนรอด แบมก็ยังไม่ได้คำตอบที่เจ๋งเป้ง ซักที และถ้าคุณเจ้าของกระทู้ ตอบแบมได้ทันทีไม่มีอึ้ง แบมจะลุ้นให้สู้ต่อนะ - จะขายใคร? - แล้วทำไมเค้าต้องซื้อ? นับ 1 2 3 4 5 หมดเวลา... - จะขายใคร? : ประเทศไทย มีคนใช้เน็ตกี่% และในไม่กี่เปอร์เซนต์นั้น ใช้เน็ตเพื่อวัตถุประสงค์ในการสั่งซื้อสินค้ากี่% และในไม่กี่เปอร์เซนต์นั้น มีผู้ที่มีความต้องการซื้อสินค้าเรากี่% - แล้วทำไมเค้าต้องซื้อ? : สมมติตอบข้อแรกผ่านมาได้ฉลุยพอมีแววรุ่งแล้ว มาเจออีกด่าน ทำไมเค้าต้องเลือกซื้อสินค้าเรา? โลกเน็ตกว้างสุดลูกหูลูกตา สินค้าชนิดเดียวกดเสริ์ชเอ็นจิ้น ได้เป็นร้อยเวป ทำไมเค้าต้องเลือกซื้อสินค้าเรา? สัจธรรมการค้า คู่แข่งมากนำมาซึ่ง สงครามราคา แข่งกันซึ่งๆ หน้าในตลาดยังแทบฆ่ากันตาย แล้วแข่งกันแบบไม่เห็นหน้า เหมือนหลับตาวิ่ง เอ้อ...ไม่อยากจะคิด ไม่รู้ตอบได้ก่อนหมดเวลาไหม? ถ้าทันก็ดีใจด้วยค่ะ :-) แต่ว่าก็ว่าไป ใครว่า E-Commerce น่าเก็บฝังดิน บางทีทั้งสองคำถาม แบมอาจถามขู่ไปอย่างนั้น อาจมีคำตอบลางๆ ที่แบมพยายามกระตุ้นให้มองเห็นอยู่ก็ได้ ลองจ้องนานๆ 5555 หลังจากที่นั่งมองหน้าจอแล้วเดินไปเดินมา ก็เหมือนกับว่า แบมดันเห็นคำตอบลางๆ ว่าอาจมีธุรกิจบางประเภทเหมาะกับ E-Commerce (เขียนเอง เล่นเอง) ปล.ไว้ว่าแบมคิดไปเรื่อยเปื่อยของแบมเองคนเดียว อาจไม่ได้เรื่องก็ได้ 1. ธุรกิจที่สร้างแบรนด์แบบออฟไลน์ แต่กำหนดช่องทางการขายแบบออนไลน์ หมายถึง ธุรกิจที่ไม่ได้มองว่า E-Commerce คือทั้งหมดของธุรกิจ แต่มองว่าประโยชน์ของ E-Commerce คือ การเป็นช่องทางการจำหน่ายที่ประหยัดต้นทุนแบบสุดกู่ เป็นธุรกิจที่ไม่ได้มองแค่ระยะสั้นๆ ว่าประหยัดดีเอาตังค์มาหยอดกระปุก แต่มองว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้มีงบประมาณในการสร้างแบรนด์มากขึ้น จึงได้ใช้เงินที่ได้จากการประหยัดนั้น ลงทุนสร้างแบรนด์ผ่านสื่ออย่างหลากหลายเพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อของกลุ่มเป้าหมาย จนเกิดการตัดสินใจซื้อ โดยที่กำหนดว่า ช่องทางการจำหน่ายสินค้าหรือบริการของตนนั้นคือ......อินเตอร์เน็ต.....เท่านั้น! 2. ธุรกิจที่ขายสินค้าและบริการลักษณะ Business to Business หมายถึง ธุรกิจมีลูกค้าประจำเป็นองค์กรธุรกิจต่างๆ และมีคำสั่งซื้อประจำอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง ที่สามารถมองได้ว่า E-Commerce คือแนวทางหนึ่งที่ช่วยประหยัดทั้งเวลาและสะดวกสำหรับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ประหยัดทั้งต้นทุนบริหารงานขาย เช่น พนักงานขาย การออกเอกสารต่างๆ ฯลฯ โดยเฉพาะธุรกิจที่เคยบริหารแบบเดิมๆ เป็นยี่ปั๊ว ซาปั๊ว อาจพิจารณาเลือกการซื้อขายสินค้าบริการทาง E-Commerce กับลูกค้ารายใหญ่ของตน เป็นการเปิดศักราช Modern Trade สำหรับธุรกิจของตนได้ หูย.... เขียนยาวนะนี่ 555 ขออภัยๆๆ จากคุณ : bam_ka@ - [ 18 พ.ค. 47 00:31:44 ]

