เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม
ผู้ใหญ่ที่อยู่ในวงการธุรกิจมองเห็นเด็กๆแค่ท่าทางหยิบจับอะไร ก็บอกได้แล้วว่าเด็กคนนี้จะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์แค่ไหนในหน้าที่การงาน........
มันได้ขนาดนั้นเลยเหรอ???????
ผมเองมีญาติคนหนึ่ง คนๆนี้เมื่อสิบปีก่อนติดการพนันงอมแงม ไม่มีเงินแม้แต่ซักบาทติดตัว บ้านเป็นคนเคยรวย พ่อแกตายเมื่อตอนที่ธุรกิจของครอบครัวดิ่งลงเหวลึก ไม่มีมรดกให้สักเก๊ นอกจากหนี้สินอีกหลายล้านเป็นมรดก
ตอนนั้นจำแกได้ว่าแกมีแต่ตัวจริงๆ
ทุกวันนี้แกรวยครับ รวยยิ่งกว่าพ่อแกอีก นอกจากนี้แกยังไปชำระหนี้ที่ได้จากพ่อของแกเป็นล้านๆ ให้เจ้าหนี้เก่าด้วย ทั้งๆที่ไม่ได้ชำระมาเลยร่วมสิบกว่าปี
แกไม่ได้ขายยาบ้านะ แกทำธุรกิจอะไรสักอย่าง ซึ่งผมไม่มีวันบอกพวกคุณหรอกว่าแกทำอะไร เดี๋ยวก็มาแย่งตลาดกันจิ
แกชอบพูดอยู่คำหนึ่งว่า....นี่ถ้าแกมีเมียที่ใจใหญ่กว่านี้ แกรวยกว่านี้เยอะแยะแล้ว
ผมได้ยินผมน้อยใจแทนเมียแกชะมัด ผมเอามาพูดกับแม่ว่า แม่ๆๆ อาคนนี้เค้าพูดแบบนี้ได้ไงอ่ะ ตอนที่แกเหลือแต่ตัว เมียแกคนนี้ก็ยังเอาแกอยู่ไม่ใช่เหรอ ทั้งๆที่ตอนนั้นเมียแกก็ใช่ว่าขี้ริ้ว ทำงานธนาคารมีอาชีพที่มั่นคง ผมว่าถ้าเป็นผู้หญิงเก่งคนอื่นๆ ก็คงไม่มีใครเอาแกในตอนนั้นหรอก แกรวยได้อย่างทุกวันนี้ก็เพราะเมียแกต่างหาก
แม่ผมบอกว่า ไม่นะ..สมัยแกเหลือแต่ตัวน่ะ ก็มีเถ้าแก่เจ้าของร้านทองเสนอยกลูกสาวให้แก แถมชวนร่วมลงทุนอีกเป็นสิบๆล้าน แต่แกก็ไม่เอา เพราะแกบอกแกไม่รักลูกสาวเค้า แกรักเมียแกคนเนี้ยะ
ผมได้ยิน ผมคิ้วขมวด ถามแม่ว่า เหออออ ผมนึกว่าคนอื่นการที่เค้าจะมั่นใจว่าใครเก่งก็ต่อเมื่อทำอะไรเป็นรูปเป็นร่างได้ก่อนซะอีก
แม่บอก ม่ายช่ายเลยยยยย เค้าเห็นแววกันต่างหาก (อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า โพเทนเชียลล่ะมั้ง)
แล้วผมถามแม่ว่า ตอนที่เค้าเละๆอยู่แม่ก็เห็นแววเค้ารึเปล่า
แม่ก็บอก เห็นสิ...เค้ารู้จักพูดจา ท่าทางคล่องแคล่ว รู้จักสังเกต มีบุคลิกที่ดี แม่เห็นเค้าตอนนั้นแม่ก็ดูออก ว่าเดี๋ยวเค้าจะหาเงินได้ซักวัน แต่แม่ก็ไม่คิดว่าเค้าจะได้เยอะขนาดนี้
ในใจผมตอนนั้นกำลังจะถามแม่ว่า แล้วแม่เห็นแววผมป่าวอ่ะ แต่ผมเปลี่ยนใจไม่ถามเพราะรู้คำตอบดีอยุ่แล้ว
แต่เหมือนแม่จะรู้ว่าผมคิดอะไร แม่ก็พูดต่อว่า
"แต่แกนี่สิ แย่มากๆๆ บุคลิกแกไม่ได้เรื่องเล้ยยย ซกมกสิ้นดี ไม่เรียบร้อย ไม่รู้จักสังเกต พูดจาไม่ทันคน ไม่ฉลาดเอาซะเลย"
