ความคิดเห็นที่ 9
ต่อ
ความผิดไม่ว่ามาตราใดก็ตาม ไม่ใช่เป็นการผิดกฎระเบียบ แต่ความผิดในทุกมาตราที่พูดถึงอยู่นี้ เป็นความผิดกฎหมายอาญา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือไม่เกิน 2 เท่าของจำนวนกำไรก็ตาม แต่ถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญา และต้องเรียนว่าในครอบครัวนี้ ถ้ามีความผิดเช่นนี้ ก็ไม่ใช่ความผิดครั้งแรกเพราะในช่วงหลังจากที่มีการนำคดีซุกหุ้นขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ในที่สุดภรรยาของนายกฯ ก็ถูกตัดสินว่ากระทำผิดกฎหมายและถูกปรับ ซึ่งก็เป็นความผิดทางอาญามาแล้ว ถ้าการดำเนินการทั้งหมด ยังมีการกระทำความผิดอีก ก็น่าคิดว่าใครคือตัวการกระทำความผิดที่แท้จริง ทำไมเดี๋ยวจึงเป็นภรรยา ทำไมเดี๋ยวจึงเป็นลูก และน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงมาตราฐานจริยธรรมของบุคคลนั้นด้วย ไม่ใช่ในฐานะบุคคลสาธารณะ แต่ในฐานะสมาชิกของครอบครัว ซึ่งผมเรียนว่า ประเด็นนี้ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ไมีคำตอบ และเมื่อวานคุณสุวรรณถึงรีบออกมาบอกว่า ไม่ตอบเรื่องจริยธรรม"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นในเรื่องของข้อกฎหมายขอพูด 2 ประเด็น ที่มีการพูดและวินิจฉัยไปแล้วว่าน่าจะผิด 1.เรื่องก.ล.ต.คำพูดที่บอกว่า ติ๊กผิดในแบบแสดงรายงานของบุคคลที่มาแจ้งต่อ ก.ล.ต. ครั้งแรก เรื่องในนอกตลาด เป็นเพียงประเด็นเดียว ซึ่งประเด็นที่ก.ล.ต.จะต้องไปสอบเพิ่มเติมคือ เหตุใดครั้งแรกจึงไม่แจ้งว่า แอมเพิล ริช กับบุคคลทั้งสองมีความสัมพันธ์ หรือเกี่ยวข้องกัน การมาแก้แบบรายงานครั้งที่ 2 ไม่ใช่มาเปลี่ยนช่องติ๊กเฉยๆ แต่มาเพิ่มเติมสาระตรงนี้ เพื่อจะเป็นข้ออ้างในการหลุดพ้นจากมาตรา ว่าด้วยเรื่องการใช้ข้อมูลภายใน ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา อาจมีโทษสูงคือจำคุก 2 ปี และปรับ 30,000 ล้านบาท หรือ 2 เท่าของกำไร ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ในการแสดงแบบรายงานครั้งที่ 2 ทั้งนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา กลับมาแสดงว่าเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแอมเพิลริช ขณะที่นายสุวรรณชี้แจงว่า น.ส.พิณทองทา เข้ามาเป็นเจ้าของแอมเพิม ริช เพียงร้อยละ 20 ถ้ายึดตามข้อกฎหมาย ก็ไม่น่าจะเป็นบุคคลคนเดียวกัน แต่ถ้า น.ส.พิณทองทา ถือมากกว่าร้อยละ 20 คือถึงร้อยละ 30 ก็จะมีความผิดในอีกมาตราหนึ่งเพราะจะถือหุ้นเกินร้อยละ 25 ในขณะใดขณะหนึ่ง โดยไม่มีการแจ้งก.ล.ต. เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะเรียกร้อง ก.ล.ต. คือยังไม่สมควรที่จะด่วนสรุปว่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแอมเพิล ริช เป็นอย่างไร และถ้าจะมีข้อสรุป อย่างน้อยต้องสามารถเปิดเผยเอกสารหลักฐานที่พรรคได้เรียกร้องไป ว่าการเปลี่ยนความเป็นเจ้าของ การซื้อขาย การโอนหุ้นเกิดเมื่อไหร่ อย่างไร มีการชำระเงินหรือไม่ และมีการขออนุญาตถ้ามีความจำเป็น ในการนำเงินเข้าออกจากราชอาณาจักรหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การที่นายสุวรรณกล่าวอ้างว่า การที่มีการโอนหุ้นปลายปี 2543 ไปให้ลูก ไม่จำเป็นต้องมีการแสดง เพราะกฎหมายไม่ใช้บังคับ ก็ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะก่อนหน้านั้นในเดือนก.ย. 2543 ตอนที่นายกฯโอนหุ้นยังมีการแจ้งทางตลาดหลักทรัพย์ และก.ล.ต.ไปแล้ว แสดงให้เห็นว่ายังมีผลบังคับใช้อยู่ ซึ่งถือเป็นปัญหาของข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน ส่วนในเรื่องของภาษียืนยันอยู่อย่างเดียวในขณะนี้ ว่าเป็นการขายในตลาดหุ้น จึงไม่ต้องเสียภาษี สิ่งที่เราได้เรียกร้องและให้กรมสรรพากรมีความชัดเจน ไม่ใช่เฉพาะในเรื่องของการขายในตลาดหลักทรัพย์ เพราะในข้อเท็จจริงคือหุ้นที่นำมาขายครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2548 ไม่ใช่หุ้นที่ซื้อมา หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่หุ้นที่ซื้อมาในตลาดหลักทรัพย์ ในราคาตลาด ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษี ต้องย้อนกลับไปดูในวันที่มีการรับหุ้นมาในราคาที่ต่ำกว่าตลาด ว่าเป็นเงินได้พึงประเมินหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ประเด็นดังกล่าวเคยเกิดขึ้นแล้ว ในกรณีของนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเมื่อไปเทียบเคียงกับคำวินยิจฉัยของกรมสรรพากร เมื่อมี 2538 แล้วบอกว่าต้องเสียภาษี ก็มีการมาแก้ตัว โดยสรรพากรในขณะนั้นว่า เนื่องจากเป็นบุคคลธรรมดายังไม่ต้องเสียภาษี ให้ไปเสียตอนที่มีกำไรจากการขายแล้ว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้ข้อเรียกร้องไม่ใช่เก็บในฐานะผู้ขาย แต่ข้อเรียกร้องคือ บุคคลทั้งสองก็ต้องถูกเก็บภาษีในฐานะผู้ซื้อมาในราคาถูก ตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนี้จะเป็นเงินได้พึงประเมินที่มีความชัดเจนแล้ว เพราะรู้ว่ากำไรเท่าไหร่ ตรงนี้สรรพากรต้องตอบมาให้ชัด ว่าจะไปเก็บภาษีหรือไม่ แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น ถ้าหากสิ่งที่นายสุวรรณยืนยันว่าเป็นความจริงคือ นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา เป็นผู้เกี่ยวข้องกับแอมเพิล ริช วันที่บุคคลทั้งสองได้หุ้นจากบริษัทแอมเพิล ริช มาในราคา 1 บาท ซึ่งจะตรงกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยบสรรพากร เมื่อปี 2538 ชัดเจนว่าเป็นกรณีที่บริษัทให้หุ้นผู้เกี่ยวข้องในราคาถูก ซึ่งต้องเสียภาษี ใครไม่ชัดเจนตรงนี้ก็ไปถามบรรดาพนักงาน กฟผ.ได้ เพราะพนักงานกฟผ. เมื่อไปใช้สิทธิในการซื้อหุ้นจากกฟผ. ก็ถูกหักภาษีทันที ทั้งๆที่ต่อมาภายหลังยังไม่มีโอกาสได้ขายหุ้นนั้นเลย โดยอาศัยคำวินิจฉัยดังกล่าว เพราะฉะนั้นกรมสรรพากรต้องแสดงท่าที่ทีชัดเจน ว่ากรณีแอมเพิล ริช ให้หุ้นกับบุคคลทั้งสอง ที่เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับบริษัท บุคคลทั้งสองจะต้องเสียภาษีด้วย ถ้าคำนวณคร่าวๆจะเป็นเงิน 3,000 ล้านบาท