ความคิดเห็นที่ 7 E-commerce ในไทยที่มียอดขายดีที่สุดก็คือเว็บขายซีดี โป๊ครับ ทั้งๆ ที่ช่องทางการจ่ายเงินมีเพียงแค่การโอนเงิน ทางธนาคาร และช่องทางการรับสินค้าก็มีเพียงแค่ทาง ไปรษณีย์ แล้วทำไมมันถึง work? เพราะมีคนกลุ่มใหญ่ที่ เป็นลูกค้าซีดีโป๊เหล่านี้อยู่แล้ว แต่ก่อนอาจจะซื้อตาม แหล่งขายใหญ่ๆ เช่น จตุจักร คลองถม พันธุ์ทิพย์ หรือบาง คนอยากดู แต่ไม่ค่อยกล้าซื้อก็มี แต่พอมีการขายบนเว็บ นอกจากลูกค้ากลุ่มที่ซื้อข้างนอกแล้ว ยังมีกลุ่มที่ไม่กล้า ซื้อมาเพิ่มอีกด้วย แล้วการขายบนเว็บก็สามารถสร้างความ ต้องการให้ลูกค้าได้ดีกว่าดู เพราะมีรูปให้นั่งดูคนเดียวได้ แบบไม่ต้องอายใคร มีข้อความเชียร์ให้ซื้อที่กระตุ้นความ อยากดูได้มาก ทำให้ผู้ซื้อมีแรงทะยานในการไปโอนเงินที่ ธนาคาร แล้วยอมรอ 3 วันเพื่อให้สินค้ามาส่งที่ตู้จดหมาย ธุรกิจแบบนี้ คนขายไม่มีการโกงลูกค้าเลยครับ เลยไม่มี การเสียเครดิต ครั้งแรกลูกค้าอาจจะกล้าๆ กลัวๆ อยู่ก็ได้ แต่พอได้รับสินค้าจริง ลูกค้าก็จะซื้อซ้ำตลอด ต้นทุนทางธุรกิจก็ต่ำ เพราะผู้ขายสามารถหาซื้อซีดีโป๊แผ่น ละ 100 บาท แล้วมา duplicate ขายต่ออีกที ต้นทุนแผ่น นึงไม่กี่บาท ขายแผ่นละ 89 บ้าง 99 บ้าง นอกจากต้นทุนสินค้า ก็มีเรื่องค่าจดโดเมนเนม ค่าเช่าพื้นที่ เซิร์ฟเวอร์ ถ้าโดนตำรวจจับ ก็ไปนอนคุกหนึ่งคืน โดนปรับ 2,000 บาท โดนปิดโดเมน แต่ก็ไปเปิดโดเมนใหม่ได้ โปรแกรมในเว็บก็ใช้โปรแกรมเดิม แล้วก็ขายเหมือนเดิม ธุรกิจแบบนี้ ยอดขายวันละหลายหมื่นบาทครับ ส่วน E-commerce ในต่างประเทศที่ work มากๆ ก็คือ Ebay โดยที่ Ebay มียอดขายมากกว่า Amazon ถึง 4 - 5 เท่าตัว และ Ebay ก็ยังไม่ต้องมีคลังเก็บสินค้าเหมือน Amazon อีกด้วย เพราะ Ebay เป็นเพียงตัวกลางให้ผู้ขาย มาลงประกาศขายสินค้า แล้วก็เก็บค่าลงประกาศ ในหนึ่ง วันมีรายการสินค้าที่ลงประกาศเป็นล้านรายการ รายได้แต่ ละวันก็หลายล้านเหรียญครับ จากคุณ : MacroArt - [ 18 พ.ค. 47 00:43:34 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอมองภาพกลับนะครับ ว่าทำไมทำ Ecommerce ต้องขายของ อย่างที่คุณแบมว่า ใครเป็นคนซื้อแล้วทำไมเขาต้องมาซื้อที่เรา หลาย ๆ อย่างที่คนซื้ออยากเห็นตัวเป็น ๆ ของสินค้าก่อนจ่ายเงิน ทีนี้อะไรที่น่าจะ work สำหรับ ecommerce .... ผมว่าอะไรที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง เห็นไหมครับว่า web ไทย ที่ประสบความสำเร็จ หรืออย่างน้อยก็มี page hit สูง ๆ ก็น่าจะมี Thai SecondHand เป็นหนึ่งในนั้น และที่สำคัญที่สุดคือ ความสดของ site นั้น ๆ ถ้าคนเข้าไปดูแล้วเจอแต่ของเก่า ๆ ใครจะเสียเวลาไปดูซ้ำ อ่ะนะว่ามาซะยืดยาว สรุปว่า ถ้าคุณเปิด website มาเป็นตัวกลาง และ ทำให้เกิดการซื้อขายกันได้จริง ระหว่างผู้ซื้อ และ ผู้ขาย ก็ยังพอจะเป็นทางทำมาหากินได้ครับ ความคิดเห็นนี้เป็นความเห็นส่วนบุคคล ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 47 07:27:48 จากคุณ : MrMarker - [ 18 พ.