ความคิดเห็นที่ 5
วันที่ 01 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 ปีที่ 9 ฉบับที่ 99
อาหารสร้างอาชีพ
บุญเตือน ทองอยู่
ขายโจ๊ก อาชีพหลัก สร้างรายได้ 50,000 บาท ขึ้นไป กำไรเห็น ๆ
อาหารเช้า นับว่าเป็นมื้อสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ถ้าใครได้กินอาหารก่อนทำงาน หรือก่อนปฏิบัติภารกิจใด ๆ ในมื้อเช้า จะทำให้สมองโลดแล่นดี ทั้งนี้ต้องเป็นอาหารที่ให้ประโยชน์กับร่างกาย แต่ด้วยภาวการณ์ที่เร่งรีบจึงไม่สามารถจะทำกินเองได้ จำเป็นต้องพึ่งพาร้านค้าต่าง ๆ เปิดขายกันดาษดื่น มีให้เลือกหลากหลายเมนู แต่เมนูเด็ดกินได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เห็นจะเป็นโจ๊กร้อน ๆ อาหารสบายท้อง สบายกระเป๋า ที่ใครหลายคนเลือก เช่นเดียวกับร้าน "นายชิม โจ๊กฮ่องกง" ในแต่ละวันมีลูกค้าเนืองแน่น ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สาเหตุเพราะรสชาติ และกลิ่นหอม แถมเล็งเห็นความสำคัญต่อสุขภาพ ใช้ข้าวกล้องมาเป็นส่วนประกอบหลักในการปรุง ราคาตั้งไว้ไม่แพง อาศัยขายได้จำนวนมาก ส่งผลให้เปิดกิจการมา 10 ปี กำไรเดือนละหลายหมื่นบาทเป็นเครื่องการันตีความอร่อย
10 ปี ที่เปิดร้าน
พ่อ สานต่อให้ ลูก
คุณเศรษฐ์ หาญโรจนะ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านบริหาร จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เจ้าของร้าน "นายชิม โจ๊กฮ่องกง" เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะมาประกอบอาชีพค้าขาย ได้เป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ทำงานประมาณ 10 ปี จนกระทั่งปี พ.ศ. 2540 ลาออกจากการเป็นพนักงานบริษัท เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เงินเดือนที่ได้รับ 20,000 กว่าบาท ต่อเดือน ขาดหายไป แต่แล้วคิดหาวิธีเพื่อจะดิ้นรนต่อสู้ นำเงินมาเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยไม่ได้คาดคิดว่าตนเองจะเข้ามาเป็นพ่อค้า และแล้วพ่อของคุณเศรษฐ์ ซึ่งประกอบอาชีพขายโจ๊กฮ่องกง เริ่มมีอายุมากขึ้น ประกอบกับร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง จึงคิดจะปิดกิจการ
คุณเศรษฐ์ เห็นดังนั้นเกิดความเสียดาย เพราะพ่อของตนประกอบอาชีพนี้มากว่า 5 ปี ลูกค้าประจำมีพอสมควร เนื่องด้วยพ่อเป็นผู้มีฝีมือในด้านการปรุงอาหาร และโจ๊กที่พ่อคุณเศรษฐ์ทำขายมีรสชาติอร่อย แปลกไปจากร้านโจ๊กทั่ว ๆ ไป ทั้งความประณีตในการปรุงอาหาร สร้างความพอใจให้ลูกค้าเป็นอย่างมาก คุณเศรษฐ์ เล็งเห็นว่าถ้าจะต้องปิดกิจการลง คงเป็นที่น่าเสียดาย คิดได้ดังนั้น เข้าไปปรึกษาพ่อ เพื่อขอรับช่วงต่อไป ซึ่งพ่อก็เต็มใจ แต่ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมา คุณเศรษฐ์ มีอาชีพประจำอยู่ ดังได้กล่าวข้างต้น ไม่เคยเข้ามาสัมผัสชีวิตการเป็นพ่อค้า ทำให้ต้องฝึกฝน และเรียนรู้หลักการต่าง ๆ หลากหลายด้าน ทั้งวิธีการทำ การเป็นพ่อค้า วิธีขาย ซึ่งพ่อของคุณเศรษฐ์ ถ่ายทอดให้เป็นอย่างดี จนสามารถเข้ามาประกอบกิจการได้ด้วยตัวเอง
คุณเศรษฐ์ เล่าว่า "เมื่อก่อนพ่อผม ค้าขายอยู่ที่ฮ่องกง ค้าขายเกี่ยวกับอาหารทะเล และผลไม้ชนิดต่าง ๆ พ่อได้สูตรโจ๊กมาจากประเทศฮ่องกง คือเมื่อต้องไปติดต่อธุรกิจด้านค้าขายบ่อยก็มีโอกาสได้ไปกินอาหารหลายชนิดที่นั่น แต่พ่อจะชอบกินโจ๊กมาก จะมีร้านประจำเพราะรสชาติอร่อยเป็นโจ๊กฮ่องกงแท้ ๆ เลย ทำให้อยากได้สูตร ประจวบเหมาะกับรู้จักกับพ่อครัวที่นั่นก็เลยถามสูตรเขามา ไม่ได้ตั้งใจจะมาค้าขายด้านนี้ ขอสูตรมาก็เพื่อไว้ทำกินที่บ้าน แต่แล้ววันหนึ่งต้องการหยุดอาชีพที่ทำอยู่ เนื่องจากเดินทางไม่ไหว อายุเริ่มมากขึ้น แต่พ่อไม่ชอบอยู่เฉย พ่อบอกว่าอยากมีร้านขายของเล็ก ๆ ขายอาหารที่ไม่ต้องเหนื่อยมาก ก็เลยคิดถึงสูตรโจ๊กที่ได้มา" คุณเศรษฐ์ กล่าวถึงความเป็นมาของร้าน "นายชิม โจ๊กฮ่องกง"
เริ่มหาทำเล เลือกสถานที่ใกล้บ้าน ไปมาสะดวก เปิดเป็นร้านเล็ก ๆ ย่านเพชรเกษม แต่แล้วประสบปัญหา เนื่องด้วยคนไทยเคยชินกับการกินโจ๊กแบบเดิม ๆ ที่มีขายอยู่ทั่วไป ไม่เคยกินโจ๊กสูตรฮ่องกง ทำให้ไม่ได้รับความนิยมในช่วงแรก ๆ ยอดขายในแต่ละวันน้อยตามไปด้วย โดยในช่วงแรก ๆ ขายได้วันละ 200-300 บาท แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เกิดความย่อท้อมุ่งขายต่อไป แต่ทั้งนี้ขณะขายก็คิดไปด้วยว่าจะปรับปรุงสูตรอย่างไรให้ขายได้และขายดี รสชาติเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค
กระแสชีวจิตชี้ทาง
โจ๊กข้าวกล้อง เพื่อสุขภาพ
ระยะเวลา 1 ปีเศษ ยอดขายยังไม่ดีขึ้นมากนัก คิดปรับปรุงสูตรให้เหมาะกับคนไทย พอดีช่วงนั้นกระแสชีวจิตได้รับความสนใจจากประชาชนมาก สื่อต่าง ๆ ให้การประโคมข่าวรณรงค์ มุ่งเน้นกินเพื่อต้านโรคภัยต่าง ๆ อันอาจจะเกิดขึ้นได้อีกด้วย พ่อของคุณเศรษฐ์ มีแนวคิดว่าถ้าเปลี่ยนสูตรการทำโจ๊กของตน โดยใช้ข้าวกล้องแทนข้าวขาว และปรับปรุงในเรื่องของรสชาติ น่าจะเป็นการดี เพราะจะทำให้เป็นที่นิยมของกลุ่มเป้าหมาย และยังทำให้ผู้บริโภคได้รับสิ่งดี ๆ อีกด้วย แต่นั้นมาเริ่มต้นพัฒนา ลองทำ ลองขาย