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่เราตรวจสอบพบเบื้องต้นเท่านั้น ยังมีกฎหมายฉบับอื่น ที่เรารอหลักฐาน กตล.จะแสดงต่อสาธารณะ เกี่ยวข้องกับบริษัทแอมเพิล ริช ก่อนที่จะตรวจสอบได้ว่า มีกฎหมายใดอื่นบ้างที่จะต้องทีการดำนเนินการ เพื่อที่จะให้แผ่นดิน หรือประเทศได้ประโยชน์เท่าที่พึงจะได้จากการขายหุ้นทั้งหมด และขอเรียนว่าประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูลภายใน ขอให้กตล.ไปดูคำชี้แจงของนายสุวรรณ เมื่อวันที่ 1 กพ.ที่ผ่านมา เพราะนายสุวรณณบอกว่า นานพานทองแท้ได้เคยทำหนังสือถึงกรมสรรพากร ซึ่งเป็นการบอกถึงการเตียมการที่จะมีการซื้อขายหุ้น หมายถึงเป็นการยืนยันว่า นายพานทองแท้ได้รู้ถึงการซื้อขายหุ้นที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม และต้องถามต่อไป ระหว่างเดือนกรกฎาคม 48 จนถึงเดือนมกราคม 49 ขอให้ตลาดหลักทรัพย์และกลต. ไปตรวจแบบบุคคลที่มีความเกี่ยงข้องสัมพันธ์กับนายพานทองแท้ ได้ซื้อหุ้นในบริษัทที่เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง เพราะอาจจะเป็นการใช้ข้อมูลภายใน
วันนี้พรรคได้สรุปชัดเจนว่า การดำเนินการที่ผ่านมาเรื่องจริยธรรม คงไม่ต้องถาม แต่การทำผิดกฎหมาย ชัดเจนแล้ว ว่ามีการทำผิดฏหมายอาญา และเป็นเรื่องที่เราเรียกร้องให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติต่อกรณีอย่างตรงไปตรงมา ถ้าไม่ดำเนินการพรรคจะต้องดำนเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป ตามความเหมาะสม นายอภิสิทธิ์ระบุ
เมื่อถามว่า กรมสรรพกรยืนยันว่า การซื้ขายหุ้นดังกล่าวไม่เข้าข่ายคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่ 28/2538 นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากกรมสรรพากรยืนยันอย่างนี้ จะมีการเงินให้พนักงานกฟผ.ที่ได้รับสิทธิ์ในการซื้อหุ้นในราคาพาร์หรือไม่ เพราะกรณีไม่ได้ต่างกัน และทราบมาว่าคำวินิฉัยเรื่องซื้อของถูก แจ้งมาเป็นทางการกับนายเรืองไกร มีกิจวัฒนะ เมื่อปลายเดือนธันวาคม เป็นเรื่องที่น่าสงสัยว่า คำวินิจบรรทัดฐานใหม่เกิดขึ้นจากการขายหุ้นของ กฟผ.ออกมาเพื่อรองรับการดำเนินการในเดือนมกราคมหรือไม่ หากเป็นเช่นนี้ ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า เป็นการฉ้อฉลทั้งหมด และแสดงให้เห็นว่า เป็นการฉ้อฉลในการใช้อำนาจรัฐ ไม่ใช่เรื่องของการซื้อขาย ธุรกิจธรรมดา แต่ถ้าจะคืนเงินให้กฟผ.จะทำได้หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้มีความพยายามที่จะคืนเงินให้กับนายเรืองไกร มาแล้ว แต่เขายังไม่ได้นำเช็คไปขึ้นเงิน
ต่อข้อถามว่า เมื่อกรมสรรพกร ยืนยันออกมาอย่างนี้ พรรคจะดำเนินการอย่างไรหรือไม่ นายอภิสทธิ์ กล่าวว่า เจ้าพนักงานประเมินภาษีต่ำ หรือจงใจไม่เรียกเก็บภาษีตามประมวลรัษฎากร มีโทษหนักเหมือนกัน ขอให้เจ้าหน้าที่ไปพิจารณาให้ดี ว่าจะรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน หรือจะเกรงกลัวอำนาจ ตนขอเรียนว่า สำหรับทุกคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องของภาษีหลัก ที่กรมสรรพกรได้ใช้ตลอด คือประมินมากไว้ก่อน และหากเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็ไปต่อสู้ที่หลัง เพราะเหตุใดกรมสรรพกรจึงมายกเว้นเฉพาะกรณีนี้ หรือเฉพาะทุกครั้งที่ครอบครัวนี้เข้าไปเกี่ยวข้อง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า การชี้แจงของนายสุวรรณ ยังขาดหลักฐานที่ชัดเจน ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องนำเอกสารมาชี้แจงต่อสาธารณะชน รวมถึง กตล.