ค. 47 07:26:55 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คุณ อี-มือใหม่ครับ ผมคิดว่า คนอื่นๆ ที่ตอบมาก่อนหน้าคุณ เขาไม่ใช่กบหรอกครับ ผมคิดว่าเขาตอบตรงคำถามของเจ้าของกระทู้มากกว่า " ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่า จริงๆแล้ว E-commerce ยังไม่เหมาะกับประเทศไทยอยู่ดี " ถ้าคุณอี-มือใหม่ประสบความสำเร็จผมก็ว่าพวกพี่ๆ ที่นี่ทุกคนมีมารยาทมากพอที่จะยินดีกับคุณด้วยครับ ผมไม่เคยเห็นคนห้องนี้ทับถมใคร หรือ ฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดเลย จากคุณ : น่าเบื่อว่ะ - [ 18 พ.ค. 47 23:20:16 A:202.57.166.83 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมขอโทษทุกๆท่านที่ได้อ่านข้อความของผมครับ ผมยอมรับผิดที่เขียนแรงไปหน่อย ผมจะแจ้งลบข้อความของผมแล้วครับ จากคุณ : อี-มือใหม่ - [ 19 พ.ค. 47 07:19:27 A:203.107.174.34 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 มันก็ไปได้นะครับ หากเราเปิดใจให้กว้่าง E คือ อีเล็คทรอนิค commerce คือ การค้า การค้าด้วยระบบอีเล็คทรอนิค มันก็มีตั้งหลายอย่างไม่จำเป็นต้องจากระบบอินเทอร์เน็ตอย่างเดียว หากรวมๆกันมันก็พอได้อยู่อะนะ ที่ผมทำอยู่ จากคุณ : พ่อค้าออนไลน์ - [ 19 พ.ค. 47 08:55:29 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้ากลุ่มเป้าหมายการขายของคุณเป็นคนในประเทศ ผมก็ต้องบอกว่าเสียใจด้วย ที่สินค้าที่จะขายให้กับคนในประเทศนั้น จะมีจำกัดมากๆ จากตัวเลขสถิติที่มี คนเล่นเนทฯ มีน้อยมากในประเทศ และ คนที่จะซื้อผ่านเนท นั้น ยิ่งน้อยใหญ่ นั่นเป็นเหตุที่บริษัทฯ ต่างๆได้ทำ e-commerce เผื่อไว้ในอนาคตเท่านั้น.... แต่ถ้าคุณทำขึ้นเพื่อขายให้กับต่างประเทศแล้ว ผมเห็นสมควรที่จะเจาะกลุ่มเพียงบางประเทศ เพราะ ไม่ใช่ว่าทุกประเทศจำนวนคนเล่นเนทจะมีมากมายเหมือน อเมริกา กับ ยุโรป แต่พบว่า คนเล่นเนทส่วนใหญ่อยู่ในประเทศที่เจริญแล้ว ที่มีคนเล่นมากกว่า 50% ประเทศที่เริ่มพัฒนา ก็จะมีคนเล่นเนทประมาณ 30% ของประชากร ส่วนประเทศที่ไม่ค่อยจะใส่ใจกับเทคโนโลยีตั้งแต่อดีต ก็จะมีคนเล่นเนทประมาร 10-20% ซึ่งรวมของไทยด้วย... แค่ตัวเลขที่มีผมว่า หากทำ e-c จริงๆ ต้องมุ่งเน้นตลาดต่างประเทศถึงจะดี สินค้าคุณจะมาจากประเทศ หรือ ต่างประเทศ ยังไงก็ต้องดูกลุ่มลูกค้าของคุณด้วยครับว่า เขาต้องการอะไร และ หาสิ่งนั้นมาขาย มาบริการ ผมคิดว่าทุกธุรกิจก็ต้องคิดลักษณะนี้กันนะครับ ขอให้พิจารณาด้วย... จากคุณ : Wiboon Joong (wbj) - [ 19 พ.