ความคิดเห็นที่ 1 2. Position Sizing อันนี้เป็น original turtles ครับ คือระบบ ออกแบบมาสำหรับตลาด commodity ซึ่งใช้ margin ค่อนข้างสูง (คือวางเงิน 5%) โดยหลักการคือ เมื่อราคาเปลี่ยนแปลง (ลดลงถ้า long หรือเพิ่มขึ้น ถ้า short) ถึงจุดที่จะต้องตัดสินใจ stop loss (ขายเมื่อ long หรือซื้อคืนเมื่อ short) จะต้องขาดทุนไม่เกิน threshold ที่เราตั้งไว้ เช่น ใน original turtle ตั้งกฎไว้ว่า การเปิด position หนึ่งครั้ง จะขาดทุนได้แค่ 1% ของมูลค่าพอร์ท วิธีการคำนวณว่า จะซื้อ (หรือ short) ได้แค่ไหน ก็คือใช้วิธีคำนวณย้อนกลับ จากจุดนี้ครับ จากคุณ : ซีเค - [ 9 ก.พ. 49 12:53:05 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มารอฟัง (อ่าน) อย่างตั้งใจครับ   จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 9 ก.พ. 49 12:57:53 ]

ความคิดเห็นที่ 3 3. Example for Stock Trading ยกตัวอย่างเลยละกัน สมมุติว่า: * พอร์ทผมมีขนาด 1 ล้านบาท * ผมเล่น trading สำหรับหุ้นตัวนึง ราคาปัจจุบัน 100 บาท * ผมตั้งกฎขาดทุนที่ 2% ของพอร์ทต่อการเข้าซื้อ 1 ครั้ง A) กำหนด position size จากราคา ถ้าสมมุติระบบของเรา กำหนดให้ stop เมื่อราคาลงไป 95 บาท (หลุด low เก่าหรืออะไรก็แล้วแต่) นั่นก็คือ เราจะขาดทุน 5.5% (รวมคอมฯ) ในการ stop loss เนื่องจากเราตั้งเป้าว่า จะขาดทุนต่อการเปิด position ไม่เกิน 2% ต่อครั้ง แสดงว่าเราซื้อหุ้นได้แค่ 2/5.5 ของทั้งพอร์ท คือ 36% ของ 1 ล้านบาท หรือ 360,000 บาท หรือ 3,600 หุ้นนั่นเอง เพราะเมื่อเราคำนวณกลับ 3,600 x 100 บาท + คอมฯ = 360,808.92 บาท เมื่อ cut loss ที่ 95 บาท 3,600 x 95 บาท - คอมฯ = 341,231.53 บาท สิริรวมแล้ว ขาดทุน 19,577.39 หรือไม่เกิน 2% จาก 1 ล้านบาทนั่นเอง จากคุณ : ซีเค - [ 9 ก.พ. 49 13:05:32 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เพื่อให้ complicate มากขึ้น เราสามารถกำหนดให้มีการเข้าซื้อแบบปิรามิดได้ เช่น ซื้อครั้งแรก 100 ขาย cut loss ที่ 95 ซื้อครั้งที่สอง ถ้าขึ้นไป 105 ยก stop loss ขึ้นมาที่ 99 ถ้าสมมุติเราซื้อแล้ว 3,600 หุ้น และราคามันวิ่งไป 105 เราก็ต้องซื้อ lot ที่สอง ทีนี้ จะซื้อเท่าไหร่ครับ ที่จะทำให้ขาดทุนไม่เกิน 20,000 บาท เหมือนเดิม เมื่อราคาหล่นกลับมาที่ 99 บาท จะได้ว่า จำนวนหุ้นที่เราจะซื้อได้ใน lot สองที่ 105 บาท คือ 2,200 หุ้น #1 : 3,600 x 100 บาท + คอมฯ = 360,808.92 บาท #2 : 2,200 x 105 บาท + คอมฯ = 231.519.06 บาท รวมถือ 5,800 หุ้น ทุน 592,635.82 บาท ถ้าต้องขาย stop loss ที่ 99 บาท 5,800 x 99 - คอมฯ = 572,909.77 บาท คือขาดทุน 592,635.82 - 572,909.77 = 19,418.20 บาท หรือไม่เกิน 2% จากวงเงินเล่นหุ้น 1 ล้านบาทนั่นเอง ที่เขาเรียก Pyramid buying เพราะจะเห็นว่า ยิ่งซื้อขึ้นไปสูง จำนวนหุ้นจะยิ่งน้อยลงครับ จากคุณ : ซีเค - [ 9 ก.พ. 49 13:19:54 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ในระหว่างรอพี่ CK . ขออนุญาตเอ่ยถึงที่มาที่ไปก่อนว่า ไหงถึงได้มาสนใจ Turtle trading ก่อนหน้านี้ ผมก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้หรอกครับ แต่จำได้ว่าในตอนเริ่มแรกที่คุณเด่นศรีนำหลักการ DSM มาเผยแพร่ พี่ CK นี่แหละที่เป็นคนถามถึงข้อแตกต่างระหว่าง DSM กะ Turtle trading และได้ทิ้ง Link ไปยัง web ที่เผยแพร่การเทรดแบบเต่า  ซึ่งเป็นแนวคิดที่เขาเปิดเผยเหมือนให้เปล่า โดยเขาโฆษณาว่า วิธีการเทรดแบบเต่านี้สามารถสร้างนักเทรดมือธรรมดาให้เป็นนักเทรดมือเทวดาได้ ผมก็ไป Load  เอกสารมาเก็บไว้จนลืม  มาไม่นานนี้ เพิ่งมาเปิดเจออีกครั้ง เลยพิมพ์ออกมาอ่าน รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ก็มาติดเอาตรง Position Sizing นี่แหละ  อ่านเท่าไร ก็ไม่ get  ด้วยความที่อ่อนด้อยทางภาษาและศัพท์ก็เป็นเกี่ยวกับการเล่นหุ้น  แถมตัวอย่างที่ยกมาก็ยังเป็นเรื่องของราคาน้ำมันอีกต่างหาก  เลยยิ่งไปกันใหญ่ ทนไม่ไหว ก็เลยต้องขอความช่วยเหลือจากคุณพี่ CK นี่แหละครับ และก็ได้รับความอนุเคราะห์อย่างรวดเร็วทันใจยิ่ง ขอขอบคุณอีกครั้งครับ   จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 9 ก.พ. 49 13:22:02 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ^ ^ อ้าว  พอ Post ปั๊บ เพิ่งเห็นว่า พี่ CK ยังอยู่ อิอิ   จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 9 ก.พ. 49 13:24:02 ]

ความคิดเห็นที่ 7 B) กำหนด Position Sizing จากวงเงินซื้อ อันนี้ง่ายกว่าแบบ A เยอะครับ และเป็นแบบที่ผมใช้อยู่ เราเริ่มด้วยสมมุติฐานเดียวกัน คือ * พอร์ทมีขนาด 1 ล้านบาท * เล่น trading สำหรับหุ้นตัวนึง ราคาปัจจุบัน 100 บาท * ตั้งกฎขาดทุนที่ 2% ของพอร์ทต่อการเข้าซื้อ 1 ครั้ง ถ้าเราต้องการตั้งซื้อเป็น 4 ครั้ง ก็กำหนดเลยครับ ว่าซื้อได้ครั้งละไม่เกิน 250,000 บาท และ stop loss เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงแล้ว ขาดทุน 2 หมื่นบาท (รวมคอมฯ ด้วย) ที่ราคา 100 บาท ก็เริ่มซื้อ 2,400 หุ้น จุด stop คือ 92.50 บาท ที่ราคา 105 บาท ซื้อ #2 ที่ 2,300 หุ้น จุด stop คือ 98 บาท ที่ราคา 110 บาท ซื้อ #3 ที่ 2,200 หุ้น จุด stop คือ 103 บาท ฯลฯ จากคุณ : ซีเค - [ 9 ก.พ. 49 13:29:15 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ดูหน้า สิ ตั้งใจขนาดไหน จากคุณ : eyes only (ลำชี) - [ 9 ก.พ. 49 13:30:05 ]

ความคิดเห็นที่ 9 3) Other tools to manage Risk อย่าลืมนะครับ ว่า Position Sizing เป็นแค่ "เครื่องมือตัวหนึ่ง" ที่ใช้ควบคุมความเสี่ย จริงๆ แล้ว ยังมีอีกสองสามอย่างนะครับ เช่น ตลาดที่เราจะเล่น ใน original turtle กำหนดไว้เลยว่า เราไม่สามารถเปิดได้เกินกี่ posiiton ในตลาดที่มีความสัมพันธ์กัน เพื่อไม่ให้เกิดกรณีที่ว่า เมื่อเกิดข่าวร้าย ที่กระทบตลาดทั้งหมด เราจะขาดทุนมากกว่า threshold เช่น ถ้าเราเปิด position ในตลาดพันธบัตร เกิด Fed ขึ้นดอกเบี้ยมากๆ โดยไม่ทันตั้งตัว ราคาพันธบัตรจะดิ่งลงแรงมาก ถ้าเราทุ่มหมดหน้าตักไปที่พันธบัตร เราอาจจะขาดทุนมากกว่า 2% ที่ตั้งใจไว้ได้ครับ จากคุณ : ซีเค - [ 9 ก.พ. 49 13:34:40 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จบดีกว่าครับ พูดมาก ยิ่งปล่อยไก่มาก 555 จากคุณ : ซีเค - [ 9 ก.พ. 49 13:35:26 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่รู้ผมพูดรู้เรื่องรึเปล่านะครับ เอาเป็นว่า ทำไงก็ได้ ให้เวลาขาดทุน เราต้องหยุดมันให้ไม่เกิน % ที่ตั้งใจไว้น่ะครับ ขอบคุณที่ทนฟัง (อ่าน) มาจนจบ ฮ่าๆๆๆ จากคุณ : ซีเค - [ 9 ก.พ. 49 13:37:12 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่ปล่อยไก่หรอกครับ  แถมเป็นความรู้ที่ผมยังไม่เคยรู้ด้วยซ้ำไป ขอถามพี่ CK เพิ่มเลยแล้วกัน แล้วไอ้เจ้าสูตรที่อยู่ในคู่มือที่บอกว่า True range = maximum(H-L, H-PDC, PDC-L) เมื่อ H = ราคาสูงสุด L = ราคาต่ำสุด PDC = ราคาปิดของวันก่อน เนี่ยมันเป็นสูตรคำนวณหาอะไรหรือครับ จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 9 ก.พ. 49 13:44:47 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ ^ ผมว่าพี่ CK เปิด Course อบรม Turtle trading  ในคลับนี้เลยดีไหมครับ  เป็นการเปิดโลกทัศน์ของสมาชิกให้กว้างขึ้นอีกมุมหนึ่งด้วย อิอิ จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 9 ก.พ. 49 13:47:59 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอไปกินข้าวก่อนเดี๋ยวมาอ่านใหม่ จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 9 ก.พ. 49 13:52:40 ]

ความคิดเห็นที่ 15 โฮ่ True Range เป็น technical analysis indicator ตัวนึงครับ เป็นตัวที่มีคนเอามาใช้กันมาก เพราะบอกอะไรได้หลายๆ อย่าง True Range = ช่วงแกว่งตัวจริงของราคา เป็นตัววัดว่า ราคาของหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงมากสุด เป็นเท่าไหร่ในแต่ละวัน โดยปกติ Range ก็คือ High - Low ถ้า True Range ก็ ดูด้วยว่า เทียบกับเปิดเมื่อวานเป็นไง เช่นราคาหุ้น A ของเรา วันนี้เทรดกัน 100 - 104 ตัว TR คือ 4 บาท แต่ถ้าเมื่อวานนี้มันปิดที่ 94 บาท True Range จะกลายเป็น 6 บาท เพราะ low ของวันนี้ (100) สูงกว่า close เมื่อวาน (94) ถึง 6 บาท ซึ่งมากกว่า High - Low ของวันนี้ แต่ถ้าเมื่อวานมันปิด 109 TR คือ 5 บาท เพราะ high ของวันนี้ (104) ต่ำกว่า close เมื่อวาน อยู่ 5 บาท ซึ่งมากกว่า High - Low ของวันนี้ ส่วน ATR(x) คือ average TR ของ x วันย้อนหลัง เช่น ATR(14) เป็นต้น จากคุณ : ซีเค - [ 9 ก.พ. 49 13:54:11 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ใน turtles เราเอา ATR มาใช้กำหนด gap ของราคา ที่จะซื้อเพิ่มหรือ cut loss คิดว่าเพราะเหตุผลหลักคือ ATR คือค่าเฉลี่ยของการ แกว่งตัวของหุ้นในช่วงที่ผ่านมา xx วัน ทำให้เมื่อหุ้นแกว่งตัวน้อย (เช่น SCC) โอกาสที่หุ้นจะขึ้น/ลงแรงก็น้อย ความเสี่ยงก็ต่ำลง position size ก็เพิ่มขึ้นได้ ถ้าหุ้นที่แกว่งตัวมาก (เช่น THECO) โอกาสที่หุ้นจะแกว่งแรงก็มาก ความเสี่ยงก็มาก position size จึงต้องน้อยมากๆ ในความเป็นจริง เมื่อหุ้นกำลังเปลี่ยน trend TR ของวันนั้นๆ จะกระโดดกว้างขึ้น เพราะมีแรงซื้อเข้ามามาก หรือมีแรงขายเข้ามามาก เนื่องจาก original turtles เป็น trend following คือซื้อเมื่อ trend เปลี่ยนไปแล้วชัดเจน ความเสี่ยงจากการแกว่งของราคาช่วงเปลี่ยน trend ใหม่ๆ จึงไม่ค่อยมีครับ เห็นไหมครับ ทุกประเด็นในเรื่อง position sizing เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงทั้งสิ้น จากคุณ : ซีเค - [ 9 ก.