ความคิดเห็นที่ 1 นานๆๆ จะพิมพ์หรือวิจารณ์ข่าวน่ะครับ แต่วันนี้อ่านข่าวนี้แล้วรู้สึกไม่ดีจริงๆๆครับ เลยต้องขอสักนิดน่ะครับ ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนน่ะครับว่าเป็นแค่ความเห็นส่วนตัวน่ะครับ (ไม่รู้จะถูกด่าหรือเปล่าเนี่ย) การที่คุณสนธิจะถวายฎีกาปฏิรูปการเมืองผ่านทาง “ป๋าเปรม” ผมเห็นเป็นสิทธิทางชอบธรรมที่ทางคุณสนธิจะทำได้น่ะครับ แต่ที่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง คือ การที่ต้องระดมผู้คนทั้งหลายมาร่วมด้วยนี่ล่ะครับ คุณอยากไปยื่นก็ไปซิครับ ไม่จำเป็นจะต้องนำประชาชนระดมมวลชนไปยื่นด้วยเลยน่ะครับ (อยากไปก็บอกคนขับรถ เอาการ์ดของคุณไปด้วย บอกนักข่าวไปทำข่าว เชิญแนวร่วมคนใหญ่ๆๆโตๆๆ ของท่านทั้งหลายที่อยากมีส่วนร่วมไปยื่นสิครับ) การที่ระดมคนออกมาแล้วบอกว่า ให้พี่น้องรอล้างแค้น นี่บ่งบอกถึงเจตนากันเห็นๆๆน่ะครับ ว่าต้องการอะไรกันแน่ (อยากให้บ้านเมืองวุ่นวายไปกันขนาดไหนเนี่ย) ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกดีน่ะครับกับการที่คุณสนธินำเสนอข้อมูลพร้อมแฉเรื่องบางเรื่องของรัฐบาลนี้ (อาจจะมีทั้งจริงและไม่จริงบ้างก็ตาม......) บางเรื่องที่เราไม่เคยรู้ก็ได้รู้เพิ่มขึ้น (แต่อาจต้องหารเยอะหน่อบ) ในขอบเขตที่พูดคุยกันในสวนลุมพินี (อาจทำให้คุณพ่อผมเดือดร้อนหน่อยเพราะทำให้พ่อผมต้องงดไปออกกำลังกายที่สวนลุมในเย็นวันศุกร์ กับ เสื้อสีเหลืองที่ผมมีอยู่ไม่กล้าหยิบมาใส่ก็ตาม) แต่ตอนนี้มันเกินเหตุไปแล้วน่ะครับ บ้านเมืองมีกฎหมายน่ะครับ นายกทักษิณมาจากการเลือกตั้งที่ถูกต้อง ถ้าไม่พอใจเลือกตั้งคราวหน้าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองครับ ไม่ใช่นำประชาชนบางส่วนมาทำแบบนี้ครับ และที่สำคัญสุดครับ ปีนี้เป็นปี พศ.2549 เป็นที่รู้กันว่าเป็นปีมหามงคล ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองศิริราชสมบัติครบ 60 ปี แทนที่ประชาชนชาวไทยจะมาร่วมเฉลิมฉลอง รู้รักสามัคคีกัน กลับต้องมาแตกแยกเพราะความแค้นของคนบางคน หวังว่าจะไม่เกิดเหตุร้ายๆๆ ในปีมหามงคลนี้เลยครับ ผมรักในหลวงครับ จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:29:40 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ดึง 'วิชิต สุรพงษ์ชัย' นั่งบอร์ด 'พงส์ สารสิน' เป็นประธานบริษัทโฮลดิ้ง เทมาเสกดึงไทยพาณิชย์ ฮุบอาณาจักรชินคอร์ป   เทมาเสก จับมือ แบงกไทยพาณิชย์เทคโอเวอร์ ชินคอร์ปอเรชั่น ตั้งโฮลดิ้งในไทยซื้อหุ้น 49 % ราคา 50 บาทต่อหุ้น จากตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ ทักษิณส่งเทียบเชิญ "พงส์ สารสิน"นั่งประธานคู่"วิชิต สุรพงษ์ชัย" เผยเบื้องหลังเปิดเจรจากับสิงเทลก่อนแต่ถูกกดราคาเหลือ 30 บาทฝ่ายชินวัตรจึงล้มดีล ขณะเดียวกันฝ่ายบริหารชินแจ้งตลาดผู้ถือหุ้นยังไม่แจ้งรายละเอียด ด้านกรมสรรพกรยันธุรกรรมค่าเกือบแสนล้านที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่เสียภาษีในไทย และราคาหุ้นกลุ่มชินเขียวยกแผง ตามที่หนังสือพิมพ์"ฐานเศรษฐกิจ" ได้เปิดประเด็น ตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ เตรียมขายหุ้นใน บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่รน จำกัด (มหาชน) หรือ บมจ.ชินคอร์ป แบบยกลอตต์ให้กับ กองทุนเทมาเสก จากสิงคโปร์ไปแล้วนั้น ล่าสุดมีรายงานเพิ่มเติมว่าการเจรจาระหว่าง ตระกูลชินวัตร กับกองทุน เทมาเสกได้บรรลุข้อตกลงในขั้นสุดท้ายแล้ว โดยฝ่ายแรกได้ตกลงขายหุ้นที่ถือในนาม สมาชิกตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์รวมกัน 1,158 ล้านหุ้น และที่ถือในบัญชี ยูบีเอส เอจี. สงคโปร์ อีกประมาณ 297 ล้านหุ้นรวมกันเป็น 1,456 ล้านหุ้นหรือประมาณ 49 % ของทุนจดทะเบียนให้กับ กองทุนเทมาเสก ราคาระหว่าง 49.50-50 บาทต่อหุ้น โดยการซื้อ-ขายครั้งนี้ขายเป็นเงินสดไม่มีรายการสวอป (แลกเปลี่ยน)ใดๆทั้งสิ้น สำหรับผู้ถือหุ้นสำคัญใน บมจ.ชินคอร์ป ประกอบด้วย นางสาว พนทองทา ชินวัตร ถืออยู่ 440 ล้านหุ้น หรือ 14.92% นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ 404 ล้านหุ้น หรือ 13.71 % นายพานทองแท้ ชินวัตร 293 ล้านหุ้น หรือ 9.96 % นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 20 ล้านหุ้น หรือ 0.68% และนางบุษบา ดามาพงศ์ 159,800 หุ้น หรือ 0.01 % อนึ่งหากคำนวนราคาซื้อ-ขายที่ 50 บาท/ต่อหุ้นและมีจำนวนหุ้นที่จะเปลี่ยนมือ 1,158 ล้านหุ้น การซื้อ-ขายครั้งจะมีมูลค่าประมาณ 72,800 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเจรจาซื้อ-ขายกิจการที่มูลค่าสูงสุดนับแต่ก่อตั้งแต่ก่อตั้ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปี พ.ศ. 2518 ดึงไทยพาณิชย์ร่วมถือหุ้น ด้านแหล่งข่าวจากแวดวงการเงินเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ทาง กองทุนเทมาเสกที่จะเข้ามาถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ชินคอร์ป อย่างเป็นทางการในเร็วๆนี้ได้ตั้งบริษัทโฮลดิ้งขึ้นในไทยสำหรับทำธุรกรรมครั้งนี้โดยเฉพาะ พร้อมกับ ดึง ธนาคารไทยพาณิชย์ ในเครือ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เข้าถือหุ้นด้วยในสัดส่วน 5-10 % เพื่อป้องกันสาะารณชนมองว่าธุรกิจต่างชาติรุกเข้ามาเชมือบกิจการชั้นนำของเมืองไทย แหล่งข่าวยังกล่าวต่อไปว่าบริษัทโฮลดิ้งที่ทาง กองทุน เทมาเสก ตั้งขึ้นมานั้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และผู้ก่อตั้งกลุ่มชินวัต ได้ทาบนายพงส์ สารสิน อดีตรองนายกรัฐมนตรีให้ดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการของบริษัท พร้อมกับดึง ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร แบงก์ไทยพาณิชย์ ขึ้นนั่งเป็นประธานกรรมการคู่ด้วย ทั้งนี้มีรายงานจากวงการค้าหลักทรัพย์ว่าธุรกรรมซื้อ-ขายหุ้น บมจ.ชินคอร์ป ระหว่าง กองทุนเทมาเสก กับ ตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ซึ่งจะมีหุ้นเปลี่ยนมือถึง 1,456 ล้านหุ้น นั้นคาดว่าทางผู้ขายจะส่งออร์เดอร์ (คำสั่งซื้อหรือขาย) ผ่านโบรกเกอร์ที่มีเครือข่ายธุรกิจในสิงคโปร์ อาทิ บล.ภัทร บล.ไทยพาณิชย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ บล.เจพีมอร์แกน ด้านแหล่งจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)การซื้อ-ขายหุ้น บมจ.ชินคอร์ปจะทำผ่านโบรกเกอร์กี่รายก็ได้ แต่ถ้าผ่านรายเดียวโบรกเกอร์รายนั้นจะต้องกู้เงินจาก แบงก์พาณิชย์มาสำรองเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (เอ็นซีอาร์) เบื้องหลังดีลล่ม แหล่งข่าวเดียวกันยังกล่าวต่อว่าเดิมทางตระกูลชินวัตร ได้แต่งตั้งให้ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ไทยพาณิชย์ ไปเจรจากับ สิงเทล ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ ซึ่งถือหุ้นใน บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส และบมจ.ชินคอร์ป ก่อน หากไม่สามารถตกลงกันได้เนื่องจากทางฝ่ายชินวัตรเสนอขายที่ราคา 54 บาทต่อหุ้น แต่ทางฝ่าย สิงเทลต่อเหมือนหุ้นบมจ.ชินคอร์ปไม่มีราคา เหลือแค่ 30 บาทต่อหุ้น ประกอบกับ นายชุมพล ณ ลำเลียง อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย ซึ่งเป็นประธานของสิงเทลไม่เห็นด้วยกับการที่ สิงเทลจะเข้าไปลงทุนใน บมจ.ชินคอร์ป ทางตระกูลชินวัตรจึงหันมาเจรจากับ กองทุนเทมาเสก (ถือหุ้นใหญ่ในสิงเทล) โดยนาย บุญคลี ปลั่งศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ชินคอร์ป ลงมาเจรจาด้วยตนเอง ก่อนบรรลุข้อตกลงกันได้ในที่สุด ชินฯยังอุบเงียบ อย่างไรก็ตามเมื่อพฤหัสบดี (19)ที่ผ่านมา ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า เหตุผลที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงนี้ (สัปดาห์ที่ผ่านมา) ไม่เกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันหรือ อาร์พีเมื่อวันที่ 18 มกราคมของ คณะกรรมการการเงิน แต่เกิดจากการซื้อ-ขายหุ้น บมจ.ชินคอร์ปและโบรกเกอร์นำเงินมาแลกในตลาด ทั้งนี้หลังผู้ว่าการธปท.ออกมาแถลงดังกล่าวมีกระแสข่าวว่า ทาง บมจ.ชินคอร์ป จะเปิดแถลงข่าวการซื้อ-ขายหุ้นในวันศุกร์ (20) และวันจันทร์ (23) มาดามลี ผู้บริหาร กองทุนเทมาเสก ลูกสะใภ้ของ นายลี กวนยิว อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์จะบินมาเซ็นสัญญา ก่อนที่ นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ กรรมการ บมจ.ชินคอร์ป แจ้ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า บริษัทยังไม่ได้รับการยืนยันข้อมูลการซื้อ-ขายจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ชินวัตรเสียภาษีเท่าไหร่ สำหรับการขายหุ้นครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตุว่า ตระกูลชินวัตรซึ่งขายหุ้นได้เกือบแสนล้านบาทนั้นจะต้องเสียภาษีให้แผ่นดินหรือไม่ ต่อเรื่องดังกล่าว นางไพฑูรย์ พงศ์เกสร รองอธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า กรณีการขายหุ้นของ บมจ. ชิน คอร์ปให้กับกองทุนเทมาเสก ของสิงคโปร์นั้น จะได้รับการยกเว้นภาษีทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากเป็นการซื้อขายใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกทั้งประเทศไทยกับสิงคโปร์มีอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างกัน ผู้ขายจึงไม่มีภาระภาษีในไทย ยกเว้นกรณีของเงินปันผลเท่านั้นที่ต้องนำมาคำนวณรวมเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีบางส่วน รองอธิบดีกรมสรรพากรแจกจงต่อว่า การซื้อ-ขายหุ้นใดๆที่ทำธุรกรรมกันใน ตลาดหลักทรัพย์ฯจะได้รับการยกเว้นภาษีทั้งหมด ส่วน การซื้อ-ขายหุ้นนอก ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเสียภาษีในกรณีที่มีส่วนต่างของกำไรเท่านั้น และจะมีการเสียภาษีก็ต่อเมื่อได้มีการชำระเม็ดเงินจริง คือ กรณีของผู้ขาย จะต้องเสียภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 15% ของส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ได้ขายไป ส่วนผู้ซื้อยังไม่มีภาระภาษีจนกว่าจะได้มีการขายออกไป พร้อมกันนั้นนางไพฑูรย์ได้กล่าวย้ำว่า การซื้อ-ขายหุ้น บมจ.ชินคอร์ป ระหว่างตระกูลชินวัตรกับ กองทุนเทมาเสกนั้นไม่มีภาระภาษีใดๆเกิดขึ้น แต่เนื่องจากเป็นการซื้อ-ขายระหว่างประเทศ จึงจำเป็นต้องมีการโอนเม็ดเงินระหว่างประเทศเพื่อเข้ามาซื้อหุ้น ดังนั้นจึงต้องมีการหักภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 15% แต่เนื่องจากประเทศไทยและสิงคโปร์ มีการทำอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างกัน จึงได้รับการยกเว้นภาษีในส่วนนี้ด้วย เพราะถือว่าเงินได้ส่วนนี้จะมีการเสียภาษีในสิงคโปร์อยู่แล้ว หากไทยมีการจัดเก็บอีกก็จะเป็นการซ้ำซ้อนกัน จับตาอาณาจักรชินคอร์ป ทั้งนี้หลังเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า กองทุนเทมาเสก กำลังจะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ชินคอร์ป บริษัทแม่ของธุรกิจในกลุ่มชินวัตร อีกทั้งเป็นที่คาดการณ์ว่า กองทุนเทมาเสก คงเลือกเก็บบริษัทลูกอย่าง บมจ.เอไอเอส ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ไว้เท่านั้น ส่วนธุรกิจ บมจ.ชินแซทเทลไล์ท(ดาวเทียมไทยคม) และ บมจ.ไอทีวี (สถานีโทรทัศน์ไอทีวี) มีแนวโน้มขายคืนให้กับตระกูชินวัตรและหนังสือพิมพ์"ฐานเศรษฐกิจ"ฉบับที่ผ่านมา (2080 ประจำวันที่ 19-21 มกราคม 2549) ได้เปิดประเด็น"อากู๋ทาบซื้อไอทีวี" โดยรายงานข่าวระบุว่า นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการบริหาร บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี ได้หารือเบื้องต้นกับ นายบุญคลี ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ชินคอร์ป แล้ว อย่างไรก็ตามหลังข่าวได้รับการตีพิมพ์ นายไพบูลย์ได้ออกมากล่าวทำนองว่ายังไม่มีการหารืออย่างจริงจังแต่ยอมรับว่าสนใจสถานีโทรทัศน์ไอทีวี แต่แหล่งข่าวแวดวงการเงินยืนยันว่าหลังการซื้อ-ขายหุ้น บมจ.ชินคอร์ป จบ อากู๋คงเริ่มเจรจาซื้อ สถานีโทรทัศน์ไอทีวี นอกจากนี้ฉบับก่อนหน้านี้หนังสือพิมพ์"ฐานเศรษฐกิจ"ยังรายงานด้วยว่าหลังการซื้อ-ขายจบสินลง นางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรรมการอำนวยการ บมจ.เอไอเอส จะลาออกเพื่อเปิดทางให้เจ้าของใหม่จัดทัพใหม่ ส่วนตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นน้องสาวคนเล็กของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ นายกรัฐมนตรีจะผันตัวเองไปบริหาร บมจ.เอสซีแอสเซท ซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของครอบครัวชินวัตรแทน. หุ้นกลุ่มชินขึ้นยกแผง ทางดานการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในกลุ่มชิน ปรากฎว่า เมือวันศุกร์(20)ที่ผ่านมา หุ้นSHIN ปิดที่ 47.25 บาท/หุ้น มีการซื้อ-ขายรายใหญ่ 4.77 แสนหุ้นคิดเป็นมูลค่า 22.56 ล้านบาท ติดอันดับสามของหุ้นที่มีการซื้อ-ขายสูงสุด ตามด้วยหุ้น ITV มูลค่าซื้อ-ขายอันดับสี่ ปิดที่ 12.10 บาทต่อหุ้น เพิ่ม 0.40 บาทต่อหุ้นจากวันก่อนหน้า สำหรับหุ้น ADVANC ปิดที่ 104 บาทต่อหุ้น ลดลง 2บาทต่อหุ้น จากวันก่อนหน้า หุ้น SATTEL ปิด 15.7 บาทต่อหุ้น เพิ่ม 0.50 บาทต่อหุ้น จากวันก่อนหน้า และ หุ้น SC ปิด 16 บาท บวก 0.90 บาทต่อหุ้นจากวันก่อนหน้า   'จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2081   22 ม.ค. - 25 ม.ค. 2549 จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:30:26 ]

