ความคิดเห็นที่ 1 ทัศนคติด้านบวกในการมองโลก  ภาพมุมกว้างที่สุดต่อเรื่องนี้ ผมคิดว่าคนที่มีมองโลกด้านบวกที่สุด  คือคนที่มองว่า  ชีวิตขึ้นอยู่กับการกระทำของเขาเอง  เป็นส่วนใหญ่ (แม้อาจไม่ทั้งหมด)  แม้อาจเกิดมาในสังคม หรือปัจจัยแวดล้อมที่เลวร้าย  แต่การที่จะทำชีวิตให้ดีขึ้น  หรือหลุดมาจากสิ่งเลวร้ายนั้น  ก็คือตัวเขาเอง  ไม่ใช่สิ่งอื่น การยอมรับแบบนี้ จะทำให้เราเรียกร้องจากตัวเอง  ในการปรับปรุงการกระทำ  หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น  มากกว่าการรอคอยโอกาสเพียงอย่างเดียว  หรืออย่างน้อยทัศนคติด้านบวกจะบอกว่า  เขาจะพยายามทำให้ดีที่สุด  เพื่อผลก้าวหน้าแม้เพียงน้อยนิดก็มีคุณค่าสำหรับเขา จากคุณ : Jimmy Walker - [ 27 พ.ย. 48 09:36:19 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ทัศนคติด้านบวก  ในด้านมนุษย์สัมพันธ์ ไบรอัน  เทรซี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสำเร็จและผู้เขียนหนังสือแนวนี้ระดับเบสท์เซลเลอร์หลายๆเล่ม กว่าวไว้ว่า " ความไม่สามารถในการเข้ากันได้กับผู้อื่นเป็นสาเหตุหลักของความล้มเหลว  ความคับข้องใจ  และความไม่ผาสุกในชีวิตและการทำงาน "     บางครั้งคนที่มีทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์สูง  อาจไม่ประสบความสำเร็จด้านการงานมากนัก (เพราะไม่มีความทะเยอทะยานด้านหน้าที่การงาน)  แต่ผมมักเห็นว่าพวกเขามักจะมีความสุขกับชีวิตเสมอ  ซึ่งนั่นก็ทำให้ผู้อื่นอยากเข้าไกล้พวกเขา  เพราะอยู่ไกล้แล้วมีความสุข   และบางคนก็มักได้รับความก้าวหน้าจากการมีทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีนี่เอง  เช่น  การเป็นผู้บริหารจำเป็นต้องสามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ใต้บังคับบัญชาส่วนใหญ่ได้  คนที่มีทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ดีย่อมทำให้การบริหารเป็นไปได้โดยง่ายกว่าผู้บริหารที่ไม่ค่อยมีมนุษย์สัมพันธ์ จากคุณ : Jimmy Walker - [ 27 พ.ย. 48 09:54:04 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ทัศนคติด้านบวกในการพัฒนา     มองว่าข้อผิดพลาดทุกอย่างคือการเรียนรู้ การยอมรับอย่างนี้จะทำให้ไม่เครียดกับความผิดพลาดในอดีตมากเกินไป  ยอมให้ตนเองและผู้ใต้บังคับบัญชาผิดพลาดได้บ้าง  ในระดับที่ไม่มากจนเกินไป      เพียงแต่เราพยายามมองบทเรียนจากข้อผิดพลาดนั้น  อย่าปล่อยให้ผ่านเลยไปโดยไร้ค่า  คนที่มีทัศนคติด้านบวกจึงสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่า  คนที่มีทัศนคติด้านลบ จากคุณ : Jimmy Walker - [ 27 พ.ย. 48 09:59:18 ]

ความคิดเห็นที่ 4 รอท่านอื่น  เพิ่มเติมอยู่นะครับ จากคุณ : Jimmy Walker - [ 27 พ.ย. 48 10:02:36 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เข้ามาอ่านคับ... ได้แนวคิดดี ขอบคุณคับ จากคุณ : Kimizu - [ 27 พ.ย. 48 12:32:20 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆ ค่ะ จากคุณ : noopiglet - [ 27 พ.ย. 48 15:26:09 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เยี่ยมคัรบพี่ จากคุณ : ensim - [ 27 พ.ย. 48 21:10:08 ]

ความคิดเห็นที่ 8 Attitude is everything จากคุณ : อาวุธ - [ 27 พ.ย. 48 21:17:26 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เห็นด้วยครับ ผมเพิ่งมารู้แจ้งเอาตอนนี้เองว่า..."ทัศนคติสำคัญจริงๆในการทำงาน+ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและมีความสุขที่สุด" เดี๋ยวนี้เวลาจะคบใคร หรือหาใครมาทำงานด้วย ผมต้องดู attitude ก่อนเลยอันดับแรก จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร - [ 28 พ.ย. 48 05:11:49 A:61.91.172.23 X: TicketID:022417 ]

ความคิดเห็นที่ 10 . . . พยายามปรับของตัวเองอยู่คับ . . . จากคุณ : ความฝันในกำมือ - [ 28 พ.ย. 48 08:50:32 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ทัศนคติต่ออาชีพก็สำคัญนะครับ ผมเห็นผู้ใหญ่หลายๆท่านมีทัศนคติไม่ดีต่อบางอาชีพ  และมีทัศนคติที่ดีต่อบางอาชีพ  เลยพยายามผลักดันให้ลูกๆได้เรียนเพื่อกรุยทางไปสู่อาชีพที่พ่อแม่ปรารถนา  โดยที่ลูกๆอาจไม่ชอบเอาเลย แต่ผมกลับมองแบบนี้นะครับ  อาชีพทุกอาชีพที่สุจริต  มีความเท่าเทียมกัน  อยู่ที่ทัศนคติในการมองมันต่างหาก  หากเรามองอาชีพของเราดี  ภูมิใจที่ได้ทำอาชีพนั้น  เรามีโอกาสประสบความสำเร็จมาก  แต่หากเรามองมันเป็นอาชีพที่ต่ำต้อย  ทำไปวันๆเพราะคิดว่าจำเป็นต้องทำ  เราคงหมดโอกาสก้าวหน้า อาชีพต่างๆล้วนมีโอกาสก้าวหน้า  และประสบความสำเร็จด้านเงินทอง  ถ้าเรารู้จักวิธีการพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ  ทุกวันนี้ผมเห็นว่าเกือบทุกอาชีพ จะมีบางคนที่ประสบความสำเร็จและอยู่ได้อย่างสุขสบาย  สมัยก่อนมีนักเขียนไส้แห้ง  เดี๋ยวนี้มีนักเขียนรวยๆเยอะ  ศิลปินรวยๆก็เยอะ  มีคนค้าของเก่าเปิดโรงงานแปรรูปขยะ  มีเกษตรกรที่ร่ำรวย  ฯลฯ  เพียงแต่หากเราคิดว่าเรา "สามารถ" ไปสู่ความสำเร็จได้ด้วยอาชีพของเรา  เพียงแต่เรียนรู้เรื่องวิธีการเข้าไปอีกหน่อย  คุณก็มีโอกาสทำได้นะครับ จากคุณ : Jimmy Walker - [ 28 พ.ย. 48 09:32:18 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ทัศนคติต่อเงิน จุดอันตรายทางความคิดอันหนึ่ง  มีคนเคยเขียนไว้ว่า  หากเราชอบคิดว่า  คนรวยๆมักมีนิสัยแย่ๆ  หรือมีแต่สิ่งไม่ดี  เราก็ไม่มีโอกาสรวย  เพราะเรามีทัศนคติที่ฝังไปถึงจิตใต้สำนึกให้ต่อต้านความรวย  แล้วถ้าเรากลับมาถามตัวเองจริงๆว่าเราไม่อยากรวยหรือ ????  ผมคิดว่าเกือบทุกคนคงอยากรวย  อยากมีเงินมากๆ  หรือมากพอ  แต่เราจะเอาเงินไปใช้ในทางที่ถูกหรือผิดอย่างไร  ขึ้นกับตัวบุคคล "เงิน" แท้จริงก็อาจเหมือนปืน  คือ มีความหมายเป็นกลาง  เราจะใช้ในทางที่ดีหรือร้ายก็ได้ แต่การมีเงินมากๆ  มีคนชื่นชมมากๆ  มีอำนาจมากๆ  ก็อาจทำให้เราหลง  และเสียคนได้เหมือนกัน  แต่เงินไม่ได้ทำ  เราทำตัวเองต่างหาก  เราไม่เข้มแข็งเอง  เงินหรือผลประโยชน์จึงอาจเป็นสิ่งล่อ  ที่ทำให้คนแสดงตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมา และทัศนคติที่ว่า  เงินจะนำมาซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่น่าจะถูกต้อง  เมื่อคุณพยายามทำเงิน  คุณจะได้เงินตอบแทน  แต่หากอยากได้มิตรภาพ  คุณต้องสร้างมิตรภาพ  คุณอยากได้ความรัก  ต้องทำสิ่งที่ก่อให้เกิดความรัก  ฯลฯ  ไม่ใช่ทำเงินแล้ว  มีเงินแล้ว  ความรักจะตามมา  หรือมิตรภาพจะตามมา  สิ่งที่มาเพราะเงิน  มันจะยึดติดอยู่ทีเงิน หากหมดเงิน  ทุกสิ่งก็หายไป  เพื่อนที่มาเพราะเงิน  แฟนที่มาเพราะเงิน ฯลฯ  เพราะเขาไม่ได้ภูมิใจเพราะอยู่ไกล้ๆตัวคุณ  แต่ภูมิใจเพราะอยู่ไกล้ๆชื่อเสียงของคุณ(ได้รู้จักเป็นเพื่อนกับคนรวย) นั่งรถหรูของคุณ เมื่อคุณทำเงิน  คุณก็ได้เงิน  แต่หากอยากได้อย่างอื่น(ความรัก มิตรภาพ ฯลฯ ) ก็จงทำสิ่งนั้น จากคุณ : Jimmy Walker - [ 28 พ.ย. 48 09:57:49 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อยากจะคุยต่อ  เรื่องทัศนคติสามารถเปลี่ยนแปลงได้  อย่างไร  ไว้จะมาคุยต่อนะครับ  ใครมีประสบการณ์ตรงอย่างไร  เล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ จากคุณ : Jimmy Walker - [ 28 พ.ย. 48 10:02:37 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เคยฟังมาเยอะเรื่องนี้ แต่ความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเองกลับแก้ไม่ได้ ขอเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง ผมอายุเลยกลางคนมาจนจะปลายแล้ว ยังทำใจให้ชอบอาชีพที่ฝืนทำมากว่า40ปีไม่ได้เลย เด็กๆผมสอบได้ที่1มาตลอด คะแนนสอบ90กว่าขึ้นทูกครั้ง ผมชอบเรียนทุกวิชา อยากรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆ ชอบดูหนังวิทยาศาตร์ ชอบทำของเล่นขึ้นเอง ครูที่โรงเรียนบอกว่าผมต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์แน่ๆ แต่ผมถูกบังคับให้ออกจากโรงเรียนตั้งแต่ป6มาค้าขาย เพราะพ่อตาย ผมค้าขายด้วยความไม่ชอบมาตลอดเพราะมัน"ไม่ใช่"ผมสู้ต่อด้วยการเรียนด้วยตนเอง ค้าขายไปเรียนไป ไปสอบเทียบจนถึงม.ศ.3 กะจะเอาให้ถึงปริญญา แต่ทนแรงเสียดสีไม่ไหว ต้องหยุด เพราะเขาบอกว่าไม่มีอาชีพอะไรดีกว่าค้าขาย   ไม่รู้มันจะเรียนไปหา....อะไร จนทุกวันนี้ค้าขายด้วยความรู้สึกว่า ลูกค้าคือศัตรูที่ต้องกำจัดให้พ้นๆไปให้เร็วที่สุด รอแต่ว่าเมื่อไรจะได้หยุดทำงานเสียที attitude ที่ว่าใช้กับผมได้ไหม? อาชีพค้าขายเป็นอาชีพที่ง่ายที่สุดที่ใครก็ต้องทำได้(โดยมีทัศนคติที่ดีต่อมันด้วย)กระนั้นหรือ?  คุณคิดว่าไอน์สไตน์กับนิวตันใครค้าขายเก่งกว่ากัน ผมว่าไม่ได้เรื่องทั้งคู่ หรือเช็คสเปียร์กกับสุนทรภู่เล่า? ปีกาโซ่,ไมเคิลแองเจลโล,โมซารท์,ฯลฯ พวกนี้จับมาค้าขายให้หมด ผมว่าต้องมีใครสักคนอกแตกตาย  ทัศนคติที่ดีช่วยอัฉริยะพวกนี้ได้ไหม? ถึงคำตอบออกมาว่าได้ ก็ไม่แน่ว่าจะใช้กับผมได้เพราะผมไม่ใช่อัฉริยะ ผมแค่คนธรรมดา จากคุณ : Kuliyakin - [ 28 พ.ย. 48 12:09:38 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอตอบคุณkuliyakin # 14 ไปตามความคิดของผมนะครับ   จริงๆผมยังไม่เข้าใจประเด็นที่คุณkuliyakin จะบอกโดยละเอียดนะครับ ว่า คุณมีattitude กับเรื่องอะไรอย่างไร(บวกหรือลบ) แล้วมันไม่เป็นจริงตามเรื่องของทัศนคติอย่างไร แต่ผมเห็นอยู่ประเด็นนึงครับที่ประโยคสุดท้ายของคุณ " เพราะผมไม่ใช่อัฉริยะ ผมแค่คนธรรมดา "  คุณเห็นไหมครับว่าคุณเติม เครื่องหมายลบ(แค่)เอาไว้ในชื่อของคุณเอง(ผมแค่) ผมแสดงความเห็นด้วยความเคารพในความเป็นตัวคุณนะครับ  ผิดพลาดหรือล่วงเกินประการใด ขออภัยด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 48 13:07:09 จากคุณ : Jimmy Walker - [ 28 พ.ย. 48 12:55:58 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ผมมองงี้นะครับ   ทัศนะคติจะเป็นตัวสร้างกิเลศให้เราทะยานอยากได้ครับ    ยิ่งเรามีทัศนะคติกับงานของเราในแง่+มากเท่าไหร่เรายิ่งขวนขวายทำในสิ่งที่เราชอบมากเท่านั้น    และสามารถพัฒนาไปได้เรื่อยๆๆไม่มีที่สิ้นสุด ตราบเท่าที่เรายังรู้สึกดีกับกิเลศส่วนนี้อยู่ จากคุณ : axolot - [ 28 พ.ย. 48 13:55:32 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขออภัย ผมคงเขียนวกวน จนจับต้นชนปลายไม่ถูก เอางี้ ประเเด็นคือ ทัศนคติที่ดีต่อสิ่งใดๆเเป็นของที่มีอยู่ในตัวเอง การปรับเปลี่ยนอาจกระทำได้เป็นบางกรณี แต่ไม่ใช่ทุกกรณี ที่ผมยกตัวอย่างอัฉริยะทั้งหลายเพื่อใหเห็นภาพชัดเจน และเพื่อไม่ให้คนหมั่นใส้ว่ายกตัวเองไปเทียบกับท่านเหล่านั้น จึงต้องออกตัวก่อนว่าผมมันคนธรรมดา ถ้าระดับอัฉริยะเหล่านั้นยัง(น่าจะ)มีปัญหา ผมก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น สรุปคือ ทัศนคติทั้งบวกและลบ มันแก้ยากครับ  แต่เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าทัศนคติที่ดีต่องานที่ทำ ทำให้งานดีเยี่ยม แต่แก้ไขยาก  ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบ จากคุณ : Kuliyakin - [ 28 พ.ย. 48 13:59:48 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เห็นด้วยครับเรื่องทัศนะคติบวกต่องาน ต่ออาชีพ และตัวเอง โดยส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบงานขาย การตลาด พยายามปรับเท่าไหร่ ก็ปรับไม่ได้สักที(ปรับทัศนะคติให้ใจมันชอบ) แต่ยังไงไม่รู้ เกือบครึ่งชีวิตการทำงานต้องเวียนวนอยู่กับงานขาย และตลาดเป็นส่วนมาก มีอยู่ช่วงหนึ่ง และหลายช่วงก็ว่าได้ คิดว่าเจอกับงานหรืออาชีพที่ตัวเองชอบและถนัดที่สุดแล้ว งานที่ไม่เกี่ยวกับการขาย และการตลาด งานที่ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับคนมากมายนัก เมื่อทำไปสักระยะหนึ่ง กับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันไม่เหมาะกับจริตของตัวเอง หมายถึงทำแล้วมันไม่มีพลังที่จะทุ่มเทให้กับมันจริงๆ แม้จะเป็นงานที่ตนเอง"คิด"ว่าชอบ ทำไปวันๆ แบบแกนๆ เรื่อยๆมาเรียงๆ เบื่อๆ อยากๆ เวลาผ่านไประยะหนึ่ง(นานมากเหมือนกัน) จึงกลับมานั่งทบทวน ถึงงานที่ทำมาตลอด อาชีพอะไรกันแน่ งานอะไรกันแน่ ที่เหมาะกับตัวเอง ท้ายสุดก็ได้ข้อสรุป คืองานขายและการตลาด คือคำตอบว่าใช่ที่สุดแล้ว ตนเองเหมาะกับอาชีพนี้อย่างหมดสงสัย ทั้งโดยอุปนิสัย ความคิด ความอ่าน ที่ผ่านมา"ใจ"เราไม่ชอบมันเท่านั้นเอง จึงทำให้ตนเองสับสน ดูถูกอาชีพที่ตนเองทำ ไม่มีศรัทธากับอาชีพนี้เลย เพราะความชอบ-ไม่ชอบ มันรบกวนชีวิตการทำงานมาโดยตลอดแต่หาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้สักที จึงทดลองเปลี่ยนอาชีพ เปลี่ยนมาหลายอาชีพมากๆ พร้อมกับพยายามเรียนรู้ใจตัวเองไปด้วย สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปที่แน่ชัดเกี่ยวกับงานและอาชีพ ซึ่งตอนนั้นตนเองรู้สึกมี"พลัง"มากมายเกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์กับสิ่งที่ตนเองแน่ใจแล้ว จึงได้ความรู้ว่า เมื่อใดที่เราพบว่างานใด คือเหมาะกับเราอย่างแท้จริง มันจะเกิดพลังบางอย่างขึ้นมาทันที เราจะทำงานอย่างมีความสุข ไม่รู้เบื่อ "พลัง" ตัวนี้ไม่เหมือนพลังของความทะเยอทะยานหรือ ทะยานอยากเช่นในอดีต พลังตัวนี้มิใช่จะเกิดขึ้นมาง่ายๆ อธิบายไม่ค่อยถูกว่าทำไมมันจึงเกิดขึ้น แต่สามารถสรุปได้เพียงย่อๆ ว่า มันควรผ่านการลองผิดลองถูกมาก่อน (บางคนอาจไม่ต้องลองผิดลองถูกก็ได้มั้งครับ) จึงจะรู้ว่ามันมีอยู่ในตัวคนทุกคน แต่หลายๆคนกลับหามันไม่พบ พลังตัวนี้คือพลังของศรัทธา ศรัทธาต่องานที่ทำ ศรัทธาต่ออาชีพ ศรัทธาตนเอง สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้พบพลังของศรัทธานี้นั่นคือการรู้จักตัวเอง การรู้จักตนเองไม่ใช่รู้ว่าตนเองชอบ-ไม่ชอบอะไร แต่อยู่ที่รู้ว่าตนเองเป็นอย่างไรตามความเป็นจริง มันคือการที่เราเจอตัวเราเองครบทุกด้านอย่างแท้จริงครับ จากคุณ : . (หมึกสีขาว) - [ 28 พ.ย. 48 16:31:35 ]