พ. 49 14:00:59 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อย่างนี้ค่า N = (19 x PDN + TR)  หารด้วย 20   (โดยที่ PDN คือ ค่า N ก่อนหน้า  และ TR คือ ค่า True range ของวันนี้) ค่า N  ก็คือ ค่าของช่วงราคาในรอบ 20 วัน ใช่ไหมครับ  สมมุติ หุ้นตัวหนึ่ง ในรอบ 20 วัน แกว่งตัวอยู่ระหว่าง  20  ถึง 21.50 บาท ก็แสดงว่า ค่า N จะเท่ากับ  5 ช่วงราคา ใช่ไหมครับ จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 9 ก.พ. 49 15:13:50 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ไม่ใช่ true range ของช่วงราคา 20 วันนะครับ แต่เป็นค่าเฉลี่ยของ true range ทุกๆ วัน ในช่วง 20 วันที่ผ่านมา คือเอา TR ของแต่ละวันใน 20 วันที่ผ่านมา มาบวกกัน แล้วหาร 20 ครับ 21.00 -21.50 คือ 5 ช่วงราคาครับ 20 - 21.5 คือ 15 ช่วง ตาม turtle แท้คือ ถ้าลงไป 1 N ให้ stop loss ถ้าขึ้นไป N/2 ให้ซื้อเพิ่ม และขยับ stop loss ขึ้น จากคุณ : ซีเค - [ 9 ก.พ. 49 15:39:17 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ๆครับ กรณีหุ้นลงหลังจากเราซื้อ ก็คงใช้ risk management ตาม% ที่เราวางแผนไว้ โดยใช้ TR เฉลี่ยเป็นการวัดการแกว่งของช่วงราคาที่แตกต่างกันของหุ้นแต่ละตัว เพื่อกำหนด %stop loss ที่แตกต่างกัน ขอสอบถามคุณ ck ครับว่าถ้ากรณีหุ้นขึ้น Turtle Trading มีกลยุทธ์ในการขายทำกำไรไหมครับเช่น ว่าออกตอนไหน หรือเข้าไปกลับช้อนซื้อตัวเดิมได้หรือไม่อย่างไร หรือต้องรอจังหวะเข้าใหม่อย่างไร ขอบคุณครับ จากคุณ : freefree (Freefree) - [ 9 ก.พ. 49 16:13:19 ]

ความคิดเห็นที่ 20 Turtle Trading เป็น trend following system ครับ จะขายทำกำไรเมื่อ trend เปลี่ยน จบ ไม่เกี่ยวกับ TR ครับ เช่น ระบบดั้งเดิมของ turtle คือ - Entry เมื่อราคาปิดสูงกว่า high รอบ 21 วัน - Exit เมื่อราคาปิดต่ำกว่า low รอบ 10 วัน Exit คือการขายทำกำไรครับ สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจซื้อ/ขาย เรียกว่า signal ครับ ระบบ trading จะต่างกันตรง signal บางระบบเป็น black box คือบอกแค่ว่าให้ซื้อหรือขาย แต่ไม่ได้บอกว่าเพราะอะไร จากคุณ : ซีเค - [ 9 ก.พ. 49 17:02:12 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณครับพี่ CK ผมขออนุญาตศึกษาทำความเข้าใจเพิ่มเติมก่อน แล้วจะมาถามต่อครับ จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 9 ก.พ. 49 17:27:29 ]

ความคิดเห็นที่ 22 สุดยอดความรู้ ขอบคุณครับ Save ไว้อ่านดีกว่า ไว้ค่อยถามต่อ แต่ถ้าเปิดอบรมจริงๆ ลงชื่อก่อนเลยครับ หัวใจของการลงทุน "บริหารความเสี่ยง" จากคุณ : กึ่งสำเร็จรูป - [ 9 ก.พ. 49 18:10:47 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มาอ่าน และ เซฟ ๆ ๆ ( ยิ้ม ) ขอบคุณมากครับ พี่ซีเค จากคุณ : พอ(ร์ต)ดี_อิสรภาพ (พิราบเงิน) - [ 9 ก.พ. 49 21:13:36 ]