ความคิดเห็นที่ 3 'ซีอีโอ'ฟันธง เศรษฐกิจปีจอไม่ได้ดุ >แต่ยังแฝงปัจจัยเสี่ยงให้ท้าทาย   จากการที่หนังสือพิมพ์"ฐานเศรษฐกิจ " และคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนาซีอีโอ-ฟอรัมเรื่อง "โค้งแรกเศรษฐกิจ49: ปีจอ ดุจริงหรือแค่ขู่ เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2549 ที่ผ่านมา ณ ห้องพิณทอง อาคารฐานเศรษฐกิจ โดยได้รับเกียรติจาก พณ ฯท่าน ดร.ทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มาเป็นประธานกล่าวงานและปาฐกถาพิเศษ พร้อมด้วยซีอีโอระดับแนวหน้าจากภาคธุรกิจในแขนงต่าง ๆอาทิ คุณโฆสิต ปั้นเปี่นมรัษฏ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บมจ.), คุณสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นครไทยสตริปมิล ,คุณอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์แอนด์เฮาส์ ,คุณวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ และคุณธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟร่เซ่น โปรดักซ์ มุมมองจากวิทยากรทั้งหลาย ต่างมีความเชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจปีจอ น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะปัจจัยจากผลกระทบเดิม ๆ อาทิปัญหาราคาน้ำมันก็ดี ,ไข้หวัดนก ภัยพิบัติจากธรรมชาติคลื่นยักษ์ สึนามิ หรือแม้แต่ปัญหาภัยแล้ง ที่ได้คลี่คลายลง แต่ภายใต้ความเชื่อที่ว่าน่าจะดีขึ้น ก็ยังมีปัจจัยใหม่หลายตัวที่เป็นความเสี่ยง ซึ่งสร้างความท้าทายให้ธุรกิจต้องปรับตัว ดร.ทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยปี 2548 ที่จบไปน่าจะมีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่า 4.5% ซึ่งเป็นการเติบโตที่เพิ่มขึ้นเกือบ 20% จากประมาณการณ์ในครึ่งปีแรกปี 2548 ที่คาดว่าปี 2548 ทั้งปีจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียง 3-4% เท่านั้น และด้วยโมเมนตั้มที่ยังมีแรงส่ง เศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกปี 2549 น่าจะมีโอกาสเติบโตในระดับ 5-6%กว่า ในขณะที่เงินเฟ้อในไตรมาสแรกยังคงอยู่ในระดับสูง และหากไม่มีปัญหาราคาน้ำมันโลกปรับสูงขึ้นจากนี้ เงินเฟ้อน่าจะปรับลดลงในไตรมาสสอง "ปัจจัยลบปี 49 น้อยกว่าปี 48 แน่ และหากภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ก็จะส่งให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตในระดับ 5-5.5% ยกเว้นราคาน้ำมันโลกจะขยับขึ้นไปสูงถึง 80-100 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ/บาเรล หากเป็นเช่นนั้นก็ตัวใครตัวมัน " ส่วนความเป็นห่วงในเรื่องเสถียรภาพการเมือง ตนเชื่อว่าจ่าฝูงของเราแข็งมาก และนายก ฯ ก็ได้บอกแล้วว่า " ไม่หนี ไม่ท้อ ไม่ลาออก " การเมืองในปี 49 จึงไม่ใช่ปัญหา ด้านประธานกรรมการบริหาร บมจ.ธนาคารกรุงเทพ โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์ กล่าวว่า 6เดือนแรกเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังมีความมั่นใจว่าไปได้ หาก 6เดือนหลังไปแล้วความมั่นใจจะลดลงตามความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น บนพื้นฐานว่าเศรษฐกิจไทยปี 2549 จะขยายตัวระดับ 4-4.5%เงินเฟ้ออยู่ที่ 4% โดย 3 ปัจจัยหลัก ก็คือ 1.เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเงินเฟ้อ- การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งมีอิทธิพลต่อนโยบายการเงิน -ทิศทางอัตราดอกเบี้ย และต้นทุนของผู้ประกอบการ 2.การขยายตัวและการสร้างพื้นฐานธุรกิจให้เข้มแข็ง เพราะยังมีความไม่แน่นอนและกระแสการแข่งขันในโลกาภิวัฒน์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3. ภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ การบริหารความเสี่ยงเช่นอัตราแลกเปลี่ยน และการบริหารต้นทุนให้ดีขึ้น แม้กระทั่งการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อณีตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า เช่นการใช้เทคโนโลยี่ใหม่ๆ " เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการดำเนินนโยบายของประเทศใหญ่ อาทิสหรัฐ ฯหรือจีนที่พยายามชะลอการเติบโต ดังเห็นได้จากการที่สหรัฐ ฯปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นมามากกว่า 10 ครั้งในรอบปี48 ที่ผ่านมา ปัญหาการออมและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสหรัฐ ฯที่ติดลบถึง 7% ของจีดีพี หรือกรณีที่จีนปรับค่าเงินหยวนแข็งขึ้น และยังต้องจับตากรณีที่นายอลัน กรีนสแปนจะพ้นตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจจะทำให้การปรับตัวดอกเบี้ยสหรัฐยุติลงในเร็วๆ เช่นเดียวกับที่ไทยยังมีปัญหาเรื่องการขาดดุลการคลัง,ดุลบัญชีเดินสะพัดและระดับการออมที่ต่ำ " ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟร่เซ่น โปรดักซ์ กล่าวว่าเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ รายได้จากการส่งออกที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ 17% ถ้าดูจากอดีต5-6 ปีที่ผ่านหลังวิกฤติเศรษฐกิจ จะเห็นว่าส่งออกไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 20%แต่ปีที่แล้วเราไม่สามารถทำได้ตามเป้า 20% โดยโตประมาณ 15% สาเหตุหนึ่งสืบเนื่องจากไข้หวัดนกก็ดี และอุตสาหกรรมกุ้ง ถูกตอบโต้จากมาตรการทุ่มตลาดของสหรัฐ ฯ แต่เป้าส่งออกปีนี้ 17% น่าจะมีความเป็นไปได้ แต่ต้องทำงานกันหนักพอควร เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ว่าจะเป็นเมริกาหรือยุโรปก็ดี เติบโตในอัตราที่ชะลอตัว จะมีก็ญี่ปุ่นที่ฟื้นตัวขึ้น "ไทย ยังต้องเผชิญปัจจัยหลักๆคืออัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ต้นทุนทางด้านพลังงาน ดังนั้นภาครัฐและเอกชน ต้องทำงานหนักในการผลักดันให้ส่งออกปีนี้โตตามเป้าหมา 17% " สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นครไทยสตริปมิล จำกัด (มหาชน)กล่าวว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย (เงินกู้ ) ที่พูดกันว่าจะสูงถึง7-8% ตนไม่ได้ห่วงนักเมื่อเทียบกับอดีตที่เคยสูงถึง 20% ในขณะที่กำลังซื้อแอบแฝงก็ยังมีอยู่ ,การเมืองไทยก็ไม่ได้มีปัญหาพอที่จะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลกุมเสียงข้างมากไว้ถึง 375 เสียง แต่ที่ตกกังวลก็คือ ปัญหาของประเทศอิหร่าน หากมติสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ตัดสินใจบอยคอร์ด (คว่ำบาตร) ก็อาจทำให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งไปถึง 80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลได้ ส่วนเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ)ไม่ใช่เรื่องที่จะวิตกกังวล เป็นเรื่องของการเร่งทำข้อตกลงลดภาษีของประเทศต่างๆ ภายใต้ข้อตกลงขององค์การค้าโลก ( WTO ) อยู่แล้ว ที่ทะเลาะกันวันนี้ก็เพราะภาคเอกชนไม่มีข้อมูลจากภาครัฐบาลว่าเราได้หรือเสียประโยชน์. อนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการ บมจ.แลนด์แอนด์เฮาส์ กล่าวว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ยังเป็นปีทองและน่าจะดีกว่าปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยราคาน้ำมันที่ไม่ได้ผิดปกติมากนัก ดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นแต่น่าจะทรงตัวได้ในครึ่งปีหลัง วัสดุก่อสร้างที่ไม่ปรับราคาหลังจากที่ขึ้นมา4-5 % เมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่ความต้องการบ้านหรือดีมานด์ไซค์ยังมีต่อเนื่อง แต่ด้านซัพพลายไซค์กลับลดลง โดยเฉพาะรายกลางและรายเล็กที่จะแข่งขันลำบากขึ้นเพราะมีทุนนอก อาทิสิงคโปร์ที่เข้ามาในตลาดนี้ โดยเฉพาะเซ็กเม้นต์ในตลาดบน สิ่งที่ตนเป็นห่วงคือการที่ธนาคารพาณิชย์ ไม่กล้าแข่งขันปล่อยสินเชื่อรายย่อยเหมือนในอดีต มีการเข้มงวดมากขึ้น จากที่เคยปล่อยกู้ได้สูงถึง 90-100%ของราคาซื้อขาย ปัจจุบันให้อย่างมากแค่ 80% และดอกเบี้ยคงที่ที่เคยแข่งกันที่ 2-3% ต่อปีต่อไปก็คงลำบาก " ยอดขายของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมในปัจจุบันกลับเพิ่มขึ้น แต่มาร์จิ้นหรือกำไรกลับลดลง และคงเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก 3-4 ปี หลังจากที่ธุรกิจต้องเริ่มเสียภาษีเต็มที่ในครึ่งหลังปีนี้ จากที่เคยขาดทุนสะสมกันมา ดังนั้นหากธุรกิจต้องการโต 10% ก็ต้องทำให้ได้ประมาณ 70% หรือเพิ่ม growth ถึง 60% เพื่อจะไปชดเชยภาระจากการเสียภาษี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ " ด้านธุรกิจโรงหนัง มุมมองนายวิชา พูลวราลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ มีทั้งปัจจัยที่ควบคุมได้และไม่สามารถควบคุม โดยเฉพาะปัจจัยราคาน้ำมันซึ่งทำท่าจะสูงขึ้น ในส่วนของเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ที่เกี่ยวข้อง3 เซ็กเตอร์หรือที่เรียกว่า 3 M คือ Movie (ภาพยนตร์ ),Music(ดนตรี ) และ3.Media (สื่อโฆษณา ) ส่วนของมีเดียส์ภาพรวมของเมเจอร์ ฯปีที่แล้วโตประมาณ 6% เมื่อเทียบกับระบบที่โต 5% ซึ่งถือว่ายังเติบโตได้น้อย ทั้งนี้เนื่องจากสินค้าคอนซูเมอร์ส่วนใหญ่ต่างชะลอโฆษณาลงในปีที่แล้ว ถึง 20-25%และในปีนี้เองก็ต้องจับตาดูในเรื่องกฎหมายและกฏเกณฑ์ต่าง ๆโดยเฉพาะการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่อาจจะส่งผลให้ภาพรวมมีเดียส์ไม่กลับไปโตได้อย่างเต็มที่ ส่วนธุรกิจด้านMusic ไลน์ที่เมเจอร์ ฯทำอยู่คือ Movie Fitness ในส่วนที่เป็นฮาร์ดแวร์นั้นคาดว่าปีนี้ก็ยังเป็นอีกปีที่มีการขยายงานค่อนข้างมากและมีการลงทุนเพิ่มในตัวโรงหนังไม่ต่ำกว่า 45 โรง ในโครงการขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็น "เอ็กซ์ผะนาด "ที่รัชดา ฯ หรือสยามพารากอน เพราะกำลังซื้อที่มีอยู่เมื่อเทียบกับ จำนวนโรงภาพยนตร์ทั้งในตัวเมืองและต่างจังหวัดด้วยแล้วก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ ในขณะที่ส่วนของซอฟฟ์แวร์ หรือหนังไทยปีนี้น่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นได้อีก 40% เทียบกับ 30% เมื่อปี 2548 " อุตสาหกรรมเราปีนี้จึงค่อนข้างโพสซิทีฟ กับการลงทุนผลิตหนังเพิ่ม แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารและจัดการ และขับเคลื่อน (drive ) ให้มันเกิด "   จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2081   22 ม.ค. - 25 ม.ค. 2549 จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:30:44 ]

