CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ผ ม ค ว ร จ ะ ทำ ยั ง ไ ง ต่ อ ไ ป ดี ค รั บ

    จริงๆมันเป็นเรื่องที่ผม อึดอัดใจอยู่นานก่อนที่จะตัดสินใจ ตั้งกระทู้ใดๆลงไปใน โต๊ะนี้นะครับ

    แต่ตอนนี้ผมก็ได้ตัดสินใจแล้วที่จะตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เผื่อ ว่า จะมีแนวทางดีๆที่อาจจะเกิดขึ้นกับชีวิตของผมต่อไป

    เริ่มจากตัวผมเองเป็น เพียงเด็ก ม.ปลาย คนหนึ่ง ซึ่งทางบ้านก็ ทำธุรกิจส่งออก มีรายได้จัดอยู่ว่า "เป็นผู้มีอันจะกิน" ในสายตาของคนส่วนใหญ่
    ผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการ ของทางบ้านนั้น เป็นคุณแม่ของผมเอง..

    เธอเป็นคนมีความสามารถทางธุรกิจอย่างมาก ทำให้บริษัท โตเร็วแบบก้าวกระโดด

    พ่อของผมก็ได้ทำงานอยู่ในตำแหน่งที่ใหญ่โต..อยู่ในบริษัทมหาชนแห่งนึง

    แต่รายได้จากเงินเดือนของพ่อซึ่งเทียบกับรายได้ที่มาจากกิจการที่แม่เป็นคน ก่อตั้ง..นั้นเทียบกันแทบจะไม่เห็นฝุ่นเลยครับ


    แต่ก่อนนั้น ตอนที่ผมยังอยู่ม.ต้น ใช้ชีวิตแบบเด็กๆ ทั่วไป ผมไม่มีความสนใจใดๆเลยเกี่ยวกับธุรกิจที่บ้าน
    ซ้ำยังรู้สึก หงุดหงิดมากๆ เสียด้วยซ้ำเวลา ที่ แม่พยายามจะยัดเยียดความรู้ทางธุรกิจมาใส่หัวผมตลอดเวลา ที่มีโอกาสได้คุยกัน

    ผมเบื่อหน่ายธุรกิจอย่างมาก ในช่วงนั้น

    และเมื่อผมเริ่มก้าวเข้าสู่ช่วง ม.ปลาย
    คุณแม่ของผมเริ่มประสบปัญหา กับ องค์กรของตัวเอง (แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต) ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่อง หนักใจ น่ากังวล ใจในระดับเล็ก ถึง ใหญ่ในระดับนึงเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย

    คุณแม่ของผมด้วยความเป็นคนที่ ไม่ค่อยมีเพื่อน...ถึงมีเพื่อนๆ ก็เป็นลูกจ้าง ไม่สามารถให้คำปรึกษากับแม่ในเรื่องของธุรกิจได้เลย
    โดยเฉพาะพ่อนี่ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย..เพราะว่าเค้าก็ยุ่งทั้งวันไม่มีเวลามาแบ่งเบาภาระของแม่ผมแน่ๆ

    คุณแม่ของผมจึงหันหน้ามาปรึกษา ตัวผมเองซึ่งเป็นเด็ก ม.ปลายแทน


    ...แล้วเรื่องที่ดูไม่ค่อยจะน่าเชื่อ ก็เกิดขึ้นแล้วก็เปลี่ยนแปลงชีวิตของผม...


    ผมทนเห็นแม่ประสบปัญหา หนักใจในธุรกิจไม่ไหว จึงพยายาม หันหน้าเข้าช่วยเป็นที่ปรึกษาแม่ทุกวิถีทางโดยไม่เจียมตัวว่าตัวเองเป็นเด็ก ม.ปลาย คนนึงเท่านั้น

    แต่เชื่อมั้ยครับ...คำปรึกษาที่หลุดออกจากปากของผม แทบจะทุกครั้ง มันสามารถแบ่งเบา ภาระ หรือเรื่องหนักใจ ที่ออกมาจากปากแม่ของผมได้

    ปัญหาธุรกิจหลายๆอย่าง ถูกแก้ไขด้วยแนวทางที่ผม (ซึ่งเพิ่งจะเป็นเด็ก ม.ปลาย) เป็นคนเสนอแนะ

    แม่ของผมเริ่มรู้สึกทึ่งในตัวผม... เริ่มหันมาปรึกษาปัญหาด้านธุรกิจของผมอย่างเป็นจริงเป็นจัง และ ถี่มากขึ้น เสียจนผมกลายเป็น ส่วนนึงในแผนธุรกิจของแม่ไปแล้ว

    ตัวผมเองก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นเช่นกัน...เนื่องจาก ผมเริ่มรู้สึกว่าความสามารถด้านธุรกิจที่ผมได้รับการปลูกฝัง (อย่างไม่เต็มใจ) จากแม่ในวัยเยาว์
    ทำให้ผม มี skill ในด้านนี้มากกว่าเด็กคนอื่นๆในรุ่นเดียวกัน...จนถึงขนาดเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจให้แม่ตัวเองได้

    ผมจึงเริ่มหันหน้าเข้าหา องค์กรของแม่ ในช่วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา เมื่อทดสอบฝีมือตัวเองว่า มันเป็นเพียงแค่การหลงลูกตัวเองของแม่
    หรือเป็นเพียงแค่ความภูมิใจโง่ๆของผมเอง รึเปล่า

    ผมเข้ามาเปิดตลาด สินค้า ส่งออกตัวใหม่ ด้วยตัวผมเอง
    หาแนวทางการสินค้าเอง
    หาตลาดเอง
    หาลูกค้าเอง
    ติดต่อลูกค้าเอง ทำอ่ะไรเองทุกอย่าง
    โดยทำทุกๆอย่างภายใต้ชื่อบริษัทของแม่ และ ใช้พนักงานของบริษัทแม่

    เวลาผ่านไป 4 เดือน...เป็นสี่เดือนแห่งความทรมานจากความผิดหวัง และ ล้มเหลวจริงๆ ล้มแล้ว ล้มอีก ...

    จนกระทั่งผมสามารถทำสำเร็จจนได้..

    ผมสามารถส่งออกสินค้าไปเมืองนอก ด้วยมือตัวเอง โดยวัยอายุเพียง 18 และยังไม่จบชั้น ม.ปลายด้วยซ้ำ (แต่ทำในนามของบริษัทแม่)
    แม้ว่ากำไรจากสินค้าตัวนี้ จะน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับกำไร ในธุรกิจตัวหลัก ที่กิจการของแม่ผมทำอยู่

    แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ความ ภูมิใจในความสามารถ ของลูกตัวเองของแม่ลดน้อยลงไป ซ้ำยังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเสียด้วยซ้ำ

    โดยที่ตัวผมเองกลับไม่รู้สึก ภูมิใจอ่ะไรมากมายเหมือนที่แม่ผมเป็นเลย

    ผมคิดว่าถ้ามีเด็กคนนึง มีปัจจัยหลายๆอย่างพร้อมแบบผม มีแม่แบบผม มีองค์กรแบบที่แม่ผมมี เด็กคนนั้นก็ทำแบบผมได้เหมือนกัน!

    เพราะว่าทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่ผมสามารถทำได้ นั้น ก็มาจาก ความรู้ที่ได้มาจากแม่ผม..รวมถึงชื่อบริษัทก็ยังเป็นของแม่ผม ทุนก็เป็นของแม่ผม
    ผมก็แค่ลงแรง และ ลงความตั้งใจอย่างเต็มร้อยเท่านั้น...ปัจจัยที่เหลือ ผมได้มาจากแม่ทั้งหมด

    ตัวผมเองจึงรู้สึก ภูมิใจที่ตัวเอง "ได้เริ่มต้นลงมือทำสิ่งที่ ทำให้แม่ภูมิใจ และ ชื่นใจ ด้วยตัวเองแล้ว" ก็เท่านั้นเอง...ผมรู้สึกเท่านั้นจริงๆ

    เนื่องจากผมสามารถ ทำธุรกิจได้ ความรู้ทางธุรกิจจึงเพิ่มพูดมากขึ้นไปอีก
    ผมจึงเริ่มเข้ามาเป็นที่ปรึกษาในองค์กรแม่อย่างเต็มตัวมากขึ้นเรื่อยๆ...

    ...
    ทุกๆอย่างมันดูดีไปเสียหมดเลยใช่มั้ยครับ??


    แต่มันก็มีปัญหาจนได้ เพราะสิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนั้น
    ผมทำมัน ในตอนปิดเทอมอันแสนยาวนาน ของ เด็กม.6 เพื่อรอเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น

    ธุรกิจของผมเอง ผมก็ไม่ค่อยกล้าขยายตลาด หรือ หาลูกค้าเพิ่ม เนื่องจากผมคิดว่าถ้าผมทุ่มเททั้งกายทั้งใจ มาลง กับธุรกิจของตัวเองมากเกินไป
    ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เวลาของผมจะต้องถูก ดึงไปดึงมา จนไม่มีเวลาพักผ่อนแน่ๆ


    ผมก็กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งมันต้องกระทบต่อธุรกิจที่ผมเองกำลังทำอยู่ ในเรื่องของการแบ่งเวลา เรียน กับ แบ่งเวลาทำงานแน่นอน

    แต่นั่นไม่ใช่ปัญหามากนัก..อย่างน้อยผมก็แค่ หยุดขยายตลาด + ลูกค้าเพิ่ม ทำเท่าที่ทำอยู่ตอนนี้เท่านั้น ผมก็คงเหนื่อยไม่มากตอนอยู่มหาวิทยาลัย

    แต่ปัญหาที่ผมกำลังเจอ คือ แม่ของผม..รู้สึก(ลึกๆ)ว่าไม่อยากให้ผมเรียนมหาลัยอีกต่อไป...