ผมได้ยินก็ไม่ว่าอะไร ก็ผมรู้ตัวผมดีนี่หว่าว่าเป็นอย่างที่แม่ว่าเจงๆ
ผมเคยไปอยู่เมืองนอกนะ ไปแบบนักเรียนนั่นแหละ แต่พอไปจริงๆกลับเบนเข็มไปหาเงินในร้านอาหารที่นั่น ผมหาได้เกือบล้านแน่ะ เงินพวกนั้นผมไม่ได้ใช้เลย ผมอยู่ที่นั่นทำงานหนักมาก เคยทำตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงตีสามติดกัน เจ็ดวันเจ็ดคืน หนึ่งปีเต็มๆ
ช่วงทำงานที่น้อยที่สุดคือ วันละสิบชั่วโมงอ่ะ
เงินผมส่งกลับบ้านหมด เงินก้อนสุดท้ายที่แบกกลับเมืองไทยก็ไม่ได้ใช้ เพราะพี่สาวเอาเงินไปทุ่มให้ธุรกิจครอบครัวหมด ผมเลยเอาเงินก้อนนี้ไปให้พี่สาวแทน (แต่มันก็แค่ 1 ในสิบของเงินที่พี่ผมทุ่มเท่านั้นแหละ) แล้วบอกว่า นี่ให้เปล่าอ่ะ อยากใช้ก็ใช้ ไม่อยากให้ก็ไม่เป็นไร (อันที่จริงผมไม่มีสิทธิ์ไปพูดงั้นหรอก แต่ผมพูดเพื่อให้พี่สาวสบายใจ เพราะไม่งั้นแกคิดว่าต้องหาเงินมาใข้ผมแหงเลย)
ผมตอนกลับ ใจพองโต คิดว่าแม่เราต้องว่าเราเก่งแน่ๆเลย ที่หาเงินได้เยอะแยะ
ตรงกันข้าม คุณแม่ไม่รู้สึกรู้สา แถมบอกว่า แกหาเงินได้เยอะก็จริง แต่มันก็เท่านั้นแหละ เพราะเงินที่แกหาได้มันก็ได้มาจากการทำงานกรรมกรเท่านั้นแหละ อีกะแค่ อดทน ประหยัด กับขยัน ก็หามาได้แล้ว
แหะๆๆๆๆ
แม่บอกว่า ถ้าแกเก่งจริง แกต้องหาเงินจากสมองแกให้ได้ หาเงินจากกิจการของแก จากการใช้ให้คนอื่นทำให้แก ไม่ใช่แกไปเหนื่อยเอง
มันก็จริงเนอะ
ย้อนกลับมาที่เรื่องบุคลิกภาพที่ผมคาดหัวไว้
หลังจากที่แม่บอกว่า ผมเป็นคนที่ค่อนข้างแย่ ผมก็ตอบแม่ผมดังนี้
"ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวนั่นผมรู้ แต่เคยมีคนที่ผมรู้จัก ก็เป็นพวกบ้าตำราเหมือนกับผมนั่นแหละ เค้าเก่งมากนะ ผมว่าผมรู้เยอะแยะแล้ว แต่กับคนๆนี้ผมซูฮกแกเลย แกเก่งกว่าผมมากๆ รอบรู้ไปซะทุกเรื่อง คุณน้าคนนี้เค้าเคยพูดกับผมเสมอๆว่า....เธอรู้มั้ย ความเก่งน่ะมันแซงกันได้ ไม่จำเป็นซะหน่อยว่าน้าจะเก่งกว่าเทอไปตลอด
ผมคงไม่เอาดีทางตำราแล้วล่ะแม่ เพราะทางชีวิตผมไม่ใช่ตรงนั้นแล้ว แต่ที่ผมรู้ตัวว่าผมเป็นคนแย่เนี่ย มันจะเป็นเหมือนตัวเร่งให้ผมพัฒนาตัวเองอยุ่เสมอ แม่รู้มั้ย คุณน้าคนนั้น เค้าบอกว่า ในที่ทำงานของเค้านะ ทุกๆปีจะมีพวกจบอักษรจุฬาเหรียญทองเข้ามาตลอด โหยยย พวกนี้ภาษาเยี่ยม แปลงานได้เป๊ะๆ เทียบกันคนรุ่นเดียวกัน มันเก่งสุดๆ แต่พวกนี้นะ พออายุ 40-50 มันก็จะแป๊กแค่นั้น เพราะมันดีอยู่แล้วไง มันเลยไม่มีตัวเร่งให้มันพัฒนา
ตรงกันข้ามกับนายคนหนึ่ง จากแค่ลูกชาวนาจนๆ ที่ต้องไปอาศัยวัดบวชเรียน มีพื้นฐานแย่ๆมาตั้งแต่เด็ก แต่ทุกวันนี้ มันสุดยอดเลยว่ะ น้าเจอมันเมื่อเจ็ดเดือนก่อน ภาษามันได้แค่นั้น แต่อีกเจ็ดเดือนต่อมา มันมาอีกระดับหนึ่งจนน้าตกใจเลยว่ะ
