ความคิดเห็นที่ 1 ตอบยากครับ ของใหม่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็น Trend หรือ Fad ของที่รู้แล้วก็กลายเป็นเก่า เอาระดับไหนล่ะครับ จะได้ช่วยแชร์ ลองโยนลูกดูอีกทีนะครับ จากคุณ : X-CU - [ 10 เม.ย. 48 01:51:28 ]

ความคิดเห็นที่ 2 crm ไง เห็นกล่าวถึงกันมากที่สุดในปีนี้แล้ว ส่วนที่HOT ที่สุดของปีก่อนก็ below the line จากคุณ : sirandrew - [ 10 เม.ย. 48 04:21:37 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เห็นมีกระทู้ถามเกี่ยวกับเซล และมาร์เก็ตติ้งมาแล้วหลายคำถาม แต่เห็นมีคำตอบดีๆอยู่แล้ว ผมเลยอ่านเฉยๆ ไม่ได้แสดงความเห็น ในเรื่องนั้นสำหรับมุมมองของผม   สิ่งที่แยกมาร์เก็ตติ้งออกจากไม่มีมาร์เก็ตติ้งก็คือแนวคิดหรือคอนเซป สิ่งที่ผมพูดยืนยันได้ครับ เพราะมาร์เก็ตติ้งเพิ่งเกิดเมื่อราวๆ ปี 1911-1929 แถวๆนั้น   ตอนเกิดใหม่ๆ ก็ยังไม่มั่นคง  มาเริ่มขยายตัว ชัดเจนในแนวคิด และเป็นที่ยอมรับ ก็ในราว 1960-1975 โดยประมาณ แต่ถ้าดูเครื่องมือและเทคนิคต่างๆ ของมาร์เก็ตติ้ง  จะเห็นว่ามันมีมาตลอด นานแสนนานก่อนหน้านั้น คอนเซ็ปของมาร์เก็ตติ้ง(เอาง่ายๆสรุปๆ)คือ มุ่งเน้นไปที่ความต้องการของลูกค้า สนใจ Need มากกว่า Form ดังที่อาจารย์ท่านหนึ่งของผมเคยพูดว่า "เมื่อคนซื้อสว่าน... ความต้องการที่แท้จริงของเขาคือรู  เขาไม่ได้ต้องการตัวดอกสว่านหรือแท่งเหล็ก" การตลาด พยายามทำกำไรโดยการสนองความต้องการนั้นให้ดีกว่าคู่แข่ง เป็นวินวินทั้งลูกค้าและเจ้าของสินค้า   มาร์เก็ตติ้งเทคนิคที่ใช้ ก็ผ่านทางการเซ็กเมนท์ การใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ การประสานกิจกรรมผ่านมุมมองของการตลาดโดยมีมิติของ 4 P เป็นหลัก เนื่องจากมันเป็นแนวคิด ดังนั้นการตลาดจึงมีพลวัตร เปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ ไม่นิ่งตายตัว ในยุคของของ IMC เนื่องจากตลาดเปลี่ยน โลกแคบเข้า เวลาน้อย การสื่อสารมีมากและก้าวหน้า ทิศทางของการตลาดจึงคล้อยมาทางการสื่อสารมากขึ้น มุมมองมีการปรับสำหรับบางสำนัก มีการพูดถึง 4C Product > Consumer Price > Cost Place > Convenience Promotion > Communication มุมมองที่เปลี่ยนไปนี้ ไม่ได้ทิ้ง 4 P  แต่จากมุมของ 4C มันทำให้การแข่งขันดีขึ้น และประสานกำลังของมิติต่างๆได้ดีกว่า และนี่คือทิศทางหนึ่งที่การตลาดเดินมาในวันนี้ ใหม่ไหม ... ผมว่ามันก็ไม่ใหม่ เพราะมีคนพูดเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ถ้าถามว่ามันถูกใช้ไปมากน้อยแค่ไหน ? ผมว่ามันก็ถูกใช้อยู่บ้าง  แต่ก็ไม่มากและไม่เต็มรูป วันนี้ดึกแล้ว  ผมจะเข้ามาอีก หาก จขกท ยังสนใจ ... แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 48 01:41:32 จากคุณ : X-CU - [ 11 เม.ย. 48 01:32:43 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณมากค่ะ เรื่อง 4C, CRM, below the line  นี่น่าสนใจเลยทีเดียว เดี๋ยวจะลองไปหาความรู้เพิ่มเติมดูนะคะ ถ้าคุณ X-CU ว่างก็เชิญเลยค่ะ ยินดีรับคำแนะนำ จากคุณ : .ar.. (.ar..) - [ 11 เม.ย. 48 13:43:36 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ลองอ่านย้อนแล้วเห็นว่าน่าจะขยายความเล็กน้อยเรื่อง 4 C เพื่อให้ชัดขึ้น คือมันเป็นการปรับมุมมองหรือมุมคิด Product แทนที่จะคิดจะคิดเรื่องตัวสินค้า และความต้องการที่สินค้านี้ตอบสนอง   ก็เปลี่ยนเป็นคิดถึงผู้บริโภคและความต้องการของเขา  เขามีระบบความต้องการอย่างไร? คุณค่าเพิ่มเติมและวิธีใช้? เรื่องPrice ราคา แทนที่จะคิดว่าต้นทุนเท่าไร ลูกค้าต้องการจ่ายเท่าไร  ก็กลับไปดูที่Cost ต้นทุนที่ลูกค้าต้องจ่ายเพื่อให้ได้สินค้าหรือเพื่อให้ความต้องการได้รับการตอบสนอง  ต้นทุนนี้มิใช่เพียงตัวเงิน แต่หมายถึงเวลาความลำบากลำบนต่างๆด้วย Place แทนที่จะคิดถึงจุดขาย ช่องทางจำหน่าย  ก็เปลี่ยนเป็นคิดถึงความสะดวกของคนชื้อแทน คิดถึงภาวะที่เขาจะหา กระบวนการการได้มา และการได้รับสินค้าประโยชน์จากสินค้า Promotion จากเดิมที่จะกระตุ้น ส่งเสริมให้คนซื้อ แนวคิดใหม่ก็ใช้เป็นการสื่อสาร ทำความเข้าใจ สร้างเงื่อนไขด้านการสื่อสารเพื่อให้สนองความต้องการได้ดีขึ้น ลูกค้าได้รับคุณค่ามากขึ้น การปรับแนวมา 4C และ IMC นี้ เกิดจากปัญหาเรื่องตลาดสมัยใหม่เปลี่ยนแปลง โฆษณาและการตลาดเดิมใช้ไม่ค่อยได้ผล และนี่คือที่มาของ Event Marketing อีกแนวคิดต่อมา แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 48 18:18:29 จากคุณ : X-CU - [ 11 เม.ย. 48 18:14:55 ]

ความคิดเห็นที่ 6 Event Marketing ไม่ใช่ของใหม่อีกเช่นกัน คนที่ใช้มันอย่างได้ผลที่สุดได้แก่ Steve Jobs แห่ง Apple Computer เนื่องจากค่าโฆษณาแพง  และมันไม่ได้ผลสมราคา Jobs ได้ใช้ Event Mktg ที่ผูกติดวโรกาศสำคัญๆกับการโฆษณาและการตลาดอื่นๆ ต้องจัดให้เขาเป็นมือระดับพ่อมดคนหนึ่งที่เดียว ก่อนเปิดตัวคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ เขาจะสร้างข่าวลือ โดยการรั่วข่าว (Leak) เขาเปิดให้ชาว IT สำคัญๆ ได้เห็นมันก่อนคนอื่น ได้ลองใช้ แล้วเชิญสื่อให้มาชื่นชมมันด้วย ข่าวลือและข่าวแง้ม ก็เริ่มออกมาปูพื้น เขาจับประเด็นข่าวและประเด็นโฆษณาได้ดี ในตอนเปิดตัวสินค้า  เขาจะจัดเป็นงานใหญ่ เชิญสื่อและแขกผู้มีเกียรติ  อาจมีปาร์ตี้เล็กๆ หรือทำสิ่งฮือฮาช่วย ในวันเปิดตัวถือเป็น Event สำคัญ  คนจะตื่นเต้น  ในขณะที่ทางสื่อเขาก็โฆษณาเต็มหน้า ออกทีวีสปอตและอาจมีนิตยสารพิเศษ Celebrity ในวงการก็อาจได้รับเชิญด้วย Steve ได้รับความสำเร็จมาก เขาจะมี Event ดีในการออกข่าวและจัดงานเสมอ ข่าวและการใช้สื่อของเขาได้ผล  เขาใช้เงินค่าสื่อไม่กี่ตังค์ในช่วงวันงาน แต่ได้รับความสำเร็จจากการรีวิว การข่าวสังคม บทความฟรีมากมาย รวมถึงการกล่าวขวัญบน Web การตลาด Event Marketing จึงบอกว่าเกิดเพราะ Steve Jobs และ Apple/ Mcintosh ก็คงไม่ผิดอะไรนัก จากคุณ : X-CU - [ 11 เม.ย. 48 18:35:31 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณค่ะ ได้ความรู้มากขึ้นทีเดียว ตอนนี้กำลังหางานทำอยู่ แล้วก็มีนัดสัมภาษณ์งาน อาจจะนำเรื่องนี้ไปพูดด้วยค่ะ จากคุณ : .ar.. - [ 11 เม.ย. 48 21:03:31 ]

ความคิดเห็นที่ 8 www.businessthai.co.th จากคุณ : VCM - [ 11 เม.ย. 48 23:21:24 A:58.9.143.139 X: TicketID:086784 ]

ความคิดเห็นที่ 9 www.trendwatching.com จากคุณ : Hello_Hello - [ 12 เม.ย. 48 00:52:27 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คุณ Hello_Hello ดูเวบเดียวกะเราเลยอะ จากคุณ : cioccolato - [ 12 เม.ย. 48 18:57:22 ]

ความคิดเห็นที่ 11 thanks ka จากคุณ : .ar.. - [ 12 เม.ย. 48 21:52:28 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คราวที่แล้วที่พูดเรื่อง Event Marketing ไว้ วันนี้อยากเสริมต่ออีกนิด ว่าสืบเนื่องจาก Event marketing กิจกรรมที่ตามมาอีกมากมาย ทำให้เป็นที่มาของสิ่งที่เรียกกันว่า Below the line activities นั่นคือกิจกรรมจิปาฐะอื่นๆ ที่ไม่ได้เน้นเรื่องผ่านสื่อโดยตรง  ที่เป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบัน   สนใจเรื่องแนวคิดมาร์เก็ตติ้งใหม่ๆ ก็ลองตามแหล่งที่มีผู้โพสต์ไว้ข้างต้นก็ดีนะครับ และลองดูแนวคิดเรื่องเหล่านี้ด้วย เช่น Guerlila marketing Data base marketing Experience marketing Relationship marketing แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 48 21:41:00 จากคุณ : X-CU - [ วันเนา (14) 21:39:35 ]

ความคิดเห็นที่ 13 Nostalkia marketing ไงครับ จากคุณ : thunPT (thun PT) - [ วันเนา (14) 21:54:07 ]

ความคิดเห็นที่ 14 นอกจากมี Below the line แล้วยังมี  Above the line ด้วยนะ Below the line จะเกี่ยวกับการจัดกิจกรรม เรียกว่า Event marketing แต่ Above the line จะเป็นเรื่องของการใช้สื่อในการส่งเสริมการตลาด เรียกว่า Below ลงพื้นที่ แต่ Above เป็นตัวกระจายข่าวสาร ยังมี Buss หรือ word of mouth ที่มีการพูดถึงกันบ่อย ๆ นะ ไม่รู้ว่าตก trend ไปหรือยัง แต่เราว่าเป็นเรื่องเก่าแต่ไม่มีทางตกยุคได้ เพราะตราบใดที่ยังมีการพบปะ พูดคุยกันระหว่างคนในสังคม  เพราะการโฆษณาแบบปากต่อปาก ดีกว่าทุก ๆ สื่อที่เคยใช้กันมาเลย จากคุณ : ลูกโป่งฟ้า - [ 22 เม.ย. 48 12:54:50 ]