ค. 47 18:12:16 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อย่ามองแต่เรื่องธุรกิจครับ อีกเรื่องนึงที่ผมอยากให้คุณมองก็คือ เรื่องระบบ shopping cart ของคุณนี่แหละครับ ที่เป็นสาเหตุหลักอย่างนึงเลยที่ทำให้ขายสินค้าไม่ออก เท่าที่ผมไปตระเวณดูตามเว็บ e-com ทั้งหลาย ส่วนใหญ่ยังจัดระบบไม่ดีพอครับ ส่วนใหญ่นำสินค้าขึ้นเว็บแบบไม่ได้ใส่ใจอะไร ขอแค่มีบนเว็บก็พอ รายละเอียดมีมั่ง ไม่มีมั่ง รูปสินค้าก็ไม่ค่อยมี ฯลฯ ลองนึกความรู้สึกที่คุณเข้าไปในร้านเหล่านั้น ถึงแม้จะเจอสินค้าที่คุณน่าจะต้องการ แต่พอคลิกเข้าไปดู เจอแต่ชื่อสินค้า รายละเอียดอีกสองบรรทัด รูปก็ไม่มี ถามว่าคุณจะไว้ใจซื้อสินค้าจากร้านนั้นมั้ย? ถึงแม้จะเป็นร้านที่ไว้ใจได้ แต่อย่างมากคุณก็ได้แค่จำชื่อสินค้านั้น แล้วไปดูของจริงดีกว่า เพราะถึงร้านจะไว้ใจได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสินค้านั้นจะตรงกับความต้องการของคุณนี่?! ผมเห็นหลายรายละ มาบ่นอุบ e-com ไม่เห็นดีอย่างที่โม้กัน ก็ในเมื่อคุณเองยังไม่ใส่ใจที่จะให้ข้อมูลกับลูกค้าอย่างเต็มที่ แล้วใครที่ไหนจะมาสนใจที่จะซื้อสินค้าของคุณ? จากคุณ : ชายไทย ไม่ทราบชื่อ - [ 20 พ.ค. 47 11:32:00 A:203.144.161.230 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณ คห. ที่ 2 eBay ไม่ใช่แค่พอไปได้นะค่ะ eBay เข้าตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาเรียบร้อยแล้ว และมีกำไรเพิ่มขึ้นด้วย เขาเป็นตัวกลาง ไม่ใช่ใช่ผู้จำหน่ายโดยตรงค่ะ กินค่า Fee อย่างเดียวเลย และ Paypal ซึ่งเป็น secure site สำหรับการเงิน ก็เป็นเครือข่ายของเขาเหมือนกัน ในเมืองไทยที่ไม่เป็นที่นิยมเพราะ คนไทยยังชอบที่จะเห็นสินค้าก่อนซื้อ เพื่อความชัวร์นะ ในต่างประเทศ work กว่าเมืองไทยเยอะ เพราะกฏหมายเขารัดกุม ปกป้องผู้บริโภค คนถึงกล้าซื้อ on line เพราะถ้าไม่พอใจ คืนของได้ ไม่เหมือนเมืองไทย ซื้อแล้วห้ามคืน และระบบการชำระเงิน online ของเขาก็ save กว่าบ้านเรานะค่ะ ยังไงคุณเจ้าของกระทู้ก็อย่าเพิ่งท้อแท้นะค่ะ บ้านเราอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย จากคุณ : Invisible Angel - [ 20 พ.ค. 47 11:52:53 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ผมว่ามันเป็นเรื่องของ cost of information กะ cost of transaction หน่ะที่ทำให้มันยังไปไม่ได้ถึงไหน ตัวอย่างสินค้าที่ขายได้ในเนต ของที่ผู้ซื้อรู้แน่นอนว่าตัวเองต้องการอะไร - คือมี information ชัดเจนแล้ว ไม่มีทางผิดพลาดได้ - หรือเนตสามารถให้ information ได้ละเอียด อย่างเช่น หนังสือ ซีดี ซอฟแวร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ของที่มีสเปคได้ชัดเจน คนซื้อก็จะสั่งจากเนตหาก cost of