เพราะมันคิดว่ามันไม่เก่งไง มันถึงต้องพัฒนาตัวเองมาตลอด แกก็เหมือนกัน แกอย่าหยุดเรียนรู้นะ อย่าคิดว่าไม่ต้องไปสอบโทเฟลที่ไหนแล้วทิ้งภาษาอังกฤษนา"
ผมก็ครับๆๆๆ ไปตามเรื่องนั่นแหละ แต่วันๆหนึ่งที่ผมไปฝึกฝนภาษามันก็น้อยลงมากๆ จนคุณน้าคนนั้นตักเตือนให้อยู่ประจำ แต่สิ่งที่ผมจดจำคือ ผมเอาพลังความมุ่งมั่นของผมไปใช้กับกิจการของผมมากกว่า
ทำยังไง ผมถึงจะเป็นนักธุรกิจที่ดีได้
ทำยังไง ผมถึงจะสามารถรีดเอาพลังคนใต้บังคับบัญชามาใช้ได้เต็มที่ โดยไม่ใช้เงินมาล่อ
ทำยังไง ผมถึงจะสามารถดึงดูดคนอื่น ให้ตามผมได้
นั่นคือสิ่งที่ผมอยากเป็นในทุกวันนี้
ผมเคยขบคิดมานาน พิจารณาตัวเอง ผมเคยไปเปรยๆเรื่องนี้กับพี่สาวที่รู้จักคนหนึ่ง ผมบอกว่าผมจะต้องพัฒนาบุคลิกภาพผมให้ถึงขั้นยอดคนให้ได้
แกบอกว่า อย่าทำแต่ข้างนอก ให้บุคลิกภาพของผมที่แสดงออกมา ให้มันเปล่งมาจากข้างใน ไปปรับแต่ข้างนอกน่ะ ดูกันไม่นานก็ดูออกว่ามีแต่เปลือก
แกบอกต่อว่า....แกเคยเห็นคนที่เหมือนมีเรเดียนเปล่งออกมาไหม คนที่ดูเหมือนมีรัสมีเรืองๆ เปล่งออกมาน่ะ คนพวกนั้นนั่นแหละที่เค้าได้บุคลิกภาพที่เยี่ยมยอดอันนั้นมันมาจากข้างในเขาไง
ทำยังไงล่ะพี่ ผมถาม
ดูอย่างลุงอ. นั่นสิ มีแต่คนเข้าหา มีแต่คนเกรงใจ เพราะแกมีจิตใจเมตตาจริงๆไง สิ่งที่คนอื่นสัมผัส เขาถึงรู้ได้ถึงความเมตตาของแก ถ้าแกมีแต่เปลือก แต่ใจแกคิดอีกอย่าง คนอื่นๆ ทั้งหลายเค้าก็ดูกันออกหมดตั้งนานแล้ว
เออ จริง
แล้วทำไงล่ะพี่ ถึงจะได้อย่างนั้น ถึงจะมีรังสีเฮ้ากวงได้
แกก็ต้องอ่านเยอะๆ นะ เพื่อเพิ่มโลกทัศน์ของแก อ่านอย่างเดียวไม่พอ แกก็ต้องคิดอยุ่ตลอดเวลา ให้คิดเยอะๆเข้าไว้ แต่คิดแต่เรื่องสำคัญและเป็นประโยชน์นะ แล้วก็ต้องทำงานเยอะๆด้วย ต้องทำงานมากๆ ทำงานร่วมกับคนอื่นเยอะๆ ก็ยิ่งเพิ่มประสบการณ์ให้แกอีก แกต้องอ่าน แกต้องคิด แล้วก็ก็ต้องผ่านอะไรมาให้มากพอ มันถึงจะกลั่นแกให้เป็นแบบนั้นได้อ่ะ
...............
ผมก็ไม่รู้นะ ว่าผมจะทำได้ดีเท่าไหร่ ฝันที่ผมมีมันอาจจะเป็นฝันลมๆแล้งๆ ก็ได้ แต่ทุกวันนี้ ตอนที่ผมขับรถไปทำงาน ผมวาดรูปราสาทไว้สุดตาผมที่ปลายถนนตลอด ฝันที่ผมมีอาจจะเป็นฝันของเด็กๆ แต่ผมก็ต้องดิ้นรนไปให้ถึงจุดที่ผมอยากไปให้ได้ ผมไม่รู้ว่าผมจะทำได้แค่ไหนว่ะ
อยากรวยมากๆ
อยากมีอำนาจเยอะๆ
อยากเป็นยอดคน
เหมือนเด็กๆเลยเนาะ
บ่นแค่นี้ ไปล่ะ
จากคุณ :
เมธาวดี
- [
26 ก.พ. 48 12:21:35
]