    แม่ของผมต้องการให้ผมมาสืบทอดกิจการของแม่ต่อให้เร็วที่สุด...
    เพราะแม่ผมเหนื่อยเหลือเกิน...แม่ผมคาดหวังในตัวผมสุดชีวิตแล้วตอนนี้

    ธุรกิจของแม่ผมเอง เริ่มกลืนผมเข้าไปทีละน้อยตั้งแต่ ผมเริ่มหันหน้าเข้าสู่องค์กรของแม่

    จนตอนนี้พูดได้เต็มปากแล้วว่า ผมรู้สึกเอาจริงๆแล้วว่า

    ชีวิตของผมตอนนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
    ไม่เหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกันหน้าไหนทั้งนั้น

    ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไปเสียด้วยซ้ำ..

    ผมเริ่มลำดับความสำคัญที่ผมจะต้องให้กับ ธุรกิจตัวเอง ,ธุรกิจแม่ กับ การเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่ได้ซะแล้วครับ

    ทุกครั้งที่ผมเข้าไปทำงานในองค์กรแม่ ผมได้สัมผัสกับอีกโลกนึง โลกที่ผมรู้สึกสนุนสนาน..ตื่นเต้นกับประสบการณ์ใหม่ๆ
    ได้สัมผัสการทำงานจริงๆจังใน บริษัท ได้รู้จักการคิดใหญ่ ได้รู้จักการวางแผนต่างๆ ได้ลองถูกลองผิด ได้ดีใจสุดๆเวลาประสบความสำเร็จ
    ได้เครียดสุดๆเวลา ทำอ่ะไรพลาดไป ได้ลองผิดลองถูกมากมาย...

    ทั้งดีบ้าง แย่บ้าง แต่มันก็ทำให้ผมได้เรียนรู้อ่ะไรหลายๆอย่าง และได้อ่ะไรจากมันเยอะจริงๆครับ

    ผิดกับโลกแห่งการเรียนหนังสือ การไปเที่ยวเล่น และการใช้ชีวิตแบบเด็กๆ ที่ผมเพิ่มผ่านพ้นมาอย่างสิ้นเชิง

    พูดตรงๆว่า ตอนนี้ผมเองก็เริ่มรู้สึกมีความอยากเรียนมหาวิทยาลัย น้อยลงเยอะเลยครับ ตั้งแต่ได้เข้ามาทำงาน

    ตอนนี้ใจนึงก็อยากได้สังคมมหาวิทยาลัย เหมือนที่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเค้าได้
    แต่ใจนึงก็อยากลงมาทำธุรกิจอย่างเต็มที่ แบ่งเบาภาระของแม่ เสียตั้งแต่ตอนนี้และตลอดไป... อยากหันหน้าเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ทันทีตั้งแต่ตอนนี้เลย

    ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรถอนตัวออกจากองค์กร อย่างสิ้นเชิง เพื่อเรียนหนังสืออย่างเต็มที่

    หรือ ผมควรจะทำมันทุกอย่างทั้งๆที่เรียนหนังสือดี
    (มันจะเป็นการจับปลา 2 มือรึเปล่าก็ไม่รู้)


    รู้สึกคลุมเคลือเหลือเกินครับ
    ไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว

    "ผมมาถูกทางรึเปล่า?" และ "ผมควรจะทำยังไงต่อไปกับชีวิตผมดี"

    จริงผมก็ไม่ได้เครียดอ่ะไรกับเรื่องนี้มากมาย เพียงแต่รู้สึกปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงอันแสนจะรวดเร็วแบบนี้ไม่ทันก็เท่านั้นเอง.. :p

    ผมอยากได้คำปรึกษาจากพี่ๆ โต๊ะสีลมครับ เผื่อว่าพวกพี่จะช่วยแนะนำวิธีการดีๆให้ผมได้


    PS.และหวังว่าแม่ผมเองคง ไม่เห็นกระทู้ของผม เพราะเมื่อก่อนแม่ผมก็เข้ามาอ่านกระทู้ ในโต๊ะนี้บ่อยๆเหมือนกัน ^__^

    จากคุณ : :D - [ 1 เม.ย. 48 13:11:12 A:61.90.121.239 X: TicketID:093709 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป