ความคิดเห็นที่ 1 บางครั้ง เอาทฤษฏีของคนอื่นมาใช้ ก็ไม่ใช่ว่าจะรวยแบบเขาครับ ปัจจัยมันมีหลายอย่าง โอกาศ ,เงิน , การรู้จักผู้คน , สังคม , ดวง ,ฯลฯ ไม่งั้น ก็อ่านแล้วรวยกันทุกคนแหละครับ อาแปะข้างบ้านผม แกจบแค่ ป.4 แลไม่เคยอ่านไอ้หนังสือนี้เลย ปัจจุบัน แก รวยเอา ๆ ขายแค่ปาท่องโก๋ มีรายได้ วันละ 5000 จากคุณ : QDora - [ 23 ม.ค. 49 18:12:29 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ก้อมีนี่ครับ ลุงบัฟเค้าดูปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเป็นหลัก ซึ่งปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ลุงบัฟแกคงไม่ได้นั่งเทียนมา ก้อคงต้องดูและคำนวนจากค่าต่างๆ เช่น มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value)  ราคาตลาดของหลักทรัพย์ (Market Value) ผลตอบแทนในอนาคตที่ได้จากกำไรจากการขายหลักทรัพย์ (Capital Gain) ดอกเบี้ยหรือเงินปันผล (Yield) วิเคราห์เศรษฐกิจ วิเคราะห์อุตสาหกรรม วิเคราะห์บริษัท ดูงบการเงิน คำนวนค่า p/e p/b grow ฯลฯ จากคุณ : nat1234 - [ 23 ม.ค. 49 18:17:50 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ทฤษฎี ที่คุณเรียนมา มันก็คือ ทฤษฎี เดียวกับที่ บัฟเฟต เรียนนั่นแหละ แต่ที่ บัฟเฟต เค้าบอกว่า เค้าไม่สนใจเลย ก็เพราะว่า เค้ารู้ ถึงแก่นแท้แล้ว เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แล้วจึงคิดว่า ทฤษฎี นี้ ไม่เหมาะกับตัวเค้าเป็นแน่ นั่นก็หมายความว่า เค้าต้องเคยทดลองมาก่อนแล้ว ดังนั้น บัฟเฟต จึงคิดค้น การลงทุน แนวใหม่ ที่เหมาะสมกับตัวเอง ขึ้นมา การที่ คุณถามว่า สูตรการลงทุน ของ บัฟเฟต ทำไม ถึงไม่มีสอน ใน มหาลัย ก็เพราะว่า สูตรการลงทุน ของ บัฟเฟต นั้น ยังไม่ได้รับการ พิสูจน์ว่า จะสามารถเป็นจริงได้ ในทุกสภาวะ เพราะถ้าคุณอ่านเรื่องราว ของบัฟเฟต มีหลายครั้ง หลายคราวมาก ที่ บัฟเฟต ซื้อหุ้น โดย อาศัย สัญชาตญาณของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ หุ้นนั้น พื้นฐานแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่า บัฟเฟต คิดว่า หุ้นนี้ดี ก็ซื้อ สูตร ของ บัฟเฟต ก็เลยไม่ได้รับการยอมรับในวงการศึกษา เพราะ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ทฤษฎี ของ บัฟเฟต นั้น จะสามารถใช้ได้ผลในทุก ๆ สถานการณ์ แต่ส่วนเรื่องที่ คุณศึกษานั้น ได้รับการยอมรับแล้ว การที่คุณบอกว่า ทฤษฎี เหล่านี้ ไม่มีประโยชน์ นั้น ผมว่า มันเกินไปหน่อย คือ มันแล้วแต่ว่า ผู้ที่รับมานั้น จะนำไปปรับปรุง ยังไง ให้สอดคล้องกับ นิสัยการลงทุน ของแต่ละบุคคลมากกว่า ไม่เชื่อ คุณลองดูสิ คุณลองถามคนที่ รวยจากการเล่นหุ้น แล้วคุณลองทำตามทฤษฎี เค้าทุกอย่าง มันก็ไม่ใช่ว่า คุณจะประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับ เค้า นักลงทุน