ความคิดเห็นที่ 4 BOIเคาะประตูเรียกทุนนอก >4 เดือนแรกวิ่งรอกกว่า 20 ประเทศต้อนยึดหัวหาดไทยผลิต   เปิดแผนโรดโชว์บีโอไอ 4 เดือนแรก วิ่งรอกกว่า 20 ประเทศเคาะประตูเรียกทุนข้ามชาติดึงยึดหัวหาดไทยผลิตอุตสาหกรรมเป้าหมายเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เกษตร ขานรับมาตรการจุดพลุกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล สืบเนื่องจากที่เมื่อปลายปีที่ผ่านมาทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลที่นำโดย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจปี2549 โดยการดึงทุนทางตรงหรือ FDI( FOREIGN DIRECT INVESTMENT)จากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยให้มากยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายคือ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ที่มองว่าจะเป็นตัวจุดพลุเศรษฐกิจในปีนี้ ล่าสุดแหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่าขณะนี้ บีโอไอได้กำหนดกรอบการทำงานให้สอดคล้องกับมาตรการรัฐ โดยการออกไปโรดโชว์เพื่อชักจูงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน 2549 ที่มีจำนวนมากกว่า 20 ประเทศ ที่จะเข้าไปชักชวนให้มาลงทุนในประเทศไทยโดยแต่ละประเทศจะมีกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน( ดูตาราง) ทั้งนี้การโรดโชว์ในเดือนมกราคมที่ประเทศอินเดีย จะเข้าไปดึงทุนในเดลลี มุมไบ และเจนไน โดยเข้าไปสำรวจข้อมูลการลงทุน และการพบปะนักลงทุนเป็นรายบริษัท(Door Knocking) โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายคือยานยนต์ อาหาร อิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์ ส่วนญี่ปุ่นจะจัดสัมมนาโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมที่เมือง โยโกฮามา โอซากา ออกมาลงทุน เป็นต้น สำหรับเดือนกุมภาพันธ์ การไปดูลู่ทางการลงทุนจะให้น้ำหนักไปยังประเทศอิตาลีที่จะจัดสัมมนาลู่ทางการลงทุน 2 ครั้งที่เมืองดูริน และมิลาน ในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล อาหาร และแฟชั่น และที่ญี่ปุ่นจะจัดสัมมนาในลักษณะเดียวกันกับเดือนมกราคม แต่เจาะไปในกลุ่มเครื่องจักร เครื่องมือชิ้นส่วนโลหะ ที่เมืองโตเกียว นาโงยา โอซากา และจีนจะโฟกัสไปที่กลุ่มทุนด้านยานยนต์ และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ เกษตรแปรรูป เคมีและยางพารา ขณะที่เวียดนาม พม่า จะมุ่งไปที่กลุ่มลอจิสติกส์ เป็นต้น และเดือนมีนาคม จะเข้าไปดึงทุนจากอินเดียอีกครั้ง โดยจัดโปรแกรมเข้าพบนักธุรกิจเป็นรายสาขา(Door Knocking)ในอุตสาหกรรมยาง และเกษตร และการไปเกาหลีใต้เพื่อ ดึงทุนด้านชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น สำหรับเดือนเมษายน บีโอไอจะร่วมงานออกบูธนิทรรศการงาน BIO2006 ที่เมืองชิคาโก และพบปะนักลงทุนที่เมืองโอเรกอนและเดนเวอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้านพลังานและไบโอเทค และจัดสัมมนาลู่ทางลงทุนที่แคนาดา ส่วนที่ฮ่องกงจะร่วมงานChina Sourcing Fair 2006 ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนั้นจะเป็นการดึงทุนจาก อังกฤษ ด้านอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล สิงคโปร์ ด้านลอจิสติกส์ อิตาลี เยอรมัน ด้านเครื่องจักรกลและชิ้นส่วนยานบยนต์ ส่วน สเปน กัมพูชา เวียดนามพม่า ด้านเกษตร และมาเลเซียจะเป็นทางด้านยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ แหล่งข่าวกล่าวว่าในช่วง 4 เดือนดังกล่าวเป้าหมายของบีโอไอจะสอดคล้องกับมาตรการรัฐที่ต้องการจะกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในการดึงทุนจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์เข้ามา จึงเป็นที่จับตามองว่ากลุ่มทุนข้ามชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในตลาดโลกด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์จะแห่ยื่นคำขอรับการส่งเสริมมายังบีโอไอเพิ่มขึ้น ทั้งโครงการที่ลงทุนอยู่แล้วขอขยายเพิ่มและการลงทุนใหม่ ทั้งนี้ล่าสุดมีโครงการขอขยายกิจการลงทุนเพิ่มเช่น บริษัท ชาร์ป แอพพลายแอนซ์ ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมเข้ามาด้วยเงินทุนรวมกันประมาณ 1,490 ล้านบาท เพื่อขยายการผลิตตู้เย็นและชิ้นส่วน และการขยายการลงทุนของบริษัท ไดกิ้น แอร์ดิคอนดิชั่นนิ่ง(ประเทศไทย)จำกัด ขยายการผลิตเครื่องปรับอากาศด้วยเงินทุนประมาณ 100 ล้านบาท นอกจากนั้นก็จะการลงทุนจากกลุ่มทุน เกาหลี เช่น กลุ่มแอลจี และซัมซุง ที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่บีโอไอเข้าไปจัดสัมมานาลู่ทางการลงทุนในเดือนมีนาคมนี้ นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่าเวลานี้มีหลายบริษัทสนใจจะลงทุนในประเทศไทยในการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และส่วนใหญ่ยังไม่ต้องการให้เป็นข่าวเพราะ เป็นยุทธศาสตร์ทางการค้าการลงทุนของแต่ละประเทศ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยคือ เวลานี้รายใหญ่ของโลกเข้ามาลงทุนในการผลิตดีสก์ไดร์ฟในประเทศไทยหมดแล้ว ตอนนี้มีกำลังจะขยายในธุรกิจฮาร์ดดีกส์ได้มากกว่าเดิมอีก เพราะความต้องการในตลาดโลกได้ขยายตัวสูงขึ้นมาก เนื่องจากขณะนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ มันกลายเป็นอิเล็กทรอนิกส์ไปหมดแล้ว เวลานี้ถ้าเราพูดเฉพาะฮาร์ดดีสก์ไดร์ฟ ไทยน่าจะกลายเป็นเบอร์หนึ่งไปแล้วด้วยในแง่การผลิตของตลาดโลก " ที่น่าเป็นห่วงก็น่าจะเป็นจีน ที่บทบาทต่อไปจีนจะโตเร็วขึ้นในแง่ฮาร์ดดีสก์ไดร์ฟ แต่ตอนนี้ยังโชคดีที่จีนยังไม่สนใจฮาร์ดดีสก์ไดร์ฟมากนัก แต่สนใจพวกชิป ไอซี ไล่ไปถึงเวเฟอร์แฟ๊บบลิคชั่น ที่ว่าน่ากลัวเพราะจีนจะขยับตัวเร็ว และต่างชาติทั่วโลกมักจะเอาขาข้างหนึ่งไปลงที่จีนเสมอ เพราะเป็นตลาดใหญ่ และเป็นการประกันความเสี่ยงด้านการลงทุนด้วย"   จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2081   22 ม.ค. - 25 ม.ค. 2549 จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:31:04 ]

ความคิดเห็นที่ 5 'เจริญ'ซื้อหุ้นโออิชิ 35% >วงในเผยใช้บริษัทในกลุ่มถือแทน/ราชันน้ำเมายอมรับมีการทาบทามจริง   วงในเผย"เสี่ยเจริญ"ดันบริษัทโฮลดิ้งในกลุ่มถือหุ้นโออิชิ 30-35 % ส่วนที่เหลือเป็นนักลงทุนต่างชาติ พร้อมการันตี 26 ม.ค.นี้ตันได้กำเงินค่าหุ้น 5 พันล้านแน่ ด้านราชันน้ำเมาออกมายอมรับแล้วว่าได้รับการทาบทามจากจากนักลงทุนต่างชาติผ่านบล.เอเชีย พลัส ให้ร่วมซื้อหุ้นโออิชิ แหล่งข่าวระดับสูงจากแวดวงที่ปรึกษาทางการเงินกล่าวกับ"ฐานเศรษฐกิจ" ถึงการเลื่อนแถลงข่าวการซื้อขายหุ้นบริษัทโออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)( OISHI )ว่า สาเหตุสำคัญมาจากเรื่องของเอกสารและรายละเอียดในเรื่องของข้อกฏหมายที่มีอยู่กว่า 70 หน้า ที่ต้องดำเนินการซึ่งฝ่ายกฏหมายทำเอกสารไม่ทันไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงกรรมการ การแก้ไขกฏระเบียบต่าง ๆให้ถูกต้องที่ต้องแจ้งกับกระทรวงพาณิชย์ ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ต้องเลื่อนการเซ็นสัญญาและแถลงข่าวไปเป็นวันที่ 26 มกราคมนี้ อย่างไรก็ตามหลังมีกระแสข่าวลือว่านายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของอาณาจักรธุรกิจแอลกอฮอล์ เป็นผู้ซื้อหุ้นบมจ.โออิชินั้น นายเจริญ ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวในงานเลี้ยงเปิดตัวธนาคารยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์(ไทย) เมื่อค่ำวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมาว่า กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อหลังได้รับการติดต่อจากกองทุนต่างชาติที่ชักชวนเข้ามาผ่านที่ปรึกษาทางการเงิน คือ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเชีย พลัส จำกัด(มหาชน) เนื่องจากกองทุนดังกล่าวติดปัญหาเรื่องสัดส่วนการถือหุ้น "ในวันนั้น(26 ม.ค.)จะมีการปิดดีลการซื้อขายหุ้นโออิชิ และจะเซ็นสัญญาซื้อขายและโอนหุ้น ซึ่งฝ่ายผู้ซื้อจะต้องจ่ายเงินภายใน 3 วัน สำหรับผู้เข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ จะเป็นบริษัทโฮลดิ้งของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่จะถือหุ้นในสัดส่วน 30-35 % ส่วนที่เหลือจะเป็นนักลงทุนต่างชาติ โดยในวันแถลงข่าว(26 ม.ค.) จะมีตัวแทนจากกลุ่มนายเจริญ ซึ่งประกอบด้วย นายธนิต ธรรมสุคติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บรษัท ทศภาค จำกัด และนายเกษมสันต์ วีระกุล ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ร่วมแถลงข่าว " เมื่อวันที่ 20 มกราคม นางสาวสุนิสา สุขพันธุ์ถาวร รองกรรมการผู้จัดการบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)(OISHI ) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)เกี่ยวกับการเลื่อนการลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นว่า บริษัทฯได้รับแจ้งจากนายตัน ภาสกรนที(ในฐานะผู้ขาย)และ Mr. Ma Wah Yan ได้ตกลงเลื่อนวันลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นเนื่องจากอยู่ในระหว่างการจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้อง แต่ทั้งนี้ ได้มีการตกลงในเงื่อนไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะมีการลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นอีกครั้งในวันที่ 26 มกราคมนี้ ทั้งนี้เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2548 มีการเซ็นต์ข้อตกลงเบื้องต้น (เอ็มโอยูจะซื้อจะขายหุ้นบมจ.โออิชิ ฯจำนวนทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 103,125,000 หุ้น หรือเท่ากับร้อยละ 55 ของหุ้นที่จำหน่ายทั้งหมดของหุ้นโออิชิฯ ซึ่งมีอยู่รวม 187,500,000 ล้านหุ้น เพื่อจะขายให้กับกลุ่มผู้จะซื้อ โดยกำหนดราคาซื้อขายเบื้องต้นที่หุ้นละ 32.50 บาท และราคาซื้อขายดังกล่าวอาจมีการปรับลดลงตามผลการตรวจสอบกิจการของโออิชิฯ แต่ทั้งนี้ไม่ว่ากรณีใดจะไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 30 บาท ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นภายในวันที่ 20 มกราคม 2549 โดยมี Mr. Ma Wah Yan เป็นตัวแทนของกลุ่มผู้จะซื้อ นายตัน กล่าวกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า สาเหตุที่ต้องเลื่อนการแถลงข่าวผู้ถือหุ้นรายใหม่นั้น เป็นเพราะเอกสารทางกฎหมาย และรายชื่อกรรมการที่จะเข้ามาบริหารงานยังไม่เรียบร้อย แต่ขณะนี้ทุกอย่างไม่ปัญหา และจะแถลงข่าวตามกำหนดการที่เลื่อนไปเป็นวันที่ 26 มกราคม ดังที่แจ้งแก้ไขไปแล้ว และยืนยันว่าทุกอย่างยังคงเป็นไปตามข้อตกลง เรื่องนี้จะไม่ให้เสียชื่อแน่นอน ด้านแหล่งข่าวจาก บมจ.ไทยเบฟฯกล่าวว่า บริษัทฯไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเข้าไปซื้อหุ้นโออิชิ แต่ในส่วนของนายเเจริญนั้นไม่ทราบ พร้อมกันนี้เขากล่าวถึงแผนการขยายธุรกิจไปในด้านอื่น ๆหรือไม่นั้น คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต ส่วนกรณีการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่โออิชิฯนั้น โดยส่วนตัวมองว่าที่ผ่านมาแบรนด์โออิชิได้รับการตอบสนองจากตลาดจำนวนมาก ทำให้มูลค่าของสินค้าและมูลค่าของแบรนด์มีค่อนข้างสูง   จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2081   22 ม.ค. - 25 ม.ค. 2549 จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:31:23 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สาวไส้ 33 ขาปั่นลากหุ้นเก็งกำไร ตลท.มาเหนือเมฆ หวังใช้ IEC นำร่องสาวไส้ขาปั่น โยงรายชื่อลากหุ้นเก็งกำไรตัวอื่น วงการฟันธงเปิดเทรด(23 ม.ค.)หุ้นเก็งกำไรถูกตอกฝาโลง ทั้งขาใหญ่-ขาย่อยเผ่นหนีตาย หวั่นติดร่างแห ชี้งานนี้เล่นแรงเกินคาดหลังประกาศส่งรายชื่อ 33 นักลงทุนเข้าข่ายปั่นหุ้นส่ง ก.ล.ต. ด้านผู้บริหารยันแผนเพิ่มทุนยังเดินหน้าต่อ แต่พร้อมปรับเปลี่ยนหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่นักวิเคราะห์สุดคาดเดาราคาเปิด ชี้เป็นไปได้ทั้งทางขึ้นและทางลง แนะจับตารายใหญ่ปรับยุทธ์ศาสตร์ปั่นหุ้นกลุ่มชินฯ เหตุพื้นฐานดี มีสตอรี่ต่อเนื่อง **ตลท. โชว์ผลสอบพบ 33 รายร่วมวงปั่นหุ้น IEC นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สั่งหยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) (IEC) เป็นการชั่วคราว 5 วันทำการ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 16 ถึงวันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2549 เนื่องจากตรวจสอบพบความผิดปกติในการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวที่อาจเข้าข่ายการสร้างราคาหลักทรัพย์นั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลการส่งคำสั่งซื้อขาย โดยส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปยังบริษัทสมาชิกเพื่อรวบรวมข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายของหลักทรัพย์ IEC ในช่วงเวลาตั้งแต่วันจันทร์ที่ 16 จนถึงวันพุธที่ 18 มกราคม 2549 เพื่อให้ได้ข้อมูลการซื้อขายล่าสุดจนถึงวันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2549 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนวันสั่งหยุดพักการซื้อขาย และจากการประมวลผลและวิเคราะห์การซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าว พบว่าได้มีกลุ่มผู้ต้องสงสัยจำนวน 33 ราย มีการซื้อขายในลักษณะผลักดันราคา และจับคู่ซื้อขายกันเอง รวมทั้งมีการทำราคาปิด ซึ่งเข้าข่ายการสร้างราคาหลักทรัพย์ จึงได้นำเสนอข้อเท็จจริงและเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการกฎหมายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านกฎหมาย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม 2549 ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกฎหมายได้พิจารณาข้อเท็จจริงและเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่าสภาพการซื้อขายของหลักทรัพย์ IEC ทั้งในด้านราคาและปริมาณในช่วงที่มีการตรวจสอบมีการเปลี่ยนแปลงผิดปกติและ ไม่สอดคล้องกับสภาพของตลาดโดยรวม อันเป็นผลจากการซื้อขายหลักทรัพย์ของกลุ่มผู้ต้องสงสัยที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน และมีพฤติกรรมร่วมกันในการซื้อขายในลักษณะสร้างราคาหลักทรัพย์ IEC อันเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และเห็นควรให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณาส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ในวันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2549 ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงให้เปิดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ IEC ต่อไปได้ ทั้งนี้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2549 เป็นต้นไป ด้านนายประเวช องอาจสิทธิกุล ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส ก.