ความคิดเห็นที่ 24 นั่งรออ่านตอนต่อไปครับ จากคุณ : IC&F - [ 9 ก.พ. 49 22:24:08 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณมากครับ ได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นอีกเยอะเลย ขอให้พี่ CK รวย  รวย  รวย  รวยขึ้นมากมาก จากคุณ : ธราธิป - [ 10 ก.พ. 49 02:29:17 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณมาก ครับ   จากคุณ : Vprawat - [ 10 ก.พ. 49 10:39:02 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ท่านพี่เรามาโลดแล่นอยู่ที่นี่เอง จากคุณ : ballito - [ 10 ก.พ. 49 10:51:23 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เอ้อ...  พี่ CK ครับ..... อย่าว่าผมโง่เลยนะ  แต่ไม่รู้จริงๆ ว่า  ไอ้เจ้า threshold, short, long, cover แล้วก็ Exposure  นี่ถ้าเป็นแบบไทยๆ มันหมายถึงอะไรมั่งอ่ะครับ จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 10 ก.พ. 49 10:52:30 ]

ความคิดเห็นที่ 29 threshold = ช่วง ผมใช้ในความหมายว่า ช่วงของการขาดทุนที่เรายอมรับได้ ในการเทรดแต่ละครั้ง เช่น ถ้าเราตั้ง threshold ไว้ 2% หมายความว่าเราจะขาดทุนไม่เกินช่วงละ 2% exposure = แปลตรงตัวว่า "เปิด" ย่อมาจาก risk exposure คือการเปิดหน้าต่างรับความเสี่ยง พูดง่ายๆ เข้าคือ ซื้อหุ้นนั่นแหละ (เพราะเสี่ยงขาดทุนทันที) หรือไม่ก็เริ่ม short sell นั่นแหละ ใน dsm exposure จะเป็นการขาย เพราะเสี่ยงว่าจะซื้อคืนไม่ได้ short = สั้น คือการทำให้หุ้นเราสั้นลง ถ้ามีหุ้นอยู่แล้ว ก็คือ short against port ถ้าไม่มีหุ้นอยู่ ก็คือทำให้หุ้นติดลบ (ต้องซื้อคืน) long = ยาว กลับกะ short ทำให้หุ้นเรายาวขึ้น cover = ปิด คือปิด position cover short คือ ทำให้ไม่ short แล้ว (ซื้อคืนในภาษา dsm) cover long คือ ทำให้ไม่ long แล้ว สำหรับคนทั่วไป คือขายนั่นแหละ จากคุณ : ซีเค - [ 10 ก.พ. 49 12:40:12 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณครับ :) จากคุณ : BeSmile - [ 10 ก.พ. 49 15:31:40 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณท่าน CK มากครับ ที่แวะเวียนมาให้ความรู้ในคลับนี้ จากคุณ : สุมาเต๊กโช - [ 10 ก.พ. 49 23:47:45 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เข้ามา......แจม                               จากคุณ : ขวัญชัย - [ 11 ก.พ. 49 00:57:05 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณครับ ขออนุญาตเซฟครับ จากคุณ : DARINGYOUSENDMEHOME - [ 11 ก.พ. 49 22:33:58 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณครับ พี่ ซีเค จากคุณ : wayu_w - [ 13 ก.พ. 49 18:58:52 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบพระคุณท่านพี่ ซีเค ครับ เชิญทานน้ำแก้เหนื่อยก่อน   จากคุณ : mBAR (minibar) - [ 14 ก.พ. 49 16:27:05 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ^ ^ ^ ผมว่าน้ำแก้วนี้ ของพี่ฮานี่ กินเท่าไรก็ไม่หายเหนื่อยหรอก มีแต่ยิ่งกินยิ่งเหนื่อย ยิ่งอยากกินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าจะหลับกันไปข้างล่ะ 5 5 5 จากคุณ : แมลงเม่าทนไฟ - [ 14 ก.พ. 49 17:15:57 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณครับ จากคุณ : freefree (Freefree) - [ 15 ก.พ. 49 09:34:00 ]