ที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องค้นพบทางเดิน ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ไปลอกเลียนแบบใครมา เมื่อนานมาแล้ว ในห้องสินธร มีคนค้นพบ ทฤษฎี DSM (ถ้าผมจำผิดก็ขออภัย) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทฤษฎีนี้ จะเป็นสูตรสำเร็จ คนที่นำไปใช้ ก็ต้องปรับปรุง และ ขยายความต่อไป จึงจะได้ผลสูงสุด รวมถึง ต้องมีความเข้าใจ ในความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับ การลงทุนในหุ้นด้วย จึงจะบังเกิดผล หากสนใจ ทฤษฎี นี้ ลองค้นหาดู ในกระทู้เก่า ๆ ได้ เพราะผมคิดว่า เป็นทฤษฎี ที่นับว่าไม่เลวจริง ๆ อย่างน้อยก็ดีกว่า ไปฟังพวกนักวิเคราะห์ ตามทีวี หรือ หน้าหนังสือพิมพ์ จากคุณ : อาหนิว - [ 23 ม.ค. 49 18:23:15 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ทฤษฎีนั้น อาจใช้ได้เฉพาะกับตลาดหุ้นบางแห่งเท่านั้น ถ้ามันใช้ได้กับ SET ได้ป่านนี้ กองทุนหุ้นของ บลจ. ต่างๆคง Performance ไม่ห่วยอย่างนี้หรอก FM ไม่ได้โง่นะครับ เพียงแต่ SET มันไม่มีเสถียรภาพเพียงพอ ปัจจุบันที่ยืนอยู่ได้เพราะหุ้นไม่กี่ตัว แถมผู้บริหารใน กลต.ตลท. ยังขาดจรรยาบรรณอีก จากคุณ : muntow (charn34) - [ 23 ม.ค. 49 18:32:32 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มีสิครับ บัฟเฟตเองก็เรียนมาจากแกรแฮม ซึ่งสอนในมหาวิทยาลัย จากคุณ : appendix - [ 23 ม.ค. 49 18:35:03 A:61.91.219.184 X: TicketID:090028 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ที่บัฟเฟตบอกว่าไม่สนใจแน่ ๆ คือ ทฤษฏีว่าด้วยตลาดที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งแกไม่เชื่อเลยครับ ว่าจะมีตลาดใดในโลกที่สมบูรณ์แบบขนาดนั้น นอกนั้น ไม่เคยเห็นว่าแกปฏิเสธแนวความคิดจากมหาลัยนะครับ จากคุณ : มาร์รุ่นพี่ - [ 23 ม.ค. 49 19:08:06 A:unknown X:203.146.147.102 TicketID:021556 ]

ความคิดเห็นที่ 7 yes. nowadays, finance as a body of knowledge has incorporated imperfections in the market in the form of game theories, market microstructures, etc. i think thai ppl have mistaken the point of learning. we do not learn to know a fool-proof formula for making money--if such a formula exists everybody will be rich--but rather we learn the fundamentals of how things around us work. in finance, fundamental concepts like risks and returns (which in turn are borne out of economics) are essentially what everyone use when assessing investment opportunities. how much will i get, and how risky is it? that is the central question of finance (and economics) จากคุณ : .. (! o_o !) - [ 23 ม.ค. 49 20:29:03 ]