ปรากฏว่าเป็นไปตามคาดหมาย เพราะกลุ่มผู้ซื้อมีจำนวนมากขึ้น ผู้คนให้ความสนใจแวะเข้าร้านจำนวนมากกว่าแต่ก่อน เริ่มมีลูกค้าประจำ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ประจวบเหมาะกับย่านนั้นมีโรงงาน บริษัท และโรงเรียน หลายแห่ง ก่อให้เกิดผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม เปิดกิจการมาได้ 5 ปี อายุที่มากขึ้น ร่างกายเริ่มอ่อนล้า ทำให้ต้องเบนเข็มให้ลูกชายผู้สนใจเข้ามาดูแลกิจการแทน ซึ่งตนเองจะเป็นผู้ให้คำปรึกษาอยู่ข้างหลัง
เมื่อคุณเศรษฐ์ เข้ามาประกอบกิจการ เริ่มเป็นจริงเป็นจังกับอาชีพที่พ่อปูทางไว้ให้ ที่ร้านไม่เพียงแต่ขายโจ๊กเท่านั้น แต่ยังมีรายการอาหารที่น่าสนใจ ให้ลิ้มลอง อย่างต้มเลือดหมู ข้าวหมูแดง เป็นต้น เมนูต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ขายดีด้วยกันทั้งนั้น แต่สินค้าหลักสร้างรายได้ยังคงเป็นโจ๊กรสเด็ดอยู่ ยอดขายที่ 70 เปอร์เซ็นต์ นอกจากรสชาติอร่อย และให้ประโยชน์กับร่างกายแล้ว ยังให้ความสำคัญกับความสะอาด รวมถึงการบริการที่ดี ซึ่งสาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้คุณเศรษฐ์ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยจะเข้ามาดูแลเองตั้งแต่ขั้นตอนของการผลิตไปจนถึงการให้บริการลูกค้าที่มาอุดหนุน
เครื่องปรุงต่าง ๆ ถือเป็นสิ่งชูรสที่สำคัญยิ่ง โดยเลือกใช้ของดี ถึงแม้ว่าราคาแพง แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้วทำให้รสชาติอาหารดีขึ้นคุณภาพอาหารเป็นที่ถูกใจ และยังทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อถือ เป็นสิ่งที่ต้องยอมเสีย ส่วนผสมหลัก ๆ อย่างหมู และผัก สั่งมาจากตลาดใกล้บ้าน เลือกร้านที่ไว้วางใจได้ คุณภาพสินค้าต้องสดใหม่ สำหรับข้าวเลือกข้าวกล้องเป็นหลักผสมข้าวขาวหอมมะลิเพื่อความหอมยิ่งขึ้น ราคาข้าว สำหรับข้าวขาวหอมมะลิ 150 บาท ต่อถัง ข้าวกล้อง 300 บาท ต่อถัง ในแต่ละวันลงทุนค่าวัตถุดิบ 3,000-4,000 บาท ร้านของคุณเศรษฐ์ จ้างพนักงานเข้ามาช่วยกิจการ 4 คน อัตราค่าจ้างเดือนละ 5,000 บาท พร้อมอาหาร 2 มื้อ
ทำเลเลือกใกล้บ้าน
ดูดี ติดถนน แหล่งคนซื้อ
สำหรับทำเลดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าเลือกสถานที่ใกล้บ้าน เนื่องจากไปมาสะดวก ถือเป็นทำเลเหมาะจนถึงปัจจุบัน ลักษณะทำเลเป็นลานโล่งขนาดประมาณ 70-80 ตารางวา อัตราค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท ถือว่าเป็นทำเลที่สะดวกทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย คุณเศรษฐ์ เล่าว่าแต่ก่อนร้านไม่กว้างขนาดนี้ ตั้งโต๊ะเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น แต่เมื่อมีลูกค้ามากขึ้น จำต้องขยายร้านให้กว้างพอรองรับลูกค้า ปัจจุบันวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งโต๊ะเพื่อรองรับลูกค้าประมาณ 15 ชุด แต่ถ้าวันหยุดจะต้องตั้งโต๊ะเพิ่มขึ้นอีก 5 ชุด ไม่อย่างนั้นไม่เพียงพอให้ลูกค้านั่ง