ต้องเอาหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง เพราะพรรคไม่เคยไปปรักปรำใคร ทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักฐานและเอกสาร ในเมื่อตัวแทนของครอบครัวชินวัตร และดามาพงศ์ เอาข้อเท็จจริงมาเปิดเผยก็ต้องกล้าเอาเอกสารมาเปิดเผยได้ เพราะนั่นคือสาระสำคัญ และหากกลต.ยังไม่เปิดเผยข้อมูล จะต้องพึง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร แต่ในเมื่อพยายามชี้แจงตลอดว่า ทุกอย่างตรงไปตรงมา ก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะไม่ให้เเอกสารชุดนี้ นอกจากมีเจตนาไม่อยากเปิดเผยเท่านั้น
" คิดว่าตัวการไม่ใช่ลูกหรือภรรยา เพราะถ้าเป็นบุคคลหลายบุคคล จะต้องมีธุรกรรมหลายครั้ง แต่ถ้าเป็นคนๆ เดียว ย่อมไม่มีธุรกรรมเกิดขึ้น ในเรื่องนี้ผมไม่มีอำนาจที่จะไปเรียกร้อง หรือขีดเส้นให้ใครชี้แจง ซึ่งในการชี้แจงที่ยังไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และเอกสารแม้จะพยายามก็ต้องให้โอกาส พรรคจะไม่ไปกล่าวหาก่อน พรรคจะดูจากคำชี้แจง เพราะการดำเนินการครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ และรัฐธรรมนูญ เพราะความผิดเกิดขึ้นแน่ แต่ไม่รู้จะเป็นมาตราได ซึ่งล้วนเป็นความผิดอาญา มีโทษจำคุกทั้งสิ้น แต่อยู่ที่ดุลพินิจของศาลเท่านั้น จะเป็นผู้พิจารณา ซึ่งอาจจะโดนข้อหาทำเอกสารเท็จด้วย " นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรียืนยันมาโดยตลอด ว่าการซื้อขายหุ้นทั้งหมดถูกต้อง และในฐานะผู้บริหารสูงสุดของประเทศ สมควรหรือไม่ที่จะออกมาชี้แจงด้วยตัวเอง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องถามนายกรัฐมนตรีก่อน ถ้ากลต.ตัดสินว่ามีการกระทำผิดมาตราใดมาตราหนึ่ง นายกรัฐมนตรีจะรับผิดชอบคำพูดหรือไม่ ที่เคยดูว่าไม่มีการทำผิดกฎหมาย นายกฯเป็นผู้บริหารสูงสุดของฝ่ายบริหารประเทศ ส่งสัญญาณไปยังเจ้าหน้าที่ ว่าไม่มีการทำผิดกฏหมาย วันนี้ยังวุ่นกันอยู่ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ผิดกฏหมาย แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องมีผิดกฎหมายบ้าง ท่านจะรับผิดชอบคำพูดอย่างไร การรับผิดชอบสิ่งแรกคือ การเอาเงินที่ควรจะเป็นของแผ่นดินคืนไปก่อน ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่น้อยที่สุด ยังไม่ไปถึงสถานะของนายกฯ เพราะพรรคฝ่ายค้านมีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่เบื้องหลังการขายหุ้นของตระกูลชินวัตร และดามาพงศ์ หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "การที่นายกฯพยายามพูดว่า ทุกอย่างตรงไปตรงมา ผมชี้ให้เห็นว่า วันนี้มีการกระทำผิดกฏหมาย และเป็นกฏหมายอาญาซ้ำซากแล้ว และอย่ามาถามความเชื่อผมนะครับ เอาสามัญสำนึกของวิญญูชนคิดว่า คุณพานทองแท้ คุณพินทองทา ทำผิดด้วยตัวเองหรือเปล่า ผมเชื่อว่าคำตอบของวิญญูชนตรงกัน ผมคนธรรมดาก็เชื่ออย่างที่คนอื่นเชื่อ" ใครมีอะไรโต้แย้ง เชิญเลยครับ
จากคุณ :
KAi (stangman)
- [
2 ก.พ. 49 17:16:59
]
|
|
|