ความคิดเห็นที่ 8 มีครับ ของ MBA จากคุณ : Jack Wealth - [ 23 ม.ค. 49 20:48:56 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่รู้ว่าคุณเรียนอะไรอยู่  ที่แน่ๆ หลักการลงทุนมีสอนใน มหาวิทยาลัย แต่ความสำเร็จอยู่ที่คนนำไปใช้ จากคุณ : นิแรน - [ 23 ม.ค. 49 21:17:50 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมไมได้่ปฏิเสธสิ่งที่เรียนมาไม่ได้คิดว่าไม่มีประโยชน์ แล้วก็เข้าใจครับว่าอาจใช้ได้กับตลาดบางแห่ง ที่ไม่เข้าใจตามที่เขียนไว้กระทู้คือ(ไม่แน่ใจว่าตั้งผิดป่าว) แนวคิดการเล่นในแบบของวอร์แรน น่าจะมีให้เรียนรู้ ไม่ก็เป็นกรณีศึกษาก็ยังดี ผมรู้จักชื่อนายวอร์แรนจากนอกมหาลัยครับ อ.ไม่เคยเอ่ยชื่อนี้ ในห้องสักครั้ง ผมเลยสงสัยว่าท่านน่าจะบอกบ้างว่าคนนี้ ประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้น พอผมเริ่มรู้จักชื่อนี้เลยลองไปถาม เพื่อนในห้องดูเผื่อว่าผมไม่รู้อยู่คนเดียว ปรากฏว่าเพื่อนๆก็ไม่รู้จักเหมือนกัน แล้วผมว่าแนวคิดการเล่นเค้าดีน่าจะเอามาสอนบ้าง ผมอ่านเรื่องเกี่ยวกับนายวอร์แรนแบบผ่านๆ ไมได้่รู้ลึกครับว่าที่เค้าคิดก็มีอยู่ในหลักสูตรอยู่ในเรื่องไหนบ้าง แต่ตอนนี้ผมได้คำตอบจากคุณ อาหนิวแล้วครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณกับทุกๆความเห็นด้วยครับ จากคุณ : superdora - [ 24 ม.ค. 49 03:11:24 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผมอ่าน The New Buffetology จบไป 2-3 รอบแล้ว คนแต่งก็ยอมรับว่า Buffet ไม่ได้ส่วนในการแต่งด้วยเลย แต่อธิบายได้เป็นฉากๆ  ถ้าเราจะเชื่อเค้านะ Buffet ก็จะพูดแบบนี้ 1. จงเป็น selective contrarian โดยเลือกหุ้นที่มี durable competitiveness ในขณะที่ตลาดไม่สนใจ (ถ้าคุณซื้อหุ้นประชานิยมแสดงว่าไม่ใช่แนวทาง Buffet) 2. ตลาดมีประสิทธิภาพในระยะสั้น แต่ไม่มีประสิทธิในระยะยาว ดังนั้นการทำกำไรแบบยั่งยืน ต้องลงทุนระยะยาว เพราะไม่มีทางหาประโยชน์จากตลาดระยะสั้นได้อย่างสม่ำเสมอ 3. ผม (Buffet) ก็ใช้พวก ROA ROE P/B เหมือนกันแหละ จะให้ผมดูดาวรึไง 4. ผม (Buffet) ไม่ซื้อธุรกิจที่ตัวเองไม่เข้าใจ และผมรังเกียจธุรกิจบางอย่างมาก เช่น สายการบิน technology  commodity ครึ่งแรกของหนังสือน่าสนใจมาก ครึ่งหลังอ่านไปหลับไป ผมได้กำไรจากตากใบมากเพราะแนวทางเค้านี่แหละ แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 49 12:39:41 จากคุณ : Crazy Rabbit - [ 24 ม.ค. 49 12:35:04 ]

ความคิดเห็นที่ 12 กองทุนหุ้นบ้านเราสู้บัฟเฟตต์ไม่ได้เพราะ คนที่ซื้อกองทุน ซื้อๆขายๆอยู่ทุกวัน ผู้จัดการกองทุนจึงต้องขายหุ้นเพื่อที่จะมีเงินไปจ่ายคนที่ขายกองทุน แต่ผู้ถือหุ้นเบิร์กไชร์ ไม่ค่อยมีใครขายนะครับ มีแต่คนอยากซื้อแต่ไม่มีคนอยากขาย บัฟเฟตต์จึงดำเนินกลยุทธถือยาวของตัวเองได้เต็มที่กว่าขอรับ จากคุณ : Aristotle - [ 27 ม.ค. 49 08:07:47 ]