นอกจากจะเสียค่าใช่จ่ายต่าง ๆ ดังได้กล่าวมาแล้วนั้น ค่าใช้จ่ายอีกส่วนหนึ่งคือ ค่าน้ำ ค่าไฟ คุณเศรษฐ์เผยให้ฟังว่า ประมาณเดือนละ 2,000 บาท ร้านค้าบริเวณนั้นมีอยู่ประมาณ 3 ร้าน ลักษณะสินค้าแตกต่างกัน ถือว่าเป็นจุดดีไม่ก่อให้เกิดคู่แข่ง มองในทางกลับกัน ยังสร้างลูกค้ามากขึ้น เนื่องจากต้องยอมรับว่าลูกค้าแต่ละคนรสนิยมในการกินแตกต่างกัน เช่น พ่อต้องการกินก๋วยเตี๋ยว แม่ต้องการกินข้าวผัด ลูกต้องการกินโจ๊ก อย่างน้อยลูกค้า 1 ใน 3 คน เลือกอาหารร้านของคุณเศรษฐ์ ถือว่าเป็นโอกาสอันดีแล้ว มิหนำซ้ำเป็นการช่วยเหลือเกื้อหนุนร้านค้าไม่เพียงร้าน "นายชิม โจ๊กฮ่องกง" เพียงร้านเดียวยังหมายรวมถึงร้านค้าข้างเคียงด้วย
สำหรับราคาขายโจ๊กฮ่องกงแบ่งแยกเป็น 2 ประเภท คือหนึ่งราคาขายสำหรับเด็ก ธรรมดา 12 บาท ใส่ไข่ 14 บาท และราคาขายสำหรับผู้ใหญ่ ธรรมดา 15 บาท ใส่เครื่องใน 20 บาท พิเศษใส่เครื่องในและไข่ 22 บาท "ตอนแรกก็คิดว่าจะตั้งราคาขายสำหรับชามพิเศษ ที่ 25 บาท แต่พ่อแนะนำว่าขาย 22 ก็พอ ผู้ซื้อเขาจะได้ไม่เกิดความลังเลในการตัดสินใจซื้อ กำไรน้อย แต่ได้ลูกค้าเพิ่ม ก็น่าจะอยู่ได้แล้ว" คุณเศรษฐ์ กล่าวถึงราคาขายโจ๊กภายในร้านของตน
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าจุดเด่นทำให้สินค้าขายได้ คือการนำข้าวกล้องมาเป็นส่วนผสมหลักในการทำ สำหรับจุดเด่นอีกประการหนึ่งคือ รสชาติ ความอร่อยของโจ๊ก โดยคุณเศรษฐ์ เผยเคล็ดลับให้ฟังว่าจะทำโจ๊กให้อร่อย ขั้นตอนสำคัญอยู่ที่น้ำซุป ให้นำกระดูกหมูล้างน้ำให้สะอาดต้มและเคี่ยวให้ได้น้ำที่หวานหอม ยิ่งเคี่ยวนานก็ยิ่งดี และไม่ควรขี้เหนียวกระดูกหมู สำหรับเครื่องปรุงต่าง ๆ ก็มีซอสปรุงรส ใส่เครื่องปรุงต่าง ๆ ตามปกติ แต่เน้นที่การเคี่ยวน้ำต้มกระดูกหมู เมื่อต้มได้ที่ดีแล้วนำข้าวลงเคี่ยวกับน้ำต้มกระดูกหมู ค่อย ๆ เคี่ยว ใช้ไฟอ่อน จนได้ที่ จากนั้นเมื่อลูกค้าสั่งก็ตักใส่ชาม แล้วใส่เครื่องตามลูกค้าต้องการ โจ๊กฮ่องกง เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง คือไข่เยี่ยวม้า ไข่เค็ม หมี่กรอบ ปลาท่องโก๋กรอบ เป็นต้น
"ถ้าพูดถึงโจ๊กฮ่องกง ตามแบบประเทศฮ่องกงจริง ๆ เขาจะต้องใส่ปลาหมึก ใส่เครื่องหลายอย่าง แต่เมื่อเรามาขายในบ้านเราแล้ว สิ่งไหนที่ลูกค้าไม่ชอบเราก็ต้องตัดออกไป เรียกว่าต้องนำมาประยุกต์ให้เหมาะกับความต้องการของผู้บริโภคนั่นเอง และเขาจะไม่ใส่ข้าวกล้องก็จะใช้ข้าวขาวเหมือนทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อเราเล็งเห็นความเหมาะสมและจะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป" คุณเศรษฐ์ เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของสินค้าประเภทโจ๊ก
