ทำไม ตัน ขายโออิชิให้ เจริญ
อาจมีคนสงสัยว่า ตัน ภาสกรนที คิดอย่างไรระหว่างการตัดสินใจขายหุ้นในธุรกิจที่ฟูมฟักมาหลายปี ทั้งที่ความเดิมนั้นต้องการขายเพียงแค่ 25%
แม้ช่วงเวลาการตัดสินใจขายหุ้นจะเกิดขึ้นภายในเวลา 1 ชั่วโมงของการเจรจา และเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่พบหน้าค่าตาซึ่งกันและกัน แต่สิ่งที่ทำให้ ตัน ยอมตกลงได้อย่างง่ายดายนั้น เชื่อว่าเป็นเพราะทั้งคู่มีความเหมือนกันประการหนึ่งคือ เป็นคนเชื้อสายจีนที่เริ่มต้นชีวิตธุรกิจจากศูนย์ และต้องทำงานหนักกว่าจะ มี ได้อย่างทุกวันนี้
แต่นั่นอาจไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้ เจริญ กลายเป็นม้ามืดที่วิ่งเข้าเส้นชัย เฉือนบริษัทข้ามชาติหลายรายที่เข้ามารุมจีบ และเพียรจีบเป็นเวลานาน
ตันมองเจริญ เป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ด้วยเวลานั้นเครื่องดื่มชาเขียวมีสารพัดปัญหาจากภาครัฐ และยังมองกลุ่มไทยเบฟฯเป็นเหมือนเรือใหญ่ระวางหลายหมื่นตัน พร้อมออกทะเลไปหาปลาในมหาสมุทรอันแสนไกล ไม่หวั่นพายุและคลื่นลมที่พัดเข้าใส่แม้จะแรงขนาดไหน ด้วยตันคิดว่าตลาดชาเขียวเริ่มเต็ม หากจะไปลุยธุรกิจน้ำดื่มเพื่อสุขภาพอื่นๆ ก็ต้องซื้อเครื่องจักรเพิ่ม หากไม่ต้องการซื้อเพิ่มก็ต้องลดกำลังการผลิตชาเขียวลง เพราะวันนี้เครื่องจักรก็เดินเครื่องผลิตชาเขียวเต็มพิกัดอยู่แล้ว เมื่อผลิตน้อยลงอาจเป็นการเปิดโอกาสให้ชาเขียวของยูนิฟที่ครองอันดับสองมีโอกาสเบียด และแซงขึ้นไปโดยง่าย
วันนี้โรงงานที่ผลิตเครื่องดื่มชาเขียวโออิชิ และอะมีโน โอเค ตั้งอยู่บนพื้นที่ 18 ไร่ เป็นเครื่องจักรจากไต้หวันผลิตได้ 300 ขวดต่อนาที ขณะที่โรงงานเจริญมีทั่วทุกแห่งหน ทั้งในและต่างประเทศ บางโรงงานตั้งอยู่บนพื้นที่ถึง 6,000 ไร่ ใช้เครื่องจักรเมดอินเยอรมันแทบทั้งหมด ภายในหนึ่งนาทีผลิตได้นับพันขวด
นอกจากนี้เจริญยังมีเครือข่ายการตลาด ช่องทางการจัดจำหน่าย เงินทุน และบุคลากรมือดีอีกเป็นจำนวนมากที่พร้อมลุยได้ทุกประเทศทั่วโลก
ณ วันนี้ ตันคงมองไปถึงว่าเขาสามารถนำเครื่องจักรบางส่วนมาผลิตเครื่องดื่มบางตัวที่เขาคิดว่ามีโอกาสเกิดในตลาด โดยที่เขาไม่ต้องลงทุนเพิ่มทั้งซื้อที่ดิน ซื้อเครื่องจักร และสร้างโรงงาน
วันดีคืนดี ตัน อาจนำน้ำดื่มตราช้างที่วันนี้มีสถานะเพียงแค่โปรดักส์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อแจก หรือเอาไว้เป็นยันต์กันเอาไว้ในวันที่กฎหมายห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตลอด 24 ชั่วโมง และทุกสื่อมีผลบังคับใช้ โดยน้ำดื่มช้างจะเป็นตัวที่สะท้อนแบรนด์ช้าง โดยเฉพาะเบียร์ได้อย่างดี ใครจะไปรู้ว่าในอีกไม่นานเราอาจได้เห็นน้ำดื่มเกลือแร่ หรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ช้างออกสู่ตลาด เพื่อสร้างมูลค่าให้กับสินค้า หรือเป็นไปได้ว่าเราอาจเห็นเครื่องดื่มใหม่ๆภายใต้อัมเบลล่าโออิชิเข้าสู่ตลาดจนเต็มไปหมดก็ได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องข้างต้นอาจไกลตัวในวันนี้ แต่สิ่งที่ตันและผองเพื่อนได้รับแน่ๆ ณ เวลานี้ คือ เงินสดๆกว่า 3,000 ล้าน กับหุ้นในบมจ.โออิชิอีก 10% หรือคิดเป็นมูลค่าราว 600-700 ล้านบาท เป็นการกระจายความเสี่ยงด้วยการแบ่งเงินออกเป็น 2 กอง กองแรก เงินจำนวนนี้ตันอาจเก็บไว้เป็นกองทุนเพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตันอาจตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อดูแลเงินก้อนนี้โดยเฉพาะ
สำหรับกองที่สอง แม้จำนวนหุ้นของตันจะลดลงไปเหลือแค่ 10% แต่เป็น 10% ของตลาดมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าวันแรกที่ตันเปิดตัวบริษัทโออิชิใหม่ๆ ในวันนั้นบริษัทมีมูลค่าเพียง 300 ล้านบาท แม้วันนั้นตันและครอบครัวจะถือหุ้นเต็มจำนวน 100% แต่ก็ยังน้อยกว่าวันนี้ที่ถือหุ้นเพียง 10% กว่าสองเท่าตัว เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ตันตัดสินใจขายหุ้น เพราะคิดว่าตันคงมั่นใจในศักยภาพของตนเองเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถดันมูลค่าของบมจ.โออิชิให้ขึ้นมาถึง 1 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปีข้างหน้า แต่ถ้าบังเอิญหุ้นโออิชิได้รับความปราณีจากฟ้าขนาดหนัก อาจทำให้มูลค่าบริษัทกระโดดขึ้นไปถึง 2-3 หมื่นล้านบาท มูลค่าหุ้นในมือของตันวันนั้นก็จะเท่ากับมูลค่าหุ้นที่ตันขายไปก่อนหน้านี้ คือจะกลายเป็น 3 พันล้านบาทเหมือนเดิม
วันนี้ผมถือเหลือ 10% เวลาพูด 10% มันดูน้อย แต่อยากให้มองว่าผมถือหุ้นเป็นอันดับสองในโออิชิ เป็นเงินลงทุนถึง 600-700 ล้านบาท ผมยังลงทุนอยู่ในบริษัทนี้มากกว่าวันแรกที่ผมถืออยู่เลย ตัน บอกกับ ผู้จัดการรายสัปดาห์
****************************************************
http://www.manager.co.th/mgrweekly/viewnews.aspx?NewsID=9490000007913
****************************************************
จากคุณ :
มือใหม่DSM
- [
27 ม.ค. 49 10:18:37
]