ล.ต. กล่าวว่า เมื่อ ก.ล.ต. ได้รับเรื่องจาก ตลท. แล้ว ก็จะดำเนินการตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป **วงการแฉแผนลึกหวังสาวไส้ถึงหุ้นเก็งกำไรตัวอื่น ด้านแหล่งข่าวในวงการหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า การเดินเกมของตลาดหลักทรัพย์ในครั้งนี้ถือว่าค่อนข้างรุนแรงและเอาจริง ซึ่งมองว่าตลาดหลักทรัพย์ต้องการที่จะใช้ IEC เป็นตัวนำร่องเพื่อโยงข้อมูลของนักลงทุนที่มีรายชื่อติดโผผู้มีพฤติกรรมปั่นหุ้น ไปสู่หุ้นเก็งกำไรตัวอื่นๆต่อไป ซึ่งจะทำให้หลักฐานการสร้างราคาหุ้น IEC มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น หากพบว่านักลงทุนทั้ง 33 ราย มีความเกี่ยวข้องกับหุ้นเก็งกำไรอีกหลายตัว ส่งผลให้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หุ้นเก็งกำไรหลายตัวต่างถูกแรงขายออกมา เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ หวั่นเกรงว่าหลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์มีรายชื่อคนปั่นหุ้น IEC แล้ว อาจจะโยงมาถึงหุ้นเก็งกำไรตัวอื่นๆด้วย โดยราคาหุ้น TT%T ปิดตลาดวานนี้ที่ 3.64 บาท ลดลง 0.08 บาท JAS ปิดที่ 0.52 บาท ลดลง 0.04 บาท GBX ปิดที่ 3.60 บาท ลดลง 0.16 บาท PICNI ปิดที่ 0.85 บาท ลดลง 0.03 บาท SYNTEC ปิดที่ 0.79 บาท ลดลง 0.06 บาท LOXLEY ปิดที่ 3.28 บาท ลดลง 0.22 บาท และ BNT ปิดที่ 0.74 บาท ราคาไม่เปลี่ยน ซึ่งถือว่าเป็นภาพที่ตรงกันข้ามกับวันก่อนหน้าหรือวันพฤหัส ที่หุ้นเก็งกำไมีการซื้อขายกันอย่างคึกคัก ดังนั้นเชื่อว่า (23 ม.ค.) น่าจะมีแรงขายบรรดาหุ้นเก็งกำไรต่างๆออกมามาก หลังจากเห็นว่าทางการเอาจริงกับการจับปั่นหุ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมของตลาดด้วย อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวอาจเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากตลาดยังจับตาดูในส่วนของการขายหุ้น SHIN ของตระกูลชินวัตร ให้กับสิงคโปร์ หากดีลนี้สำเร็จจะมีเม็ดเงินกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นอีกครั้ง โดยดีลดังกล่าวมีมูลค่ากว่า 8 หมื่นลบ. หลังจากนั้นหากมีการตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้น (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) ก็จะทำให้ทำให้มีเงินก้อนอีกหลายหมื่นล้านไหลกลับเข้าสู่ตลาด และตลาดหุ้นจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ส่วนหุ้นเก็งกำไรคงต้องดูพื้นฐานเป็นหลัก หากบริษัทใดพอที่จะมีพื้นฐานบ้าง ก็อาจผ่อนหนักเป็นเบาได้ แต่หากไร้พื้นฐานมองว่าราคาหุ้นในสัปดาห์นี้จะผันผวนอย่างหนัก และนักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุนในหุ้นเก็งกำไร ขณะที่แหล่งข่าวอีกรายให้ความเห็นว่า การตรวจสอบหุ้น IEC อาจต้องคว้าน้ำเหลว เหมือนเช่นการสอบหุ้นปั่นที่ผ่านมา เพราะการเก็งกำไรประกอบด้วยนักลงทุนหลายกลุ่ม ที่เข้ามาซื้อหุ้นต่อๆกัน ซึ่งคงไม่สามารถโยงใยได้ว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกัน ดังนั้นงานนี้อาจไม่มีอะไรในกอไผ่ก็ได้ **ผู้บริหารยันเดินหน้าเพิ่มทุน นายสุมิท แช่มประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง (IEC) กล่าวกับ eFinancethai.com ว่า คงไม่สามารถประเมินได้ว่าหลังจากเปิดการซื้อขายแล้ว ราคาหุ้น IEC จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด เพราะขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อและขายของนักลงทุน ซึ่งในส่วนของผู้บริหารยืนยันว่าทำดีที่สุดแล้ว และไม่มีความเกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นแต่อย่างใด ทั้งนี้ยืนยันว่าแผนการเพิ่มทุนของ IEC จะยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง ซึ่งหากราคาหุ้นในกระดานปรับตัวลดลง บริษัทก็ต้องปรับเปลี่ยนแผนการขายหุ้นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เงินเพิ่มทุนที่ได้อาจจะลดลง ซึ่งบริษัทก็พร้อมที่จะปรับตัว "ก็ต้องปรับตัว สมมติว่าเรามีแผนที่จะลงทุน 3 อันก็อาจจะต้องเหลือ 2 ก็เป็นไปได้ ก็อยู่ที่ fact เป็นอย่างไรเราก็ทำงานอย่างนั้น ต้องปรับตัวอยู่แล้ว สิ่งแวดล้อมมันเปลี่ยนไป เราก็ต้องปรับตัวให้ได้ บริษัทที่ดีก็ต้องปรับตัวรับกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปให้ได้" นายสุมิทกล่าว **นักวิเคราะห์เสียงแตก มอง IEC ได้ทั้งขึ้น-ลง นายอมเรศ สิงห์ณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล. แอ๊ดคินซัน เปิดเผยว่าราคาหุ้นของบริษัทอินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริงจำกัด(มหาชน) หรือ IEC มีโอกาสปรับลดลงได้เมื่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เปิดให้ซื้อขายตามปกติ ในวันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2549หลังจากที่ขึ้นเครื่อง SPเป็นเวลา 5 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการชี้แจงข้อมูลของตลท. ในกรณีที่ตรวจสอบพบความผิดปกติในการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวที่อาจเข้าข่ายการสร้างราคาหลักทรัพย์ รวมทั้งยังไม่มั่นใจในโครงสร้างการบริหารงานและฐานะทางการที่ไม่แข็งแกร่งอีกด้วยซึ่งคาดว่าปัจจัยดังกล่าวน่าจะส่งผลลบต่อจิตวิทยาการลงทุน ซึ่งทางฝ่ายวิเคราะห์ไม่แนะนำให้เข้าไปลงทุน "แนวรับแนวต้านเราไม่มีเพราะไม่ได้แนะนำให้เข้าไปยุ่งกับหุ้น IEC ซึ่งเปิดตลาดมาวันจันทร์ราคาหุ้นอาจเจอแรงขายทำกำไร เพราะก่อนหน้านั้นราคา IEC ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาตลอด โดยปรับเพิ่มขึ้นมาจากราคา 1 บาท จนกระทั่งถึงราคา 7 บาท แต่ถ้ามาดูในด้านปัจจัยพื้นฐานแล้วไม่ได้รองรับราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นเลย" นายอมเรศ ด้านนายกิตตินาถ นิติพล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น บมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง หรือ IEC ในการเปิดซื้อขายวันที่ 23 ม.ค.49 หลังจากทางตลาดหลักทรัพย์อนุญาตให้เปิดซื้อขายเป็นวันแรกว่า ราคาหุ้นดังกล่าวมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากตามสัญญาณเทคนิคพบว่า ราคา หุ้น IEC ยังอยู่ในเกณฑ์ดีและยังไม่มีสัญญาณขายแต่อย่างใด "ยังไม่สามารถระบุได่ชัดว่าราคาหุ้นวันจันทร์ของ IEC เปิดมาเป็นยังไง แต่ก็น่ามีแรงซื้อเข้ามา และจากที่ดูสัญญาณเทคนิคในช่วงก่อนขึ้น SP สัญญาณก็ยังดีอยู่ และยังไม่มีสัญญาณไหนบ่งชี้ว่าเป็นสัญญาณขายเลย" ทั้งนี้ประเมินแนวรับไว้ที่ 6.70 - 6.50 บาท และประเมินแนวต้านไว้ที่ 7.65 บาท **จับตารายใหญ่ปรับกลยุทธ์ปั่นหุ้นกลุ่มชินฯ แหล่งข่าวยังให้ความเห็นว่า ต่อไปนักลงทุนรายใหญ่อาจจะต้องปรับกลยุทธ์มาเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มชินฯ เพราะส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี และมีสตอรี่ต่อเนื่องให้ติดตาม และราคาหุ้นยังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ตระกูลชินวัตร ตัดสินใจขายหุ้นธุรกิจโทรคมนาคมให้กับสิงคโปร์ ส่งผลให้หุ้นอื่นๆในกลุ่มล้วนเป็นที่จับตามองว่าจะต้องขายออกไป หรือหาพันธมิตรเข้ามาร่วมถือหุ้น อย่างเช่นในกรณีของ ITV ที่ล่าสุด นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม หรือ อากู๋ แกรมมี่ ที่ยอมรับว่ามีความสนใจที่จะซื้อหุ้น ITV เพื่อการเป็นสื่อครบวงจร เพราะไม่ต้องเสียเวลาในการหาบุคคลากร หรือขอไลเซ่นส์ใหม่ ในขณะที่ผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ฟันธงว่า SC ที่กลุ่มชินฯประกาศจะใช้เป็นเรือธงรุกธุรกิจอสังหาฯ จะเป็นหนึ่งในบริษัทที่ต้องมีผู้ร่วมทุนสิงคโปร์ในอนาคต เพื่อขยายฐานทุน ประกอบกับผู้ถือหุ้นคือตระกูลชินวัตรมีความคุ้นเคยกับนักลงทุนสิงคโปร์เป็นอย่างดี และอีกเหตุผลหนึ่งคือการเล่นหุ้นในกลุ่มชินฯ อาจจะไม่ถูกตรวจสอบจากตลาดหลักทรัพย์ ที่มา efinancthai.com จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:31:38 ]

ความคิดเห็นที่ 7 พักเบรคสักนิด คลายเครียดครับ คืนนี้อย่าลืมดูวันแดงเดือดล่ะครับ ผมแฟนผี 55555 จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:33:25 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เส้นทางรวย...'ชินวัตร' ก่อนขาย 'เทมาเซค' ตามรอย 'เส้นทางรวย' ครอบครัวชินวัตร 14 ปี (2535-2548) กวาดเงินสดปันผล เฉียด 1 หมื่นล้านบาท เฉพาะช่วงปี 2538-ต้นปี 2542 'นายกฯทักษิณ-คุณหญิง' รับเงินขายหุ้น 'SHIN-ADVANC' ไปกว่า 2.5 พันล้านบาท.. พบหลังปี 2542 โอนหุ้นไปฝากไว้กับ 'คัสโตรเดียน' เครือข่าย 'เทมาเซค โฮลดิ้ง' ที่สิงคโปร์ คือ จุดเริ่มธุรกรรม 'หลบเลี่ยง' สายตา-คนไทย นับตั้งแต่ 'พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร' และ 'คุณหญิงพจมาน ชินวัตร' ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์อำนาจทางการเมือง ในตำแหน่ง 'นายกรัฐมนตรี' ของประเทศไทย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ความมั่งคั่งของครอบครัวชินวัตร เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล...ใช้อีกกี่ชาติก็ไม่หมด ในปี 2547 'ครอบครัวชินวัตร' รับเงินปันผลจากหุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น (SHIN) เพียงปีเดียว 2,975 ล้านบาท เฉลี่ยวันละ 8.15 ล้านบาท หรือ เฉลี่ยชั่วโมงละ 3.4 แสนบาท เพียงครึ่งปีแรก 2548 'ครอบครัวนายกฯ' รับเงินปันผลหุ้น SHIN ไปอีก 1,859 ล้านบาท ยังไม่นับรวมผลประโยชน์ จากการลงทุนต่อเนื่องอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน คงไม่มีคนไทยคนไหนที่ 'ใช้ 3 ส่วน..ออม 1 ส่วน' แล้วจะมีเงินมากมายขนาดนี้แน่ ตำนานความมั่งคั่งอย่างรวดเร็วของ 'ครอบครัวนายกรัฐมาตรี' แท้จริงแล้วไม่ได้มาจากการ 'เก็บออม' แต่อย่างใด แต่มาจากนโยบาย 'ประชานิยมแบบสุดขั้ว' นั่นคือ นโยบายส่งเสริมให้ 'ชนชั้นกลาง-ล่าง' ใช้จ่ายเงิน โดยการ 'ยืมเงินอนาคต' มาใช้ก่อน ...ด้วยวิธีการ 'กู้หนี้-ยืมสิน-บริโภคก่อน-จ่ายทีหลัง' ตั้งแต่ปี 2544-ไตรมาส 3 ปี 2548 ช่วงที่ 'พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน ชินวัตร' ครองอำนาจสูงสุดทางการเมือง ปรากฏว่าเป็นช่วงที่ 'ชิน คอร์ปอเรชั่น' (SHIN) ทำกำไรสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์รวมกันกว่า 32,951 ล้านบาท และจ่ายเงินปันผลกลับคืนให้กับ ครอบครัวชินวัตร เป็นเม็ดเงิน (สด) สูงถึง 8,033 ล้านบาท หรือเท่ากับ 25% ของกำไรสุทธิทั้งหมดที่ 'ชินคอร์ป' ทำได้ในช่วง 5 ปี ผ่านการเป็นลูกค้า 'โทรศัพท์มือถือ', 'สถานีโทรทัศน์', 'บริการเงินด่วน', 'สายการบินราคาประหยัด' และ 'บริการเช่าช่องสัญญาณดาวเทียม' เมื่อเปรียบเทียบความมั่งคั่งของครอบครัวชินวัตร เมื่อต้นปี 2544 ความมั่งคั่งของครอบครัวชินวัตร เมื่อ 5 ปีที่แล้ว อยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ปัจจุบัน ครอบครัวชินวัตร ยังถือหุ้น SHIN เท่าเดิม จำนวน 1,487.74 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท) แต่นับจากวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศ หุ้น SHIN เพิ่มขึ้นจาก 20 บาท มาอยู่ที่ 47 บาท ทำให้ครอบครัวชินวัตร รวยขึ้นเป็น 7 หมื่นล้านบาท-รวยเพิ่มขึ้น 133% เป็นครั้งแรกที่ ตามแกะรอย 'เส้นทางรวย' ของ ครอบครัวชินวัตร ย้อนกลับไปนานถึง 14 ปี (2535-2548) ปรากฏข้อมูลที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า... ครอบครัวชินวัตร กวาดเงิน (สด) ปันผล ออกไปแล้วรวมกัน 9,994 ล้านบาท ผ่านการถือครองหุ้น 'ชินคอร์ป' เพียงตัวเดียว โดยเงินปันผล (ส่วนใหญ่) จำนวน 8,033 ล้านบาท เกิดขึ้นในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังพบด้วยว่าในระหว่างปี 2538-ต้นปี 2542 นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ได้ขายหุ้น SHIN-ADVANC-SATTEL-UCOM ทั้ง 4 บริษัทออกไปรวมเป็นเม็ดเงินสูงถึง 2,514 ล้านบาท (ยังไม่นับรวมการขายหุ้น และ เทรดหุ้น SHIN-ADVANC ระหว่างปี 2535-2541 ผ่าน 'นอมินี' คนใกล้ชิด อาทิ นายบุญชู เหรียญประดับ, นายชัยรัตน์ เชียงพฤกษ์, นางสาวดวงตา วงศ์ภักดี, นายวิชัย ช่างเหล็ก, นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และบริษัท เวิร์ธ ซัพพลายส์) น่าสนใจอย่างยิ่งว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มักจะเลือกจังหวะการขายหุ้นได้ 'ราคาดี-สุดยอด' อยู่เสมอ เห็นได้จากการขายหุ้น SHIN ในพอร์ตของตัวเอง เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2538 จำนวน 2 ล้านหุ้น ได้ราคา 'สูงปี๊ด' สูงถึงหุ้นละ 624 บาท (พาร์ 10 บาท) เป็นเงิน 1,248 ล้านบาท เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ตัดสินใจ ขายหุ้นธุรกิจเคเบิลทีวี บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น (IBC) ให้กับกลุ่มซีพี ช่วงที่กิจการเคเบิล กำลังอยู่ในวงจร 'ขาลง' พอดี ซึ่งการขายหุ้นครั้งนั้น ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกพูดถึงมาตลอดว่า 'นายแน่มาก' และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน นักวิเคราะห์หลายโบรกฯ มองในมุมเดียวกันว่า ธุรกิจในเครือชินคอร์ป ได้เดินทางมาถึงจุดสูงสุดของวงจรแล้ว น่าจะเป็นเหตุผลที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เลือก 'ทางถอย' ในจังหวะที่ตัวเองยังมีอำนาจในการต่อรองล้นเหลือ และสอดคล้องกับจังหวะ 'หาทางลง' ให้กับความไม่แน่นอนทางการเมือง-ของตัวเอง 'นายกฯคนนี้มืออาชีพ เขาไม่ได้เพิ่งมาคุยเรื่องการขายหุ้น SHIN ให้กับสิงคโปร์ (เทมาเซค) จริงๆ แล้ว 'บุญคลี' (ปลั่งศิริ) เขาคุยเรื่องนี้มาตลอด ก่อนที่ 'สนธิ' (ลิ้มทองกุล) จะออกมาเคลื่อนไหวเสียอีก' ผู้สังเกตการณ์รายหนึ่ง เล่าต่อว่า ครอบครัวชินวัตรเริ่มแสดงความเป็นมืออาชีพ 'ระดับอินเตอร์' ตั้งแต่ได้ 'บุญคลี ปลั่งศิริ' เข้ามานั่งในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร 'ชินคอร์ป' ครั้งนั้นเริ่มเห็นการ 'โอนหุ้น' ของครอบครัวชินวัตร ออกไปพักไว้ในต่างประเทศ ซึ่งธุรกรรมส่วนใหญ่เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2542 เรื่อยมาตลอด และทำผ่านประเทศสิงคโปร์ เป็นหลัก ส่วน 'สิงคโปร์ เทเลคอม' (สิงเทล) ก็ไม่ได้เพิ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวชินวัตร ตอนที่เข้ามาซื้อหุ้น ADVANC เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2542 จริงๆ แล้ว สิงเทล เข้ามาลงทุนหุ้น SHIN ก่อน ประมาณ 10% ตั้งแต่ต้นปี 2536...'เขาเริ่มรู้จักกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว' ความเป็น 'อินเตอร์' ของ 'บุญคลี' เห็นชัดช่วงที่ 'สิงเทล' เข้ามาซื้อหุ้น ADVANC เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2542 จำนวน 50.30 ล้านหุ้น สัดส่วน 18.63% ในราคาหุ้นละ 230 บาท (มูลค่ารวม 11,569 ล้านบาท) หุ้นในส่วนของผู้ถือหุ้นเดิมที่ขายให้กับ สิงเทล ส่วนหนึ่งเป็นการโอนมาจาก บริษัท เช็งนิงตัน อินเวสเม้นส์ ที่ 'ชินคอร์ป' ไปจดทะเบียนไว้ที่ เกาะบริติช เวอร์จิ้น เวลาซื้อ-ขาย ก็เท่ากับเป็นการทำธุรกรรมกันนอกประเทศไทย 'ยุคนั้น บุญคลี กำลังวางแผนขยายการลงทุนไปต่างประเทศ ทำให้เขาเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้' หลังจากดีล 'สิงเทล' ซื้อหุ้น ADVANC จบ ต่อมาในวันที่ 11 มิถุนายน 2542 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ใช้วิธีคล้ายกัน คือ โอนหุ้น SHIN ในพอร์ตของตัวเอง จำนวน 32.92 ล้านหุ้น (พาร์ 10 บาท) สัดส่วน 11.87% ไปไว้ในบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ที่ประเทศสิงคโปร์ ในชื่อ 'Ample Rich Investment' (พ.ต.ท.ทักษิณ ถือหุ้น 100%) ตั้งอยู่เลขที่ 185A โกลด์ฮิลล์ เซ็นเตอร์ ถนน ทอมสัน 51 ประเทศสิงคโปร์ ที่ซับซ้อนขึ้นไปอีก ก็คือ แรกๆ Ample Rich จะถือหุ้น SHIN โดยตรง ช่วงหลังก็มีการแตกหุ้นออกเป็น 2 ส่วน คือ ถือในนาม Ample Rich จำนวน 229.20 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท) อีก 100 ล้านหุ้นก็เอาไปฝากไว้กับ 'UBS AG' สาขาสิงคโปร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็น 'คัสโตรเดียน' (ผู้ถือหุ้นแทน) 'หุ้นจำนวน 100 ล้านหุ้น ที่ฝากไว้กับ 'คัสโตรเดียน' นี่แหละ!! ที่มีการเคลื่อนไหวเอามาซื้อ-ขายหมุนเวียนในกระดานต่างประเทศ มองผ่านรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่จะมองไม่เห็น เพราะมีชื่อ 'UBS AG' กันเอาไว้แล้วชั้นหนึ่ง มาช่วงหลังโอนหุ้น SHIN ไปฝาก 'คัสโตรเดียน' ทั้ง 2 ก้อนเลย โดยก้อนแรกจำนวน 229.20 ล้านหุ้น ถือผ่าน UBS AG Singapore,Branch-PB Securities Client Custody อีกจำนวน 100 ล้านหุ้น ฝากไว้ในชื่อ UBS AG, Singapore Branch หุ้นพวกนี้จะเป็นตัวทำเงินอยู่นอกประเทศ' ที่น่าสังเกตอีก ก็คือ ทั้ง 'UBS AG Singapore' และ 'สิงคโปร์ เทเลคอม' (สิงเทล) ก็เป็นบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่โดย 'เทมาเซค โฮลดิ้ง' (กองทุนของรัฐบาลสิงคโปร์) ถัดมาในวันที่ 1 กันยายน 2543 ก่อนที่พรรคไทยรักไทยจะชนะการเลือกตั้งครั้งใหญ่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2544 (ยุครัฐบาลทักษิณ 1) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็โอนหุ้นส่วนที่เหลืออีก 'ครึ่งหนึ่ง' จำนวน 32.92 ล้านหุ้น (พาร์ 10 บาท) สัดส่วน 11.21% ไปให้กับ 'น้องสาว' คนสุดท้อง 'นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' จำนวน 2 ล้านหุ้น และอีก 30.92 ล้านหุ้น สัดส่วน 10.53% โอนไปให้กับ 'บุตรชาย' หัวแก้วหัวแหวน 'นายพานทองแท้ ชินวัตร' ช่วงเวลาเดียวกัน คือ 1 กันยายน 2543 คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ก็โอนหุ้นทั้งหมดจำนวน 69.30 ล้านหุ้น (พาร์10 บาท) สัดส่วน 23.59% ไปฝากไว้กับ 'พี่ชาย' นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ จำนวน 26.82 ล้านหุ้น สัดส่วน 9.13% และไปไว้ในชื่อ 'บุตรชาย' นายพานทองแท้ ชินวัตร อีก 42.47 ล้านหุ้น สัดส่วน 14.46% นี่คือการจัดสรรผลประโยชน์ครั้งสุดท้าย ก่อนวางมือลงสู่สนามทางการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้คำถาม ที่อื้ออึงมาตลอดว่า การโอนหุ้นให้ 'พี่ชาย-บุตรชาย' ทำไม! กรมสรรพากรไม่เรียกเก็บภาษี หลังจากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อ ป.ป.ช.ในช่วงพ้นจากตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ หลังจาก 'โอนทรัพย์สิน' ส่วนใหญ่ไปไว้ในชื่อบุตรชาย-บุตรสาว ว่า มีทรัพย์สินทั้งหมด 575.69 ล้านบาท โดยไม่มีหนี้สิน ส่วนคุณหญิงพจมาน ภริยา มีทรัพย์สินทั้งหมด 9,756.29 ล้านบาท มีหนี้สิน 110.10 ล้านบาท รวมมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 9,646.19 ล้านบาท ก่อนหน้านั้น คุณหญิงพจมาน ก็ยังชนะการประมูลที่ดินแปลงใหญ่ใจกลางเมือง จำนวน 33 ไร่ 79 ตารางวา ด้านหลังศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เยื้องสถานทูตเกาหลี ในราคา 772 ล้านบาท ยังไม่นับรวมที่ดิน 108 แปลง มูลค่า 387.76 ล้านบาท และบ้านอีก 4 หลัง มูลค่า 324 ล้านบาท เป็นทรัพย์สินที่อยู่ในรูป อสังหาริมทรัพย์ ในปี 2543 ช่วงที่ 'พรรคไทยรักไทย' กำลังเดินแผนสร้างคะแนนเสียงจากประชาชน ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 ช่วงนั้น คุณหญิงพจมาน ชินวัตร บริจาคเงินสนับสนุนพรรคมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ สูงถึง 240 ล้านบาท และบริจาคเพิ่มขึ้นอีก 120 ล้านบาทในปี 2544 เพื่อสร้างฐานบารมีให้กับ 'สามี' เข้าบริหารประเทศในฐานะ 'นายกรัฐมนตรี' นั่นคือจุดเริ่มต้นของ 'ตำนานความมั่งคั่ง' อย่างก้าวกระโดด ของครอบครัวชินวัตร ในยุคที่ 2 ยุคแห่งการเติบโต ยุคแห่งการล่าอาณานิคมทางธุรกิจ ภายใต้การนำธงของ 'กุนซือ' ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ชื่อ 'บุญคลี ปลั่งศิริ' ผู้เป็นทั้ง 'ผู้จุดคบไฟ' แห่งความรุ่งโรจน์ และเขากำลังจะ 'ปิดตำนาน..ชินวัตร' ภายหลังเซ็นสัญญาส่งไม้ต่อ ให้กับ 'กองทุนนักล่า' ที่มีรัฐบาลสิงคโปร์อยู่เบื้องหลัง จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:33:48 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ถอดเคล็ดวิชา "IEC" เพิ่มทุน "อุ้มราคา" ค้นปม "หุ้นร้อน IEC" พบเครือข่าย พายัพ ชินวัตร และ โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ เข้าถือหุ้น "ดักราคา" ล่วงหน้า ส่วนคนตระกูลดัง ศรีวิกรม์, ล่ำซำ, กรรณสูต, กลุ่มผู้บริหาร PLE และ ผู้บริหารบ้านปู ก็มากันครบ ขณะที่ "บี เตชะอุบล" ทยอยทิ้ง แต่ผู้บริหารบอกให้มองอนาคตเป็นหุ้นเทิร์นอะราวนด์ แผนปิดประตู "ตีแมว" ของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยการแขวนป้ายห้ามการซื้อขาย หุ้น อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง (ไออีซี) เป็นเวลา 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 16-20 มกราคม 2548 ทำให้ "ก๊วนขาใหญ่" ต่างอลหม่าน เพราะกลัวว่าตัวเองจะติดร่างแห เพราะดูแล้วงานนี้ "ตลท." และ "ก.ล.ต." มีท่าทาง "เอาจริง" กว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา และมีกระแสข่าวว่า "ก๊วนเสี่ย ส." ยุคปี 2535 ก็ส่ง "นอมินี" (ตัวแทน) ร่วมวงรวมอยู่ด้วย โดยมี "กรรมการ" และ ผู้ถือหุ้นใหญ่นามสกุลเดียวกันคนหนึ่ง เคยร่วมทำธุรกิจกับ "เสี่ย ส." มาก่อน ขณะนี้ ตลท.สอบพบแล้วว่า หุ้น "ไออีซี" เทรดกระจุกตัวผ่าน 7 โบรกเกอร์ มีผู้เกี่ยวข้องประมาณ 30 ราย มีพฤติกรรมโยนหุ้นสร้างราคา และเกี่ยวข้องกับ นักเล่นหุ้น "ก๊วน PICNI" และ "ก๊วน ASL-W4" ซึ่งนักเล่นหุ้นจะรู้ดีว่าเป็นใคร..? ที่น่าสนใจ ก็คือ ก่อนหน้านี้ IEC มีการเพิ่มทุนขายให้กับนักลงทุนเฉพาะกลุ่ม มาแล้วหลายครั้ง และดันราคาพุ่งสูงขึ้นทุกครั้ง จากโครงสร้างผู้ถือหุ้น "ไออีซี" ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 ปรากฏรายชื่อ "บี เตะชะอุบล" ทายาทของกลุ่มผู้ก่อตั้ง "บมจ. คันทรี่ (ประเทศไทย)" ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น "บมจ. เอเวอร์แลนด์ (EVER)" เขาเป็นทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่ และเป็นกรรมการใน IEC "บี" ได้รับจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 80 ล้านหุ้น ที่ต้นทุน 1.10 บาท ที่ผ่านมา เขาได้ทยอยขายทำกำไรออกไปแล้ว 25 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 4.18 ล้านบาท รับเงินไปแล้วทั้งสิ้น 104.45 ล้านบาท "บี" ให้เหตุผลการขายหุ้นว่า ต้องการถอนเอาต้นทุนคืน แต่ถึงอย่างไร ตัวเองก็ยังเหลือหุ้น IEC อยู่อีกมาก และต้องการถือระยะยาว นอกจากนี้ก็ยังมี "กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่" บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง (PLE) ก็ร่วมวงถือหุ้น ไออีซี กันถ้วนหน้า เริ่มตั้งแต่ "พวงพันธุ์ บูลภักดิ์", "ผุสดี นาคอินทร์" ญาติผู้บริหาร เพาเวอร์ไลน์ "เสวก ศรีสุชาต" และ "อำนวย กาญจโนภาศ" 2 ผู้ก่อตั้ง เพาเวอร์ไลน์ พร้อมบุตรชาย "เมธัส ศรีสุชาต" รวมทั้ง "พูลสวัสดิ์ ศรีภัทรานุสรณ์" เหล่านี้ คือ กลุ่มเพาเวอร์ไลน์ที่เข้าไปกว้านซื้อหุ้น IEC เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อดักหน้าข่าวดีเป็นกลุ่มแรกๆ กลุ่มต่อมาเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้น บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (BNT) ซึ่งหลายคนถูกมองว่าเป็นกลุ่มเดียวกันกับ "พายัพ ชินวัตร" อาทิ "โยคิน เจริญสุข" และ "ชนะชัย ลีนะบรรจง" รวมไปถึง "สุนีย์ ศรไชยธนะสุข" กรรมการบริษัท อีเอ็มซี "อภินันท์ ปัญญากร" และ "สุพจน์ ทรงสวัสดิ์ชัย" ทั้ง 2 คนเป็น กรรมการใน BNT แต่เข้าไปเก็บหุ้น IEC ก่อนที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นแรง รวมทั้งยังปรากฏรายชื่อ "สุวิมล ทองกร" เข้าไปถือหุ้น IEC ซึ่งทราบกันดีว่า "สุวิมล" แท้จริงแล้วมีฐานะเป็นเพียงพนักงานในบริษัทของ "โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ" จากนั้นยังมีกลุ่ม "นวลพรรณ ล่ำซ่ำ" กรรมการผู้จัดการ บริษัทเมืองไทยประกันภัย เข้าถือหุ้นด้วยจำนวน 13.25 ล้านหุ้น ควงคู่มากับ "บุศรา อุไรกุล" รองกรรมการผู้จัดการเมืองไทยประกันชีวิต ที่ถือหุ้น IEC 8 ล้านหุ้น ด้าน "วรัตถ์ ซุยวัฒนา" ก็เป็นผู้ถือหุ้นใน APURE ถือหุ้น ไออีซี จำนวน 18 ล้านหุ้น สำรวจต่อไปอีกก็พบว่ายังมีตระกูลดังร่วมถือหุ้น IEC จำนวนมาก เช่น "กลุ่มศรีวิกรม์" ร่วมถือหุ้นจำนวน 37 ล้านหุ้น ผ่านบุตรชาย "วิกร ศรีวิกรม์" และผู้นำกลุ่ม "เฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์" อีกทั้ง "ม.ล.ศานติดิศ ดิศกุล" และ "ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล" ร่วมถือหุ้นอยู่ด้วย รวมทั้ง "อายุพล กรรณสูต" และ "องอาจ เอื้ออภิญญกุล" เจ้าหน้าที่บริหารบริษัทบ้านปู ก็เข้าไปเก็บหุ้น IEC ดักหน้าข่าวดีเช่นเดียวกัน เป็นที่น่าสังเกตว่า การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น ไออีซี นั้น วิ่งไปควบคู่กับ "การเพิ่มทุน" ของบริษัทมาตลอด ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทประกาศเพิ่มทุนเฉพาะกลุ่มถึง 4 ครั้งด้วยกัน โดยเพิ่มทุนครั้งแรกที่ราคา 1.10 บาท เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2548 จำนวน 220 ล้านหุ้น ให้กับนักลงทุน 5 ราย ครั้งที่ 2 จำนวน 130 หุ้นที่ราคา 1.11 บาท เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2548 ให้กับนักลงทุน 8 ราย ก่อนที่จะประกาศเพิ่มทุนครั้งที่ 3 ในวันที่ 23 ธันวาคม 2548 จำนวน 135.25 ล้านหุ้น ให้กับนักลงทุน 8 ราย ที่ราคา 4.14 บาท และล่าสุดวันที่ 11 มกราคม 2549 เพิ่มทุนครั้งที่ 4 จำนวน 36.04 ล้านหุ้น ในราคา 5.05 บาท เพื่อขายให้กับ Nezu Asia Limited กองทุน Hedge Fund จาก ฮ่องกง และ "นพพร เทพสิทธา" รองประธานอาวุโสการจัดส่ง และส่งออก บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง ผู้เชี่ยวชาญในตลาดหุ้น ให้มุมมองไว้อย่างน่าสนใจ ถึงแนวทางการเพิ่มทุนของ ไออีซี ว่า ก่อนเพิ่มทุนมักจะมีข่าวลือถึงเป้าหมายราคาที่จะเพิ่มทุน ซึ่งข่าวการเพิ่มทุนในราคาที่สูงกว่าราคาในกระดาน จะช่วยกระตุ้นราคาหุ้นขึ้นมาได้ง่าย กระทั่งราคาหุ้นวิ่งไปถึงระดับหนึ่ง ก็จะมีมติ เพิ่มทุนเฉพาะเจาะจง ออกมาในราคาที่ต่ำกว่าตลาด ซึ่งจุดนี้เป็นการสร้างความอุ่นใจให้ผู้ที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุน มั่นใจว่าจะมีกำไร และกล้าที่จะเข้ามาซื้อหุ้นได้ นับเป็นวิธีที่ทำให้บริษัทสามารถเพิ่มทุนได้อย่างต่อเนื่อง ด้าน "สุมิท แช่มประสิทธิ์" ประธานคณะกรรมการบริหาร ไออีซี ชี้แจงว่า ราคาขายหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทตามที่กำหนดไว้ จะต้องไม่ต่ำกว่า 3 บาท แต่การกำหนดราคาที่แท้จริงจะใช้ราคาซื้อขายในตลาดเฉลี่ย 15 วันทำการ การเพิ่มทุนที่ผ่านมาเฉลี่ยได้ 4.14 บาท แต่ล็อตหลังสุดนี้เฉลี่ยราคาได้ที่ 5.05 บาท ขณะนี้บริษัทยังคงเหลือหุ้นเพิ่มทุน อยู่อีกจำนวน 613.26 ล้านหุ้น "สุมิท" กล่าวถึงแผนการเติบโตของบริษัทว่า โครงสร้างรายได้หลักของบริษัทจะเปลี่ยนไปหลังจากที่ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ จากนี้ไปจะมีการแบ่งธุรกิจเป็น 4 สาย ประกอบด้วย ธุรกิจโทรศัพท์, ธุรกิจวิศวกรรม, ไอที และ การลงทุน จากเดิมบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโทรศัพท์ถึง 95% อย่างไรก็ตามธุรกิจโทรศัพท์ ยังคงเป็นแกนนำ แม้ว่าจะมีมาร์จินน้อยก็ตาม แต่การเติบโต ก็ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในแถบต่างจังหวัด ในส่วนของการลงทุน นั้น บริษัทยังจะเน้นการเข้าร่วมทุนในบริษัทเทคโนโลยี ที่มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และจะมีผลทำให้บริษัทได้ผลตอบแทนจากการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยที่ผ่านมาได้อนุมัติเข้าซื้อหุ้นในบริษัท แอพพลิเคชั่น โฮสติ้ง เซอร์วิส จำกัด (A-HOST) ในสัดส่วน 49% ของทุนจดทะเบียน จากบริษัท เมโทร ซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชั่น ในราคาหุ้นละ 1,700 บาท คิดเป็นมูลค่าหุ้นรวมทั้งสิ้น 91.63 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเข้าไปร่วมลงทุนในธุรกิจพลังงานประเภทโรงไฟฟ้า และธุรกิจโลจิสติกส์เพิ่ม เชื่อว่าจะเป็นช่องทางสร้างรายได้เพิ่มในอนาคต ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา และเจรจากับผู้ร่วมทุนประมาณ 4-5 ราย คาดว่าจะสรุปผลได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งนี้ ในปี 2549 บริษัทคาดว่ามีโอกาสจะพลิกฟื้นจากขาดทุนกลับมาทำกำไรสุทธิประมาณ 80 ล้านบาท จากยอดขายที่คาดว่าจะสูงถึง 6.2 พันล้านบาท ทั้งนี้จะสามารถจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้สำหรับผลประกอบการงวดปี 2549 (รับปันผลปี 2550) ภายหลังจากขออนุมัติผู้ถือหุ้นโอนส่วนเกินมูลค่าหุ้นบางส่วนมาชดเชยกับผลขาดทุนสะสมของบริษัท จำนวน 624 ล้านบาท โดยคณะกรรมการบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผล 40-50% ของกำไรสุทธิ ซึ่งปัจจุบันมีส่วนเกินมูลค่าหุ้นเหลืออยู่ 492 ล้านบาท หากนำตัวเลขที่ผู้บริหารคาดการณ์กำไรในปี 2549 ที่ 80 ล้านบาท มาเทียบกับขนาดมาร์เก็ตแคปในขณะนี้ที่ 10,761 ล้านบาท ถ้าคิดจะลงทุนในหุ้น IEC จะได้รับผลตอบแทนที่ต่ำมากเพียงแค่ 0.74% (ต่อปี) ซึ่งไม่คุ้มค่าการลงทุน ท่ามกลางผลกำไรในอนาคตที่ยังต้องรอพิสูจน์ สำหรับผลการดำเนินงานของปี 2548 นั้น "ศรายุทธ กอุพาณิชานนท์" รักษาการกรรมการผู้อำนวยการบริษัท คาดว่า จะขาดทุน 231 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2547 ที่ขาดทุน 94 ล้านบาท แต่ทั้งนี้เกิดจากการที่บริษัทตั้งสำรองการด้อยค่า และความเสียหายไว้สูงมากถึง 233 ล้านบาท หากจะนับเฉพาะผลการดำเนินงานบริษัทจะได้กำไร 2 ล้านบาท "ส่วนเรื่องราคาหุ้นที่สูงเป็นเรื่องของนักลงทุน แต่คุณต้องมองว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่เทิร์นอะราวนด์ ตอนนี้เราแข็งแรงแล้ว และคนเชื่อในอนาคต นี่คือ การลงทุนเพื่ออนาคต ราคาหุ้นเกิดจาก ดีมานด์-ซัพพลาย" สุมิท แช่มประสิทธิ์ ให้เหตุผลเกี่ยวกับราคาหุ้นที่สูงผิดปกติ คำถามที่นักลงทุนต้องตัดสินใจ ก็คือ...นี่เป็นการขายอนาคตในราคาที่สูง เพื่อสร้างผลกำไรให้กับผู้ที่เข้ามาลงทุนก่อน (ในราคาถูก) หรือไม่ จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:34:10 ]

ความคิดเห็นที่ 10 GBX ทำนบ "แตก" ฉากสุดท้าย คือ "โศกนาฏกรรม โกลเบล็ก" มนต์เสื่อมขายอนาคตไม่ออก บริษัทยอมรับสภาพเลิกออก "วอร์แรนท์" ฟากการลงทุนหุ้นไอพีโอ ก็ต้องพบกับภาวะขาดทุน มีสัญญาณเกิดปัญหาขัดแย้งภายใน สู่ที่มา "ปล่อยข่าว..ทุบหุ้น" ผนวก "เจ้าของ" ทิ้งเอง สุดท้ายหนีไม่พ้นสัจธรรม "สูงสุด-สู่สามัญ" สภาพของ บมจ. โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ (GBX) วันนี้ไม่ต่างอะไรจากการถูกกระแสน้ำเชี่ยวพังทำนบ "ราคาหุ้น" ที่เคยอั้นไว้ในระดับสูง 6-8 บาทให้ดิ่งพสุธา..อย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่เกมการออก "วอร์แรนท์ฟรี" ให้ผู้ถือหุ้นเดิม ถูกสกัดจาก คณะกรรมการ ก.ล.ต. ขณะเดียวกันก็มีกระแสข่าวคราว "หนี้เสีย" ของโกลเบล็กที่เกิดขึ้นมาเป็นระยะๆ กระแสข่าวแจ้งว่า เรื่องนี้ทำให้กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายที่ร่วมพยุงราคาหุ้น GBX มานานต้องการทิ้งหุ้น ประกอบกับมีข่าวลือสะพัดทั่วห้องค้าว่า โกลเบล็ก ถูกสอบเรื่องหุ้นไออีซี เพราะเป็น 1 ใน 7 รายชื่อโบรกที่มีการซื้อ-ขายหุ้น IEC กระจุกตัวมากที่สุด จากนั้นก็มีข่าวลือว่าลูกค้าหาดใหญ่เบี้ยวหนี้ 500 ล้านบาท นำไปสู่การถูกสั่งปิดบริษัทเป็นการชั่วคราว พ่วงกับเรื่องความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารกับผู้ถือหุ้น วันเดียวกันนั้นเอง โกลเบล็ก ยังแจ้งว่า "ภูมิพงษ์ คูหาเปรมกิจ" อดีตผู้บริหารและทายาท "โอฬาร คูหาเปรมกิจ" ประธานกรรมการบริษัท ขายหุ้นออกจากพอร์ต 10 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.93% ผ่านตลาดหุ้น ในวันที่ 13 มกราคม 2549 ทำให้เรื่องทั้งหมดถูกเชื่อมโยงว่า ถึงเวลาที่ กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ "ตระกูลคูหาเปรมกิจ" จะโบกมือจาก "โกลเบล็ก" แล้ว ยิ่งกระตุ้นให้เกิดแรงขายหุ้นออกมาอย่างหนัก จากราคาเปิดตลาดวันที่ 16 มกราคม 2549 หุ้นโกลเบล็กอยู่ที่ 6 บาท ปิดตลาด ณ วันที่ 18 มกราคม 2549 ราคาปรับลงมาที่ 3.24 บาท คิดเป็นการปรับลดลงถึง 46% ต่ำสุดในรอบ 2 ปี ณัฐวุฒิ เขมะโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ กล่าวถึงสถานการณ์ของบริษัท ว่า ราคาหุ้นที่ร่วงลงมานั้น เกิดมาจากข่าวลือทั้งสิ้น โดยเฉพาะผลกระทบของหุ้น ไออีซี ที่ทำให้ บล.โกลเบล็ก มีหนี้เสียที่หาดใหญ่กว่า 500 ล้านบาท ซึ่งในความจริงแล้วข่าวดังกล่าวแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะวอลุ่มเทรดของ บล.โกลเบล็ก ที่หาดใหญ่ต่อวันไม่ถึง 100 ล้านบาท ขณะที่ผลกระทบเรื่องการปั่นหุ้นไออีซี นั้น ต้องบอกว่า บล.โกลเบล็ก มีมาร์เก็ตแชร์ของการซื้อขายหุ้น IEC ไม่มาก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำราคาหุ้น และเมื่อข่าวดังกล่าวมาผสมกับการแจ้งขายหุ้นของ "ภูมิพงษ์ คูหาเปรมกิจ" ก็ทำให้เรื่องข่าวลือต่างๆ ดูมีน้ำหนัก สำหรับเหตุผลที่ ภูมิพงษ์ ขายหุ้นออกมานั้น ณัฐวุฒิ บอกว่า ตรงนี้ไม่ทราบ เนื่องจากไม่ได้พบกันเป็นเวลาพอสมควร มาทราบอีกที ก็คือ ขายไปแล้ว แต่การขายครั้งนี้นับว่าเป็นจำนวนที่ไม่มาก เมื่อเทียบกับพอร์ตที่ถือไว้ ดังนั้นจึงไม่ใช่การขาย "ทิ้งบริษัท" อย่างแน่นอน เชื่อว่าการขายหุ้นของ ภูมิพงษ์ นั้นเป็นเรื่องของการทำกำไร และต้องการสภาพคล่องมากกว่า "ผมยืนยันว่าธุรกิจของโกลเบล็กยังเป็นธุรกิจที่มีอนาคต โดยเฉพาะธุรกิจหลักทรัพย์ ผมว่าข่าวลือที่เกิดขึ้นมันไม่แฟร์กับเรา ราคาหุ้นที่ปรับลดลงนั้น เชื่อว่าอาจจะมาจากผู้ที่ถือหุ้นใหญ่บางคนที่เข้าไปเล่นเก็งกำไรเรื่องการออกวอร์แรนท์ เมื่อไม่ได้ก็เทขาย ....จริงแล้วคุณลองดูเทคนิค ดูสัญญาณหุ้นเราขึ้นมาไม่ได้เยอะเทียบกับหุ้นหลักทรัพย์ตัวอื่นที่ขึ้น ดูกราฟได้เลยช่วงที่ผ่านมาหุ้นโกลเบล็กขึ้นไปนิดเดียว" ณัฐวุฒิ ยังกล่าวยืนยันว่า กลุ่มของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไม่ได้มีการแตกคอกันอย่างแน่นอน และขณะนี้ก็กำลังจะหาพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามา เพื่อให้บริษัทมีสัดส่วนลูกค้าสถาบันให้มากขึ้น จากที่ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าสถาบัน และต่างประเทศเพียง 10% ที่เหลือคือรายย่อย โดยลักษณะการเข้ามาของพันธมิตรนั้น อาจเป็นไปได้ทั้ง "สัญญาการร่วมมือทางธุรกิจ" หรือ "การเข้าถือหุ้นร่วมกัน" นอกจากประเด็นข้างต้นแล้ว สิ่งที่ทำให้มนต์ขลังของ "โกลเบล็ก" ค่อยๆ เสื่อมลงไปนั้นก็คือ นโยบายการลงทุนของโกลเบล็กเอง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการเติบโตตามที่โกลเบล็กเคยนำเสนอในหนังสือชี้ชวน มีท่าทีว่าจะลดความร้อนแรงลง ซึ่งล่าสุด โกลเบล็ก ยอมขาดทุนจากการลงทุนหุ้น "เพิ่มสินสตีลเวิร์ค" (PERM) จำนวนประมาณ 10 ล้านบาท หลังจากได้เทขายหุ้นไปยกพอร์ตกว่า 7% เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2549 ณัฐวุฒิ กล่าวถึง สาเหตุของการขายหุ้น PERM ขาดทุนว่า เนื่องจากแนวนโยบายการลงทุนที่เปลี่ยนไปจากเดิม จะเน้นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ที่มีความปลอดภัยสูงกว่า "เรายอมขาดทุน เพราะบริษัทต้องการที่จะปรับนโยบายการลงทุนให้อนุรักษนิยมมากขึ้น เราไม่ต้องการที่จะให้การซื้อขายของเราหวือหวา ดังปีที่ผ่านมา หุ้นที่เราซื้อตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นหุ้นพื้นฐานดีทั้งนั้น อย่าง TOP" นับเป็นการกลบจุดเด่นเดิมของ "โกลเบล็ก" ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องการสร้างหุ้นไอพีโอ เพื่อล้างภาพ หลังบริษัทแห่งนี้เริ่มถูกจับตาจากหน่วยงาน ก.ล.ต. อย่างใกล้ชิด ตรวจสอบหุ้นไอพีโอที่เข้าซื้อขายในปี 2548 จำนวน 36 แห่ง พบว่า หุ้นที่ โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ (GBX) เข้าไปร่วมลงทุนนั้น มักจะกลายเป็น "หุ้นอภินิหาร" ในช่วงแรก จะสังเกตได้ว่า 3 อันดับบริษัทจดทะเบียนที่มี ราคาหุ้นปรับตัววันแรกมากที่สุดประกอบด้วย หุ้นสหมิตรเครื่องกล (SMIT) ราคาซื้อขายวันแรกปรับตัวสูงกว่าราคาจองถึง 90% ตามด้วย หุ้นเพิ่มสินสตีลเวิร์ค (PERM) ที่มีราคาซื้อขายในวันแรกปรับตัวสูงกว่าราคาจองถึง 54% อันดับ 3 คือ หุ้นโซลาร์ตรอน (SOLAR) ราคาซื้อขายในวันแรกปรับตัวสูงกว่าราคาจอง 45% ล้วนมีโกลเบล็กเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งหมด ทว่าหุ้นเหล่านี้ ก็จบเแบบ "โศกนาฏกรรม" ทุกตัวภายหลัง "โกลเบล็ก" ทิ้งออกมา จะเห็นได้จากราคาหุ้น PERM ไหลลงอย่างมากทันที จากราคาปิดวันที่ 10 มกราคม 2549 ที่ 4.40 บาท ภายหลังโกลเบล็กทิ้งหุ้น ล่าสุด (18 มกราคม 2549) ราคาหุ้น PERM ปิดที่ 3.44 บาท คิดเป็นการปรับลดลง 21% ทั้งๆ ที่หุ้นตัวนี้เคยวิ่งทำราคาสูงสุดที่ 5.70 บาท เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2548 ส่วน หุ้น SOLAR เคยวิ่งขึ้นไปปิดสูงสุดในวันที่ 6 มิถุนายน 2548 ที่ราคา 17 บาท แต่ปัจจุบันราคาหุ้นอยู่ที่ 8.05 บาท ขณะที่หุ้น SMIT ก้าวกระโดดขึ้นไปกว่า 5.25 บาท ในวันแรกที่ซื้อขาย (18 พฤษภาคม 2548) แต่ปัจจุบันราคาเคลื่อนไหวอยู่ที่ 2 บาทเท่านั้น พร้อมๆ กับการทิ้งหุ้นของผู้บริหารเหล่านั้น ภายหลังพ้นระยะเวลาห้ามซื้อขาย โดยขณะนี้ผู้บริหาร SOLAR ได้ขายและโอนหุ้นออกมาแล้วจำนวนทั้งสิ้น 11.37 ล้านหุ้น (ไม่นับรวมการโอนให้กันระหว่างสามี-ภรรยา) ขณะที่ผู้บริหาร SMIT ขายหุ้นออกมาจำนวนทั้งสิ้น 5.60 ล้านหุ้นแล้ว ทิศทางของโกลเบล็กก็เช่นเดียวกัน วันนี้สัญญาณการขายหุ้นเริ่มมีเข้ามาแล้วจาก "ภูมิพงษ์ คูหาเปรมกิจ" ขณะที่ขุมกำลัง "ตระกูลคูหาเปรมกิจ" ก็เริ่มลดน้อยถอยลงผลจากการโดนตัดกำลังจาก ก.ล.ต. ขณะเดียวกัน "ภูมิพงษ์" ก็ขอลาออกจากการเป็นกรรมการใน บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ ส่วน จารุณี คูหาเปรมกิจ ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการและรองกรรมการผู้จัดการของ บริษัทโกลเบล็ก แอ็ดไวเซอรี่ ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ณ วันนี้อาจกล่าวได้ว่า "ทำนบ" แห่งความเชื่อมั่นศรัทธา ต่อการพยุงหุ้นของ ตระกูลคูหาเปรมกิจ ได้พังทลายลงแล้ว ราคาหุ้นจะกลับไปหาปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงเสียที จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:34:36 ]

ความคิดเห็นที่ 11 "สมชัย"ร่อนหนังสือต่างชาติ ยัน"สุวรรณภูมิ"เปิดใช้ มิ.ย.นี้ โดย ผู้จัดการออนไลน์ 22 มกราคม 2549 18:51 น.              ผอ.สุวรรณภูมิระบุกระบวนการสอบสวนเพลิงไหม้ครัวบินไทยยังอยู่ในขั้นตอนของตำรวจ ส่วนกำหนดการเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยืนยันพร้อมเปิดภายใน 180 วัน ส่วนปัญหารอยร้าวของรันเวย์ทิศตะวันตก บริษัทที่ปรึกษาจะยืนยันความแข็งแรงของรันเวย์ภายในสัปดาห์นี้             นายสมชัย สวัสดีผล ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดเผยว่า การสอบสวนสาเหตุเพลิงไหม้ครัวการบินไทยในพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทำงานของพนักงานสอบสวนของตำรวจ และหลังจากทำงานเสร็จแล้วจะรายงานผลให้ผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบ และจะรายงานให้คณะกรรมการสอบสวนของการบินไทยและ ทอท. ทราบต่อไป โดยทุกฝ่ายต้องรอผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ก่อน             สำหรับการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่รัฐบาลกำหนดไว้ประมาณปลายเดือนมิถุนายนนี้นั้น นายสมชัย กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากเมื่อวันที่ 30 ธันวาคมปีที่ผ่านมา ฝ่ายบริหาร ทอท.ได้ทำหนังสือยืนยันไปถึงผู้บริหารสายการบินข้ามชาติทุกแห่งให้ทราบว่าไทยพร้อมเปิดใช้สนามบินนานาชาติแห่งใหม่ภายใน 180 วัน ซึ่งหากเปลี่ยนแปลงต้องแจ้งให้บริษัทสายการบินทราบแน่นอน นอกจากนี้ ทอท.ยังได้แจ้งให้บริษัทสายการบินทราบถึงการเตรียมปรับค่าธรรมเนียมลงจอดสนามบินภายใน 3 เดือน ภายหลังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเปิดให้บริการไปแล้วด้วย             ส่วนการทดสอบการใช้สนามบินในช่วงที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารการก่อสร้างได้ทำงานอย่างใกล้ชิดทั้งในส่วนของกรมการขนส่งทางอากาศ ซึ่งเป็นผู้ออกใบอนุญาตการให้บริการอากาศยานเชิงพาณิชย์และประสานงานการตรวจสอบความพร้อมกับองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอซีเอโอ) และศูนย์ปฎิบัติการบิน (เอโอซี) โดยความพร้อมในการทดสอบ 3 ด้าน คือ ระบบการสื่อสารและหอบังคับการบินขณะนี้พร้อมแล้ว ระบบเช็คอินและออกตั๋วโดยสารทดสอบไปแล้วกว่าร้อยละ 90 และระบบสายพานลำเลียง ซึ่งขณะนี้ได้ทดสอบจนอยู่ในขั้นที่มีความผิดพลาดน้อย             สำหรับกรณีมีข่าวว่ารันเวย์ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้านทิศตะวันตกด้านใต้มีรอยร้าวนั้น ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้ บริษัทที่ปรึกษาจะรายงานผลยืนยันความแข็งแรงของผิวรันเวย์ให้ ทอท.ทราบ อย่างไรก็ดี ผิวรันเวย์ด้านดังกล่าว ทอท.ได้ทดสอบนำเครื่องบินซี 130 ที่มีขนาดน้ำหนักเท่ากับเครื่องโบอิ้งบินทดสอบขึ้นลงในเดือนกันยายนปีที่แล้ว จึงเชื่อได้ว่าสภาพผิวรันเวย์มีความปลอดภัยไม่ส่งผลกระทบการนำเครื่องบินขึ้นลงในอนาคตแน่นอน จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:34:52 ]

ความคิดเห็นที่ 12 "วิเศษ" หนุนเรคกูเลเตอร์ ปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเอฟที โดย ผู้จัดการออนไลน์ 22 มกราคม 2549 17:51 น.              "วิเศษ" หนุนเรคกูเลเตอร์ ปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเอฟทีใหม่ แต่ยอมรับไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ค่าเอฟทีงวดใหม่ปรับขึ้นแน่นอน พร้อมเตือนประชาชนทำใจและลดการใช้ไฟฟ้า ย้ำ กฟผ.ควรจะเข้าประมูลไอพีพีรอบใหม่ได้ เพื่อประโยชน์ด้านต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ถูกที่สุด              นายวิเศษ จูภิบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึง กรณีคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า (เรคกูเลเตอร์)เสนอปรับเกณฑ์การคำณวนค่าไฟฟ้าเอฟทีใหม่ โดยใช้เกณฑ์คำนวณค่าเชื้อเพลิงจากเดือนสุดท้ายของรอบเอฟทีทุก 4 เดือน จากเดิมที่จะใช้เกณฑ์คำนวณค่าเชื้อเพลิงล่วงหน้า 4 เดือน ว่า แนวคิดดังกล่าว เรคกูเลเตอร์ คงจะคำนึงถึงความเป็นธรรม เพราะหากคิดล่วงหน้า 4 เดือน เป็นการประมาณการ ซึ่งหากมีการบริหารจัดการได้ดีในรอบเอฟทีแต่ละรอบ ใช้ต้นทุนพลังงานถูกลง ประชาชนก็ไม่ต้องจ่ายค่าเอฟทีล่วงหน้าในอัตราที่แพงเกินไป โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดใหม่ที่มีผลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคมนี้ ซึ่งอยู่ในช่วงหน้าร้อน มีความต้องการไฟฟ้าสูงสุด มีการใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้น หากคำนวณราคาเชื้อเพลิงล่วงหน้า ค่าไฟฟ้างวดนี้จะสูงขึ้นมาก ดังนั้น หากใช้ต้นทุนเชื้อเพลิงเดือนมกราคมมาคำนวณ ค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดนี้จะต่ำกว่าการประมาณการว่าจะปรับขึ้น 32 สตางค์ต่อหน่วยแน่นอน ประกอบกับกระทรวงพลังงานได้ตั้งคณะทำงานบริหารการใช้ต้นทุนไฟฟ้าให้ต่ำลง ก็คาดว่าจะทำให้ผลกระทบค่าไฟฟ้าเอฟทีลดลงได้มากขึ้น             “แนวคิดการปรับสูตรเอฟทีใหม่ เป็นแนวคิดของ เรคกูเลเตอร์ ทางกระทรวงพลังงานไม่ได้เข้าไปสั่งการแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็จะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงที่แนวโน้มค่าเอฟทีงวดใหม่ต้องปรับขึ้นแน่นอน ตามต้นทุนราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นในช่วงปีที่แล้ว ดังนั้น เพื่อลดผลกระทบต้องขอความร่วมมือประชาชนร่วมกันประหยัดไฟฟ้า เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย” นายวิเศษ กล่าว             นายวิเศษ กล่าวด้วยว่า ในกรณีบริษัทในเครือของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) เช่น บมจ.ผลิตไฟฟ้า หรือเอ็กโก้ ราชบุรีโฮลดิ้ง จะเข้าประมูลโครงการผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน หรือไอพีพีได้หรือไม่นั้น เท่าที่ทราบยังไม่ใช่มติของเรคกูเลเตอร์ เพราะกรรมการบางคนก็ไม่เห็นด้วย ซึ่งต้องรอผลสรุปเสียก่อน แต่โดยส่วนตัวเห็นว่า หากมีผู้เข้าประมูลหลายราย แล้วกำหนดหลักเกณฑ์ที่ดีที่ กฟผ.ไม่มีส่วนเข้ามาพิจารณาการประมูลเช่นในอดีต ปล่อยให้ผู้เข้าร่วมประมูลไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนในหรือต่างประเทศได้รับการแข่งขันที่เท่าเทียมกัน มีการแข่งขันหลายราย ในที่สุดอัตราค่าไฟฟ้าที่ไปสู่ประชาชนจะได้ราคาต่ำสุด และที่สำคัญค่าไฟฟ้าของไอพีพีก็จะเป็นฐานคำนวณค่าไฟฟ้าในส่วนของ บมจ.กฟผ.ที่ได้สิทธิก่อสร้างโรงไฟฟ้าในสัดส่วนร้อยละ 50 ของความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ที่เกิดขึ้นด้วย ขณะที่บริษัทในเครือของ กฟผ.ก็เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หากไปกำหนดหลักเกณฑ์ห้ามการลงทุน ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นก็อาจจะเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ได้ จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:35:07 ]

ความคิดเห็นที่ 13 รมว.พลังงานคาดมี54ใช้ไบโอดีเซลทดแทนน้ำมัน10% 22 มกราคม 2549 13:40 น. กระทรวงพลังงานเร่งรัดแผนผลิต-จำหน่ายไบโอดีเซล ทำแผนบูรณการคาดในปี 2554 ปาล์มดีเซลจะลดการนำเข้าน้ำมันได้ 10% หรือ 60,000 ล้านบาทต่อปี นายวิเศษ จูภิบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากการไปติดตามการผลิตน้ำมันปาล์มในจังหวัดกระบี่ พบว่ากระบวนการผลิตมีความพร้อมสำหรับการผลิตไบโอดีเซลระดับชุมชนและเชิงพาณิชย์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนในอนาคต ซึ่งตามแผนของรัฐบาลจะส่งเสริมการปลูกปาล์มให้ได้ 8 ล้านไร่ ภายในปี 2553 และประสานงานทั้งการส่งเสริมการผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซล ตั้งเป้าหมายจะทดแทนการใช้ดีเซลให้ได้ร้อยละ 10 ในปี 2554 ซึ่งจะลดการนำเข้าน้ำมันได้มาก โดยหากเทียบกับปี 2548 ไทยนำเข้าน้ำมันเป็นมูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านบาท ดังนั้น ก็น่าจะช่วยลดการนำเข้าได้ประมาณ 60,000 ล้านบาท ในขณะเดียวกันจะส่งเสริมให้นำผลิตภัณฑ์พลอยได้จากการสกัดไบโอดีเซลคือสเตอรีน ไปผลิตภัณฑ์ให้ได้มูลค่าเพิ่มสูงขึ้นแทนการส่งออก โดยขณะนี้ บริษัทในเครือ ปตท.ได้วางแผนผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องแล้ว ซึ่งคาดจะช่วยลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องและเพิ่มมูลค่าได้อีกไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี “นอกจากไบโอดีเซลจะช่วยลดการนำเข้าแล้วเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มจะได้รายได้เพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์พลอยได้ก็มีมูลค่าเพิ่มสูง โดยจากการหารือกับผู้ค้าน้ำมัน เช่น บางจาก ปตท. ต่างพร้อมจะรับซื้อไบโอดีเซลทั้งหมด ขอให้มีวัตถุดิบส่งมอบเท่านั้น” นายวิเศษ กล่าว ด้านนายพรชัย รุจิประภา รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในการส่งเสริมการผลิตไบโอดีเซลชุมชน จากการหารือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธ.ก.ส. ยินดีที่จะเข้ามาสนับสนุนทางด้านการเงิน โดยให้กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม รวมตัวกันในรูปสหกรณ์ผลิตไบโอดีเซล ได้ 4,000-6,000 ลิตรต่อวัน เงินทุนประมาณ 15 ล้านบาทต่อโรง โดย ธ.ก.ส. พร้อมปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน ซึ่งในกรณีนี้เพียงแค่นำมาใช้ในชุมชน เกษตรกรในชุมชนก็จะได้ต้นทุนน้ำมันราคาต่ำ และยังจำหน่ายปาล์มได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งในส่วนของราคาปาล์มสด คงจะไม่ประกันราคา แต่หากมีการส่งเสริมได้สำเร็จคาดว่าราคาปาล์มจะไม่ต่ำกว่า 2.50 บาทต่อกิโลกรัม จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:35:18 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ดร.โกร่งมาแปลก! ชี้ปี2549 ภาคการเงิน-การคลังไทยมั่นคง 21 มกราคม 2549 16:21 น. "วีรพงษ์"ระบุเศรษฐกิจไทยปี 2549 โต 5.5 % ปัจจัยน้ำมัน-อัตราดอกเบี้ยไม่รุนแรง ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดจะไม่ขาดดุลมาก เพราะการส่งออกและการท่องเที่ยว รร.ตวันนารามา 21 ม.ค. – ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนากรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง กล่าวถึงอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทในปี 2549 ว่า น่าจะมีเสถียรภาพ เพราะดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยจะขาดดุลไม่มากอย่างที่มีการคาดการณ์ เนื่องจากเศรษฐกิจจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงนี้ เพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนลง ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามเงินภูมิภาคเอเชีย จากการที่มีเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศเพื่อเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทน่าจะเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว และเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะดูแลให้มีเสถียรภาพเป็นอย่างดี จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:35:37 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ศูนย์วิจัยกสิกรชี้ส่งออกกุ้งขยายตัว แต่เจอการแข่งขัน 21 มกราคม 2549 13:39 น. ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อปีนี้ไทยจะส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ขยายตัวต่อเนื่อง แต่ไทยเผชิญกับการแข่งขันรุนแรง กรุงเทพฯ 21 ม.ค.- บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า กุ้งและผลิตภัณฑ์เริ่มมีการส่งออกกระเตื้องขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2548 และต่อเนื่องถึงในปี 2549 จากปัจจัยเกื้อหนุนในด้านการผลิตที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ประเทศคู่แข่งขันหลายประเทศต้องเผชิญปัญหาด้านโรคระบาดและปัญหาสารตกค้าง ทำให้การผลิตกุ้งในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง ส่วนการส่งออกในตลาดสำคัญทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ก็มีแนวโน้มขยายตัวเช่นกัน สำหรับการส่งออกสหภาพยุโรป ในปี 2549 คาดว่าจะขยายตัวอย่างโดดเด่น เนื่องจากไทยได้รับคืนจีเอสพี ส่วนตลาดสหรัฐคาดว่าไทยจะยังสามารถครองสัดส่วนตลาดเป็นอันดับหนึ่งอยู่ได้ และการส่งออกก็ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดที่สหรัฐเรียกเก็บจากผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง รวมทั้งผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยยังคงสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง เร่งปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงในตลาดนำเข้าสำคัญ โดยเฉพาะผู้บริโภคมีแนวโน้มหันไปนิยมกุ้งแปรรูปมากขึ้น อันเนื่องจากความนิยมซื้อผลิตภัณฑ์ไปประกอบอาหารรับประทานเองที่บ้าน ส่วนตลาดญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดที่มีแนวโน้มว่าจะมีการขยายการนำเข้าผลิตภัณฑ์กุ้งอย่างมากในปีนี้จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แนะนำให้ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไทย หันไปเจาะและขยายตลาดญี่ปุ่นให้มากขึ้น นอกจากนี้ ทางภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงกุ้งต้องร่วมมือกันแก้ไขอุปสรรคของการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้ง โดยเฉพาะการส่งออกในตลาดสหรัฐ โดยการเจรจาในเรื่องการวางพันธบัตรค้ำประกันการส่งออก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่สร้างภาระต้นทุนให้กับผู้ส่งออกอย่างมาก รวมทั้งหันมาให้ความสำคัญกับการเลี้ยงกุ้งปลอดสารเคมี ตลอดจนมีการขยายการเลี้ยงกุ้งกุลาดำเพื่อป้อนตลาดสหภาพยุโรป และส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กุ้งแปรรูปเพื่อเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์กุ้งส่งออก จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:35:50 ]

ความคิดเห็นที่ 16 BLSดึงมอร์แกนสแตนเลย์หนุนวิจัย ไซรัสไม่หวังมากขอมาร์เกตแชร์2% โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 มกราคม 2549 19:53 น.              บล.ไซรัส ตั้งเป้ามาร์เกตแชร์ 2% เข็ดปีที่แล้วพลาดเป้า เตรียมหาพันธมิตรต่างประเทศเพิ่มลูกค้าสถาบันคาดบัญชีลูกค้าเพิ่มเป็น 7,000 บัญชี ด้านบล.บัวหลวงทำสัญญากับมอร์แกนสแตนเลย์ หนุนงานวิจัย             นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ปีนี้ 2 % จากปี 2548 ที่มี 1.6 % โดยบริษัทจะขยายฐานลูกค้ารายย่อยและสถาบันให้มากขึ้น ซึ่งคาดปีนี้มีลูกค้าเปิดบัญชี 6,000 - 7,000 บัญชี เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ที่มี 4,500-4,600 บัญชี ซึ่งเป็นบัญชีที่ซื้อขายสม่ำเสมอ 40% ต่อเดือน แต่บริษัทต้องการให้มีการซื้อขายสม่ำเสมอ 40-50% โดยมีสัดส่วนลูกค้าสถาบัน 15% ลูกค้ารายย่อย 85%             “มาร์เกตแชร์ปีที่ผ่านมาบริษัทตั้งเป้าที่ 2.4% แต่ทำให้เพียง 1.6% จากภาวะตลาดไม่ดี และนักลงทุนสถาบันเข้ามามีบทบาทในตลาดหุ้นไทย แต่บริษัทมีฐานลูกค้า 90% เป็นรายย่อย มาร์เกตแชร์จึงลดลง ส่วนปีนี้คาดรายได้เพิ่มขึ้น จากปีที่ผ่านมาเนื่องจากคาดว่ามูลค่าการซื้อขายปีนี้จะอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ 1.6 ล้านบาทต่อวัน เพราะคาดว่าจะไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบมากเหมือนกับปีที่ผ่านมา” นายสมภพ กล่าวว่า             ในส่วนงานที่ปรึกษาทางการเงินนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มี 5 บริษัท ที่ชัดเจนแล้ว คือ บริษัทชลบุรีกันยง จำกัด และบริษัทนครหลวงลิสซิ่งแอนด์แฟกตอริ่ง ซึ่งเข้าจดทะบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯและอีก 1 บริษัท เข้าจดทะบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่             นายสมภพ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีสภาพคล่องในการดำเนินงานที่สูงถึง 600 ล้านบาท เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจและธุรกิจใหม่ๆ โดยนำไปลงทุนในหุ้นจำนวน 100 ล้านบาท ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)วรรณ บลจ.ซีมิโก้ บลจ.ไอเอ็นจี โดยได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด และอีก 500 ล้านบาท ลงทุนในตราสารหนี้ ได้รับผลตอบแทนที่ดี 4-5%             นายทรงศักดิ์ โชคอุดมมั่น กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บล.ไซรัส กล่าวว่า บริษัทจึงมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งกองทุนจากต่างประเทศส่งคำสั่งซื้อขายมายังบริษัทและที่ผ่านมาบริษัทก็พยายามที่จะติดต่อสถาบันต่างประเทศเพื่อให้มาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในการส่งคำสั่งซื้อขายมาให้บริษัทแต่ไม่ใช่ในลักษณะของเข้ามาถือหุ้นแต่อย่างใด             นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเป็นผู้จัดจำหน่ายกองทุนรวมของ บลจ.ต่างๆมากยิ่งขึ้นซึ่งจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเพิ่มสัดส่วนลูกค้านักลงทุนสถาบันให้มากยิ่งขึ้น             นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามในสัญญารับการสนับสนุนด้านงานวิจัยจาก Morgan Stanley Dean Witter Asia Limited (MSDWAL) ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการได้เข้าถึงฐานข้อมูลออนไลน์เกี่ยวกับงานวิจัย รวมถึงบทวิจัยต่างๆ ซึ่งครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์ ภาวะอุตสาหกรรม และภาวะตลาดในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก บริษัทจะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทั้งในด้านการบริหารความเสี่ยงและธุรกิจ ตราสารอนุพันธ์ นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถติดต่อกับทีมนักวิเคราะห์ของ MSDWAL ในเอเชียได้ โดยไม่กำหนดเวลาสิ้นสุด จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:36:19 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เที่ยวอันดามันฟื้น70% ขอรัฐอัดงบกระตุ้นต่อ โพสต์ทูเดย์ — สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ ชี้ท่องเที่ยวอันดามันฟื้นแค่ 70% บี้รัฐเร่งทำแผนฟื้นฟูและรุกโฆษณา ประชาสัมพันธ์ที่เพียงพอ คาดว่าจะฟื้นเต็มร้อยในอีก 1-2 ปีข้างหน้า นายวิจิตร ณ ระนอง ประธานสภาอุตสาห กรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภายหลังจากแหล่งท่องเที่ยวแถบชายฝั่งทะเลอันดามัน เสียหายจากสึนามิครบ 1 ปี ธุรกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้ฟื้นกลับขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่อยู่ใน ระดับที่น่าพอใจมากนัก โดยฟื้นขึ้นมาแล้วประมาณ 70% คาดว่าอีกประมาณ 1-2 ปี นับจากนี้ไปจึงจะฟื้นตัวได้เต็ม 100% แต่ต้องดำเนินการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และเร่งการ ทำการตลาดในเชิงรุก สำหรับสาเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวยังเข้ามาท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวแถบชายฝั่งทะเล อันดามันไม่มากนัก เพราะติดปัญหาในหลายเรื่อง เช่น ความไม่มั่นใจในความพร้อมของสถานที่ท่องเที่ยว ความไม่มั่นใจในมาตรการเตือนภัย รวมถึงความเชื่ออื่นๆ ตลอดจนโชคลาง เป็นต้น ดังนั้นต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ความมั่นใจของนักท่องเที่ยวกลับคืนมา พร้อมกันนี้จะต้องมีมาตรการส่งเสริมกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยว เพิ่มมากขึ้นด้วย สำหรับแหล่งท่องเที่ยวแถบชายฝั่งทะเลอันดามัน นักท่องเที่ยวที่เข้ามา 70% เป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากยุโรป แต่ในช่วงเกิดสึนามิคนไทยจะเข้ามาช่วยเหลือในพื้นที่มาก ในขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติหายไป อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในเอเชีย ซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็น 50% ของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ยังไม่กลับเข้ามาท่องเที่ยวมากนัก ในขณะที่นักท่องเที่ยวจากยุโรปเริ่มกลับเข้ามาท่องเที่ยวแล้ว นายวิจิตร กล่าวว่า แหล่งท่องเที่ยวแถบชายฝั่งทะเลอันดามันปีที่ผ่านมา มียอดนักท่องเที่ยวลดลง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ทำให้ตลอดปีที่ผ่านมามีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 8 หมื่นล้านบาท สำหรับปี 2549 คาดว่าแหล่งท่องเที่ยวแถบชายฝั่งทะเล อันดามันจะมีรายได้ประมาณ 1 แสนล้านบาท จากคุณ : Mr.เม้ง - [ 22 ม.ค. 49 21:36:34 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณครับ เฮียเม้ง ยังมีนักวิเคาะบางคนบอกว่า IEC อาจจะขึ้นต่อ มันเอาสมองส่วนไหนมาวิเคาะ จากคุณ : S-sung - [ 22 ม.ค. 49 22:07:09 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ชอบคุณค่ะคุณเม้ง จากคุณ : memai - [ 22 ม.ค. 49 22:39:43 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เรา ในหลวง ขอบคุณครับ จากคุณ : D (มะลิ บาน บาน) - [ 22 ม.ค. 49 23:00:00 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณครับ จากคุณ : เล่นรอบ - [ 22 ม.ค. 49 23:20:07 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ... ขอบคุณครับพี่เม้ง จากคุณ : roadtrip - [ 22 ม.ค. 49 23:30:32 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เห็นด้วยกับคุณเม้งครับ คุณสนธิพ้นจากการเนสื่อมวลชนไปเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้วครับ ส่วนบรรดาท่าน ส.ส. และ ท่าน ส.ว.ที่มาจากกลไกการเลือกตั้งของประชาชน มีเวทีสภาฯของตนให้เล่น  แต่ไปเล่นตามเกมส์ของนักการเมืองนอกสภาฯ   .....ผมก็ไม่ทราบว่าท่านเหล่านั้นคิดกันอย่างไร??? จากคุณ : กุษาณ - [ 22 ม.ค. 49 23:33:43 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ... ขอบคุณครับ จากคุณ : DarkEnemy - [ 23 ม.ค. 49 09:06:54 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณครับ จากคุณ : l (ลูกขวาน) - [ 23 ม.ค. 49 09:31:05 ]