transaction ต่ำกว่าการออกไปซื้อที่ร้าน ของที่ต้องปกปิดเวลาซื้อ อิอิ ของอย่างที่คุณคิดหน่ะใช่แล้ว ของพวกนี้ cost of transaction ในการซื้ออย่างตัวเป็นๆมันเยอะ ซึ่งต้นทุนตัวนี้คือความอายกะความเสี่ยง พอมาอยู่บนเนต มันไม่มีความอาย ของหายาก หายากในที่นี้ไม่ใช่ว่ามีน้อย แต่หมายความว่าถ้าเป็นการค้าแบบเดิม คนซื้อจะต้องไปตะลอนๆดูเอาตามแหล่ง cost of information มันแพง ตะลอนบนเนตมันง่ายกว่าเยอะ ก็อย่างรถมือสองนี่แหละ ก่อนนี้จะซื้อทีก็ต้องขับรถตระเวนกันเป็นสิบๆเต้นท์ แต่ถึงอย่างไร การซื้อของมือสองเมืองเราก็ใช้เนตแค่เป็นในเชิงข้อมูลเบื้องต้น การตกลงซื้อขายจริงก็มักจะ เอาตัวเป็นๆมาเจอกันอยู่ดี ไม่จบเบ็ดเสร็จในเนต ส่วน B to B นั่นก็น่าจะเข้าข่ายอันแรก ก็ลองดูว่าจะทำอย่างไรให้การซื้อบนเนตเป็นการลดต้นทุนการซื้อของผู้ซื้อ ต้องผู้ซื้อนะ ไม่ใช่ผู้ขาย มันถึงจะได้ผล จากคุณ : alan the lamb - [ 20 พ.ค. 47 12:49:48 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมใช้บริการอยู่ 2 บริษัท เป็นตัวแทนจำหน่ายคอมพิวเตอร์ มีระบบจัดการที่ค่อนข้างดี สามารถ Track ดูรายละเอียดการซื้อขายได้ และเห็นความเคลื่อนไหวแม้กระทั่งการขนส่งจากบริษัทขนส่ง สิ่งที่ช่วยให้การซื้อขายลื่นไหลแบบวันต่อวัน ก็คือเว็บธนาคาร (SCB Easy) โอนเงินได้แบบ Realtime เว็บบริษัทปรับยอดสินค้ารายวัน มีระบบสั่งซื้อจากเว็บ บวกลบเงินให้เสร็จตอนสั่ง เราก็โอนเงินเข้าไปก่อนจากเว็บธนาคาร แล้ว Capture หน้าจอของเว็บแทน slip ธนาคาร ส่งแนบไปกับ order จากนั้นบริษัทให้พนักงานตัดยอดซื้อ แล้วส่ง SMS แจ้งให้ลูกค้าทราบ เงินที่โอนไปเกินบริษัทเก็บยอดไว้หมด สะดวกสบายมากเลยครับ ไม่ต้องไปธนาคาร ค่าโอนเงินผ่านเน็ตแค่ 5-11 บาท ไม่เสียค่า Fax สั่งวันนี้ก่อน 17.00 น. พรุ่งนี้ตอนบ่ายได้ของ ธุรกิจไร้พรมแดนจริงๆ ครับ จากคุณ : อั๋น ทรงวุฒิ - [ 20 พ.ค. 47 19:52:07 A:192.168.1.61 X:203.113.51.132 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ผมพยายามสังเกตุการทำธุรกิจผ่านทางอินเตอร์เน็ท ของบริษัทฯของผมเอง โดยทดสอบเปิดหน้าร้าน เป็น 3 ประเภท คือ ขายปลีก ขายส่ง(ผลิตขายส่ง) และ บริการที่ปรึกษาครบวงจร ++แยกร้านหรือรวมร้านในร้านเดียวกันครับ เกี่ยวกับสินค้าสุขภาพทั้งหมด มา 3-4 ปี จากการวิเคราะห์คร่าวๆรู้สึกว่าตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จน วันนี้ เกิด Transaction น้อยที่สุด +++มีการอับเดท อื่น ๆบ้างไหมครับนอกจากใส่สินค้าเพิ่ม และตั้งแต่ต้นปีมา Transaction เป็น 0 ผิดกับช่วงแรกๆเมื่อ 3-4 ก่อนมาก ( Transaction ของผมหมายถึงมีการซื้อขายจริง ) ++อาจเป็นไปได้ว่ามีผู้เข้าร่วมแข่งขันกับคุณเพิ่มมากขึ้น ทั้งขายตรงและขายในอินเตอร์เนต ขณะที่คุณอาจไม่ได้ปรับให้ทันดีกว่าคู่แข่ง