ความคิดเห็นที่ 19 มาคุยต่อครับ ประเด็นทัศนคติต่ออาชีพนั้น  ก็ถูกต้องแล้วครับ  ที่เราจะมีทัศนคติที่ดีต่อบางอาชีพ และคิดว่าไม่เหมาะกับบางอาชีพ  แต่ไม่ควรไปรังเกียจบางอาชีพ (บางทีผมเองที่อาจเสนอประเด็นจนอ่านแล้ว  คนอ่านเข้าใจผิดได้)  ฉะนั้นเราแต่ละคนจึงเหมาะกับบางอาชีพที่เราชอบ หรือมีความถนัด  แต่ประเด็นของผมคือ การที่พ่อแม่  มองอาชีพบางอาชีพไม่ดี  แล้วไม่อยากให้ลูกได้ทำงานนั้น  หรือ บางทีเราถนัดงานนั้น แต่มีทัศนคติว่าเป็นงานต่ำต้อย  เลยหมดกำลังใจพัฒนางานอะไรประมาณนี้ครับ จริงๆแล้ว  ผมคิดว่าเราทุกคนมีทัศนติดีกับบางเรื่องและไม่ดีกับบางเรื่องบางคนเป็นธรรมดาโลก  ทัศนคติบางเรื่องที่มีผลต่อตัวเราจึงควรปรับปรุง  เช่น ด้านการงาน  หรือด้านชีวิต  และชีวิตที่สมดุลก็น่าจะมีหลายๆด้านแบบพอประมาณ ไม่สุดโต่งด้านใดด้านเดียว เช่น แวน โก๊ะ มีทัศนคติที่ดีต่องานของเขา  ช่วงตลอดที่มีชีวิตอยุ่ไม่เคยขายงานได้เลย  แต่ก็ยังรักจะเขียนงานศิลปะต่อไป  จนมามีคนยอมรับในภายหลัง  แต่แวน โก๊ะเป็นคนเจ้าอารมณ์และมองโลกในแง่ร้าย  ขนาดชวนเพื่อนรัก พอล โกแกงมาพักอยู่ด้วยกัน พอล โกแกง ยังทนความเจ้าอารมณ์ของเขาไม่ไหว  ต้องย้ายหนีไป  จนเกิดความสะเทือนอารมณ์อย่างมากต่อ แวน โก๊ะ ถ้าให้ผมมีชีวิตแบบ แวน โก๊ะ ผมคงไม่เอา เพราะมันสุดโต่งไปด้านเดียว  นี่ไม่ใช่บุคคลอุดมคติ  แบบที่ควรจะเอาอย่างทั้งหมด  แต่เราอาจเอาอย่างเฉพาะด้านดีของเขา คือ ความศรัทธาในงาน  ถ้ามองภาพโดยรวมของชีวิต  ผมคิดว่าอัจฉริยะหลายๆคน  ไม่น่าเอาอย่าง  เพราะมีชีวิตสุดโต่ง  ผมจะไม่เอาตัวเองไปเทียบกับอัจฉริยะนะครับ  แต่ผมเห็นชีวิตคนเดินดินธรรมดานี่เอง หลายๆคน  ที่มีทัศนคติต่อโลกและชีวิตไปในทางที่ดี  และชีวิตเขาก็มีความสุข  อันนี้ครับ ที่ผมคิดว่าเราเองก็น่าจะทำได้  และผมอยากเป็นอย่างพวกเขาครับ  เราเป็นได้ครับ  ถ้ามองภาพรวมอัจฉริยะทั่วไปทั้งหลาย  ไม่ใช่อัจฉริยะในด้านชีวิต  ผมอยากเอาอย่างอัจฉริยะด้านชีวิตมากกว่า เช่น คนที่ประสบทุกข์ภัยสาหัส  แต่ยังคงรักษาการมองโลกในแง่ดี  และมีความสุขอยู่ได้ครับ  คนแบบนี้มีอยู่ทั่วไป  แต่ไม่มีค่อยชื่อเสียง  คนที่มีชื่อเสียง ก็เช่น คานธี  เป็นต้นครับ   แล้วจะมาเสนอประเด็นต่อ  เรื่อง  ทำไมบางคนถึงแก้ไขทัศนคติได้ง่ายและทำไมบางคนแก้ยาก  และเปลี่ยนได้อย่างไร  ในความคิดของผมนะครับ  (เป็นทฤษฎีแบบของผมเองครับ  อาจผิดก็ได้นะ) จากคุณ : Jimmy Walker - [ 28 พ.ย. 48 17:49:35 ]

ความคิดเห็นที่ 20 Awaken the Gaint  within   ^ ^   สงสัยงานนี้จะไปปลุกยักในตัวของหลายๆๆท่านให้ตื่นนะครับ  ถ้าเป็นไปได้จริงเจ้าของกระทู้คงมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยในการนำเสนอเป็นกระทู้ที่ดีกระทู้หนึ่งเลยนะครับเพราะการหาตัวของตัวเองซึ่งอยู่ใกล้เราสุดแต่หายากที่สุดใครหาตัวตนของตนเองได้เจอก่อนย่อมได้เปรียบในหลายๆๆด้าน  ทุกอย่างเริ่มจากมุมมอง+ความคิดทัศนะคติ   แล้วอย่าลืมลงมือทำทันทีด้วยนะครับ   ราคาของการผลัดผ่อนผลัดวันประกันพรุ่ง มันสูงมากนะครับ   ^ ^ แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 48 01:55:37 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 48 01:53:32 จากคุณ : axolot - [ 29 พ.ย. 48 01:45:41 ]

ความคิดเห็นที่ 21 การเปลี่ยนทัศนคติทำได้ทั้งง่ายและยากครับ อันดับแรกน่าจะเกิดจากการเลี้ยงดู  และประสบการณ์ในวัยเด็กเป็นสำคัญ  จนเกิดทัศนคติพื้นฐานของทัศนคติอื่นๆคือ  ทัศนคติของการเปลี่ยนแปลง   เด็กที่เติบโตมาด้วยการถูกกรอกหูว่า แกทำไม่ได้หรอกๆๆ  ดวงแกไม่ดี  หัวแกทึบ  แกทำไม่ได้  แกเปลี่ยนชีวิตไม่ได้หรอก  ฯลฯ  มานานระดับหนึ่งจะรู้สึกว่า  ตัวเองไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตตนเองได้  แม้จะรู้ว่าถ้าเปลี่ยนความคิด  เปลี่ยนพฤติกรรมของตนบ้าง แล้วชีวิตจะดีขึ้น  แต่พวกเขาจะคิดว่า  เขาเปลี่ยนไม่ได้หรอก  เขาเกิดมาเป็นแบบนี้  คือ เหมือนกับว่า  เขาเป็นนกที่ถูกเลี้ยงอยู่ในกรงทองมานาน  จนวันหนึ่งมีคนมาปล่อย  นกน้อยตัวนั้นกลับไม่ยอมออกจากกรง  เพราะคิดว่าอยู่ในกรงนั้นดีกว่า  อันนี้ก็น่าเป็นกรณี พ่อแม่รังแกฉัน  หรือสังคมรังแกฉัน  เปลี่ยนยากครับ  กรณีนี้  อย่าไปพยายามเลย  เพราะถึงเปลี่ยนได้  ก็อาจต้องใช้เวลานานมากๆ ที่เหลือก็เป็นกลุ่มที่เปลี่ยนได้  แต่ยากง่ายไปตามลำดับ  จากการถูกเลี้ยงดูนั่นแหละ  ว่าเขามีทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างไร  คนที่มีแนวโน้มจะคิดว่า ฉันก็เป็นฉัน  ดีอยู่แล้ว  จะเปลี่ยนแปลงยาก  ในขณะที่คนที่บอกตนเองว่าฉันอยากเป็นอย่างคนนั้น  อยากมีบุคคลิกแบบคนนี้  ประเภทนี้จะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่า หากเราคิดจะเสนอความคิดเพื่อเปลี่ยนทัศนคติของใคร  ก็ควรจะดูให้รู้เสียแต่แรกว่า  เขาจัดอยู่ในประเภทไหน ต่อมาหลักของการเปลี่ยนทัศนคติของคนเรานั้น  เป็นหลักของเหตุผลมากๆ  คนที่จะเปลี่ยนทัศนคติของตนได้  เขาต้องใช้เหตุผลของเขาเอง  ว่าการความคิดเดิมกับความคิดใหม่  อันไหนดีกว่า  ถูกต้องกว่าในความคิดเหตุผลของเขา  ถ้าเราให้เหตุผลที่ถูกต้อง  จนเขาเห็นจริง  ว่าความคิดใหม่ดี  กว่าอันเก่า  เขาก็จะค่อยๆ ยอมรับทัศนคติอันใหม่เข้ามาแทน  เช่น คนๆหนึ่งถูกกรอกหูมานานว่าชายคนหนึ่งนิสัยไม่ดี  จนเขาเกิดทัศนคติที่ไม่ดีต่อชายคนนั้น  แต่ด้วยเหตุที่ต้องรู้จักและทำงานร่วมกันไปนานๆ  พฤติกรรมของชายคนนั้นกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ได้เลวร้ายแบบที่เขาเคยได้รับข้อมูลมา  เขาได้รับข้อมูลใหม่  และเห็นด้วยตาตนเอง  จึงเชื่อในความคิดอันใหม่ และเปลี่ยนทัศนคติต่อชายคนนั้น การเปลี่ยนทัศนคติจึงเกิดจากการได้รับข้อมูลเพิ่มเติม  จนเปลี่ยนความคิดทัศนคติไปตามเหตุผลใหม่  แต่ด้วยเหตุที่แต่ละคนมีเหตุผลดั้งเดิมและวิธีคิดไม่เหมือนกัน  แม้ได้รับข้อมูลใหม่เหมือนกัน  ก็ไม่อาจปรับทัศนคติไปแบบเดียวกันได้  แต่ถ้าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้  การได้รับข้อมูลเพิ่ม  เขาจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใดแบบหนึ่งเสมอ คนที่มีทัศนคติเปลี่ยนแปลงตนเองได้  และมีประสบการณ์อ่าน(เพิ่มข้อมูล วิธีคิด เหตุผลของคนอื่น)  พูดคุย  หรือมีประสบการณ์ที่หลากหลาย  จะเปลี่ยนยบุคคลิกและทัศนคติไปได้เร็วมาก  เราอาจพบเพื่อนเก่าบางคนที่เปลี่ยนสังคมไป  และกลับมาเจอกันหลังจากหลายปี  แล้วเขาเปลี่ยนบุคคลิกไปโดยสิ้นเชิง  อาจเพราะเขามีบุคคลิกเปลี่ยนแปลงได้  และได้รับข้อมูลใหม่ๆจากสังคมใหม่ๆ การเปลี่ยนทัศนคติไปทางลบหรือบวก  จึงขึ้นอยู่กับการรับรู้ข้อมูลใหม่ๆ  ถ้าจับคนที่มีทัศนคติที่ดี  ไปนั่งดูข่าว ฆ่ากันตายทุกวัน  ดูสัมภาษณ์คนจิตใจชั่วร้ายบ่อยๆ   เขาจะเปลี่ยนทัศนคติต่อโลกว่ามีแต่คนชั่วร้ายแฝงอยู่  แค่ดูสารคดีเชิงลบเรื่องเดียว  พอคุณดูจบ คุณจะมีทัศนคติ  เปลี่ยนไปชั่วครู่  ถ้าดูบ่อยๆ อาจเปลี่ยนทัศนคติไปเลย การที่เราดูข้อมูลข่าวสารเชิงลบ  หรือละครน้ำเน่า(ที่มีแต่เรื่องลบๆ)  จึงเป็นการป้อนข้อมูลทางลบเข้าไปในชีวิตคนเรา  แม้ว่าบางเรื่องคือความจริงในโลก  ที่มีทั้งเลวร้ายและสวยงาม  แต่ผมเชื่อว่าการมีทัศนคติที่ดี  เราจะมีความสุขและมองโลกสวยงามกว่า  ถึงแม้ว่ามันอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดของโลกก็ตาม ถ้าเราอยากมีความสุข  และมองโลกสวยงาม  ลองจับตัวเองไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี รับแต่ข่าวสารดีๆ  เลิกอ่านข่าวฆาตกรรม  สักเดือนนึง  คุณจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของคุณอย่างชัดเจน  แล้วลองปรับสมดุลย์  รับข่าวดีๆเป็นส่วนใหญ่  ข่าวร้ายๆ  เอาเท่าที่จำเป็น  ชีวิตน่าจะเป็นบวกด้านอารมณ์และจัดเป็นพวกมีทัศนคติที่ดีมากๆครับ จากคุณ : Jimmy Walker - [ 29 พ.ย. 48 09:22:16 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอแสดงความเห็นแบบไม่อ่านความเห็นอื่นๆก่อนนะคะ เกรงว่าจะเกิดการเอนเอียง หุหุ เอาตามประสบการณ์อันน้อยนิด ยอมรับค่ะว่าทัศนคติมีผลต่อการดำเนินชีวิตและการทำงานอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเจอกับอุปสรรคในชีวิต หากเรามีทัศนคติในด้านลบ สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่กดทับตัวเองจนไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ ในทางกลับกันทัศนคติในแง่บวก กลับเป็นสิ่งที่ช่วยจุดประกายแสงสว่างให้เรามองเห็นทางออก ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ในด้านการเดินทางตามความฝันของตัวเอง เมื่อตอนที่กำลังบุกป่าฝ่าดงในสายการแปล ตัวเองไม่มีทั้งคอนเน็คชั่นและประสบการณ์ สิ่งที่รู้อย่างเดียวก็คืองานนี้คือสิ่งที่รักและต้องทำตามความฝันไปให้ได้ สิ่งนี้เป็นแรงผลักดันทำให้เกิดการพัฒนาตัวเองตลอดเวลา รวมถึงการเรียนรู้จากสิ่งรอบข้างและเรียนรู้จากความคิดของคนอื่น หลายครั้งเจอบททดสอบทั้งในเรื่องของคนและงาน จนเรียกได้ว่าท้อจนแทบจะเดินต่อไม่ไหว แต่การมองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือบททดสอบ แล้วพร่ำบอกกับตัวเองเสมอว่า "จับจ้องที่จุดหมาย...ไม่ใช่อุปสรรค" จึงทำให้ผ่านแต่ละจุดมาได้ แม้ว่าปัจจุบันอาจจะยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถือว่าทัศนคติที่ดีที่ตัวเองมีนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้มีกำลังที่จะเดินตามความฝันของตัวเองต่อไป นอกจากนี้ทัศนคติที่ดีคือสิ่งที่ทำให้เราสามารถเปิดรับทุกสิ่งที่จะเข้ามาและพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ใช่นั่งจมอยู่แต่กับปัญหา แล้วคร่ำครวญเพียงว่า "แย่แล้วๆๆๆ" นี่เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวนะคะ ไม่ได้อ้างอิงจากหลักทฤษฎีอะไร อิงจากความรู้สึกและประสบการณ์ของตัวเอง จากคุณ : ฤทธิรัตน์ - [ 29 พ.ย. 48 10:57:27 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เด็กที่เติบโตมาด้วยการถูกกรอกหูว่า แกทำไม่ได้หรอกๆๆ  ดวงแกไม่ดี  หัวแกทึบ  แกทำไม่ได้  แกเปลี่ยนชีวิตไม่ได้หรอก  ฯลฯ  มานานระดับหนึ่งจะรู้สึกว่า  ตัวเองไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตตนเองได้   ขอแสดงความคิดเห็นนะครับ    ตรงนี้เนี้ยผมว่ามันก็ไม่เสมอไปครับ ผมเติบโตมากันสิ่งเหล่านี้เหมือนกันด้วยความที่เป็นคนเล็กสุดของบ้านและพี่ๆๆชอบพูดแนวๆๆนี้ด้วย  แต่พ่อแม่ผมไม่ได้เป็นนะครับ    สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเราได้คือสังคมที่เราใกล้ชิตด้วยนะครับ     เราจะเปลี่ยนตัวเองไปตามสังคมที่เราอยู่โดยปริยายครับ   ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาตัวเองเข้าไปอยู่สังคมไหนในเวลานั้นและใกล้ชิตแค่ไหน         อันนี้คือความเห็นส่วนตัวนะครับจากประสบการ์ณที่เจอกับตัวเอง จากคุณ : axolot - [ 29 พ.ย. 48 14:08:14 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ก่อนคุยต่อ ขอชื่นชมความเอื้อเฟื้อของ เจ้าของกระทู้ที่แม้ทราบว่ากำลังคุยกับคนประเภทบัวใต้น้ำ ก็ยังมีใจคุยต่อ อาจได้อานิสงแก่บัวปริ่มน้ำบ้างก็ยังดี ถูกไหมครับ? ทีนี้ขอคุยต่อ โดยขออ้างถึงคุณฤทธิรัตน์(คหที่22)และคุณaxolot ซึ่งคือนัยที่ผมเอ่ยถึง ถ้าเราโชคดีได้ทำงานที่ตรงกับความชอบส่วนตัวของเรา เมื่อมีอุปสรรค ทัศนคติที่ดีต่องานจะช่วยเราผ่านพ้นอุปสรรคนั้นไปได้ ไม่ว่ายากหรือง่าย เราก็จะฝ่าฟันไป  ตรงกันข้าม ถ้าเราได้งานที่ไม่ตรงกับจริตของเรา เวลาเจออุปสรรค เราพยายามปรับทัศนคติต่องานให้เป็นบวก(จะได้หรือ?)อย่างไร ก็คงไม่สามารถทำได้เหมือนเราทำงานที่ชอบ  และยิ่งมีประวัติถูกกรอกหูมาว่าเราไม่ได้เรื่องด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง     แต่ทั้งหมดนี้ ผมขอบคุณเจ้าของกระทู้อย่างยิ่ง ไม่เคยคุยกับไครได้ลึกเท่านี้เลย ส่วนมากระอาก่อน จากคุณ : Kuliyakin - [ 30 พ.ย. 48 15:45:57 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เรียนพี่ Kuliyakin ครับ (ผมขออนุญาติเรียกพี่แล้วกันนะครับ เพราะนับๆแล้ว พี่น่าจะอาวุโสกว่าผมมาก) ประเด็นที่ผมเสนอมา  มันอาจจะละเอียดซับซ้อน จนบางทีก็อ่านยากและเข้าใจความหมาย สื่อสารกันผิดไปได้ ในความคิดผม  ถ้าจะอธิบายกันอย่างคร่าวๆ  ผมคิดว่า  เราควรจะ"ต้อง"มีทัศนคติที่ดีต่อชีวิตโดวยรวมเสียก่อน(คือมองชีวิตทั้งชีวิต)  ควรมองชีวิตที่ผ่านมาของเราในแง่ดี  เราก็จะมีความสุข  ส่วนเรื่องย่อยๆนั้น  เราอาจมีทัศนคติไม่ดีกับคนบางคน  หรืออาชีพบางอาชีพ  (แต่เราไม่ควรเอาทัศนคติของเราไปใส่ให้คนอื่น  เช่น ลูกๆของเรา  บังคับเขาว่าอาชีพนี้ดี อาชีพนี้ไม่ดี  ในขณะที่เขามีทัศนคติต่างไป) ส่วนการปรับทัศนคติต่องานที่เราไม่ชอบ  ให้มีทัศนคติดีขึ้นนั้น  ผมคิดว่าทำได้ครับ  ถ้าเราพยายามมองด้านดีของมัน  เช่น ผมเห็นเวลามีสัมภาษณ์คนกวาดถนน  ว่าทำไมเขาถึงทนทำอยู่ได้  เขาจะบอกว่า เขาภูมิใจที่ได้ทำให้บ้านเมืองสะอาด  เป็นอาชีพสุจริต  ฯลฯ  ต่องานที่เราไม่ชอบ  ถ้าเรามองว่า  อาชีพนี้เป็นอาชีพที่หาเงินมารักษาอาการป่วยของแม่เรา  เป็นอาชีพที่หาเงินส่งลูกเราเรียนจนจบ  เป็นอาชีพที่ช่วยคนจน  ฯลฯ  เราก็จะรู้สึกดีขึ้น  แม้ว่ามันคงไม่รู้สึกดี  เท่าที่เราได้ทำอาชีพที่เรารัก  แต่การมองมันในด้านดีให้มากที่สุด  เราก็จะลดความทนทุกข์ในการต้องทำมันได้  ผมคิดอย่างนี้นะครับ พี่ครับ  ในการเสนอความเห็นของผม  ผมก็เสนอไปตามความคิดของผม  ซึ่งก็หวังว่าจะมีประโยชน์แก่ใครบ้าง  ส่วนใครไม่เห็นด้วยประการใด  ก็คงไม่ใช่บัวใต้น้ำแต่ประการใดหรอกครับ  เพราะแต่ละคนก็มีสิทธิที่จะกำหนดชีวิตของตนเอง  หรืออาจคิดต่างออกไป  การไปคิดแบบนั้น  เดี๋ยวจะกลายเป็นผมเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก  ซึ่งไม่ดีเลยครับ ที่คุณ axolot ว่ามาก็ไม่ผิดครับ  ยิ่งเป็นประสบการณ์ส่วนตัวซึ่งพิสูจน์แล้วด้วย  ยิ่งต้องยอมรับ  แต่เท่าที่อ่าน  ผมมองว่าคุณ axolot ได้รับการปลูกฝังทัศนคติใหม่ๆ  ในสังคมใหม่ที่คุณ axolot ได้ไปคลุกคลีอยู่ด้วยเป็นระยะเวลาหนึ่ง ที่ผมกล่าวมา  เพียงแต่เสนอประเด็นว่าการเลี้ยงดู  สั่งสอนของพ่อแม่ มีอิทธิพลต่อคนเราไม่มากก็น้อย  แต่นิสัยของคนเรามาจากอิทธิพลหลายอย่าง  ทั้งโรงเรียน  เพื่อนฝูง  สังคม  ฯลฯ  อะไรมีอิทธิพลมากกว่ากันก็ตามแต่เวลาที่เราใช้อยู่ที่นั่นครับ จิตใจคนเราไม่ใช่ของแข็งครับ  คนที่เรียกว่าดื้อรั้นที่สุด(ไม่เปลี่ยนความคิดง่ายๆ)  ก็ยังเปลี่ยนความคิดได้  ถ้าเขามีประสบการณ์ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนความคิด  หรือใช้ระยะเวลายาวนานหน่อย  หรือให้เหตุผลที่เขาเห็นด้วย  จิตใจคนเปลี่ยนได้  แต่ใช้เวลาไม่เท่ากันครับ จากคุณ : Jimmy Walker - [ 30 พ.ย. 48 18:27:40 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เห็นด้วยครับ   ว่าสิ่งแวดล้อมรอบข้างที่นอกจากครอบครัวจะเปลี่ยนตัวเราเองไปด้วย  ผมโชคดีที่เลือกสิ่งแวดล้อมที่ดีและได้มีโอกาศไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมดีๆๆครับ  ทำให้ผมมีทัศนะคติที่ดีขึ้นได้  จากที่เคยคิดว่าเราคงทำไม่ได้หรือบางครั้งอาจจะประชดไปเลยว่าเออนี้ไงตูทำไมได้ไงงั้นตูไม่ทำละจะได้สมใจพวกเอ็......ไง    มาเป็นทำให้ดีที่สุดทำให้ถึงที่สุด  อันนี้ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆๆพี่ๆๆและผู้ใหญ่หลายๆๆท่านไว้นะที่นี้ครับที่อบรมสั่งสอนพลักดันบางครั้งพลักมากๆๆผมไม่เดินก็อาศัยถีบเอา    จนทำให้ผมมีวันนี้ได้   แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 48 21:45:39 จากคุณ : axolot - [ 30 พ.ย. 48 21:42:57 ]

ความคิดเห็นที่ 27 มาให้กำลังใจคุณ kuliyakin ค่ะ อ่านเรื่องของคุณก็พอ จะเข้าไจค่ะ ว่าคุณคงจะมีความอึดอัดในอาชีพของคุณ พอสมควรเลยทีเดียว ลองหาอะไรอย่างอื่นที่คุณชอบ ทำควบคู่ไปซิคะ อาจจะเป็นงานอดิเรกก็ได้ อาจจะทำ ให้คุณรู้สึกดีขึ้น singty ก็เป็นอีกคนที่ไม่ค่อยชอบงานที่ ทำอยู่ แต่รู้ว่าเรามีหน้าที่ต้องทำเพราะมันจะเป็นฐานให้ เราสามารถทำตามความฝันของเรา ว่าเราจะได้ทำงานที่ เราชอบ มันเลยเป็นกำลังใจว่าถ้าเก็บเงินได้เยอะๆ เราจะ ได้ทำงานที่เราอยากทำซะที แค่นี้กำลังใจก็มาแล้วค่ะ แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 48 21:56:45 จากคุณ : singty - [ 30 พ.ย. 48 21:56:27 ]

ความคิดเห็นที่ 28 หลวงพ่อติท นัทฮันน์ พระชาวเวียตนามที่ลี้ภัยสมัยสงครามเวียตนาม อเมริกัน ไปอยู่ฝรั่งเศส เคยเขียนหนังสือ(ภาษาไทยหลายเล่ม-แปล) คนเราแม้งานล้างจาน ก็สามารถมองและคิดอย่างมีความสุขได้ครับ "เรามีส่วนทำให้จานสกปรก สะอาดขึ้น เราเป็นคนมีค่า " คิดมีทัศนคติเพียง เท่านั้น ความสุขก็บังเกิดในใจเราได้ และงานล้างจานก็ไม่เป็นงานน่าเบื่ออีกต่อไป ท่านพุทธทาส กล่าวว่า" การทำงานคือการปฏิบัติธรรม" ....ฝากมาให้คิดครับ...... จากคุณ : ขามเรียง - [ 1 ธ.ค. 48 13:10:42 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ ได้ข้อคิดดีๆอีกหนึ่ง ทำให้นึกถึงหนังจีนเรื่อง "เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด" พระเอก เย่หย่งเทียน จากภาค 1 ถึง ภาค 2 ธุรกิจเดิม, ฉลาดเท่าเดิม, connection เท่าเดิม, เงินทุนน้อยลง, คู่แข่งเก่งกว่าเดิม แต่ประสบความสำเร็จมากขึ้น ที่ต่างออกไปคือ ?? หลายๆคนอาจเชื่อเรื่องดวง แต่จริงๆแล้วการตัดสินใจทำอะไรแต่ละอย่างของเรา เป็นตัวกำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเราต่อไป และสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเรามากที่สุดก็คงเป็นทัศนคติ แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 48 19:43:05 จากคุณ : Jiang wei - [ 1 ธ.ค. 48 19:28:31 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ลองวาด....mood --> emotion....และ..... แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 48 20:32:30 จากคุณ : ขามเรียง - [ 1 ธ.ค. 48 20:29:38 ]

ความคิดเห็นที่ 31 อ่านยังไม่จบ แต่ขอแสดงความคิดเห็นก่อนละกันนะคะ แต่ก่อนแนนจะเป็นคนที่ Positive มากๆๆ แต่หลังจากที่ได้อ่านหนังสือ 7 Habits of Highly Effective People ซึ่งมีช่วงหนึ่งที่เขียนว่า "You might work on your attitude -- you could think more positively. You still wouldn't get to the right place, but perhaps you wouldn't care. Your attitude would be so positive, you'd be happy wherever you were." สะดุดเลยค่ะ พอลองเอามาคิดกับชีวิตตัวเอง ก็เห็นได้ว่า เอ่อ การที่เรามี attitude ดี มันก็เป็นเรื่องดีนะ แต่บางที่เราควรเลือกสิ่งที่ดีที่สุด และต้องย่อมหันหลังในบางสิ่งบางอย่าง เพื่อก้าวต่อไปในทางที่เราต้องการจริงๆ ตอนนี้เลยจะเน้นเรื่อง effective thinking แทนค่ะ จากคุณ : Vydde - [ 1 ธ.ค. 48 23:27:46 ]

ความคิดเห็นที่ 32 สวัสดีอาจารย์ขามเรียงครับ  ขอบคุณอาจารย์ที่มาช่วยแนะเสนอความคิดเห็นให้กระทู้นี้ได้คึกคักขึ้นมา  จนถึงวาด chart ของ attitude ประกอบ  ผมกำลังรออาจารย์มาอธิบายรายละเอียดของ chart ต่อนะครับ ผมต่อด้วยการขอแสดงความคิดเห็นตอบคุณ Vydde ครับ attitude เป็นนามธรรมที่ตีความได้หลากหลายจริงๆ  ยิ่งอ่านของคุณ Vydde แล้วผมเองก็ยิ่งคิดว่า  attitude มันอาจซับซ้อนกว่าที่คิด  บางคนที่ว่าตนเองเป็น positive แต่คนอื่นมองเป็น negative ในขณะที่คุณ Vydde มองตัวเองเป็น effective  ซึ่งมองมองว่ามันก็คือ positive นั่นแหละครับ การมองแบบ positive  อาจมีหลายระดับ  ตามความเข้าใจของผม  การมองโลกอย่างเป็นบวกมีความสำคัญสูงสุด  คือ มองโลกในแง่ดี  อย่างน้อยเราจะมีความสุข  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น (you could think more positively. You still wouldn't get to the right place, but perhaps you wouldn't care. Your attitude would be so positive, you'd be happy wherever you were.) แต่พอมาระดับที่สอง  คือ positive ต่อตัวเอง  คือการคิดว่า เรา "มีความสามารถ" จะทำอะไรก็ได้  เราสามารถกำหนดชีวิตของเรา  ถ้าคนที่มี positive ต่อโลก  แต่ negative ต่อตนเอง  คิดว่าตนเองต้องรับชะตะกรรมตามที่บางสิ่งกำหนด  ก็จะกลายเป็นคนที่มีความสุข  แต่ไม่พยายามพัฒนาตนเองให้เติบโตขึ้น  ถ้าเรามี attitude ที่ดีต่อตนเอง  แน่นอนเราย่อมคิดเราสามารถเติบโต พัฒนาได้มากกว่านี้  การย่ำอยู่กับที่ อาจทำให้เราไม่พอใจในจุดที่ยืนอยู่  โดยไม่ต้องโทษตนเองมากมาย(ที่ผ่านมาคือบทเรียน)  กลับกันคนที่ positive ต่อตนเอง แต่ negative ต่อโลก  เวลาชีวิตไม่ก้าวหน้า  เค้าจะไม่พอใจ  คิดว่าเค้าสามารถก้าวไปได้มากกว่านี้  และโทษสาเหตุของการไม่ก้าวหน้าไปที่  คนอื่น  สังคม  หรือโทษความเลินเล่อของตัวเอง  คือหงุดหงิดกับชีวิตตลอดเวลา  ถ้าชีวิตไม่ก้าวหน้า  แต่คนที่ positive ต่อตนเองมากจริงๆ  ก็จะคิดว่าเขาสามารถเอาชนะอุปสรรคอื่นๆที่มาขัดขวางความก้าวหน้าของชีวิตเขาได้อยู่ดีครับ ถ้าเรามี positive หลายระดับ  เราจะสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างมีความสุขครับ  คุณ Vydde มีattitude ที่ positive ต่อตนเองดีแล้วครับ  เพียงแต่ตีความออกมาเป็น effective เท่านั้นเอง ขอให้ชีวิตคุณก้าวหน้าอย่างมีความสุขนะครับ แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 48 09:55:01 แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 48 09:51:33 จากคุณ : Jimmy Walker - [ 2 ธ.ค. 48 08:53:01 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เรามาเรียนรู้เรื่องของจิตจากผังภาพต่อกันนะครับ มนุษย์นั้น...หากมารดาบิดาได้ถ่ายสายเลือด ร่างกาย สมองมาให้ลูก และมีอวัยวะครบอาการ๓๒ประการ หากมนุษย์ผู้นั้นได้รับการถ่ายทอด รับรู้รับทราบ เรียนรู้วัฒนธรรมที่เป็นบวกจากครอบครัวที่เข้าใจในแก่นแท้(ทุกศาสนา) นับว่าเป็นรากฐานสำคัญโชคดีขั้นหนึ่ง เมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนร่วมวัย เพื่อนที่โรงเรียน รับรู้เรียนรู้จากครูอาจารย์ที่ผ่านหลักสูตรที่ดีอีกทอดหนึ่ง เป็นการตอกยำให้มนุษย์เรามี ทัศนคติเป็นบวก ต่อตนเอง ด้านการพัฒนาจินตภาพ ประสิทธิภาพ คุณภาพ และต่อทรัพยากรสิ่งแวดล้อมด้านความยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลให้เป็นคนมีความสามารถ มีภาวะความเป็นผู้นำสามแบบ แบบใดแบบหนึ่งหรือมีความสามารถได้ทั้ง ๓แบบรวมกัน ๑.มีความสามารถด้านการรับรู้เรียนรู้.......ไปเป็นครูอาจารย์หรือทำงานค้นคว้าวิจัยสร้างทฤษฎีหรือคิดค้นนวัตกรรมได้ ๒.มีความสามารถทำงานปฏิบัติงานได้ระดับผู้นำองค์กรหน่วยงาน หรือเป็นเจ้าของกิจการเล็กใหญ่ได้ ๓.มีความสามารถปิดจุดอ่อน ลดจุดอ่อนของตนขององค์กรหน่วยงานได้ หรืออีกนัยหนึ่ง มีความสามารถพัฒนาตนพัฒนาองค์กรให้ดีกว่าเดิม เป็นความสามารถบริหารการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นจากสภาพเดิมได้นั่นเอง จากคุณ : ขามเรียง - [ 2 ธ.ค. 48 16:06:38 ]

ความคิดเห็นที่ 34 มนุษย์รับรู้รับทราบ เรียนรู้ผ่านแกนMood+Emotionความต้องการ(ความอยาก)และความกลัว นัยว่าทั้ง๒ประการนี้เป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกและเชิงลบที่หักล้างกันตลอดเวลา อีกแกนหนึ่งเป็นปลายแกนของการรับรู้รับทราบ เรียนรู้ด้วยแกนไสยศาสตร์ ความงมงายหาเหตุผลไม่ได้ด้านหนึ่ง ตรงข้ามเป็นปลายแกนวิทยาศาสตร์หลัก (มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ) จากประสบการณ์ การเรียนรับรู้รับทราบ แล้วสรุปการเรียนรู้ต่างกันตามMoodจริต Emotionอารมณ์ปรุงแต่ง แล้วตอกย้ำจริตอารมณ์บ่อยครั้ง จนกลายเป็นรสนิยมเป็นนิสัย สันดานเป็นความเชื่อมั่น เป็นทัศนคติเชิงบวกหรือเชิงลบต่อตนเองต่อสิ่งแวดล้อม ต่อปฏิสัมพันธ์ผู้คน สังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ และสำแดงออกเป็นพฤติกรรมให้เห็นได้ในที่สุด action-->reaction -->feeling -->mood -->Emotion --> ATTITUDE -->BEHAVIOR --> (Action)*(Reaction) Moodจริต การปรุงแต่งจริตของคนเราจึงเป็นฐานทางอารมณ์ของAttitudeที่สำคัญด้วยเช่นกัน ทุกวันทุกคืน คนเราจะปรุงแต่งจริต รสนิยมแบบสะสมตลอดเวลา ดนตรี กีฬา งานอดิเรก คาราโอเกะ ภาพยนต์ ทีวี ละคอน การอ่านหนังสือ รวมทั้งเลี้ยงหมาแมว ปลา ไก่ ต้นไม้ ด้วยเหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 48 16:45:10 จากคุณ : ขามเรียง - [ 2 ธ.ค. 48 16:41:23 ]

ความคิดเห็นที่ 35 สิ่งรอบตัวที่มนุษย์แต่ละชนชาติสร้างขึ้น ปลาแฟนซีคาร์พ ต้นไม้บอนไซบ่งบอกทัศนคติของเจ้าของ หมาพันธุ์ต่างๆ ประเภทดุร้าย ใจดี สวยงาม บ่งบอกทัศนคติของเจ้าของ วัวชน ปลากัด ไก่ชน ไก่สวยงาม ไก่ไข่ ไก่เนื้อ บ่งบอกทัศนคติของเจ้าของ ได้หรือไม่?....... จากคุณ : ขามเรียง - [ 2 ธ.ค. 48 17:01:17 ]

ความคิดเห็นที่ 36 มิกกี้เม้าส์ ที่ วอลท์ ดิสนีย์ สร้างขึ้นจากทัศนคติของความเป็นมิตร ความเอ็นดู ความเป็นบวก กับ สัตว์ตัวเล็กคือหนูสกปรกที่เรารังเกียจกันเป็นส่วนมาก.... เป็นทัศนคติเชิงบวกที่ส่งผลมหาศาล.....ด้านธุรกิจบันเทิง จากจิตใจ จากจริตด้านดีของราชาการ์ตูน....... จากคุณ : ขามเรียง - [ 2 ธ.ค. 48 17:13:22 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เอ.....การทำธุรกิจ สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร แล้วร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี นี่มันอะไรกัน สังคมมนุษย์ทุนนิยม ตลาดเสรี ล้มเหลวถึงทางตันของมนุษยชาติแล้วกระมัง... จากคุณ : ขามเรียง - [ 2 ธ.ค. 48 17:18:06 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อยากเติมพลังด้วยคำว่า " AMBITION " เข้าไปเชื่อมโยงด้วย ครับ จากคุณ : SEA - [ 3 ธ.ค. 48 00:28:31 A:58.9.146.253 X: TicketID:107202 ]

ความคิดเห็นที่ 39 คิดว่า ทัศนคติ ของคนเรา เป็นเรื่องที่สับซ้อนมาก ส่วนหนึ่งเกิดจาก ประสบการณ์และสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่เกิด จนโต ของแต่ละคนต่างกัน จึงส่งผลต่างกัน รวมไปถึงการคิด และอาจมีพันธุกรรมมาเกี่ยวข้องด้วย พี่น้องฝาแฝด ที่คิดไม่เหมือนกัน แฝดคนดี กับ แฝดคนไม่ดี พี่น้องท้องเดียวกัน แต่ถูกเลี้ยงมาจากครอบครัวเดียวกัน แต่ตอนไปโรงเรียน เพื่อนต่างชั้นเรียนกัน เพื่อนก็เป็นหนึ่งในตัวแปร ที่ทำให้ทัศนคติ ต่างกัน การที่จะเปลี่ยนทัศนคติของคนๆ นึง นั้น เชื่อว่า คนที่จะเป็นคนทำให้เปลี่ยนได้ ต้องสามารถ สร้างศัทธา ให้คนที่เราต้องการเปลี่ยนทัศนคติเชื่อเราได้ก่อน แบบนี้ ศรัทธา ก็เป็นส่วนสำคัญ ต่อการเปลี่ยนทัศนคติด้วย? งงไหม? แบบว่า อยากมีส่วนร่วม จากคุณ : thasri - [ 4 ธ.ค. 48 10:58:26 A:24.158.163.39 X: TicketID:015649 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ความคิดของคุณไวดี้ คุณจิมมี่จับประเด็นสรุปได้ดีครับ คุณเอสอีเอ มีแนวเสริมด้านพลังความทะเยอทะยาน...เห็นด้วยครับ คุณทัสริ? ชัดเจนครับ...และ เสนอต้นแบบเพื่อให้ผู้ตามเกิดศรัทธา ควรต้องมีความสามารถทำตัวอย่างให้เป็นที่ยอมรับก่อน....นั่นสินะหายากจัง... สร้างตัวเองดีกว่ารอต้นแบบครับ(ศึกษาจากคนที่ตายไปแล้ว ที่ประวัติศาสตร์ยกย่อง) สนใจระดับมาตรฐานต้นแบบ...ที่คุณทัสริพึงประสงค์..ช่วยร่วมเสนอความคิดอีกสักครั้งได้หรือเปล่า? แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 48 14:22:52 จากคุณ : ขามเรียง - [ 4 ธ.ค. 48 13:59:06 ]

ความคิดเห็นที่ 41 คำว่าทัศนคตินั้นเป็นเรื่องสำคัญ เกี่ยวเนื่องทางด้าน EQ. บริษัทSouth West Airlines ซึ่งเป็นบริษัทสายการบินที่ประสพความสำเร็จของอเมริกา ที่ได้ใช้แบบModel of Exellence ในกระบวนการบริหารจัดการพนักงานลูกจ้างระดับเลิศ โดยเริ่มต้นจากคำประกาศรับสมัครเข้าทำงานที่ใช้ยุทธวิธีกรองคนมาสมัครแต่แรก (สงสัย...คนที่ไม่เป็นเลิศ อ่านแล้วแหยงไปเลย..ไม่กล้าสมัคร...) สูตรที่ใช้คัดเลือกคนเข้าทำงานคือ: Results = Attitude*Value*Competence Attitudeคือความฉลาดทางอารมณ์และจิตใจในการมองตน มองสังคมและโลกในแง่ใด? Vallueคือการมีค่านิยมและอุดมคติที่สอดคล้องกับองค์กรบริการทางการบินโดยสารหรือไม่? Competenceคือคุณมีสมองมีร่างกายมีความสามารถความถนัดสูงเหมาะกับการปฏิบัติงานกับองค์กรนี้หรือไม่? จากคุณ : ขามเรียง - [ 4 ธ.ค. 48 14:20:11 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ภาพประกอบครับ... จากคุณ : ขามเรียง - [ 4 ธ.ค. 48 14:50:37 ]

ความคิดเห็นที่ 43 สวัสดีคะ คุณขามเรียง thasri อ่านว่า ตาศรี คะ :P เดี๋ยวว่างๆ จะมาร่วมเสนอให้นะคะ ตอนนี้ขออนุญาต เครียร์งานก่อนคะ จากคุณ : thasri - [ วันพ่อแห่งชาติ 02:16:35 A:24.158.163.39 X: TicketID:015649 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ช่างปูนสองคน กำลังก่ออิฐ ฉาบปูนสร้างเจดีย์ ช่างเอก ฝีมือดี ตวัดเกรียงปาดปูน พร้อมก่นด่าวาสนาตนเอง ที่ช่างต่ำต้อย ต้องมากรำแดดฝน ทุกวัน โชคชตาช่างโหดร้าย ... เกิดมายากจน ไม่ได้เรียนหนังสือ ต้องมาเป็นช่างปูน ไปชั่วชีวิต กวนปูนด้วยความโมโห แทบบ้าคลั่ง อิฐปูนจะเอียงบ้างก็ช่างมันเถอะ อยากให้หมดวันเร็วๆ จะได้ไปดวดเหล้าเคล้าอีหนูที่คาราโอเกะข้างตลาด ช่างโท ฝีมือปราณีต บรรจงเรียงอิฐ กรีดปลายเกรียงให้เก็บปูนให้อยู่ในซอก พร้อมกับรำพึงรำพันในใจด้วยความปิติ ช่างโชคดีเช่นนี้หนอ ได้ทำงานใกล้พระสงฆ์พระธรรม ได้สดับสรรพเสียงระฆัง และเสียงสวดอันเปี่ยมล้นไปด้วยความปิติสุขในขณะทำงาน ใครหนอ จะโชคดีเท่าเรา ช่างโทเป็นไม่มีอีกแล้ว ได้บริหารร่างกายท่ามกลางแดดกล้าอันอุดม ได้ปฏิบัติธรรมขณะทำงานไปด้วย กุศลผลบุญหลังสร้างองค์เจดีย์เสร็จ คงได้มาร่วมกฐินกับชาวบ้าน เฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ลูกจะต้องดีใจภูมิใจ ที่เจดีย์นี้พ่อสร้างเองกับมือกว่าครึ่ง จะตั้งใจแน่วแน่ก่ออิฐฉาบปูนอย่างดีสุดชีวิต เพียงเพื่อเจดีย์จะมีอายุยืนยาวชั่วหลานเหลนโหลน ทัศนคติ มีไว้เพื่อเป้าหมาย ผลลัพธ์ ความสำเร็จ หรือเพื่อกระบวนการ ความเป็นอยู่ หรือ วิถีชีวิต..... จากคุณ : ดอกเหมย - [ วันพ่อแห่งชาติ 16:02:09 A:58.147.92.154 X: TicketID:099599 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ชอบอ่านเรื่องแบบนี้ เพราะตัวเองเป็นคนที่มีทัศนคติในแง่ลบ ต่อทุกอย่างในชีวิต โดยเฉพาะการทำงาน รวมทั้งทุกอย่างในชีวิต ตอนนี้เริ่มดีขึ้นเพราะสังคม เปลี่ยนไป มีส่วนช่วยได้มากๆ แต่ภายในจิตใจลึกๆยังไม่หายแน่นอน เรื่องการเลี้ยงดูในบ้านด้วยเชื่อว่าทำให้ ปัจจุบันเป็นคนที่ออกจะคิดอะไรในแง่ลบ เคยอ่านในหนังสือว่าเค้าว่าลูกคนที่ 3 เนี่ย มีโอกาสเป็นโรค ซึมเศร้า  หรือว่าฆ่าตัวตาย มากที่สุด หรือเป็นคนที่มีทัศนคติไม่ค่อยดีนัก อันนี้จริงไหมคะ ส่วนตัวเชื่อแบบนั้นเพราะตัวเอง เป็นลูกคนที่3 ทั้งหมดมี 4 คน อีกทั้งครอบครัวก็ไม่อบอุ่นมาก ไม่เคยหยอกล้อเล่น ตามประสาครอบครัว ไม่เคยกอดพ่อแม่  ทางบ้านต้องทำมาหากิน ซึ่งไม่ได้รวยอะไร ไม่มีเวลามาสนิทกับลูกๆ พี่น้องคนอื่นไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ แต่ตัวเอง คิดว่าสิ่งแวดล้อมภายในครอบครัวมีผลกับทัศนคติ ตัวเองมากๆ จากคุณ : puimnida - [ 6 ธ.ค. 48 11:01:11 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ^ ^ ^ แวะมาบอกว่า ตัวเอง ก็เป็นลูกคนที่สามคะ แต่ไม่ได้เป็นแบบที่คุณบอกเลย เชื่อว่าตัวเองเป็นคนมีทัศนคติที่ดีคะ แต่คนอื่นเชื่อด้วยรึเปล่า ไม่รู้แหะ จากคุณ : thasri - [ 6 ธ.ค. 48 14:41:52 A:24.158.163.39 X: TicketID:015649 ]

ความคิดเห็นที่ 47 คห 46 คะ คือเคยอ่านหนังสือจิตวิทยามาค่ะไม่ได้คิดเอง แล้วก็ การเลี้ยงดูแตกต่างกันค่ะ สังคมแตกต่างกัน มีส่วนมากๆ  ครอบครัวเราเลี้ยงแบบให้กลัวพ่อ ไม่เคยพูดคุยกัน ไม่เคยสนุกสนาน คิดว่า เรื่องนี้คงไม่เหมือนบ้านคุณ ครอบครัวคุณคงเลี้ยงลูกแบบอบอุ่นทำให้ไม่เจอ ปัญหาแบบนี้ คุณโชคดีนะ จากคุณ : puimnida - [ 6 ธ.ค. 48 16:17:20 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ผมมีทัศนคติในงานของผมเป็นบวกอย่างมากแน่แน่ แต่มนุษยสัมพันธ์ผมไม่ดี ก็เลยมีอุปสรรคครับ เหมือนที่ # 2 กล่าวไว้เลยครับ ความร่วมมือกันกับผมมันน้อยมากจนต้องทำคนเดียว แล้ว เค้าก็หมั่นไส้กันอีก.....เฮ้อ จากคุณ : Manure - [ 6 ธ.ค. 48 16:53:39 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เข้ามาห้ามทัพครับ   555  ล้อเล่นครับ ก่อนอื่นขอสวัสดีอาจารย์ขามเรียง  พี่ดอกเหมย คุณthasri คุณpuimnida และท่านอื่นๆนะครับ ขอลัดคิวคุยกับคุณ thasri และคุร puimnida ก่อนนะครับ พอดีกำลังได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของคนที่เกี่ยวข้องกับลำดับการเกิดอยู่ครับ ถ้าว่าตามหนังสือที่ผมอ่าน  จริงอย่างที่คุณ puimnida ว่าไว้ครับ  ลูกคนที่สาม  หรือลูกคนกลางมักมีลักษณะที่มีแนวโน้มจะได้รับความสนใจจากพ่อแม่น้อยที่สุด  เมื่อเทียบกับลูกคนโตและลูกคนเล็ก  คล้ายมีปมด้อย  แต่ก็มีปมเด่นนะครับ  เพียงแต่อาจไม่ค่อยสนใจมัน  คิดมากเกี่ยวกับปมด้อยมากกว่า แต่บุคคลิกของคน  จะมีส่วนของลำดับการเกิดอยู่แค่บางส่วน  แต่มีปัจจัยอื่นๆมาเสริม เช่น ค่านิยมของครอบครัว ความห่างของอายุพี่น้อง สังคม ฯลฯ  เช่น หากคุณ thasri เป็นลูกคนที่สามของครอบครัว แต่เกิดเป็นลูกสาวคนแรก(ลูกสาวคนโตหรือลูกสาวคนเดียว)  หรือ  มีอายุห่างจากพี่คนที่สอง  เกิน 5 ปี  คุณก็อาจมีส่วนผสมของความเป็นลูกคนโตอยู่ด้วย   แต่เรื่องทัศนคตินั้น  ผมก็คิดว่าน่าจะเปลี่ยนได้นะครับ  แต่บางกรณีอาจต้องอาศัยเวลา ประสบการณ์  และเหตุผลที่ดีพอ จนทำให้เปลี่ยนความคิด ทัศนคติได้  ชีวิตส่วนตัวผมมาจากครอบครัวที่ไม่ค่อยอบอุ่นเช่นกัน  หลายอย่างคล้ายที่คุณpuimnida บอกมา (ไม่ค่อยอยากเล่าหรอกครับ  แต่ถือเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์แล้วกัน)  ซึ่งอาจเป็นปัญหาด้านบุคคลิกในอดีตของผม  แม้ทุกวันนี้ก็อาจยังมีบางส่วนคงอยู่  แต่ทัศนคติบางส่วนก็ได้เปลี่ยนไป  จากการอ่านมากๆ  แล้วทำให้เราได้รู้ว่า  การคิดแบบเดิมๆของเรานั้น  ทำให้เราเองไม่มีความสุข  หรือเป็นตัวบล๊อกไม่ให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จได้  (ผมเห็นถึงเหตุผลที่ดีพอ) คุยไปคุยมาก็มาโยงกับ  ความคิดที่เพิ่งคิดได้ว่า แท้จริงแล้ว  attitude นั้นถือเป็นแค่ เข็มทิศของชีวิต  ที่เราใช้เป็นตัวเลือกว่าเราจะเดินไปทางไหน  จะทำอะไร (สิ่งๆเดียวกัน  ถ้ามีทัศนคติที่ดี  เราก็จะทำ  แต่ถ้าเรามีทัศนคติไม่ดีต่อการกระทำนั้น เราก็ไม่ทำ - เช่น การคุยกับเจ้านายบ่อยๆ  บางคนมองเป็นประจบ บางคนมองเป็นการสื่อสารไกล้ชิด)  แต่แรงผลักดันให้เราเดินทางนั้นคือ drive หรือรงลักดันในชีวิต  ซึ่ง AMBITION หรือความทะเยอทะยาน ที่คุณ SEA กล่าวถึง  คือ อันหนึ่งของแรงผลักดัน ให้เราเดินไป  (แรงผลักดันอื่นๆ เช่น ความจำเป็นในการดำรงชีพ)  ส่วนทัศนคติ  คือเข็มทิศ  ในการเลือกทางเดินครับ ตามความคิดของผมนะครับ จากคุณ : Jimmy Walker - [ 6 ธ.ค. 48 17:22:49 ]

ความคิดเห็นที่ 50 คุยต่อกับพี่ดอกเหมยครับ ไม่ได้คุยกันนานเลยครับพี่  ถ้ามีโอกาสได้ขึ้นไปทางเหนือจะขอแวะไปเยี่ยมเยียนนะครับ   ตามที่พี่ดอกเหมยตั้งเป็นประเด็นคำถามไว้  ผมคิดว่าทัศนคติมีผลต่อมีไว้ทั้งเพื่อเป้าหมาย ผลลัพธ์ ความสำเร็จ  และทั้งเพื่อ เพื่อกระบวนการ ความเป็นอยู่ และ วิถีชีวิต attitude มีผลดีต่อเป้าหมาย เพราะคือเข็มทิศที่เราจะเลือกทำอะไรหรือไม่  ตามที่ผมเสนอความเห็นไว้ ใน #49 และ attitude น่าจะมีผลดีต่อวิถีชีวิต  ความเป็นอยู่ เพราะคือการมองโลกในแง่ดี ต่อชีวิตปัจจุบัน  พอใจในปัจจุบัน(แต่ก็สามารถต้องการมีชีวิตหรือผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในอนาคตได้  ตามแนวคิดของ จอห์น เกรย์) หรือใครมีความเห็นแตกต่างอย่างไรต่อเรื่องนี้  มาร่วมกันคุยนะครับ แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 48 17:36:34 จากคุณ : Jimmy Walker - [ 6 ธ.ค. 48 17:36:02 ]

ความคิดเห็นที่ 51 พดดีจะเข้ามาบอกว่า ที่บอกว่าลูกคนที่ 3  หรือต้องเป็นลูกคนกลางด้วย พอดีคุณจิมมี่มาบอกไว้แล้ว สำหรับดิฉันเองเป็นลูกคนที่ 3 ห่างจากน้อง คนที่ 4 แค่ปีเดียว  นั้นก็หมายความว่า พอฉันเป็นเด็กได้2ขวบ น้องก็ 1 ขวบพอดี อายุไล่กันมาเรื่อยๆ แน่นอน ว่า  คนที่ได้รับการสนใจก็คือน้องที่เกิดตามมานี่เอง  มีรายละเอียดในการใช้ชีวิตเยอะแต่เล่าไม่หมด เท่าที่พอเล่าได้ก็คือ ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นภาพน้องนอนตักแม่กินนม หรือว่าไปไหนมาไหน ก็มีภาพแม่อุ้มน้อง แต่ภาพที่แม่อุ้มเราตั่งแต่จำความได้ไม่เคยมีภาพนั้นค่ะ อยากทราบจากคุณจิมมี่ว่ามีผลไหมคะ อืมสำหรับครอบครัวที่ตัวเองเจออยู่ทุกวันนี้ ก็มีคนใกล้ชิดค่ะ เป็นครอบครัวคนญี่ปุ่นเป็นญาติสามีค่ะ  (ตอนนี้ใช้ชีวิตอยู่ญี่ปุ่น แต่ว่าชอบห้องสีลมซะแล้ว) ครอบครัวนี้มีลูก 4 คน แน่นอนคนที่มีปัญหาก็คือคนที่ 3  เป็นผู้ชาย  น้องที่เกิดตามมาเป็นผู้หญิง ก็เรื่องคล้ายดิฉันค่ะ  เค้าเนี่ยต้องไปหาหมอเป็นประจำ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เกิดแต่ผลด้านจิตใจอย่างเดียว ออกทางร่างกายด้วย  ตอนนี้เค้าอยู่ ป 6 แต่น้องที่อยู่ ป  3 ตัวโตและสูงกว่า บ้านนี้ลูกทุกคนสูงมากๆโดยเฉพาะ  คนโต ม 3 สูง 175   แต่เด็กคนนี้ ตัวเล็กมาก เหมือนเด็ก ป  2   และยังมีอาการะ กระพริบตาถี่ๆ คือ 1 นาทีกระพริบตาถี่มากๆ ซึ่งหมอ ยืนยันแล้วว่า เกิดจากจิตใจข้างใน ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ   และต้องไปหาหมอ ทานยาเป็นประจำ  แต่เค้าเป็นเด็กฉลาดนะคะ  แต่ทัศนะคติของเด็กคนนี้ คิดว่า อนาคตอาจไม่มีปัญหาก็ได้ เพราะ เป็นเด็กฉลาดมากๆ  คิดว่าคงส่งผลไปทางร่างกาย  สำหรับตัวเอง ทางร่างกาย ก็มีนิดหน่อย คือกัดฟัน จนฟันเนี่ยเสียมาก ถอนออกไปเยอะ รักษารากก็เยอะ อีกอย่างที่ฝากไว้ก็คือ อยากถามว่า จะแก้ยังไงดีคะ เพราะเป็นคนฝันทุกคืน  ตั้งแต่เด็กจนโตไม่มีคืนไหนที่ไม่ฝัน คืนละหลายๆเรื่อง จนบางทีไม่อยากนอนเพราะคิดว่า วันนี้จะฝันเรื่องอะไรอีก แล้วก็เหนื่อยด้วยค่ะ เหมือนเราไม่ได้พักผ่อนจริง ๆ อ้อ  คืนที่ไม่ได้ฝันก็มีค่ะ ถ้าดื่มเบียร์จนเมาน้อคไปเลย  พอตื่นมา รู้สึกว่า เราได้หลับจริงๆก็วันนี้แหละ   แต่เคยแค่ ครั้งสองครั้งค่ะ เบี่ยงประเด็น แต่อยากได้คำแนะนำจริงๆค่ะ แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 48 19:46:33 จากคุณ : puimnida - [ 6 ธ.ค. 48 19:44:30 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ในห้องเรียนห้องหนึ่งในทวีปอาฟริกา  ครูจุดปากกาลงบนกระดานดำแล้วถามนักเรียนว่า  นักเรียนเห็นอะไรกันบ้าง   นักเรียนทั้งหมดตอบว่าเห็นจุดสีดำเล็กๆจุดหนึ่ง   มีนักเรียนคนเดียวตอบว่า  มีความขาวบริสุทธิ์ทั้งกระดานปิดล้อมสิ่งสกปรกจุดหนึ่งไว้   เด็กคนนั้นต่อมาได้เป็นเลขาสหประชาชาติ มีชื่อว่าโคฟี่   อัดนัน.   บนถนนสายคดเคี้ยวเลี้ยวไปตามไหล่เขาแถวๆภูเรือจังหวัดเลย  กำลังขี่ช๊อปเปอร์  อีลิมิเนเตอร์  ๖๐๐ เลียแนวโค้งอยู่เพลินๆ  ก็มีมอเตอร์ไซด์วนมา  แจกของชำร่วยเข้าให้อันเบอเร่อ  เต็มสองรูหู  ไม่ทันคิดอะไรก็หันไปแจกคืน บ้าง  ก็คนไม่เคยรู้จัก  ไม่เคยเห็นหน้า  ไม่เคยทำอะไรให้อยู่ๆมาแจกของชำร่วยกันทำไมของของเราก็มี  ดีกว่าของของเอ็งอีก  หันกลับมาอีกที  เห็นควายโดนรถชนตายนอนตายขวางถนนอยู่ตัวเบอะเริ่ม  แก้ไขอะไรไม่ทันแล้วก็ต้องหักลงข้างทางทั้งรถทั้งคนเยิน    ถึงได้รู้ว่าคนอีสานเขา  คำว่าของโทษ "ตวย" นั้น  ก็คือ "ควาย" ของคนภาคกลาง  ที่เรานึกว่าเขาแจกของชำร่วยเรา  ที่แท้เขาหวังดีเตือนเราว่ามีควายนอนตายอยู่ข้างหน้าให้ระวัง    หอพักไฟไหม้  คนรักการกินก็เอาเตาแก๊สออกมาก่อน คนรักการเรียนก็ขนหนังสืออกมาก่อน  คนรักสัตว์ก็ช่วยแมวออกมาก่อน   ไม่มีใครเอาของออกมาเหมือนกันหรอก    บางคนก็ว่าน้ำยังเหลืออีกครึ่งแก้ว  บางคนก็ว่าน้ำหมดไปแล้วครึ่งแก้ว  บางคนก็ว่าหาแก้วใบเล็กๆมาใส่มันก็เต็ม    ทัศนคติ  เป็นกระสุนปังแรก  ที่เส้นสตาร์ท  ของมนุษย์ทุกคน  ความสามารถในการวิ่งเร็วระดับการแข่งขันนานาชาติ  ส่วนใหญ่แล้วเท่ากัน      แพ้ชนะกันที่ตรงการออกสตาร์ทนี่แหละ  ว่าใครจะทำได้ดีกว่ากัน จากคุณ : แมว มหาภัย - [ 6 ธ.ค. 48 19:45:29 ]

ความคิดเห็นที่ 53 มาหวัดดีพี่แมว ตอนดึกๆครับ   " ทัศนคติ  เป็นกระสุนปังแรก  ที่เส้นสตาร์ท  ของมนุษย์ทุกคน   ความสามารถในการวิ่งเร็วระดับการแข่งขันนานาชาติ  ส่วนใหญ่แล้วเท่ากัน     แพ้ชนะกันที่ตรงการออกสตาร์ทนี่แหละ  ว่าใครจะทำได้ดีกว่ากัน " เป็นอีกมุมมอง  เปรียบเทียบแบบหนึ่งที่น่าเก็บไปคิดครับ   ************************************* ที่คุณpuimnida ถามมาว่า " ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นภาพน้องนอนตักแม่กินนม หรือว่าไปไหนมาไหน ก็มีภาพแม่อุ้มน้อง แต่ภาพที่แม่อุ้มเราตั่งแต่จำความได้ไม่เคยมีภาพนั้นค่ะ "   มีผลไหม ?  ตอบตามที่อ่านนะครับ  มีผลครับ  เพราะคุณมีช่วงที่ได้เป็นลูกคนเล็ก สั้นมาก   ซึ่งจะแตกต่างคนที่เป็นลูกคนกลาง  แต่มีช่วงห่างจากน้องมากหน่อย  ซึ่งทำให้มีช่วงที่ได้รับความสนใจ  หรือเป็นลูกคนเล็กนานหน่อยครับ คนเรามีส่วนผสมของการเป็นลูกคนโต  ลูกคนกลาง  ลูกคนเล็ก  หรือลูกคนเดียว  แตกต่างกันไป  ด้วยเหตุต่างๆ  อย่างผม  เกิดมาเป็นลูกคนที่สอง  แต่พี่ชายซึ่งแก่กว่าแค่ 11 เดือนกว่าๆ  ถูกคนปู่คุณย่าซึ่งเป็นคนจีน  เอาไปเลี้ยงตั้งแต่ยังเด็กๆ  จนกลับมาอยู่กับครอบครัว  หลังจากจบม. 6 (เค้าจะมีลักษณะของลูกคนเดียวมากกว่าลูกคนโต)  ผมจึงมีส่วนผสมของความเป็นลูกคนกลาง บวกลูกคนโตครับ ส่วนน้องที่อายุ 6 ขวบคนนั้น  ก็มีส่วนครับ  ด้านสรีระ  ทฤษฎีบอกว่า  หากลูกคนรอง  เกิดมามีหน้าตาดีกว่า  หรือตัวใหญ่กว่าลูกคนโตมาก  เค้ามีโอกาสสลับหน้าที่ไปทำหน้าที่ลูกคนโตได้  เพราะได้รับความสนใจมากกว่า  ฉะนั้นสรีระที่เล็กกว่าพี่น้องคนอื่นมาก  ก็มีส่วนครับ การรักษา  ผมว่าน่าจะมีทางรักษานะครับ  เพียงแต่ไม่รู้ว่าหมอในประเทศเรา  เชี่ยวชาญด้านนี้มากแค่ไหน  เคยดูทีวีประวัติ คาร์ลอส  ซานตานา  ซึ่งมีปัญหาด้านสุขภาพจิตในช่วงท้ายๆ  ตอนอายุห้าสิบกว่ามั๊ง  พอไปหาจิตแพทย์  ก็ทำให้รู้ว่า  ตอนเป็นวัยรุ่น  เค้าเคยถูกผู้ชายด้วยกันข่มขืน  แล้วฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก  แต่ก็รักษาได้จนหาย ผมคิดว่า  คุณpuimnida ลองอย่าไปคิดว่าเราเกิดมามีปัญหาซิครับ  (แค่เสนอนะครับ  ผมไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้หรือไม่ - ที่จริงลูกคนอื่นๆที่ได้รับสิ่งดีๆไป  แต่ก็มีราคาที่ต้องจ่ายนะครับ  เช่น ลูกคนโต จะได้รับความเครียดจากแรงกดดันของพ่อแม่และคนอื่น) แก้ด้วยทัศนคติที่ใส่เข้าไปทีหลัง  หรือนั่งสมาธิ  แล้วบอกตัวเองทุกวัน  "เราเกิดมาเหมือนคนอื่น  ไม่ได้มีปัญหาอะไร" อย่างน้อยทัศนคติ จะช่วยไม่ให้เราใช้เป็นข้อแก้ตัว  ในการเลือกทำหรือคิดอะไรที่เป็นลบในอนาคต ถ้าสนใจเรื่องนี้  หนังสือที่ผมอ่านอยู่ชื่อ  "การอ่านใจคนจากลำดับการเกิด" (The New Birth Order Book) เขียนโดย Dr. Kevin  Leman ครับ  แต่มีเรื่องของลูกคนกลางอยู่น้อยนะครับ  เพราะเขาบอกว่าลูกคนกลางมีลักษณะค่อนข้างลึกลับ  ขัดแย้ง  และอธิบายได้ยาก  เลยมีเนื้อหาน้อย ทัศนคติที่ดี  จะช่วยให้เอาชนะอุปสรรคที่มีมาพรัอมกับการเกิดมาได้นะครับ  จุดที่เราถูกส่งให้มาเกิด  เราคงเลือกไม่ได้  แต่จะเลือกเดินต่อทางไหน  น่าจะเลือกได้นะครับ  เอาใจช่วยในฐานะที่ตัวเองก็มีส่วนผสมของลูกคนกลางอยู่ด้วยเหมือนกันนะครับ แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 48 01:54:04 จากคุณ : Jimmy Walker - [ 7 ธ.ค. 48 01:25:36 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เรื่องความฝันล่ะคะ อยากรู้จังงงงงงง จากคุณ : puimnida - [ 7 ธ.ค. 48 06:53:44 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เรื่องความฝัน  ของคุณ puimnida ที่ฝันบ่อยๆนี่  ผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกของคุณ  อาจมีอะไรในอดีตฝังใจสักอย่างอยู่ภายใต้จิตสำนึกที่คุณเองก็ไม่รู้ตัว  หรือลืมไปแล้ว  จิตแพทย์เก่งๆอาจช่วยหาคำตอบได้ครับ  เหมือนกรณี คาร์ลอส  ซานตานา  ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดึตนานมาก  เขาเองก็ลืมไปแล้ว  และไม่มีใครเคยรู้ แม้กระทั่งภรรยา  แต่จิตแพทย์ทำให้เขาระลึกถึงเหตุการณ์นั้นได้และแก้ไขสิ่งที่ค้างคาในจิตใต้สำนึกด้วยวิธีการอะไรไม่ทราบ   ความฝันน่าจะสะท้อนถึงสิ่งที่ค้างอยู่ภายในจิตใต้สำนึกครับ  ลองไปปรึกษาจิตแพทย์เก่งๆจะดีกว่า (การปรึกษาจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ  หรือหมายถึงเราจะเป็นโรคจิตประสาทนะครับ  คนไทยชอบเข้าใจผิด)  อย่าปล่อยให้มันเป็นอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆเลยครับ  การฝันทำให้หลับไม่สนิทเวลานอน  ซึ่งจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลาเมื่อตื่น  เป็นการทำลายสุขภาพในระยะยาวครับ จากคุณ : Jimmy Walker - [ 7 ธ.ค. 48 08:35:32 ]

ความคิดเห็นที่ 56 สวัสดีคะ คุณpuimnida ไม่ได้ตั้งใจไปโต้แย้งอะไรมากมายหรอกคะ จริงๆ ก็รู้สึกแต่แรกแล้วว่า คุณน่าจะหมายถึงลูกคนกลาง พอดีเห็นว่าเขียนว่า ลูกคนที่สาม ก็พอดีว่า เป็นคนที่สามเหมือนกันคะ แต่พ่วงคนสุดท้องไปด้วย แหะๆๆ สวัสดีคุณJimmy Walker ด้วยคะ เห็นชื่อก็เกือบเมาแล้ว แต่เห็นตัวหนังสือเยอะๆ เปลี่ยนเป็นเมาหัวแทน หุหุหุ จากคุณ : thasri - [ 7 ธ.ค. 48 09:57:26 A:24.158.163.39 X: TicketID:015649 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ เห็นด้วยอย่างยิ่งที่บอกว่า การฝันทำหั้ยอ่อนเพลียเวลาตื่นนอนมา เสียสุขภาพอย่างมาก ต้องค่อยๆแก้ไขไป จากคุณ : puimnida - [ 7 ธ.ค. 48 13:28:33 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ทัศนคติ เต็ม 100% ลองนำเอาตัวเลขมาบวกกัน แล้วจะได้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับทัศนคติครับ คือถ้าเรานำเอาตัวอักษรภาษาอังกฤษ 26 ตัว จาก A ถึง Z มาเรียงกันให้มีค่าตามตัวเลข 1-26 ดังนี้ A1 B2 C3 D4 E5 F6 G7 H8 I9 J10 K11 L12 M13 N14 O15 P16 Q17 R18 S19 T20 U21 V22 W23 X24 Y25 Z26 แล้วจะพบว่า...... 1) H+A+R+D+W+O+R+K = 8+1+18+4+23+15+18+11 = 98% HARDWORK = การทำงาน = 98% 2) K+N+O+W+L+E+D+G+E = 11+14+15+23+12+5+4+7+5 = 96% KNOWLEDGE = ความรู้ = 96 % 3) L+O+V+E=12+15+22+5=54% LOVE = ความรัก = 54 % 4) L+U+C+K = 12+21+3+11 = 47% LUCK = โชค  = 47 % ไม่มีสิ่งใดที่มีค่า 100 % เลยหรือ !!! แล้วสิ่งใดที่มีค่าเท่ากับ 100 % - ใช่เงินหรือเปล่า ?  M+O+N+E+Y = 13+15+14+5+25 = 72% - ความเป็นผู้นำหรือเปล่า ? LEADERSHIP >>>>????? A+T+T+I+T+U+D+E = 1+20+20+9+20+21+4+5 = 100% ATTITUDE หรือทัศนคติ นั่นเอง ที่มีค่าเท่ากับ 100 % ทุกอย่างอยู่ทัศนคติของเราครับ ...... ( credit : www.guidecenter.com ครับ ขอโทษทีผมจำไม่ได้ว่าของใคร ) แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 48 15:03:31 แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 48 15:02:03 จากคุณ : eakco (eakco) - [ 7 ธ.ค. 48 14:58:17 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ขอเชิญประชาชนผู้มีใจเป็นธรรมอ่านบทคัดลอก "พระบรมราโชวาท" เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 http://www.bbznet.com/scripts/view.php?user=pa_orn&board=1&id=1572&c=1&order=numtopic จากคุณ : Hypoentropic - [ 8 ธ.ค. 48 01:51:57 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ผมอ่านพระบรมโชวาท จบลงเป็นครั้งที่๒จากคำแนะนำของกระทู้ข้างต้น / มีที่ไม่เข้าใจ.... "ประชาชนที่มีใจเป็นธรรม"ของคุณHypoentropic นั้นต้องการสื่อความหมายอะไรกันครับ ช่วยกรุณากลับมาอธิบายความคิดของคุณด้วย +++++++++++++++++++++++++++++++++++ สำหรับผม อันเกี่ยวกับพระบรมราโชวาท อย่างน้อยในแง่ที่เกี่ยวกับ ทัศนคติของคุณทักษิณที่เที่ยวฟ้อง เที่ยวบังคับสื่อมวลชน เที่ยวตามซื้อครอบงำสื่อฯตลอดเวลาปีสองปีที่ผ่านมา และการพูดจาข่มผู้สื่อข่าวตัวเล็กๆเสมอ ผมเห็นว่า อำนาจที่คุณทักษิณได้มา ทำให้มนุษย์คนหนึ่งเริ่มหลงอำนาจ เหมือนผู้นำอื่นๆในโลกที่ได้ครองประเทศมาก่อนหน้านี้ ......ลืมคิดไปว่าตนเป็นเพียงผู้อาสามารับใช้ประชาชนบริหารประเทศ ทำให้มีทัศนคติอันดีงามเริ่มแปรเปลี่ยนไป.....ทัศนคติเช่นนี้นำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด คือตัดสินใจ ปิดกั้นสื่อ เท่ากับพยายามปิดหูปิดตาประชาชนในการรับรู้ข่าวสารสองด้าน .....คนฉลาดหากขาดสติ ขาดความเมตตาต่อประชาชน จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้อย่างไร? ต้องให้พระเจ้าอยู่หัวออกมาเตือน จึงได้ถอนฟ้อง..... การบริหารคือการตัดสินใจ แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 48 13:32:37 จากคุณ : ขามเรียง - [ 8 ธ.ค. 48 13:27:04 ]

ความคิดเห็นที่ 61 การเคยถูกปฏิเสธ  อาจทำให้คนเรามีทัศนคติในด้านลบกับสิ่งนั้นได้เหมือนกัน เมื่อเราเคยถูกปฏิเสธจากสิ่งนั้น   เราคงไม่กล้าที่จะร้องขอในเรื่องเดียวจากคนเดิมอีก  ใช่หรือไม่? เพราะเรารู้ว่า ถึงขอ... เขาก็ไม่ให้  จนคนอื่นอาจจะมองว่า  เรามีทัศนคติในแง่ลบต่อคนๆนั้น มีคำถามบ่อยครั้ง ที่ถามว่า  เคยลองบอกเขาหรือยังในเรื่องนี้   คำตอบก็คือ "ยังค่ะ" แน่นอนว่า สายตา สีหน้า และน้ำเสียงที่ตำหนิ  จะต้องหลุดออกมาทันทีว่า " ก็ยังไม่เคยลองเลย จะรู้ได้ไงว่า เขาไม่ให้" คำตอบอีกครั้งคือ  เคยลองแล้วค่ะ  ..  ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องเดียวกัน   แต่เป็นเรื่องคล้ายๆกัน   คื่อเรื่องที่บริษัทต้องเสียผลประโยชน์  แต่เราขอ เพื่อปกป้องสิทธิของคนงาน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ ในเมื่อทัศนคติเป็นเช่นนี้แล้ว  เรามีวิธีแก้ไขอย่างไรคะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 8 ธ.ค. 48 15:22:28 ]

ความคิดเห็นที่ 62 สวัสดีครับพี่กาสะลองฯ เอาเป็นว่าผมขอแลกเปลี่ยนความคิดกับพี่ในประเด็นที่พี่ถามมาในกระทู้แล้วกันนะครับ  ท่านอื่นๆที่มีความเห็นเพิ่มเติมหรือ  มีแนวทางอื่นก็ช่วยเสนอมาด้วยนะครับ ผมขอแยกเรื่องที่พี่ถามมาเป็นสองประเด็นนะครับ   คือ 1. ทัศนคติต่อกรณีที่เราไม่อยากร้องขอคนๆหนึ่งในเรื่องเดิมๆ  ซึ่งคนๆนั้นเราก็เริ่มมีทัศนคติไม่ดีกับเขาไปแล้วด้วย 2. วิธีการเจรจาร้องขอเรื่องดังกล่าว ข้อแรก  ผมคิดว่าอย่างนี้นะครับ  กรณีที่เราเคยถูกปฏิเสธการร้องขอ แล้วเลยไม่อยาก หรือไม่กล้าขอในเรื่องเดิมๆ  เพราะคิดว่าไม่น่าจะได้  ถ้าเราใส่ทัศนคติแง่ดีเข้าไป  ก็อาจเป็นว่า  เราอาจกลับมาคิดว่า  เรื่องนี้ไม่ว่าจะยากแค่ไหน  เราก็ต้องทำ  เพราะเรามีความรับผิดชอบต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของเรา  เราอาจต้องเสียสละบางอย่าง  โดนว่า  ตำหนิ  หรือเสียความรู้สึกกลับมา  แต่ถ้าเรามานึกว่าเราคือนักรับ  เป็นจอมทัพ(หญิง)  เรามีหน้าที่พาทหารหรือประชาชนของเราไปให้รอดเท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา  ผมคิดว่าถ้าคิดแบบนี้เราก็จะเกิดความหึกเหิม ให้ต่อสู้กับปัญหาได้ อีกวิธีหนึ่ง  ให้เรานึกว่า  ที่เราขอแล้วเขาไม่ให้  เพราะเรายังทำได้ไม่ดี  ยังทำได้ไม่ถูก  ฉะนั้นการเข้าไปแต่ละครั้ง  คือการฝึกฝีมือตัวเอง  แต่เราอาจต้องทำการบ้านเสียหน่อยว่า  การเข้าไปครั้งต่อไปเราควรจะทำอย่างไร จะได้ไม่เหมือนครั้งก่อน (จะคุยต่อในเรื่องวิธีการครับ)  เมื่อมองเป็นความท้าทาย  ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียความรู้สึก  เพราะพี่ก็แค่กลับมาที่จุดเดิมเท่านั้น  ไม่ได้เสียอะไรเลย  เกมนี้มีแต่ได้กับเท่าทุน  (ถ้าเราไม่ได้เข้าไปไฟท์อะไรรุนแรงนะครับ)  และก่อนเข้าไป  อาจสร้างความมั่นใจด้วยการหลับตา แล้วคิดถึงความสำเร็จของการเจรจา  จินตนาการว่าสำเร็จอย่างงดงาม  พี่ก็จะคลายความเครียดและกดดันก่อนเข้าไปเจรจาได้เยอะ  (ยิ่งเครียดก็ยิ่งเสียสมาธิและประสิทธิภาพลดลงครับ) ข้อสอง วิธีการเจรจา  ผมออกตัวก่อนว่า ผมเองก็ไม่ใช่เก่งกล้าสามารถในการเจรจาอะไรนะครับ  ยังไม่มีโอกาสในการฝึกฝนมากนัก  แต่เอาแค่ทฤษฎีตามความคิดและที่ศึกษามานะครับ ผมคิดว่าการเจรจาที่ผ่านมา  พี่อาจจะไปเน้นเรื่องผลประโยชน์ของคนงานมากเกินไป  แต่ไม่ได้พูดถึงผลประโยชน์ของบริษัทให้มากพอ  คนเราทั่วๆไปมักเห็นแก่ตัวเป็นธรรมดา  วิธีการที่ได้ผล น่าจะเป็นว่า  พี่เสนอความคิดนี้  เพราะเห็นแก่ประโยชน์ของบริษัทมากกว่า  เช่น  การให้สิทธิของพนักงาน จะเป็นการรักษาพนักงานดีๆไว้  และให้กำลังใจ ให้เค้าทำงานได้เต็มที่  ถ้าให้เค้าได้  ต่อๆไป  ถ้ามีเรื่องที่บริษัทต้องขอร้องอะไรพนักงาน  พี่อาจเป็นตัวแทนเพื่อเจรจากับคนงานให้ได้(ถ้าเป็นเรื่องมีเหตุผล)  พูดถึงแต่ว่าบริษัทจะได้อะไร  ไม่ควรพูดว่าพนักงานจะได้อะไร  เหมือนหลักการขายน่ะครับ  พูดถึงแต่ผลประโยชน์ของเขา  อย่าพูดถึงผลประโยชน์ของเรา  อาจเสริมในเรื่องของความเป็นคนมีคุณธรรมที่พนักงานจะมองเขาไปด้วย  แต่อย่าไปเร่งรัดกดดันเขามากเกินไป  ให้เขาตัดสินใจเอง.....     กลับมาที่ทัศนคติ  ถ้าเรามีทัศนคติว่า วิธีการแบบนี้ดูเหมือนเสแสร้ง  ไม่จริงใจ  แต่ถ้าเราคิดว่าเราทำเพื่อคนของเรา  และเราก็ไม่ได้โกหกอะไร  เพียงแต่เสนอความจริงเฉพาะด้านที่เขาอยากฟังเท่านั้น  และถ้าสำเร็จ  ผลประโยชน์ก็จะตกอยู่กับทั้งสองฝ่าย ทั้งบริษัท  และคนงาน  ส่วนเราก็ได้พัฒนาทักษะการเจรจา(เป็นฝ่ายทีสาม)  ไม่มีใครเสีย  ฉะนั้นเราก็ไม่ได้ทำสิ่งเลวร้ายอะไร  เรายังคงทำสิ่งที่ถูก  เพียงแต่ปรับวิธีการเท่านั้นครับ ถ้าพี่ตัดสินใจจะลองอีกครั้ง  ผมขออวยพรให้พี่ประสบความสำเร็จนะครับ   จากคุณ : Jimmy Walker - [ 8 ธ.ค. 48 18:38:37 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ผมติดภารกิจ ไม่ได้เข้ามาหลายวัน ขอขอบคุณคุณjimmyสำหรับคห#25 ผมเปรียบตัวเองเป็นบัวใต้น้ำครับ เพราะรักษาอาการของผมมานาน แม้แต่เข้าคอร์สกับนักจิตวิทยาก็แล้ว ยังไม่มีอะไรดีขึ้น แต่พบว่า พอคุยกับคุณแล้ว มีกำลังใจขึ้นมาก,ขอบคุณอืกครั้งครับ! สำหรับคุณsingtyคห#27 อยากบอกว่า " you've just said the magic words" ขอบคุณสำหรับความเห็นใจของคุณ มันมีค่าต่อผมมาก จากคุณ : Kuliyakin - [ 9 ธ.ค. 48 18:11:05 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ถูกของคุณ jimmyค่ะ   เรายังทำได้ไม่ดี  จึงถูกปฏิเสธกลับมา   แต่ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบของจอมทัพหญิง (อย่างที่คุณว่า)  เราต้องเดินหน้าต่อไป แต่คราวนี้  ได้เก็บเกี่ยวข้อคิดของคุณเข้าไปด้วยค่ะ  โดยการพูดถึงผลประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับ   มากกว่าที่จะพูดถึงผลประโยชน์ของพนักงาน แต่สิ่งหนึ่งที่ใช้ได้เลย  และใช้มาเสมอคือ  การกล่าวถึงความมีคุณธรรมของเขาในการที่เขาปกครองพนักงานแบบธรรมาภิบาล (เล่นภาษาท่านทักษิณซะด้วย อิ อิ อิ ) ขอบคุณในคำอวยพรค่ะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 9 ธ.ค. 48 20:29:27 ]

ความคิดเห็นที่ 65 คนทุกคนเกิดมาแล้วต้องการอะไร??? แน่นอน..ตอบได้ทันทีเลยว่า..ต้องการความสุข... และความสุขมาจากไหน??? ความสุขก็มาจาก การได้ในสิ่งที่ตนต้องการ....ไม่ว่าจะเป็น เงินทอง อำนาจ เกียรติยศ และ การยอมรับจากคนรอบข้าง... แต่หากเราจะได้สิ่งเหล่านั้น เราต้องมองตัวเราก่อนว่า เราอยู่ในสภาวะแบบไหน และจะทำให้สภาวะของเราได้สิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร??? สิ่งที่เราต้องคิด จึงเป็นการพัฒนาตัวเราเองเพื่อให้มีความสุข โดยมีความสุขกับสภาวะที่เรามีอยู่(ตามสภาพความเป็นจริง) หากวันๆเราคิดแต่เพียงว่า สิ่งที่เราดำรงอยู่ สิ่งที่เราเป็นอยู่ หรือ สิ่งที่เราทำอยู่ ล้วนไม่เหมาะกับตัวเรา เราก็จะเกิดความทุกข์ แบบที่หลวงปู่ชา ท่านบอกว่า "ทุกข์เพราะคิดผิด"... ความสุขที่แท้จริงจึงสามารถสร้างได้ด้วยตัวเราเอง โดยไม่ได้มาจากสิ่งภายนอก...แค่คิดให้ถูกต้องแล้วปรับตัวเองให้เหมาะกับสภาพที่เป็นจริง เราก็มีความสุขได้...ไม่ใช่หรือ???.. จากคุณ : คนอุบล - [ 11 ธ.ค. 48 05:35:13 ]

ความคิดเห็นที่ 66 บางครั้งทัศนคติบวกก็หายไปกับตา ติดตามกลับมาไม่ทันก็เลยติดกับทัศนคติลบเสียแล้ว ดิฉันเห็นด้วยคะกับการมีทัศนคติบวก ดิฉ้นก็เป็นคนที่มีความซับซ้อนในอารมณ์เหมือนกัน เพราะคนในครอบครัวมักจะทำอะไรที่ไม่มีเหตุผลใส่กัน ส่วนลึกของดิฉันจึงเรียกร้องความห่วงหาอาทร ความอ่อนโยนที่พึงมีให้กันในครอบครัวเสมอ ถ้าเจอปัญหาทำนองนี้ทีไร ทัศนคติที่บวกๆอยู่ จะหนีเข้าป่าไปเลย กว่าจะรู้ตัวก็ตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว ประมาณว่ารู้สึกว่าชีวิตไม่มีเรื่องน่ารื่นรม ไม่น่าอยู่ อ่านบทความก็ได้เตือนสติตัวเองดีค่ะ จะลองสร้างกันใหม่อีกครั้งค่ะ จากคุณ : ป้าจูจู้ (ป้าจูจู้) - [ 11 ธ.ค. 48 20:24:28 ]