ประยุกต์แล้วขายได้
กำไร เดือนละ 50,000
ร้าน "นายชิม โจ๊กฮ่องกง" เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 04.30-11.30 น. ช่วงเวลาขายดีประมาณ 06.00-09.00 น. สำหรับยอดขายนั้นคุณเศรษฐ์ เผยให้ฟังว่าในวันจันทร์-ศุกร์ รายได้จะอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท ต่อวัน แต่ถ้าเป็นวันหยุด รายได้จะเพิ่มมากขึ้น สรุปเป็นกำไรแล้วไม่ต่ำกว่า 50,000 ต่อเดือน "ผมจะตื่นเวลา 02.00 น.ทุกวัน เพื่อเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ ให้พร้อม พอประมาณ 04.00 น เตรียมรับของเพราะร้านหมูร้านผักที่ตลาดเขาจะนำสินค้ามาส่งให้ที่ร้าน ก็จัดแจงทำและก็พร้อมขายประมาณ 04.30 น. ขายไปจนกระทั่งถึง 11.30 น. จัดแจงเก็บร้าน เสร็จประมาณ 12.00 น. จากนั้นผมก็จะแวะไปดูร้านอะไหล่รถที่ร่วมกันดูแลกับพี่น้อง เป็นอย่างนี้ประจำทุกวัน จนเกิดความเคยชิน ผมว่าก็ดีเรารู้จักบริหารเวลา เวลานี้เป็นเวลาทำงาน ก็หยุดการเที่ยวไว้ก่อน" คุณเศรษฐ์ กล่าว
เมื่อสอบถามถึงอนาคตกับสินค้าที่ขายอยู่ ได้รับคำตอบว่า มีโครงการจะเปิดเป็นแฟรนไชส์ แต่ต้องรอให้ทุกอย่างดูเรียบร้อยกว่านี้ ถือเป็นการสร้างรายได้ สร้างโอกาสให้กับผู้ที่กำลังตกงานด้วย สำหรับผู้ที่ต้องการประกอบธุรกิจค้าขายโจ๊ก คุณเศรษฐ์ แนะนำว่า ให้เริ่มต้นจากร้านเล็ก ๆ ก่อน มีรถเข็น ตู้กระจก โต๊ะและเก้าอี้ 3 ชุด และอุปกรณ์เครื่องครัวอื่น ๆ ที่จำเป็น คาดว่าจะใช้ทุนประมาณ 20,000 บาท สิ่งสำคัญของการประกอบอาชีพค้าขายอีกประการหนึ่งคือต้องยิ้มแย้มแจ่มใส รักในการบริการ เลือกทำเลให้เหมาะสมกับสินค้า เพียงเท่านี้ก็เป็นพ่อค้า แม่ค้า สร้างรายได้ สร้างอาชีพ ให้กับตนเองได้แล้ว สำหรับผู้ใดสนใจ ผ่านมา ผ่านไป บริเวณนั้น ลองแวะชิมกันได้ ปากซอยเพชรเกษม 63/3 หลักสอง บางแค โทร. 0-1422-4083
ล้อมกรอบ
กิจการ : ร้านอาหาร ขายโจ๊ก ข้าวหมูแดง ต้มเลือดหมู
ลักษณะกิจการ : ตั้งร้านขายปลีกริมถนน
เจ้าของกิจการ : คุณเศรษฐ์ หาญโรจนะ
ชื่อร้าน : "นายชิม โจ๊กฮ่องกง"
จุดเด่น : เน้นคุณภาพสินค้า เล็งเห็นความสำคัญสุขภาพผู้บริโภค เลือกทำเลเหมาะ
ราคาขาย : 12-22 บาท
กำไร : 50,000 บาท ต่อเดือน
กลุ่มเป้าหมาย : ทุกเพศ ทุกวัย
สถานที่ตั้งร้าน : ปากซอยเพชรเกษม 63/3 หดลักสอง บางแค กรุงเทพฯ โทร. 0-1422-4083
จากคุณ :
OnceInTheBlueMoon
- [
12 ก.ย. 48 02:31:41
]
|
|
|