ทั้งความทันสมัยของสินค้า และราคา ทำให้ผู้ซื้อ อาจซื้อกับคู่แข่ง ++++ลองเยี่ยมชมไซด์คู่แข่งของคุณ แล้วทำใจเป็นกลาง ถามตัวเองว่าอันไหนน่าสนใจกว่า น่าเชื่อถือกว่า น่าเป็นลูกค้ากว่า แต่ยังปรากฏว่ามีคน Access เข้ามาดูมากขึ้นกว่าก่อน แปลกมาก ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ใครมีผลการสังเกตหรือวิจัยได้แบบเดียวกับผมบ้าง ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น ++++ไม่ทราบว่ามีแบนเนอร์ไปฝากไว้กับเว๊ปไซด์กลุ่มเป้าหมายหรือไม่ ไม่ทราบว่าโยกย้ายแบนเนอร์บ้างหรือไม่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบแบนเนอร์มากน้อยเพียงไร ไม่ทราบว่าลงทะเบียนใน เคาน์เตอร์ เช่นทรูฮิตแล้วลองวิเคราะห์ดูที่มาที่ไปดู ไม่ทราบว่าคุณให้ความสนใจกับคีย์เวิร์ดมากน้อยแค่ไหน เพราะมีส่วนช่วยได้มาก หรือว่า จริงๆแล้ว E-commerce ยังไม่เหมาะกับประเทศไทยอยู่ดี คือมีไว้ประดับบารมีหรือโชว์โปรไฟล์ของบริษัทฯเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถขายของได้ +++ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือ ของเว๊ปไซด์ คุณภาพของสินค้า และกลุ่มเป้าหมายหาเจอ มากกว่าครับ อย่าหวังพึ่งเว๊ปไซด์อย่างเดียวคงต้องทำการตลาดผสมผสานเสมือนมีร้านจริงอีกด้วย ยิ่งถ้าไม่มีร้านจริงยิ่งจะยากเข้าไปอีก อยากได้ข้อมูลจากผู้ทำธุรกิจผ่านอินเตอร์เน็ทช่วย Share Idea กันหน่อยนะครับ เผื่อมีทางออกที่น่าจะแก้ไขได้เพราะงงมาก ตอนนี้สับสน +++มีหนังสือหลายเล่มเลยครับที่ทำให้หายงงมาก ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง อาทิเช่น digital business, clicking, technotrends, database marketing แล้วเริ่มไม่อยากพัฒนาธุรกิจในส่วนนี้เลย เปลืองเวลาพอสมควร ถึงแม้จะไม่ต้องลงทุนมากเท่าไหร่นักก็ตาม +++ยังไม่เคยเห็นใครที่ลงทุนในอี คอมเมิร์ช นิดหน่อยแล้วได้กำไรหมาศาลเลยครับ จะทำให้ดีได้นั้นต้องลงทุนกันเหมือนกับเปิดร้านจริง ๆ มีอิฐมีปูนแหละครับ จากคุณ : หมูอ้วนครับ - [ 20 พ.ค. 47 20:24:11 A:203.144.179.41 X: ]

ความคิดเห็นที่ 20 ใช้ web to be brand awareness coz actually when you need to know info go through internet it's the easy way and safe time too. Moreover, you can compare with other brand but if you just figure out how much you earn from e-commer. I think it 's uncountable coz your customer might look forward to the info then go to your shop to see the real and touch the goods so just keep going coz the web is cheapest invesment but it doesn't matter if you must take more time coz the time is free why need to worry cheer! จากคุณ : white label - [ 22 พ.ค. 47 12:20:30 ]